BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Tuesday, June 5, 2012

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction




Japan Map


Introduction


หนังสือ แนะนำการเดินทาง หรือรีวิวการเดินทางไปญี่ปุ่นที่เป็นภาษาไทยนั้นมีอยู่มากมาย เอาแค่เฉพาะเมืองโตเกียว เมืองเดียวก็มีเป็นสิบ ๆ เล่ม แล้วทำไมผมถึงจะต้องมาเขียนหนังสือ รีวิวการเดินทางเพิ่มเติมอีก? ก็เพราะว่าผมอยากเขียนน่ะสิ! (ล้อเล่นครับ) จริง ๆ แล้วผมแค่อยากมาแชร์ประสบการณ์ ที่ผมได้รับจากการไปญี่ปุ่น 2 ครั้งของผมและกลั่นกรองออกมาเป็น หนังสือดี ๆ เล่มนึงที่เน้นข้อมูลการท่องเที่ยวผสมผสานกับอาหารการกินและร้านอาหาร ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัย  (ผมเป็นคนชอบกินครับ) และวัฒนธรรม เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นซึ่งผมสนใจและมักศึกษาหาข้อมูล เพิ่มเติมเอง อยู่เสมอ อีกนัยนึงก็คือผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะคลั่งความเป็นญี่ปุ่นหรืออะไรก็ตามที่เป็นญี่ปุ่นมากเลยครับ เพราะผมโตและผูกพันมากับประเทศน่ารัก ๆ นี้มาตั้งแต่เด็ก เกริ่นมากไปก็เสียเวลา เข้าสู่เนื้อหากันเลยดีกว่านะครับ

ประเทศญี่ปุ่นคงเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการท่องเที่ยวในฝันของใครหลาย ๆ คนและหนึ่งในนั้นก็คือผมด้วยคนนึง ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวประเทศต่าง ๆ มามากมาย แต่กว่าผมจะมีโอกาสได้ไปญี่ปุ่นนั้นก็ปาเข้าไปตอนที่ผมอายุเข้าวัยเบญจเพศเข้าไปแล้ว ก่อนหน้านั้นมีหลายคนถามผมว่า “อ้าว ยังไม่เคยไปเหรอ เป็นไปได้ยังไง” , “ญี่ปุ่นดีมากเลยนะ อย่างโน้นอย่างนี้” ผมก็ได้แต่เก็บเอาความอยากนั้นไว้เป็นเวลานาน เพราะถ้าจะให้ผมไปจริง ๆ ผมต้องการเดินทางไปเองโดยไม่ง้อทัวร์ การเดินทางท่องเที่ยวแบบทัวร์ ผมบอกตรง ๆ ว่าผมไม่ค่อยชอบ มันเป็นการท่องเที่ยวที่ผมถือว่ายังไม่สุด เป็นการท่องเที่ยวแบบหน่วง ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ อาหารที่ทัวร์พาไปกินนั้น จะกี่ทัวร์ต่อกี่ทัวร์ ก็ไม่เคยมีทัวร์ไหนที่จะเลี้ยงอาหารที่ดี ๆ เลย จะมีพาไปแต่ “ร้านอาหารทัวร์ลง” เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับญี่ปุ่น ประเทศที่โด่งดังด้านอาหารแล้ว การที่จะเสียเงินและเวลา ไปโดยไม่ได้มีโอกาสตระเวณหาร้านอาหารที่น่าสนใจ ร้านอาหารที่เป็นร้านอาหารจริง ๆ ไม่ใช่ “ร้านทัวร์ลง” นั้น จึงเป็นอะไรที่เป็น “The Must” สำหรับผม และเนื่องด้วยเงื่อนไขนี้ ทำให้กว่าผมจะมีโอกาสได้ไปจึงล่วงเลยมาถึง 25 ฝน 25 หนาว เพราะต้องรอเงินและรอล่าม ซึ่งกว่า 2 สิ่งนี้จะมาบรรจบกันได้ สำหรับคนที่ไม่ได้เกิดบนถังข้าวสารแบบผม ก็เลยล่วงเลยมาจนถึง อายุปูนนี้นี่เองครับ

เห็นมีหนังสือหลายเล่มพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวก่อนการเดินทางไปญี่ปุ่น ไหน ๆ ผมก็เป็นหนังสือ แนะนำการท่องเที่ยวแล้ว จะไม่มีส่วนนี้ก็คงจะไม่ได้ แต่ขอเขียนแบบคร่าว ๆ ละกันครับไม่งั้นมันคงจะเกร่อ กันเกินไป ผมขอแยกย่อยเป็นข้อ ๆ เพื่อจะได้สะดวกในการเขียนละกันนะครับ




10,000 yen note


เงิน
สกุลเงินของญี่ปุ่นนั้น ทุกคนคงรู้จักกันอยู่แล้วว่าเป็นเงิน “เยน” จริง ๆ แล้วคนญี่ปุ่นอ่านว่า “เอน” อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับเงินเยนนั้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถ้าดูกราฟแล้วจะเห็นว่าเงินเยนนั้น จะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ มาตลอด มีเพื่อนผมคนนึงไปเที่ยวญี่ปุ่นตอนสงกรานต์ปี 2009 (หรือ 2008 ไม่แน่ใจ) บอกว่าตอนนั้น 100 เยนแค่ 28 บาทเท่านั้น เมื่อตอนปีใหม่ 2010 ที่ผมไปตอนนั้นอยู่ที่ 100 เยน : 36 บาทกว่า ๆ และล่าสุดที่ผมไปตอน Summer 2011 ราคาได้กระโดดขึ้นไปอยู่แถว ๆ 100 เยน : 38 บาทกว่า ๆ แล้ว และผมคิดว่าน่าจะมีแนวโน้มที่เงินเยนจะแข็งค่าต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเงินดอลกับยูโรตอนนี้ค่อนข้าง มีปัญหาเพราะเศรษฐกิจ ณ 2 ภูมิภาคนั้นไม่ค่อยดีนัก ก็เลยมีแต่คนแห่มาซื้อเงินเยนเก็บเอาไว้กัน ไม่แน่คราวหน้าที่ผมไป เงินเยนอาจจะทะลุ 40 บาทขึ้นไปแล้วก็ได้ พูดแล้วก็เซ็งครับ น่าจะมีสกุลเงินโลก ซะทีนะครับ ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้เห็นรึเปล่า (update ณ Feb 2012 ช่วงปลายปีที่ผ่านมาเงินเยนทะยานขึ้นไปถึง 40 บาทต่อร้อยเยน ตอนนี้กลับลงมาเหลือ 38 บาทล่ะครับ)




Japan Business Hotel


สำหรับการใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นแบบไม่พึ่งทัวร์นั้น โดยเฉลี่ยแล้วก็จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 - 10,000 บาทล่ะครับ แล้วแต่ว่าจะกินดีอยู่ดีกันมากมายขนาดไหน (ไม่นับ Shopping และกินอยู่แบบหรูหราอู้ฟู่นะครับ) ค่าโรงแรมถ้านอนโรงแรมพวก Business Hotels นั้นจะตกอยู่ที่คืนละ 3,000 - 4,000 เยนต่อคน ส่วนถ้านอนพวก ที่พักสำหรับเยาวชน หรือโรงแรมระดับล่างกว่านั้นก็ถูกลง ไปอีกครับอยู่ที่ 1,000 - 2,000 เยนก็มี ซึ่งจากประสบการณ์ของผม ถ้าไม่ได้จำกัดจำเขี่ยอะไรกับเงินมาก แนะนำว่านอนพวก Business Hotels ไปเหอะครับ เพราะว่ามันเป็นอะไรที่คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุดแล้ว มี Internet ให้ใช้ฟรี (ส่วนใหญ่เป็น LAN) , มีชุดนอนให้ใส่ฟรี(แบบญี่ปุ่นหรือแบบฝรั่งก็แล้วแต่โรงแรมไป) , มีสบู่แชมพู และเครื่องประทินโฉมต่าง ๆ ให้ใช้ฟรี และก็มีชา, กาแฟ ทีวี อะไรต่าง ๆ นา ๆ ให้พร้อมสรรพ เลยล่ะครับ คือถ้าเป็นช่วงอากาศเย็น ๆ นี่เรียกได้ว่าไปแต่ตัว (ไม่ง้อ) ทัวร์ยกแก๊งค์กันได้เลย คือเอาเสื้อผ้า ไปแค่ชุด 2 ชุดก็พอที่เหลือโรงแรมมีให้หมด!




Japanese Soba




ส่วนเรื่องอาหาร ราคาอาหารต่อมื้อถ้ากินแบบธรรมดา ๆ ก็จะอยู่ที่มื้อละ 1000 เยนโดยประมาณครับ ราคาอาหารไล่เรียงกันไปจากน้อยไปมากแบบคร่าว ๆ ถูก ๆ หน่อยก็จะเป็นพวก ข้าวหน้าเนื้อ, โซบะ ครับ 2 อย่างนี้จะอยู่ที่ 400-700 เยนโดยประมาณ แพงขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นข้าวหน้าแกงกะหรี่ กับราเมนและร้านอาหารจีนจะอยู่ที่ 700-1,000 เยนโดยประมาณ แพงขึ้นมาอีกก็จะเป็น ทงคัตสึ (หมู, เนื้อชุบแป้งทอด) กับอาหารเซ็ตแบบญี่ปุ่นและซูชิสายพานราคาจะอยู่ที่ 1,000 - 2,000 เยน ส่วนพวกแพง ๆ ก็จะเป็นข้าวหน้าปลาไหล , กับซูชิ ครับจะอยู่ที่ 2,000 - 4,000 เยนโดยประมาณ ส่วนพวกอาหารยุโรปนั้นที่ญี่ปุ่นราคาจะค่อนข้างสูงกันทุกร้าน ราคาก็จะเริ่มต้นที่ 3,000 เยนขึ้นไป ซึ่งไปญี่ปุ่นทั้งทีผมว่ากินอาหารญี่ปุ่นก็อร่อยเยี่ยมแล้วล่ะครับ 




7-11 Japanese Convinient Store




หรือถ้าอยากประหยัดกว่านั้นหน่อยก็ซื้อของกินใน 7-11 หรือร้าน Convinence Store กันเอาครับ ก็จะถูกลงไปอีก ร้านสะดวกซื้อหรือ คอน-วิ-นี แบบที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันนั้น ที่ญี่ปุ่นมีร้านประเภทนี้เยอะมาก ๆ และก็มีหลายแบรนด์แข่งขันกัน ไม่ได้มีเจ้าเดียวผูกขาดแบบในบ้านเรา ร้านสะดวกซื้อของที่ญี่ปุ่นนั้นจะเน้น ๆ ของกิน (เหมือนบ้านเรา?) แต่จะดีกว่าบ้านเราหน่อยตรงที่จะมีอาหารให้เลือกเยอะกว่ามาก และอาหารตามร้านสะดวกซื้อพวกนี้ไม่ใช่ขี้ไก่นะครับ หลาย ๆ อย่างอร่อยแบบฝากท้องได้แบบไม่รู้เบื่อก็ยังได้เลย เช่น โอเด้งของ 7-11 นี่อร่อยมาก ๆ อร่อยกว่าร้านรถเข็นแบบดั้งเดิมอีก (ซึ่งขัดแย้งกับเมืองไทยที่ถ้าจะกินลูกชิ้นปิ้ง, หมูปิ้งต้องซื้อตามร้านรถเข็น ว่ามั้ยครับ?) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, อาหารอุ่นเวฟ, ข้าวปั้น อะไรต่าง ๆ นา ๆ ในร้านสะดวกซื้อนั้นจะมีหมดครับ แต่ละแบรนด์ก็จะมีไม่ค่อยเหมือนกันด้วย เครื่องดื่มก็มีให้เลือกดื่ม มากมาย ทั้ง alcohol และ non-alcohol คือเรียกได้ว่าร้านสะดวกซื้อของญี่ปุ่นเค้านี่ เทพจริง ๆ ล่ะครับ สำหรับเรื่องการฝากท้อง




Japan Train - Shinkansen


การเดินทางในญี่ปุ่นนั้นแน่นอนว่าการเดินทางด้วยรถไฟจะเป็นการเดินทางหลักของคนญี่ปุ่นและ คนต่างชาติที่ไปท่องเที่ยว เนื่องจากโครงข่ายรถไฟของญี่ปุ่นนั้น ซึ่งยังไม่นับการเดิน ที่ต้องเดินกันเป็นชีวิตจิตใจกันเลยทีเดียวสำหรับคนญี่ปุ่น เริ่มจากการเดินจากบ้านไปสถานี, เปลี่ยนชานชาลาระหว่างสาย, เปลี่ยนจากรถไฟบนดินไปใต้ดิน และก็เดิน ๆ ไปยังที่ ๆ จะไปต่อ คือถ้าจะเที่ยวญี่ปุ่นให้สนุกนี่แนะนำว่าต้องฟิตร่างกายกันหน่อยครับ ไม่งั้นจะไม่ไหวเอาจริง ๆ




Japan Rail by Region


รถไฟของญี่ปุ่นจะแบ่งกันบริหารและดำเนินกิจการกันหลายเจ้า เจ้าที่ใหญ่ที่สุดและเป็นของรัฐบาลนั้น หลายคนคงเคยได้ยินว่าคือ JR หรือ Japan Rail โดยโครงข่ายของ JR นี่จะครอบคลุมทั่วประเทศและจะมีแต่เฉพาะรถไฟบนดิน ไม่มีรถไฟใต้ดินเลย ซึ่ง JR หรือรัฐบาลญี่ปุ่น ก็ได้ออกตั๋วที่ชื่อว่า JR Pass ขึ้นมาตั๋วนี้จะขายให้กับเฉพาะคนมาท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นเท่านั้น และสามารถขึ้นรถไฟของ JR ได้ฟรีหมดเลยตามระยะเวลาบนตั๋ว (จะมียกเว้นรถชินคันเซ็นตัวใหม่ ๆ เช่น Nozomi , Hayabusa) โดยตัว JR Pass นี่ก็จะแบ่งเป็นอีกหลายประเภท JR East , JR West , JR Hokkaido อะไรก็ว่าไป ซึ่งตั๋วพวกนี้ก็จะเดินทางได้ในเฉพาะภูมิภาคที่ระบุไว้บนตั๋วเท่านั้นและตั๋วพวกนี้สามารถหาซื้อได้ที่ญี่ปุ่นแต่ก็ยังต้องเป็นนักท่องเที่ยวอยู่เช่นกัน คนญี่ปุ่นหรือคนไปอยู่ญี่ปุ่นแบบอยู่นาน ๆ ก็จะไม่สามารถซื้อได้ ส่วน JR Pass อันใหญ่สุดที่สามารถนั่งได้ทั่วประเทศ จะสามารถซื้อได้เฉพาะนอกประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งถ้าถามความเห็นของผมแล้วถ้าจะซื้อทั้งทีก็ซื้อ JR Pass ไปเลยครับเพราะว่าแค่จะเดินทางจากโตเกียวไปโอซาก้า ก็จะเป็นการเดินทางข้ามเขตแล้ว JR pass แบบอื่น ๆ จะไม่สามารถใช้ได้ หรือว่าถ้าอยากจะนั่งขึ้นไปเกาะฮกไกโดอะไรงี้อีกยิ่งต้องใช้ JR Pass แบบใหญ่สุดเข้าไปใหญ่ โดยสนนราคานั้นจะมี 3 แบบครับ 7 วัน , 14 วันและก็ 21 วัน ราคาก็เริ่มต้นที่ประมาณ 10,XXX บาทครับสำหรับตั๋ว 7 วัน และสำหรับชินกังเซ็น ก็จะมีที่นั่งธรรมดากับที่นั่งแบบ Green Car ให้เลือกซึ่งถ้าถามผม ซื้อแบบธรรมดาก็พอแล้วครับเพราะแค่แบบธรรมดา Leg Room หรือพื้นที่ให้เหยียดขาก็เยอะมาก ๆ แล้ว แถมที่นั่งบนชินกังเซ็นนี่ยังสามารถหมุนหน้ามาเจอกันได้อีก หมุนเบาะมาเหยียดขาได้สบาย ๆ ถ้าไปกับเพื่อน ๆ




JR Pass





ตัว JR Pass นี้จะเหมาะสำหรับการใช้เดินทางข้ามจังหวัดหรือข้ามเมืองเท่านั้นครับ ถ้ากะว่าจะอยู่แค่ในเมือง ๆ เดียว เช่นอยู่แต่โตเกียวกับไปเที่ยวรอบ ๆ โตเกียว ไปหาซื้อตั๋วแบบอื่น หรือซื้อตั๋วแบบธรรมดาตามตู้ก็จะเป็นอะไรที่ work กว่าครับเพราะถ้าสมมติซื้อ JR Pass แบบ 7 วันหารมาแล้วก็จะอยู่ที่วันละ 4000 เยนโดยประมาณ ซึ่งการนั่งรถไฟสมมตินั่งจากมุมนึงของโตเกียวไปอีกมุมนึงของโตเกียว จะอยู่ที่ 200-300 เยนต่อเที่ยวแค่นั้นครับ ซึ่งถ้าจะนั่งให้คุ้มนี่ต้องนั่งกันเป็น 10 เที่ยวเลยทีเดียว และเจ้า JR Pass นี่ตามที่เขียนไปตอนต้นว่าจะครอบคลุมเฉพาะรถไฟที่อยุ่บนดินเท่านั้น เพราะรถไฟใต้ดินของโตเกียว นั้นจะบริหารงานโดยเอกชนซึ่ง JR Pass จะไม่ครอบคลุม และหลาย ๆ ที่ในโตเกียวต้องเดินทางไปด้วยรถไฟใต้ดิน หรือบนดินของเอกชนที่ JR Pass ไม่ครอบคลุมด้วย ดังนั้นถ้าจะอยู่เฉพาะในละแวกโตเกียวก็ไม่ต้องซื้อ JR Pass แต่ผมแนะนำว่าให้ซื้อบัตรเติมเงินเอาดีกว่า คือบัตรเติมเงินค่ารถไฟของที่ญี่ปุ่นนี้เท่าที่ผมเห็นจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อคือ Pasmo กับ Suica ซึ่งทั้ง 2 ยี่ห้อนี้นั้น นอกจากจะใช้จ่ายค่ารถไฟแล้วยังใช้จ่ายค่าน้ำตามตู้หยอดน้ำ, ค่ารถบัส หรืออะไรอื่น ๆ ที่มีสัญลักษณ์ของ เจ้า 2 ยี่ห้อนี่ได้ด้วยครับ ค่าทำบัตรก็แค่ 500 เยนพอจะกลับก็เอาบัตรไปคืนก็ได้เงินคืนครับ แนะนำว่า ถ้าจะเที่ยวในเมืองให้คล่องตัวควรจะมีเจ้าบัตร 2 ยี่ห้อนี้อย่างใดอย่างนึงไว้จะเป็นการดีมากเลยครับ




Suica pass - Suica Card


ส่วนถ้าจะไปในภูมิภาคอื่นก็จะมีตั๋วของภูมิภาคนั้น ๆ ขายอยู่เช่น Kansai Thru Pass ที่จะใช้เดินทางได้ทั่วเขตคันไซของญี่ปุ่นได้ หรือถ้าจะไปเที่ยว ซับโปโร ก็ใช้จะมีตั๋ว Sapporo-Otaru Welcome Pass ที่สามารถนั่งทั้งรถไฟบนดินและใต้ดินได้ ซึ่งตั๋วแบบเฉพาะภูมิภาคอื่น ๆ นั้น ผมเองยังไม่เคยซื้อ เลยยังไม่สามารถเขียนอธิบายอะไรได้มาก แต่เท่าที่อ่าน ๆ มาเห็นบอกกันว่า ถ้าไปภูมิภาคไหน ก็ให้ซื้อตั๋วของภูมิภาคนั้น ๆ จะเป็นอะไรที่คุ้มที่สุดแล้ว
Japan by Region



เกาะฮอนชูซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของโตเกียวนั้นจะแบ่งออกเป็นภูมิภาคย่อยใหญ่ ๆ 2 แห่งคือ คันโต ซึ่งจะหมายรวมถึงพื้นที่เกาะฮอนชูตะวันออกเมืองที่อยู่ในคันโตก็เช่น โตเกียว, โยโกฮามา เป็นต้น ส่วนภูมิภาคตะวันตกของเกาะก็จะเรียกกันว่าคันไซ ซึ่งก็จะประกอบด้วยเมืองโอซาก้า, เกียวโต, นาระ เป็นต้น ซึ่งน่าแปลกที่แม้ว่า 2 ภูมิภาคนี้จะอยู่บนเกาะเดียวกัน แต่ทั้งสองกลับจะแข่งขันกันมากในทุก ๆ ด้าน ที่เด่น ๆ ก็จะเป็นด้านกีฬา ภาษาของคนคันไซก็จะเป็นสำเนียงเฉพาะถิ่นที่หาที่ไหนไม่ได้ ในขณะที่เกาะอื่น ๆ รวมถึงคันโตก็จะเป็นสำเนียงภาษาญี่ปุ่นกลาง เพื่อนผมที่เคยอยู่ที่โอซาก้ามานานเค้าบอกว่าเค้าชอบคนคันไซมาก เพราะว่าคนคันไซจะตลก ร่าเริง ชอบปล่อยมุขกันตลอดเวลา ในขณะที่คนโตเกียวนั้นจะเครียด ๆ กว่า


Japan Bus


จบเรื่องรถไฟไปก็เข้าเรื่งรถบัสหรือรถเมล์ต่อ รถบัสจะเป็นพาหนะที่จำเป็นเมื่อต้องเดินทางไปในที่ที่ ไม่มีรถไฟหรือรถไฟเข้าไม่ถึง (ก็แหงอยู่แล้วสิ!) ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวก็จะประกอบด้วยบางพื้นที่ในเมืองใหญ่ ๆ เช่น ย่านอาซาคุสะ ในโตเกียว และก็พื้นที่ตามต่างจังหวัด ที่แน่นอนมีรถไฟน้อย รวมถึงรถบัสจะเหมาะกับ การเดินทางของผู้สูงอายุเพราะจะเดินน้อยกว่า (ไม่ต้องเดินขึ้นลงบันไดหลายชั้นตามสถานีรถไฟ) ซึ่งรถไฟที่ญี่ปุ่นนั้นเค้าอยู่ตรงนี้แหละครับ เพราะเค้าใส่ใจคนแก่สุด ๆ มีที่นั่งให้สำหรับคนแก่, การก้าวขึ้นลงจากรถก็ไม่ต้องขึ้นลงบันไดเพราะประตูจะอยู่ในระนาบเดียวกันกับฟุตบาทถนนเลย (Step-less door) ซึ่งถ้าคนชราของญี่ปุ่นมาขึ้นรถเมล์เมืองไทยแล้ว คงจะแอบคิดในใจว่า “เฮ้ย นี่มันรถเมล์หรือว่ารถ Roller Coster ในสวนสนุกกันแน่” แน่ ๆ เลยว่ามั้ยครับ? แน่นอนว่าการเดินทางที่ เดินเท้าน้อยกว่าก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงขึ้นครับ โดยเฉลี่ยแล้วรถบัสของญี่ปุ่นค่าเดินทางจะแพงกว่ารถไฟ เท่าที่ผมนั่ง ๆ ดู ถ้านั่งรถบัสระยะทางรถขับ 15 นาทีก็จะอยู่ที่ 300 เยนโดยประมาณครับ 




การเดินทางนอกเหนือจากนี้ก็จะมีปั่นจักรยาน มีหลาย ๆ เมืองที่มีจักรยานให้เช่า ซึ่งเราสามารถ ปั่นชมเมือง อยากแวะตรงไหนก็แวะ อยากปั่นไปตรงไหนก็ปั่นไปได้ สนนราคาก็ค่อนข้างถูกครับ ที่ผมไปเช่ามาก็อยู่ที่ 3 ชั่วโมง 400 เยนเท่านั้น เช่ารถยนต์ ราคาค่าเช่ารถยนต์ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับอัตราค่าครองชีพของเค้าครับคือรถเล็ก ๆ เริ่มต้นที่ 3,000 เยน ส่วนรถแบบ 6-8 ที่นั่งก็ประมาณ 10,000 เยนครับ รถยนต์นี่ก็จะเหมาะกับการเดินทางไปเมืองที่ไม่มีรถไฟวิ่งผ่าน, เมืองบ้านนอก ๆ หน่อย เช่น Karashiwago หรือ Kanazawa อะไรพวกนั้น ถึงแม้ว่าค่าเช่ารถกับค่าน้ำมันของดินแดนอาทิตย์อุทัย แห่งนี้จะไม่แพงนัก แต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวพันกับรถไม่ว่าจะเป็นค่าจอดรถ - ชั่วโมงละ 400 - 600 เยน แล้วแต่สถานที่ หรือแม้แต่ค่าทางด่วนที่แพงขนาดขึ้นทางด่วนของบ้านเราได้เป็นสิบ ๆ รอบเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเดินทางด้วยรถยนต์บางครั้งก็เป็นสิ่งจำเป็นและสะดวกสบายในบางเมืองที่เราจะไป ก่อนจะไปเมืองไหนก็ลองศึกษาดูก่อนละกันนะครับ




Japan Taxi


อ้อ เกือบลืมพาหนะอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน Taxi หรือ ทาค-คุ-ชี่ นั่นเองครับรถ Taxi ที่ญี่ปุ่น นั้นจะแตกต่างจากเมืองไทยตรงที่ทุกเมืองไม่ว่าจะบ้านนอกขนาดไหน (ยกเว้นบ้านนอกมาก ๆ ) จะมี taxi ไว้บริการอยู่เสมอ ซึ่ง taxi ที่ญี่ปุ่นเค้าจะรู้เส้นทางกันเป็นอย่างดีครับ บอก ๆ ที่เค้าไปเดี๋ยวเค้าก็พาไปถูกเอง (เนื่องจากเป็นคนท้องถิ่น) หรือถ้าไม่รู้จริง ๆ เค้าก็มี GPS ครับ ค่า taxi ของที่ญี่ปุ่นก็จะเริ่มต้น 2 km แรกแตกต่างกันไปแล้วแต่เมืองครับ เท่าที่นั่งมาโตเกียวนั้นจะแพงสุดเริ่มที่ 780 เยน ส่วนเมืองอืน ๆ ก็มี 560 เยนบ้าง ส่วนที่ถูกสุดที่เคยนั่งมาก็คงเป็นที่ Hakodate ครับเริ่มที่ 490 เยนเท่านั้น การเดินทางด้วย Taxi แม้ว่ามันจะแพงมหาโหดขนาดนี้แต่ในบางทีก็เป็นพาหนะที่จำเป็นต้องเรียกใช้งานนะครับ เช่น เวลาที่หมดรอบรถไฟแล้ว (เที่ยวเพลิน) หรือเวลาตกรถไฟเวลาอยู่ตามต่างจังหวัดและต้องรอรอบต่อไป อีกหลายชั่วโมงเป็นต้นครับ




Japan 500 Yen Coin


เขียนถึงแค่เรื่องเงิน ทำไมมันถึงยาวเฟื้อยมาได้ขนาดนี้ ขอสรุปคร่าว ๆ เลยละกันครับสำหรับค่าครองชีพของคนญี่ปุ่นในหนึ่งวัน(แบบปัดเศษขึ้น) ค่าที่พัก 4000 เยน ค่าอาหาร 2000 เยน ค่าเดินทาง 1000 เยน เบ็ดเสร็จก็ประมาณ 7000 เยนโดยประมาณครับซึ่งจำนวนเงินเท่านี้ ก็เรียกได้ว่าอยู่ได้อย่างแฮปปี้แล้วล่ะครับที่ญี่ปุ่น


มีเพื่อนผมที่เรียนที่ญี่ปุ่นบอกว่า อยากรุ้ว่าคนญี่ปุ่นคิดยังไงกับอัตราค่าครองชีพของเค้าเมื่อเทียบกับ คนไทยก็แค่เอาเงินเยนตัดศูนย์ไปหนึ่งหลักเท่านั้นก็จะได้ฟีลราคาเป็นเงินบาท ซึ่งพอคิดแบบนั้นแล้วมันก็ ได้ฟีลลิ่งตามนั้นจริง ๆ ครับ เช่น น้ำเปล่าที่นี่จะขวดละ 100 yen = 10 บาท เบียร์กระป๋องละ 200 - 300 yen ก็ประมาณ 20-30 บาท ราเมนชามละ 700 เยนก็ประมาณ 70 บาท ส่วนพวกอะไรที่มี Service เข้ามาเกี่ยว ก็จะแพงหน่อยเช่น ค่าตัดผม 6000 yen ก็ประมาณ 600 บาท ค่าแท็กซี่ 780 เยนก็ 78 บาท เป็นต้นครับ เวลาไปเที่ยวถ้าทำใจคิดให้ตัวเลขเป็นแบบนี้มันก็จะทำใจให้ใช้จ่ายคล่องขึ้นนะครับ (สำหรับผม) ดังนั้นเมื่อประยุกต์แนวคิดนี้เข้ากับค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ที่ผมร่ายยาวมาก็คือวันนึงที่ญี่ปุ่นเสียค่าใช้จ่ายแค่ 700 บาทโดยประมาณเองครับ! ถูกมากเลยว่ามั้ย?
ส่วนเรื่องการแลกเงินนั้น ถ้าอยากให้ได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีหน่อยก็มีหลาย ๆ ร้านที่เป็นร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ไม่ใช่ธนาคารครับ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าแลกเป็นแสน ๆ บาทก็ประหยัดไปได้หลักพันถึงหลายพันครับ ก็เอาเงินอันนี้ไปกินข้าวได้หลายมื้อเลยล่ะครับ ร้านที่รับแลกเงินก็มีอยู่ทั่วไปครับ เช่น SuperRich อันโด่งดัง , Siam Exchange ตรงสะพานหัวช้าง หรือแม้แต่ร้านเพชรใน Siam Paragon ก็ตาม และถึงแม้ว่าจะ Shopping กันจนเพลินจนตังค์หมด ที่ญี่ปุ่นแทบทุกร้านหรือทุกห้างก็รับบัตรเครดิตหมดครับ สามารถรูดปรี๊ด ๆ กันและช้อปต่อได้เลย หรือแม้แต่เอาบัตร ATM ไปกดเงินตามตู้ ATM ก็ได้ครับเสียค่าธรรมเนียมแค่ 100 บาทเท่านั้น แต่บอกตรง ๆ ว่า 2 อย่างหลังนี้ผมไม่แนะนำให้ทำครับเพราะเราจะโดนอัตราแลกเปลี่ยนที่แพงกว่าแลกกับธนาคารโดยตรง โดยเฉพาะบัตรเครดิตนี่รู้สึกจะมีชาร์จค่าธรรมเนียม 2.5% (ค่าแปลงอัตราค่าเงิน) ด้วยนะครับ



Japan Visa


วีซ่า

เท่าที่ผมอ่าน ๆ เจอมา มักจะมีหลายคนกังวลเรื่องวีซ่าไปญี่ปุ่นจะไม่ผ่านกัน ซึ่งถ้าจะว่ากันตาม เนื้อผ้าแล้วมันก็ไม่ได้ได้ยากอะไรเลยนะครับขอเพียงแค่ มีงานทำ หรือ มีเงินเก็บ แค่นี้ก็น่าจะได้วีซ่าชัวร์ ๆ แล้วล่ะครับ เอกสารที่ต้องใช้ในการทำวีซ่า สามารถดูได้ที่เว็บสถานฑูตได้เลยครับ มีเขียนไว้เป็นภาษาไทย ชัดเจน ส่วนเรื่องสถานที่ตอนนี้ทางสถานฑูตญี่ปุ่นไม่รับทำเองแล้ว แต่ว่าจ้างเอกชนให้เป็นตัวแทนรับเรื่องแทน โดยสามารถไปทำได้ที่ JVAC (Japan Visa Application Center) อยู่ที่ตึก สีลมคอมแพลกซ์ ติดกับรถไฟฟ้าศาลาแดงเลยครับ เดินทางสะดวก แถมเวลาทำการก็สะดวก ไม่มีพักเที่ยงและก็ไม่มีเปิดเฉพาะตอนเช้าแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว แถมวันเสาร์ยังไปรับวีซ่าได้อีกต่างหาก ส่วนเรื่องที่ผมเขียนไว้ตอนแรกว่าไม่ต้องกลัวแค่มีงานทำ (แต่ไม่มีเงินเก็บ) ก็ผ่านแล้ว นั้นมาจากประสบการณ์ตรงของเพื่อนผู้หญิงผมคนนึงครับ คุณเธอนั้นเรียกได้ว่า ไม่มีเงินเก็บเลย มีอยู่แค่ พันกว่าบาทหรืออะไรเนี่ยแหละครับในสมุดบัญชีที่ยื่นทำเรื่อง จนทางพนักงานถึงกับพูดว่า “มีเล่มอื่นที่มีเงินมั้ยคะ” มาเลยทีเดียว แต่คุณเธอคนนี้ก็ได้รับวีซ่า โดยไม่มีปัญหาใด ๆ เพราะว่ามี slip รับรองเงินเดือนครับ (ประมาณ 30,000 - 40,000 บาท) ส่วนที่บอกว่าไม่มีงานทำ (แต่มีเงิน) นั่นก็เป็นประสบการณ์ตรงของผมครับ เนื่องจากผมนั้นไม่ได้ทำงาน แต่แบบลงทุนในหุ้นเป็นหลัก ผมก็แค่ยื่นใบหุ้นกับเงินในบัญชีไป ไม่ต้องมีเอกสารรับรองการทำงานใด ๆ ทางสถานฑูตก็ให้วีซ่าผมมาโดยไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องวีซ่ากันนะครับ เห็นหลาย ๆ ท่านชอบโพสต์ว่ากลัวไม่ได้วีซ่ากัน


Japan Train Ticket


ตั๋ว (บัตร) ต่าง ๆ

ตามที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่าตั๋วบางอย่างนั้นต้องซื้อไว้ก่อนที่จะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น เช่น ตั๋ว JR Pass หรือตั๋วเครื่องบิน อย่างแรกนี่ถ้าไม่ซื้อเมืองไทยแต่ไปซื้อที่ญี่ปุ่นก็จะไม่มีให้ซื้อครับ ส่วนอย่างหลังนี่ถ้าไม่ซื้อก่อนก็คงต้องหาทางเดินทางไปด้วยวิธีอื่นเอาล่ะครับ เช่น ขับรถ? หรือว่ายน้ำ? เป็นต้น (ฮา) ตั๋ว JR Pass นั้นผมเขียนถึงไปในส่วน “เงิน” พอสมควรแล้ว แต่ยังไม่ได้เขียนว่าหาซื้อได้ที่ไหน คำตอบก็คือหาซื้อได้ตามบริษัททัวร์และ Agency ทั่ว ๆ ไปครับ สามารถหาตัวแทนจำหน่ายได้โดยการปรึกษา Google ได้ครับ ตั๋ว JR Pass นี่เราสามารถซื้อเป็นเงินเยน เลยก็ได้ซึ่งผมแนะนำว่าซื้อเป็นเงินเยนเลยดีกว่าเพราะทางบริษัททัวร์จะคิดอัตราแลกเปลี่ยนตาม rate ธนาคารซึ่งมักจะแพงกว่าร้านรับแลกเงินทั่ว ๆ ไป พอเราซื้อและจ่ายเงินเสร็จ เราก็จะได้เป็น Draft มาครับ ซึ่งเจ้าใบนี้เราก็จะเอาไปขึ้นเป็นตั๋วจริงต่อที่สถานี JR ที่ญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งจุดรับแลกก็มีอยู่เยอะแยะไปหมดครับ ตามสถานีใหญ่ ๆ ก็มีกัีนทุกสถานีล่ะครับ ซึ่งพอได้ตั๋ว JR Pass ฉบับจริงมาแล้ว ทีนี้ผืนแผ่นดินญี่ปุ่นก็กลายเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของเราล่ะครับ อยากจะไปที่ไหนก็ไปได้หมด (ที่มีรางรถไฟ JR ผ่าน) และที่ดีกว่านั้นอีกก็คือเราจะไม่ต้องไปเข้าช่องที่คนปกติเค้าเข้ากัน เราจะเดินเข้าช่องคนพิการ หรือตั๋วพิเศษครับ บางสถานีเจ้าหน้าที่ก็จะขอตรวจดูวันที่ในตั๋วบ้าง บางสถานีก็ดูแค่หน้าตั๋วก็ให้ผ่านแล้ว บางสถานีเลวร้ายหนักกว่านั้นไม่ดูเลยให้ผ่านไปเลย ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นน่ะเหรอครับ? เพราะคนญี่ปุ่นเค้าไม่คิดว่าจะมีใครโกงตั๋วน่ะสิครับ! นำพามาซึ่งกลวิธีในการไม่ต้องเสียค่ารถไฟที่ผมจะขอ นำเสนอให้คุณผู้อ่านสักเล็กน้อยนะครับ ซึ่งแน่นอนผมไม่ส่งเสริมให้ทำแต่ในบางครั้งมันก็จำเป็นต้องทำ เช่น เพื่อนที่ไปด้วยกันอยู่ญี่ปุ่นแบบถาวรขอ JR Pass ไม่ได้ แต่อยากไปเที่ยวกับเรา หรือไม่ก็ตังค์มันจะหมดแล้ว ขอนั่งรถไฟฟรีนิดหน่อยนะครับ พี่ยุ่นจ๋าาาาาา วิธีการในการ “เนียน” ขึ้นรถไฟฟรีคร่าว ๆ ก็เป็นตามนี้ครับ






1. ทำตั๋วหาย วิธีการนี้จะ work ถ้าเราเดินทางไกล ๆ แล้วมาเนียนที่กับพนักงานรถไฟว่าตั๋วหายที่สถานีใกล้ ๆ มา อันนี้ผมเคยใช้ตอนนั่งไปสุดสายของโตเกียวตะวันตก ซึ่งค่ารถไฟประมาณ 1500 yen แล้วตอนขากลับผมก็มาเนียนว่าขึ้นแค่ป้ายใกล้ ๆ ค่ารถไฟแค่ 180 yen เท่านั้นอะไรแบบนี้เราก็จะ ต้องจ่ายเงินแค่ 180 yen

2. หลอกเครื่องสแกนตั๋ว อันนี้ก็ต้องมีพวกบัตรเติมเงิน Suica, Pasmo ก่อน ตอนแรกก็สแกนผ่านเข้าไป แล้วก็ทำเป็นลืมของเดินออกมาโดยที่ยังไม่ได้ผ่านเครื่อง แล้วก็ไปซื้อตั๋วแบบปกติ ในราคาเต็มที่จะไปยังจุดหมายของเรา จากนั้นตอนขากลับก็ซื้อตั๋วราคาถูกสุดให้เดินผ่านเครื่องตรวจตั๋วมา แล้วตอนกลับมาถึงสถานีต้นทางก็มาสแกนอีกรอบ วิธีนี้ก็จะเสียค่าตั๋วเต็มราคาแค่ขาไปเท่านั้น

3. ส่งบัตรให้กัน - วิธีนี้จะใช้ได้กับ JR Pass เท่านั้นคือถ้าสมมติในก๊วนมีคนที่ซื้อ JR pass ไม่ได้ (หรือไม่ได้ซื้อ) ก็ให้คนที่มีเดินผ่านออกไปก่อน แล้วก็หาช่อง หรือหามุมที่จะสามารถยื่นบัตรให้กัน (อาจจะใส่กระเป๋าไม่ให้พนักงานเห็น) แล้วก็พอได้ตั๋วก็เดินตามกันออกไป

4. เนียนไม่เปิดตั๋ว - วิธีนี้ก็ใช้ได้แต่กับ JR Pass อีกเช่นกัน คือใน JR Pass จะมีรายละเอียดวันที่หมดอายุอยู่ แต่ถ้าเราทำเป็นเนียน ๆ โชว์เฉพาะหน้าตั๋วแล้วเดินเข้าไปเร็ว ๆ เราก็สามารถเนียนเข้าหรือออกจากรถไฟได้โดยไม่เสียเงินครับ

วิธีการเหล่านี้ ก็เป็นวิธีที่ใช้ได้หมด (เพราะผมใช้มาแล้ว) แต่ก็ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ก็อย่าทำเลยนะครับ ที่ผมทำก็เพราะผมจำเป็นจริง ๆ (ว่าเข้าไปนั่น ฮ่า ๆ)







ตั๋วเครื่องบิน

ทีนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องตั๋วเครื่องบินกันบ้าง สายการบินที่มีบริการรับส่งจากกรุงเทพถึงญี่ปุ่นนั้นมีค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าเอาเฉพาะสายการบินที่บินตรงลงญี่ปุ่นเลยก็จะมี United Airlines, ANA, JAL, Thai แค่นี้ที่ผมพอจะรู้
ราคาค่าตั๋วก็จะถูกแพงกันไปตามแต่ละสายการบิน ถูกที่สุดที่ผมเคยนั่งก็ของ UA ที่ราคา 17000 แต่ก็แลกมากับการเบียดเสียดเยียดยัด , คิวอันแสนยาว อาหารห่วย ๆ อะไรประมาณนั้น เรื่องตั๋วเครื่องบินไม่ขอพูดอะไรมากละกันครับ หลาย ๆ คนน่าจะรู้ดีกว่าผมอยู่แล้ว






บัตรนักเรียน

แล้วก็บัตรนักเรียน ถ้าหน้าไม่ได้แก่มากเกินไป ผมก็อยากจะแนะนำให้ไปทำบัตรนักเรียนปลอมที่ถนนข้าวสารไว้สักหน่อยก็ดีครับ เพราะมันสามารถใช้ลดราคาเข้าชม สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ได้มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะลด 50% จากราคาผู้ใหญ่ครับ ร้านที่รับทำก็มีมากมายที่ถนนข้าวสาร ใช้เวลาไม่นานด้วย เลือกมหาลัยอะไรก็ได้อีกต่างหาก ยังไงก็ลองไปทำกันดูครับ


Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12



--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...