BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Tuesday, June 5, 2012

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8




วันนี้เป็นวันที่ไม่มีอะไรมากครับ จะเป็นวันแห่งการเดินทางของพวกเรา เพราะเราต้องเดินทางจาก Sapporo ตรงดิ่งกลับไปที่โตเกียวซึ่งสิริรวมระยะทางนั้นกี่กม.ไม่ทราบ แต่เวลาที่ใช้เดินทางก็ประมาณ 10 ชั่วโมง(เท่านั้นเอง?) พวกเราไปสั่งลาการเดินทางมาภาคเหนือของญี่ปุ่นด้วยการไปตลาด Nijo Market หรือตลาดสดประจำเมืองซับโปโร หลังจากที่ลงจาก Taxi และกำลังยกกระเป๋าลง ตาลุงคนขับ ก็เดินมากระซิบบอกกับเต้ว่า “นี่รู้มั้ย คนท้องถิ่นเค้าไม่มาเที่ยวที่นี่กันหรอก มันแพง นี่ไว้สำหรับนักท่องเที่ยว คนท้องถิ่นเค้าจะไปกันอีกที่นึง” เต้เลยถามกลับไปว่า “อ้าว แล้วอยู่ตรงไหนล่ะคะ” ตาลุงก็บอกว่า “โอ๊ย คนละทางเลย ต้องย้อนกลับไปเป็น 10 km” แล้วก็เดินกลับขึ้นรถไป พวกผมก็ได้แต่ยืนอึ้งและก็คิดในใจว่า เอ่อ .. ลุงครับ เป็นไรมากป่าวครับ มาบอกอะไรเอาป่านนี้


ตลาด Nijo ก็เหมือนกับตลาดอื่น ๆ ที่ผมเคยไปมาล่ะครับ แต่ตลาดนี่ค่อนข้างใหญ่หน่อย และก็มีปูให้เลือกค่อนข้างเยอะ เมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ ปูของที่ญี่ปุ่นนี่จะแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง จำได้แค่ว่ามีปูทาราบะ เป็นหนึ่งในนั้น สำหรับผม หลังจากที่ได้กินปูญี่ปุ่นจนหมดแล้ว ผมคิดว่า ปูม้าของไทยเรานี่แหละครับ อร่อยและถูก และแซ่บที่สุดแล้ว หลังจากที่ได้ลิ้มรสปูและไข่หอยเม่นในมื้อเช้า ที่หนังสือแนะนำเที่ยวบอกว่าเป็น ไฮไลท์ของตลาดนี้ พวกผมกลับคิดว่ามันเฉย ๆ มาก ๆ ที่ Hakodate ยังอร่อยกว่าเลย (แถมถูกกว่าด้วย) แต่ก็อย่างว่าครับ นี่มันตลาดนักท่องเที่ยวนี่ไม่ใช่ตลาดคนท้องถิ่น จริงมั้ยครับลุง Taxi (ฮา) พอกินกันเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางไปสถานี JR เพื่อขึ้นรถไฟกลับโตเกียวกัน


ถึงแล้วครับตลาด Nijo Market @ Hokkaido
คล้าย ๆ ตลาดสดบ้านเรา แต่สะอาดกว่า
สัตว์ทะเลมีเยอะมาก โดยเฉพาะปูครับ ปูเยอะจริง ๆ 

ไม่แน่ใจอ่านว่าอะไร คานิ แต่ตัวละ 4600 yen และ 2600 yen ตามลำดับ แพงโพด


อันนี้ก็น่าจะกุ้งโบตั๋น แพงอีกเช่นกัน

ปลาอะไรไม่รู้ ตัวใหญ่ และราคาไม่ค่อยแพงครับ

ตัวเป็นหมื่นเยนเลย ปู Giant Spider

อันนี้ปลาอะลูมิไร้เช่นเคยครับ (อะไรไม่รู้) น่ากิน ๆ

ตกลงปลงใจกับร้านนี้เพราะลูกค้าเยอะ

ตอนนั้นประมาณ 8 โมงครับ

เป็นประมาณข้าวหน้าทะเล จานนี้ก็แซลมอนกับไข่แซลมอน

อันนี้สั่งเป็นเซ็ทรวมมิตรมาครับ ดูน่ากิ๊นน่ากินเนอะครับ

Close up แต่ละจาน โอย เห็นรูปอีกครั้งแล้วใจมันละลาย

ใจมันละลายไปพร้อม ๆ กับหอยเม่นที่ละลายในปาก (แต่ร้านที่ Hakodate อร่อยกว่าครับ)

การเดินทางกลับของเราคราวนี้จะต่างจากขามาเล็กน้อยคือจะเดินทางจาก Sapporo -> Hakodate -> Shin-Aomori แล้วก็จะไปแวะที่ Sendai เพื่อลิ้มรส กิวตัง หรือ ลิ้นวัวอันเลื่องชื่อของเมืองเค้าครับ พวกเราเดินทางไปถึง Sendai กันตอนประมาณหกโมงเย็นพอดี ร้านลิ้นวัวที่หาข้อมูลไว้นั้น โชคดีที่มีร้านที่ได้คะแนนสูง ๆ ร้านนึง ตั้งอยู่ในตัวสถานีพอดี! (อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนั้น) จะว่าไปแล้วผมก็ไม่เคยคิดนะครับว่าจะมีร้านที่ขายแต่ลิ้นวัวเท่านั้นอยู่ในโลกใบนี้ด้วย แต่จะว่าไปแล้ว ร้านอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างจะขายอะไรแบบ specific มาก ๆ เช่นร้าน ทาโกะยากิ ก็จะขายอยู่อย่างเดียว ยืนพลิกลูกกลม ๆ กันอยู่อย่างเดียว ร้านข้าวหน้าเนื้อก็จะขายแต่ข้าวหน้าเนื้อ ไม่มีอะไรอย่างอื่น ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันดีหรือไม่ดี แต่คิดว่าข้อดีอย่างนึงแน่ ๆ เลยก็คือ การทำอะไรแบบแคบมาก ๆ และทำบ่อย ๆ มันจะบรรลุโสดาบันต์ทางด้านนั้นครับ ทำให้ได้อาหารอร่อย ๆ นั่นเอง

ร้านลิ้นวัวชื่อดังในสถานี JR Sendai แห่งนี้ สมกับที่เป็นร้านดังครับ เนื่องจากมีแถวให้ต่อคิวอยู่หน้าร้าน พวกผมไปต่อคิวกันอยู่ประมาณ 20 นาทีก็ได้เข้าไปในร้านกัน อาหารของทางร้านนี้จะเป็นลิ้นวัวเอาไปทำโน่นทำนี่ เช่นทำแกงกะหรี่, ย่างเฉย ๆ , ย่างแบบพิเศษ อะไรก็ว่าไป พวกผมก็สั่งกันมาหลากหลาย ๆ หน่อยเพื่อจะได้แบ่งกันกินครับ รสชาติของร้านนี้สมกับที่เป็นสุดยอดร้านลิ้นวัวที่ได้คะแนนสูง อร่อยจริง ๆ ครับ อร่อยมาก ๆ ด้วย ยิ่งได้กินคู่กับเบียร์แล้วอร่อยสุด ๆ จนอยากจะตะโกนว่าสุโค่ยยยยให้ดังทั่วร้าน



ได้เวลาจากลาสถานีซัปโปโร


โผล่มาอีกทีที่เซนได

คนค่อนข้างแน่นร้านลิ้นวัวเทพแห่งนี้ครับ เห็นพ่อครัวคนกลางป่ะครับ ผมเห็นเค้ายืนปิ้งลิ้นวัวตลอดเวลา ตลอดเวย์ จริง ๆ

ราคาก็แพงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับอาหารจานเดียวทั่วไป

อันนี้ไม่แน่ใจว่าคืออะไร เหมือนจะเป็นสลัดกินเล่น

ของกินเล่นอีกเช่นกัน อันซ้ายเป็นยามาอิโมะ หรือมันภูเขาปั่น รสชาติปะแล่ม ๆ มาก อันขวานี่เนื้อทอดกระเทียมธรรมดา ซึ่งรสชาติก็ธรรมดาเช่นกัน

ไม่มีพลาดอยู่แล้วสำหรับเบียร์สด ที่ญี่ปุ่น ต้องสั่งทุกมื้อจริง ๆ ครับ อันนี้เป็น Kirin แก้วใหญ่ (ของผม) แก้วเล็ก (ของม่ำ) กินเข้ากับลิ้นวัวดีแท้ครับ

ลิ้นวัวย่างร้อน ๆ มาแล้วครับ อร่อยมาก เนื้อนุ่ม เค็ม โอย อร่อย

อันนี้ข้าวหน้าลิ้นวัว เนื้อจะบาง ๆ หน่อย ประมาณลิ้นวัวเนื้อย่างบ้านเรา ก็อร่อยดี

อันนี้ลิ้นวัวแพงสุดในร้านครับ ย่างมาได้ medium rare สวยงามมาก ย่างมาเทพขนาดนี้ รสชาติเทพตามไปติด ๆ ครับ

ขออีกภาพ ทำไมถึงย่างมาได้ perfect ขนาดนี้ครับพี่ชาย

อันนี้แฮมเบิร์คลิ้นวัว อร่อยอีกเช่นกัน แต่ก็ให้อารมณ์เหมือนกิน Hamburg ทั่ว ๆ ไป

ซูมเข้าไปครับ


พออิ่มกันได้ที่พวกเราก็ไปเดินเล่นตรงด้านนอกสถานีกันเล็กน้อย เนื่องจากยังพอมีเวลาก่อนที่ รถไฟหัวกระสุนจะมา พอออกไป ผมตกใจกับภาพ ๆ นึงครับคือมี taxi จอดรถอยู่หน้าสถานีเยอะมาก เยอะที่สุดในชีวิตผมแล้ว และคงจะไม่มีที่ไหนเยอะแบบนี้ได้อีกแล้ว (ดูรูปประกอบครับ) หลายคนคงคุ้น ๆ ชื่อเมืองเซนไดกันจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แม่นแล้วครับ เซนไดเป็นเมืองใหญ่ ทางภาคโทโฮคุ (ตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น) เป็นศูนย์กลางทางอุตสาหกรรมมีโรงงานใหญ่ ๆ อยู่มากมาย รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติด้วย โดยเฉพาะหน้าฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่ คนจะมาเที่ยวกันเยอะมาก ความเสียหายจากแผ่นดินไหวผมไม่รู้ว่ามีเยอะแค่ไหน แต่จากที่เดิน ๆ เล่นในเมือง ก็ดูทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ





รถ taxi รอผู้โดยสารที่ Sendai เยอะจริง ๆ จะเยอะไปไหน แต่เยอะแบบเป็นระเบียบนะครับ

สถานีรถไฟเซนได ใหญ่มาก ๆ สมกับเป็นเมืองใหญ่สุดในภูมิภาค Tohoku แห่งนี้

ผมมา Sendai แค่รอบ ๆ สถานี ไม่ได้ไปไหนไกลเลย ไว้โอกาสหน้าจะมาใหม่

พอถึงเวลารถไฟหัวกระสุนมา พวกเราที่เตรียมตัวอยู่แล้วก็ก้าวขึ้นรถไปนั่งยังที่ ๆ เราจองเอาไว้ อ้อ ขามาผมลืมบรรยายว่าที่นั่งของชินกังเซ็นเป็นยังไง มาขอบรรยายตอนขากลับนี่แทนละกันนะครับ ที่นั่งของรถชินกังเซ็นจะเป็นแบบไม่สูบบุหรี่หมด (อันนี้ไม่ค่อยชัวร์แต่คิดว่าน่าจะใช่นะครับ) และบางสายก็มีทั้งแบบนั่งได้เลยกับแบบต้องจองมาก่อน (แบบของผมต้องจอง) และก็จะมีที่นั่งแบบ ธรรมดากับที่นั่งแบบ Green Seat ซึ่งราคาจะแพงขึ้นไปอีก ที่นั่งใหญ่ขึ้นไปอีก แต่แค่ที่นั่งแบบธรรมดา ผมอยากจะบอกว่ามันก็เหลือ ๆ แล้วครับ leg room กว้างสุด ๆ ประมาณ business class บนเครื่องบินเลย และไม่ว่าจะที่นั่งแบบถูกหรือแพง บนรถไฟจะไม่มีทีวีหรือบริการอะไรให้เลย มีแค่เก้าอี้ให้นั่งเท่านั้น และก็จะมีพนักงานเข็นรถมาขายพวกอาหารกินเล่น เครื่องดื่มบ้าง แต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นจะมีคนซื้อสักเท่าไร อารมณ์เดียวกันกับพนักงานเข็นรถขายของบนสายการบิน local ล่ะครับ เข็นมาแบบผ่านมาแล้วก็ผ่านไป





พวกเราเดินทางไปถึง Ueno ที่เปรียบได้ดั่งหมอชิตของกรุงเทพตอนประมาณ 4 ทุ่ม แล้วก็ต่อรถอีกเล็กน้อยเพื่อไปยัง Ooimachi ที่ที่พำนักของเราตั้งตัวอยู่ ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง พวกเรานั่งคุยกับอื๋อและนั่งดูรูปที่ถ่าย ๆ มากันเล็กน้อย แล้วก็เข้านอนกัน เป็นอันจบทริป ฮอกไกโด ระยะเวลา 5 วันของพวกผมได้อย่างลงตัวที่สุด แม้ว่ามาคิดดูระหว่างที่เขียนบทความนี่ว่า จริง ๆ แล้วผมค่อนข้างเที่ยวฉุกละหุกไปเหมือนกันนะเนี่ย ถ้ามีเวลาอีกสักหน่อย บางที ผมอาจจะได้เข้าถึง บรรยากาศได้มากกว่านี้ก็เป็นได้ … ใครจะไปรู้


Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12




--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...