BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Tuesday, June 5, 2012

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4



ตามที่จบบทตะกี้นี้ไป ว่าผมไม่รู้จะเริ่มวันที่ 4 ของผมยังไงดี ผมขอเริ่มเป็นเดินทางถึงบ้านเพื่อเอา กระเป๋าละกันนะครับ ตอนแรกผมวางแผนเอาไว้ว่าจะอาบน้ำ เพราะคิดว่าน่าจะทัน แต่พอดีเวลามันจะฉิวเฉียดมาก ๆ ก็เลยไม่ต้องอาบ(แม่ง)ละกัน แบกกระเป๋าโทง ๆ รีบไปสถานีโตเกียวในทันที (ขณะนั้นเวลา ตี 5 โดยประมาณ) พูดถึงเรื่องการนั่งชินกังเซ็นหน่อยครับ คือที่เมืองโตเกียวเนี่ย ก็จะมีสถานีให้ขึ้นชินกังเซ็นอยู่ 3 สถานีมั้ง ถ้าจะไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคเหนือ แบบที่ผมกำลังจะไปก็สามารถขึ้นได้ที่สถานีโตเกียว หรือ Ueno ซึ่งเป็น 2 สถานีใหญ่ ส่วนถ้าจะไปฝั่งตะวันตกหรือฝั่งใต้ก็จะไปขึ้นที่สถานีชินจูกุครับ เนื่องจากโอซาก้า อยู่ฝั่งตะวันตกด้วย และสถานีชินจูกุมีสถานีเดียว จึงไม่แปลกที่สถานีชินจูกุจะครองตำแหน่ง สถานีที่มีคนใช้บริการเยอะที่สุดในโลกอยู่เรื่อย ๆ  






ณ สถานีโตเกียวยาม ตี 5 มีฝรั่งและคนญี่ปุ่นมานอนกันฟรี ๆ ด้วย (ไม่รู้นอนกันไปได้ยังไง ร้อนอิ๊บอ๋าย)

พอมีคนอยู่บ้าน ประมาณตี 5 ครึ่ง

รถไฟหัวกระสุนคันใหม่ Hayabusa วิ่งไปทางโทโฮคุ (ตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู)  รู้สึกจะไม่ได้เร็วกว่าเดิม ไม่รู้ทำมาทำไม

รถไฟคันที่ผมจะนั่ง ชินกันเซ็นรุ่น Hikari (แปลว่าแสงไฟ) 

เบาะยังกะการบินไทย

Leg Room กว้างครับ เหลือ ๆ เลย (แต่ไม่เท่า Business Class ของ TG ที่ผมเพิ่งนั่งมา) 


พูดถึงรถไฟชินกังเซ็นกันต่อสักหน่อย หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อเจ้ารถไฟหัวกระสุนนี่กันมานาน แล้วซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะญี่ปุ่นใช้มานานมากกว่า 50 ปีแล้ว ของพี่ไทยเราเพิ่งจะเริ่มมีโครงการ และรถไฟของประเทศไทยมีมาก่อนญี่ปุ่น และรถไฟของไทยสมัยร. 5 ท่านเอาเข้ามายังไง ตอนนี้ พี่การรถไฟของเราก็ยังใช้แบบนั้น ไม่มีการพัฒนาแต่อย่างใด เวลารถไฟวิ่งผ่านถนนที ต้องมีคน 2 คนมาลากที่กั้นกับโบกธง ในขณะที่ประเทศอื่นเค้าใช้ระบบอัตโนมัติกันแล้ว (คน 2 คนไปทำอะไรได้เยอะแยะ แต่ถ้าให้เดา พี่แกคงนั่งเฉื่อย ๆ รอมีวิทยุเข้ามาแล้วก็ลงไปลากที่กั้นไปวัน ๆ ) ชาวบ้านชาวช่องเค้าวิ่งกันที่ 300 กม.ต่อชั่วโมงแล้ว ในขณะที่พี่การรถไฟไทยเรายัง 60 หรือ 80 กม. อยู่เลย แล้วรถไฟของญี่ปุ่นนี่ตรงเวลามาก ๆๆๆ ตรงกันเป็นนาที ในขณะที่ของพี่ไทยเรา บางที เลยกำหนดการเป็นชั่วโมง ๆ ก็เป็นเรื่องปกติ หรือบางทีประกาศว่าวิ่งมาแล้ว อยู่ดี ๆ วกกลับไปก็มี! เพื่อนผมเคยนั่งรถไฟจากกรุงเทพไปหัวหินใช้เวลา 7 ชั่วโมง! ในขณะที่ถ้าเป็นที่ญี่ปุ่นอย่างมากก็ชั่วโมงเดียว ไม่รู้ว่าพวกพี่ท่านรู้กันมั้ยว่าการประหยัดเวลา ในการเดินทางเนี่ยเป็นการสร้าง productivity ในด้านต่าง ๆ ตามมา คนญี่ปุ่นคำนวณกันว่าชินกังเซ็น นี่ช่วยประหยัดเวลาให้คนของเค้าและสร้างเงินให้เป็นล้านล้าน บาทกันเลยทีเดียว เฮ้อ ขอบ่นหน่อยครับ การรถไฟแห่งประเทศไทยนี่เป็นอะไรที่ผมเหลือทนจริง ๆ เป็นที่สุดแห่งความแย่ของรัฐวิสาหกิจแล้วล่ะ ถ้ามีการประกวดสุดยอดความเลวร้ายที่สุดของรัฐวิสาหกิจโลก รฟท. นี่น่าจะติดอันดับต้น ๆ หรือได้อันดับ 1 ของโลกเลยนะผมว่า






แวะพักที่สถานีอาโอโมริ มี Nebuta ขนาดเล็กมาตั้งแสดงโชว์


นั่งรถไฟเข้าเมืองซักหน่อย

เมืองดูเงียบ ๆ ครับ

แต่คนในรถไฟกลับเยอะกว่าที่คิด

อากาศชิลมากครับ เย็นกำลังดี 23 - 25 องศาได้ 

ว่าจะพูดถึงชินกังเซ็น ไฉนกลายเป็นสาธยายความเลวร้ายของ รฟท. ไปซะงั้น ว่ากันด้วยเรื่องชินกังเซ็นต่อครับ เจ้ารถหัวกระสุนนี่ เป็นนวัติกรรมที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นไปอย่างมาก เพราะช่วยให้การเดินทางไปมาระหว่างเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ในรัศมีไม่ไกลมากนักเช่น Tokyo, Osaka, Nagano, Sendai สะดวกสบายขึ้นมาอย่างมาก จนทำให้ถ้าใช้เวลาเดินทางเท่า ๆ กันระหว่างรถไฟกับเครื่องบิน คนจะเลือกใช้รถไฟมากกว่า จนทำให้พวกสายการบินไม่ว่าจะธรรมดาหรือ low cost ต้องออกตั๋วโปรโมชั่นลดราคามาแข่งกับชินกังเซ็นอยู่เรื่อย ๆ และตลอดเวลาที่ดำเนินการมาหลายสิบปี เชื่อมั้ยครับว่ารถไฟหัวกระสุนนี้ไม่เคยประสบอุบัติเหตุแบบ ตกรางเลย จะมีก็แค่มีคนกระโดดฆ่าตัวตาย กับโดนประตูหนีบตายก็แค่นั้น (ไอ้อันหลังนี่ผมอ่านตอนแรก ก็งง ๆ หนีบตายยังไง? จนตอนนี้ต้องมีคนเฝ้าทุกประตูก่อนรถจะออกล่ะครับ) ในขณะที่ของจีนที่เพิ่งเปิดใช้มาไม่นาน รถไฟประสานงากันไปซะแล้ว ส่วนนึงที่รถไฟหัวกระสุนนี่ไม่เคยมีอุบัติเหตุก็เพราะว่ารางจะใช้คนละรางกับรถไฟธรรมดา และจะวางรางไว้ในที่ ๆ ปลีกวิเวกกว่ารางปกติ รวมถึงมีการกั้นรั้วกั้นอะไรไว้จริงจังมาก และถ้าใครฝ่าฝืนเข้าไปจะถือว่าผิดกฎหมายนอนคุกกันหัวโตเลยทีเดียว


ถึงตัวเมืองอาโอโมริล่ะครับ เมืองก็เจริญเหมือนเมืองอื่น ๆ ของญี่ปุ่นแม้จะอยู่บ้านนอกขนาดนี้


แอปเปิ้ลของเค้า แพงดีนะครับ แต่เห็นว่าเทพมาก


น่าจะเป็นถังหมักเหล้าสาเก (นิฮอนจู) ของเค้า อยากจะฉกมาสักลังนึง

ถึงล่ะครับ ตลาดสดของเมือง Aomori ตั้งอยู่ด้านในตึก น่าจะเพราะตอนหน้าหนาวมันหนาวมาก ทำเป็น Outdoor ไม่ไหว
พูดถึงชินกังเซ็นก็ต้องพูดถึง JR Pass ต่อ ผมเพิ่งมารู้ถึงความคุ้มค่าของ JR Pass เอามาก ๆ ก็ต่อได้เริ่มใช้มันตอนเดินทางไปภาคเหนือของญี่ปุ่นนี่แหละครับ 1. ประหยัดคุ้มค่า เพราะแค่ค่าตั๋วชินกังเซ็น จากโตเกียวไปฮอกไกโดเที่ยวเดียว มันก็เกือบจะเท่า ๆ กับค่า JR Pass แบบ 7 วันแล้วล่ะครับ 2. สะดวกสบายไม่ต้องไปต่อคิวผ่านเครื่องตรวจตั๋ว เราสามารถเดินเข้าช่องพิเศษไปได้เลย (มีประโยชน์มากตอนคนเยอะ ๆ เช่นหลังงานดอกไม้ไฟ) 3. เวียนตั๋วได้ (อ่านว่าโกงตั๋ว ฮ่า ๆ ) (ตามที่เขียนไว้ตอนต้น) อันนี้ก็ไม่ใช่ข้อดีแบบถูกต้องตามกฎหมายหรอกครับ  แต่เอาเป็นว่ามันก็เป็นข้อดีอย่างนึงละกันครับ (ฮา)

ผมก้าวขึ้นรถไฟตอน 6.20 และพอเวลา 6.24 ตามกำหนดการ เจ้าหัวกระสุนอันยาวเหยียดลำนี้ ก็ได้เคลื่อนตัวอย่าง เงียบ นิ่ง และไหลลื่นที่สุดเพื่อพาผมมุ่งหน้าไปยังอาโอโมริแบบ (เกือบจะ) non-stop ผมคิดเอาไว้ตอนแรกว่าจะมานั่งหลับบนรถไฟ เพราะเมื่อคืนไม่ได้นอน แต่ความคิดดังกล่าวก็ถูกทำลายลงไปด้วยหลายปัจจัย ข้อแรกคือ เมื่อก้าวขึ้นรถผมก็ได้สัมผัสกับ บรรยากาศที่..ร้อนมาคุมาก แอร์(แม่ง)ไม่เย็นเลยครับ เพื่อนผมบอกว่าทางการญี่ปุ่นกำลังรณรงค์ประหยัดไฟ กันอยู่เนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ผมเนื่องจากมาอยู่ในประเทศเค้า ก็เลยได้รับอานิสงส์กรรมอันนี้ไปด้วย แอร์น่าจะเปิดสัก 28 องศาได้ครับ และผมยิ่งไม่ได้อาบน้ำมา ตัวเหนียวสุด ๆ อีกต่างหาก ข้อสอง เก้าอี้ข้าง ๆ ผมมีเด็กทารกอยู่ คนนึง เจ้าหนูคนนี้ไม่รู้จะรีบฝึกพูดอะไรกันนักกันหนา ฝึกพูด(แม่ง) ตลอดเวลาที่ผมพยายามจะหลับเลย และพอผมหมดความตั้งใจที่จะงีบ เจ้าหนูอนาคตศิลปินแห่งชาติคนนี้ก็เงียบลงไป พี่อยากจะบอกว่า ขอบใจมากนะ(เว้ย) ไว้(มึง)ออกเทปเมื่อไรบอก(กู)พี่ด้วย และ ข้อสาม ซึ่งเป็นข้อสำคัญสำหรับผมด้วย นั่นก็คือ ที่นั่งข้าง ๆ ผมเป็นสาวญี่ปุ่นครับ และเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากกก ด้วย ผมก็ไม่ได้จะชวนเค้าคุย หรือทำอะไรกับเค้าหรอกนะครับ (ว่าไปนั่น) แต่แบบ มีผู้หญิงน่ารักขนาดนี้มานั่งข้าง ๆ ผู้ชายคนไหนก็ไม่น่าจะหลับลง(หรอกมั้ง) ด้วยปัจจัย 3 ข้อนี้กอปรเข้าด้วยกัน ผมก็เลยนั่งร้อน, ตัวเหนียว, (หื่น?) ไปตลอดทางจนถึงอาโอโมริ เลยล่ะครับ (มีแอบหลับบ้างเล็กน้อย) 




ของสดเต็มไปหมด นี่หมึกยักษ์ที่ยังไม่ได้ดอง เลยสีไม่ม่วง

นี่อะไรก็ไม่รู้ครับ ให้เดาน่าจะเป็นปลาหมึกไม่ก็หอย 

นี่ก็ปลาอลูมิไล้ (อะไรไม่รู้) อีกเช่นกัน

ราคาถูกมากครับเมื่อเทียบกับโตเกียว และบ้านเรา

มีหมดทุกสิ่งอัน ที่จะกินได้จากทะเล

โฮตาเตะตัวเขื่อง อร่อยสดมากครับ

แบบห่อพลาสติคแล้วก็มี


ทาโกะยักษ์ที่ดองแล้วและทูน่า ส่วนเนื้อแดง (อากามิ)

รถไฟหัวกระสุนจอดเทียบท่าที่อาโอโมริเวลาประมาณ 11 โมง ใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน เนื่องจากอาโอโมรินี่เป็นเมืองที่อยู่สุดขอบบนสุดแล้วของเกาะฮอนชู ข้ามไปก็จะกลายเป็นฮอกไกโด แล้ว เมืองนี้มีชื่อเสียงด้านอาหารและผลไม้ เท่าที่ผมจำได้รู้สึกจะมีแอปเปิ้ลอาโอโมริที่ดังมาก ๆ (ซึ่งผมไม่ได้กิน) และก็มีปลา Blue Fin Tuna ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปถึงแหล่งของเมืองนี้ด้วย (แล้วมึงจะมาทำไมใช่มั้ยครับ?) พอออกจากรถไฟ ก็ขึ้นไปที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวครับ เพื่อนผมคุยกับคุณลุงคุณป้าอยู่นาน จนได้ข้อสรุปว่าจะทำอะไรบ้างที่อาโอโมริ ก็เลยเริ่มออกเดินทางกันต่อครับ เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับเมืองนี้ ใครที่อ่านการ์ตูนเรื่อง Bakuman อาจจะคุ้น ๆ ถึงตัวละครที่ชื่อ นีซึมะ เอย์จิ ที่ตอนก่อนจะเป็นนักเขียนการ์ตูน บก.ใหญ่ของจัมป์ ไปหาที่บ้านจนเอย์จิพูดมาประโยคนึงว่า "ขอบคุณที่อุตส่าห์ดั้นด้นมา" อืม มันต้องใช้คำนั้นจริง ๆ ล่ะครับเพราะมันไกลจริง ๆ

จุดหมายแรก ณ เมืองปาเขียวแห่งนี้ (อาโอ = เขียว/ฟ้า , โมริ = ป่า) ก็คือหาของกินครับ เพราะมื้อเช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย ตอนแรกว่าจะซื้อข้าวกล่องที่สถานีรถไฟกิน แต่เห็นราคาที่แสนแพง บวกตัวเลือกที่ไม่ค่อยมีนักก็เลยไม่ได้ซื้อ ก็เลยนั่งหิว ๆ มาตลอดทางนี่ล่ะครับ (เคยเห็นโกโกริโกะทำตำนานตระเวณกินสุดยอดอาหารกล่องบนสถานีรถไฟ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันสถานีไหนบ้าง เพราะผมพยายามกินทุกสถานีที่มีโอกาสแล้ว ไม่มีกล่องไหน ที่ผมจะให้คำว่าอร่อยกับมันได้เลย) ของกินมื้อเที่ยงนี้เราไปกันที่ตลาดของเค้าครับ ที่นี่จะมีของสด ๆ เท่าที่เราจะนึกออกได้วางขายแบบพร้อมกินอยู่ และเราก็ซื้อข้าวถ้วยนึงไปแล้วก็เดินเลือกเอา สัตว์ทะเลต่าง ๆ นา ๆ เหล่านั้นมาวางแหมะ ๆ ๆ ลงบนถ้วยของเรา มันจะมีศัพท์เฉพาะของคนญี่ปุ่นอยู่แต่ผมจำไม่ได้แล้ว ว่าเรียกว่าอะไร แต่ก็เป็นอะไรที่เปิดประสบการณ์ใหม่ดีครับ พวกเราเดินวนกันอยู่ 2 รอบและจบลงด้วยข้าวที่ ถูกสัตว์ทะเลวางโปะมิดจนไม่เห็นข้าวกันคนละถ้วย แต่ผมรู้สึกติดใจก็เลยไปกินแบบชุดจัดให้แล้วอีกถ้วย เบ็ดเสร็จมื้อนี้ได้กินปลาดิบสด ๆ 2 ถ้วยในราคาประมาณ 3,000 เยนเท่านั้น (ถือว่าถูกครับ)




ปูขน (รู้สึกจะอ่านว่า โมะ-คานิ) ไม่ได้กินครับ ปูที่ญี่ปุ่นรู้สึกว่าแพงเกินกว่าจะกินลง และปูทะเล, ปูม้าบ้านเรา ผมว่าอร่อยกว่าถูกกว่า

เนื้อวัวก็มี ของเค้าเนื้อวัวในประเทศจะแพง เนื้อนำเข้าจะถูก ในขณะที่เมืองเราเนื้อนำเข้าแพง เนื้อในประเทศถูก(สัด) ฮ่า ๆ

อันนี้น่าจะหมึกกล้วย (Ika) ไม่ได้กินอีกเช่นกัน

ของใครไม่รู้ครับจำไม่ได้ มีหอยเม่น, กุ้งโบตั๋น แซลมอน, โอตาเตะ

คล้าย ๆ กัน

Agami Sashimi อร่อยเยี่ยมครับ (แม้หน้าตาจะดูไม่น่ากิน)

อันนี้ก็อร่อย สดมากครับ


อันนี้น่าจะเป็นชามเบิ้ลของผม โอย เห็นแล้วอยากกินอีก


พออิ่มท้อง ก็เริ่มมีใจที่จะเที่ยวกันต่อล่ะครับ เป้าหมายในเมืองอาโอโมรินี่ไปได้แค่ ที่เดียวเท่านั้น เนื่องจากถ้าไปเกินกว่านั้นจะตกรถไฟเอา (อดไปพิพิทธภัณฑ์ที่มีเจ้า Snoopy ยักษ์เลย T_T) พวกผมเเลือกไป พิพิทธภัณฑ์ Nebuta กันครับ Nebuta ถ้าเทียบกับของไทยเราก็คงประมาณ แห่เทียนพรรษาล่ะครับ คือ Nebuta จะเป็นเหมือนกระดาษโคมไฟเอามาตัดแต่งทาสีทำเป็นลวดลาย ต่าง ๆ นา ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเทพ, อสูร, สัตว์ในตำนานอะไรพวกนั้น แล้วก็จะมีคนแบกแห่กันไปตามถนน (เหมือนแห่เทียนพรรษาบ้านเรามาก ๆ ) โดยประเพณีนี้ผมไม่แน่ใจว่ามีเฉพาะที่อาโอโมริมั้ย แต่ดูแล้ว ที่เมืองนี้น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดล่ะครับ พวกผมเข้าไปเดินดู Nebuta ในพิพิทธภัณฑ์กันเพลินเลยทีเดียว เพราะแต่ละอันสวย ๆ ทั้งนั้น เสียดายตรงที่คำบรรยาย, วีดีโอประกอบ เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ไอ้คนภาษาญี่ปุ่นแทบจะไม่กระดิกอย่างผมก็ได้แต่ทราบซึ้งกับความสวยงามไปอย่างเดียว







พิพิทธภัณฑ์ Nebuta ตึกสวยมากครับ

มี Mascot ด้วยครับ สงสารเค้าเหมือนกันนะ แต่ยังดีเป็นอาโอโมริ อากาศเย็นหน่อย ถ้าอยู่โตเกียว สงสัยร้อนตายไปแล้ว

เข้าสู่รูป Nebuta ทั้งหลายล่ะครับ ดู ๆ เอาเองละกันนะครับ ไม่รู้จะบรรยายอะไร สวยดี อลังการดี














ใกล้ ๆ กับ Nebuta Museum จะมีตลาดหรูหราอันนึงชื่อ A-Factory ครับ โดยเจ้าตลาดนี้จะเป็น ประมาณ Supermarket นั่นเองแต่ก็มีของขายให้อารมณ์คล้าย ๆ ตลาดสด ของที่เอามาขายจะเป็นพวก ของขึ้นชื่อของเมืองอาโอโมริ ทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะขนมหวาน, น้ำดื่ม, ผลไม้ ฯลฯ พวกผมก็เดินดูใน ความสวยงามและน่าลิ้มลองแต่ราคาก็แพงจับใจ ผมก็เลยกินน้ำแร่จากยอดเขาอะไรสักอย่าง ที่ผมก็แยก ไม่ออกว่ามันต่างจากน้ำก๊อกยังไง อุดหนุนคนอาโอโมริหน่อยขวดนึง (ฮา) นั่งรอเวลา ถ่ายรูปสวย ๆ ที่ A-Factory เสร็จพวกเราก็ไปที่สถานีรถไฟเพื่อนั่งรถไฟไปเมือง Hakodate กันต่อครับ

ก่อนที่จะไปถึง Hakodate รถไฟจะต้องลอดอุโมงค์ข้ามช่องแคบระหว่างเกาะฮอกไกโด กับเกาะฮอนชูซะก่อน อุโมงค์นี้รู้สึกว่าจะลึก 50 กว่า KM ได้ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับว่ามันลอดตอนไหน เพราะผมหลับแทบจะตลอดทางจนไปถึง Hakodate เลย เส้นทางจากอาโอโมริไปซับโปโรในตอนนี้ ยังไม่มีรถไฟชินกังเซ็นครับ แต่ทางการมีแผนการจะสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2020 หรืออีกประมาณ 10 ปี แล้วก็มองย้อนกลับไปดูประเทศไทย เห็นโครงการรถไฟความเร็วสูงออกมาแล้ว ผมเดาว่าอีก 10 ปีก็ยังทำไม่ถึงไหน เพราะไอ้ รฟท. คงจะหวงก้าง โน่นนี่ตามสูตร (โอย เครียด กับรถไฟไทย)




A-Factory ตลาดสดไฮโซสวย ๆ ประจำเมืองครับ

เค้กน่ากินมาก

หอไอเฟิลเค้ก สวยงาม อยากจะไปตัดยอดมากินซะเหลือเกิน

ผมชอบถ่ายเครื่องดื่ม หรืออะไรที่อยู่ในตู้ใน supermarket ของเมืองนอกครับ มันดูแปลกตาดี

แอปเปิ้ลหลากหลาย หรืออาจจะผักอะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจครับ อ่านไม่ออก

ถึง Hakodate ล่ะครับ มีสถาปัตยกรรมอะไรไม่รู้ด้านหน้าด้วย

เดินอย่างทรหดท่ามกลางลมเย็น ๆ ชิล ๆ จนถึงโรงแรม (ถ้าไม่ใช่หน้าร้อนนี่คงหนาวตายไปแล้ว)

โรงแรมดูดีกว่าที่คิด แต่ทำเลไม่ดีราคาก็เลยถูก

ห้องอาหารของโรงแรม เห็นวิวทะเลสวย ๆ

ห้องก็เล็ก ๆ ตามประสาโรงแรมที่ญี่ปุ่นครับ

อยู่ติดทะเล แต่คงลงไปเล่นไม่ไหว


รถไฟไปถึง Hakodate ประมาณหกโมงเย็นแล้ว เป็นสถานีรถไฟเล็ก ๆ แล้วพวกผมก็ออกจากสถานี เพื่อเดินทางไปยังโรงแรมกันต่อครับ เนื่องจากโรงแรมที่จองไว้ ค่อนข้างไกลสถานี พวกผมก็เดินลากกระเป๋า กันกระเตง ๆ กว่าจะไปถึงโรงแรมนี่เหนื่อรากเลือดเลยครับ (โทษฐาน อยากประหยัดเงินไม่เรียก Taxi) พอไปถึง ค่อยยังชั่วหน่อยครับ เพราะโรงแรมค่อนข้างดี (กับราคาที่จ่ายไป) และโรงแรมอยู่ติดทะเลด้วยครับวิวสวยดี หลังจากพักผ่อนที่ห้องกันเรียบร้อยแล้ว พวกผมก็ไปหาอะไรองท้อง กินกันที่ 7-11 และเป็นครั้งแรกที่ผมได้กิน โอเด้ง ร้อน ๆ แสนอร่อยของ 7-11 (เข้ามาหลายสาขาไม่เคยเห็นขายเลย) ผมกดโอเด้งไปหลายไม้และหลายอย่างมาก การหาอะไรรองท้อง เลยกลายเป็นทำให้ท้องเต็มไปแทน -_-’ ขอกล่าวถึง Hakodate อีกเล็กน้อย เมือง ๆ นี้ก็เป็นเมืองเล็ก ๆ น่ารัก ๆ เมืองนึง ซึ่งจะเป็นเมืองแรกที่ขึ้นมาจากเกาะฮอนชูแล้วจะเจอเลย เมืองนี้จะดังด้านอาหารทะเลสด ๆ (เช่นเดียวกันกับอาโอโมริ) เพราะเมืองนี้เป็นประมาณเมืองท่าของเกาะฮอกไกโดเค้าล่ะครับ

โปรแกรมที่เหลือในวันนี้คือการไปดูวิวที่เค้าว่ากันว่าสวยที่สุดในสามโลก เอ๊ย ในโลกเดียวเนี่ยแหละ แต่สวยที่สุด 1 ใน 3 ของโลก (อีก 2 ที่ผมก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน) คือไปดูวิวบนยอดเขา Hakodate ที่อยู่สูงจากพื้นดินไป 300 เมตรนั่นเองครับ (ประมาณตึก 100 ชั้น) วิวสวยเนื่องจาก จะมองเห็นเมืองลงมาเป็นคล้าย ๆ รูปนาฬิกาทราย และแสงไฟมันจะสวย ๆ อ่ะครับ พวกผมเดินทางโดย รถบัสไปจนถึงยอดเขา ซึ่งมาลองคำนวณแล้ว ค่ารถบัส x4 คนเข้าไป มันแพงมาก ๆ เผลอ ๆ นั่ง taxi จะถูกกว่า พอไปถึงยอดเขา อากาศค่อนข้างเย็นและลมแรงทีเดียวครับ พวกผมเดินกันไปยังจุดชมวิว และก็ต้องพบกับวิวที่สวยงามมาก .. มีแต่หมอก ๆ ๆ และหมอก เอ๊ะหรือจะเป็นควัน? บางทีมันก็คล้ายกันจนไม่อาจรู้ได้นะครับ (ตลกฝืดเลยกู) ผมก็เลยได้ภาพหมอกที่สวยที่สุดใน 3 โลกมาแทนครับ เฮ้อ หลังจากที่แอบคาดหวังว่าหมอกจะหายไป นั่งรออยู่ชั่วโมงกว่า หมอกก็ยังไม่หาย ก็เลยตัดสินใจนั่งกระเช้าลงไปกันแทนครับ เผื่อจะได้เห็นวิวกับเขาสักหน่อย ซึ่งก็ได้เห็นวิวจริง ๆ ครับ วิวสวยจริง ๆ ครับแต่มันรวดเร็วมาก และคนญี่ปุ่นที่รู้งานก็ไปแย่งที่ตรงด้านหน้ากันหมดอีกด้วย ผมก็เลยได้เห็นวิวที่สวยที่สุดใน 3 โลกแค่แปบเดียวเท่านั้น T_T


ก็บอกแล้วครับว่าชอบถ่ายตู้ใน Supermarket , Convenient Store มันดูแปลกตาและสวยดี


ไม่ได้ลองเลยสักอันครับ 


โอเด้งแสนอร่อยครับ ไม่รู้สาขาอื่นมีรึเปล่า แต่ก็น่าจะมีแหละ แต่ผมเพิ่งจะได้มากินที่ Hakodate นี่

นั่งกินโอเด้งร้อน ๆ พร้อมเบียร์เย็น ๆ รอรถบัส ก็เป็นอะไรที่ ฟิน ดีมากครับ

รถบัสไป Hakodate ครับ 

อ่านไม่ออกครับว่าอะไร น่าจะสูง 334 เมตร และเปิดทำการมา 23 ปีกว่า

วิวสวยป่ะครับ หมอกจาง ๆ หรือควัน? คล้านกันจนบางทีไม่อาจรู้

นั่งกระเช้าฝ่าหมอกลงไปครับ เห็นวิวสวย ๆ แปบเดียวจริง ๆ แปบแบบแปบมาก ๆ เลย

ค่า Taxi ถูกจริง ๆ ครับเริ่มต้นที่ 530 yen เท่านั้น


เสร็จจากการดูวิว พวกเราก็ไปหาอะไรกินกันครับ ตรงแถว ๆ กลางเมือง Hakodate จะมีโซน ร้านอาหารเปิดรวม ๆ กันอยู่ พวกผมเดินทางผ่านตอนขาไปมาทีนึงแล้ว และเล็งกันไว้แล้ว ก็เลยบอก Taxi ให้พาไปยังย่านดังกล่าวในบันดล ค่า Taxi ของเมืองนี้ถูกที่สุดใน 3 โลกแล้วล่ะครับ เริ่มต้นที่ 530 yen เท่านั้น และคนขับรถ taxi คนนี้หนุ่มแน่นไฟแรงและตีนหนักมากครับ พวกเราพลาดหวังจากการได้ชมวิว อันงดงามแต่ได้มานั่งรถ Rally วิบากกันแทน สนุกไปอีกแบบแต่ก็เป็นประสบการณ์สั้น ๆ อีกแล้วเพราะแค่ 2-3 นาทีเท่านั้น พวกผมก็ถึงร้าน Hakodate Beer กันแล้ว (โหน้อง พี่ก็อยากนั่งมันส์ ๆ กับน้องต่อนะ)

ร้าน Hakodate Beer จากชื่อร้านผมก็พอเดาออกว่าทางร้านจะต้องหมักเบียร์เอง ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นครับ เบียร์ของทางร้านมีอยู่ 4 แบบ พวกผมก็เลยสั่งกันมาทุกแบบ พร้อมกับกับแกล้ม สไตล์เยอรมันอีก 2 อย่าง นั่งกินกันไปชิล ๆ พอเบียร์หมดก็ย้ายร้านไปอีกร้านนึงครับ เป็นร้านชื่อดังที่ ขาย ข้าวหน้า + อาหารทะเล (ผมจำชื่ออาหารประเภทนี้ไม่ได้ ไม่แน่ใจใช่ Donburi มั้ย) พวกผมสั่งกันมา 2 อย่างเป็น หน้ากุ้งหวาน + ไข่ปลาแซลมอน กับ หน้า โฮตาเตะกับไข่หอยเม่นครับ ทั้ง 2 จาน อร่อยแบบ .. แบบเหลือเชื่อ สดมากกกก อร่อยมากกก อร่อยกว่าที่กินที่ตลาดสดอีก สมกับที่เป็นร้านชื่อดังและเต้คะยั้นคะยอจะมาให้ได้จริง ๆ ครับ เสียดาย กระเพาะผมเนื้อที่ค่อนข้างเหลือน้อยแล้วจาก โอเด้ง , เบียร์และกับแกล้มเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่งั้นผมคงจัดเอง คนเดียวอีกสักชาม พอกินกันเสร็จสิริเวลาได้ 5 ทุ่ม พวกเราก็เลยรีบนั่ง taxi กลับโรงแรมกัน (รถ taxi รอบดึก จะมีการชาร์จจากปกติ 20% นะครับ เนื่องจากถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลา)


เบียร์ต่าง ๆ ของร้าน Hakodate เบียร์ครับ

มีดนตรีเพราะ ๆ ให้ฟังด้วย ไฮโซมาก

สั่งเบียร์สดมาครบเลย สวยงามมั้ยครับ

เนื้อเจงกีสข่าน อาหารที่ไม่ค่อยเข้ากับร้านเท่าไร

ร้าน Shiokara สุดยอดร้านข้าวหน้าสัตว์ทะเล

เบียร์สดยี่ห้ออ Kikuyo ไม่เคยกินมาก่อน ก็ยังคงอร่อยเช่นเคยครับ กับเบียร์สดที่ญี่ปุ่น

บรรยากาศเล็กน้อยครับ กินตอนร้านจะปิดแล้วไม่เหลือลูกค้า

อร่อยมากกกกก ข้าวหน้ากุ้งหวาน + ไข่แซลมอน

และแล้วผมก็ได้นอนโรงแรมญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต ตลอด 13 + 4 วันที่ผ่านมาที่ผมอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็เป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อเหมือนกันว่าผม นอนฟรี! มาตลอดเลย (ฮา) โรงแรมที่ผมนอนแม้จะเป็นโรงแรม 3 ดาว เป็น Business Hotel ทั่วไป แต่ความสะอาดนี่เข้าขั้น 5 ดาวครับ (โรงแรมญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ทุกที่) ห้องค่อนข้างแออัด คือมีแค่เตียงกับทางให้พอเดินได้ ห้องน้ำก็เล็ก ๆ ประมาณเปิดประตูมาก็มีแค่ที่ให้ ยืนแค่นั้น แต่ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ มี Internet ให้ใช้ มีเครื่องประทินโฉมครบทุกอย่าง มีชุดนอนให้ (ของโรงแรมนี้เป็นยูกาตะ) แล้วก็มีหนังให้เช่าดูด้วย คือผมก็เพิ่งมารู้เอาตอนที่แบกของตุเลง ๆ อย่างรากเลือดมา ว่าไปเที่ยวญี่ปุ่นถ้านอนโรงแรม ไม่ต้องเตรียมชุดนอน, เครื่องประทินโฉมอะไรไปทั้งนั้น ซึ่งเจ้าของพวกนี้ มันก็ช่วยประหยัดเนื้อที่ให้เราได้เยอะอยู่เหมือนกันนะครับ ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ตาม link นี้ครับ




อันนี้ก็อร่อยมากกกโฮตาเตะกับหอยเม่นนนนนน

ซุปสาหร่ายไม่แน่ใจว่าฟรีรึเปล่า

เหมือนว่าจะสั่งไส้กรอกมาด้วย อร่อยดีครับ แม้จะไม่ค่อยเข้ากับร้านซูชิก็ตาม

ใส่ชุดยูกาตะนอนครับ หล่อมั้ยครับ ^_^
ติดตามอ่านตอนที่ 5 ได้ตามลิงค์นี้ครับ



Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series




--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...