BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Thursday, June 28, 2012

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4




เข้าสู่ครึ่งทางของทริป ตะลุยญี่ปุ่นใบไม้ร่วง 2011 ของผมแล้ว หลังจากที่พักผ่อนขาเล็กน้อยด้วยการไม่ได้เดินทางไปนอกเมืองโอซาก้าเมื่อวาน ตามลิงค์นี้ วันนี้พวกเรามีโปรแกรมจะไปตะลุยเมืองโกเบ เมืองแห่งเนื้อวัวนามกระเดื่อง (แต่ผมไม่ได้กิน T_T) กันครับ เมืองโกเบแม้ว่าจะอยู่ใกล้กับ Osaka มาก เดินทางแค่ 20 นาทีด้วยรถไฟเท่านั้น แต่ว่าเมืองนี้ เป็นเมืองหลวงของคนละจังหวัดคือเป็นเมืองหลวงของจังหวัด Hyogo และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 10 ของญี่ปุ่น นอกจากความโด่งดังของเนื้อโกเบแล้ว หลาย  ๆ ท่านคงได้ยินชื่อเมืองนี้จากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อปี 1995 ที่แทบจะทำลายเมืองนี้ราบเป็นหน้ากลอง แต่ไม่น่าเชื่อครับว่าตอนที่ผมไปเดินตระเวณมาแทบจะทั่วเมืองในทริปนี้ ผมไม่เห็นวี่แววความเสียหายจากแผ่นดินไหวเลยแม้แต่สักนิดเดียว ผมเห็นแต่เมืองอันแสนจะสวยงาม สะอาด ทันสมัย และเต็มไปด้วยประติมากรรมเจ๋ง ๆ กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง (สุดยอดจริง ๆ พี่ยุ่น สงสัยเนื้อโกเบได้กำไรดีจัด)

ที่เมืองโกเบนี่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะครับ เป็นประมาณเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ เมืองนึงได้เลย (ซึ่งจริง ๆ แล้วเมืองนี้เป็นเมืองท่า, เมืองธุรกิจซะมากกว่า) สถานีรถไฟหลักของเมืองจะชื่อสถานี Sannomiya เป็นสถานีที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ของเมืองไม่ว่าจะเป็น Museum ทั้งหลายแหล่ (Earthquake Museum, City Museum) หรือ Chinatown หรือสวน Sorakuen Garden หรือย่านพ่อค้าชาวต่างชาติ Kitano-Cho โดยเจ้าสถานีนี้เป็นของ JR ใครที่มี JR Pass จะนั่งมาจากโตเกียวก็ค่อนข้างสะดวกสบายดี  ส่วนถ้าใครจะไป Kobe Harborland หรือ Meriken Park ก็นั่งเลยไปอีกป้ายเป็นป้าย Motomachi ก็จะใกล้เข้าไปหน่อย เดินประมาณ 10 นาทีก็จะถึง 2 สถานที่ดังกล่าวครับ เป้าหมายของพวกเราในวันนี้ก็เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะ traditional อีกแล้วครับ มีไปย่าน Kitano-cho , Kobe Harborland, China Town และ Sorakuen Garden (แค่นี้ก็หมดวันล่ะครับ)

รอรถไฟ

ร้าน Kiosk นี่ดีมาก มีบนชานชาลาแทบจะทุกสถานีครับ ปัญหาคือ คนขายส่วนใหญ่จะเป็นป้า ๆ ลุง ๆ ซึ่งภาษาอังกฤษไม่กระดิกเลย

ระหว่างเดินไปย่านพ่อค้าชาวต่างชาติ Kitano-Cho ก็เจอร้าน Starbucks สุดเก๋ร้านนี้ครับ

แต่งร้านได้เข้ากับบรรยากาศมาก จนทนไม่ไหว ขอแวะกินสักหน่อย

กาแฟก็เหมือนที่ไทยนี่แหละครับ เห็นเค้าว่ากันว่า Starbucks เปลี่ยนโลโก้เป็นแบบปัจจุบันนี่จะช่วยลดต้นทุนการพิมพ์แก้วไปเยอะมากเพราะเหลือแค่ 2 สี (จากเดิม 4 สี)

ในร้านก็สวยและ Art ไม่แพ้ด้านนอกครับ

สั่งมัฟฟิ่นมากิน ทำมาได้อร่อยมาก ไม่รู้เมืองไทยมีมั้ย พอดีไม่ค่อยได้เข้า Starbucks อยู่แล้วน่ะครับ 

จริง ๆ น่าจะนั่งข้างนอกครับ อากาศดีมาก

ระหว่างเดินผ่าน เจอบ้านหลังนึงคล้าย ๆ  จะจัดงานแต่งงานอยู่ บ้านใหญ่มากครับ ไม่รู้บ้านยากูซ่ารึเปล่า

เริ่มจะถึงแล้ว เริ่มมีสิ่งก่อสร้างสวย ๆ แปลก ๆ โผล่มา

ทางเดินส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ครับ ขึ้นเขา แคบ ๆ แต่รถวิ่งได้นะครับ งงเหมือนกัน

ให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่ประเทศตะวันตกมากกว่า

ไม่แน่ใจว่าบ้านของพ่อค้าชาวอะไรครับ สวยดี หลังนี้เด่นสุดล่ะ อยู่ตรงกลางลานเลย

ไม่รู้ของพ่อค้าชาวอะไรอีกเช่นเคย

อันนี้ประมาณร้านขายของ

ลานกลาง Kitano-Cho ครับ มีลุง ๆ ป้า ๆ มาวาดรูปกันเยอะ มานั่งเฉย ๆ ก็มี ใกล้ ๆ ลานมี tourist information ครับไปขอแผนที่ของย่านนี้หรือของเมืองโกเบได้ตามสะดวก

จริงจังมากป้าคนนี้

เดินขึ้นไปหน่อยมีศาลเจ้าแบบญี่ปุ่นด้วย

อันนี้บ้านพ่อค้าชาวเดนมาร์ค

ด้านหน้ามีร้าน cafe บรรยากาศดี แต่ราคาไม่ค่อยดีอยู่ จริง ๆ กะนั่งพักครับ แต่แพง

จำไม่ได้ล่ะครับว่าคืออะไร น่าจะร้านขายของสักร้าน

รูปจะมั่ว ๆ ไม่เรียงตามลำดับเวลาอีกแล้วนะครับ พอดีลบ exif ไฟล์ไป อันนี้ถนนระหว่างเดินขึ้นไป Kitano-cho ครับ จากสถานี Sannomiya เดินประมาณ 20 นาที แต่เป็นทางขึ้นเขา คนแก่อาจจะไม่ค่อยไหวครับ

อันนี้วิวจากศาลเจ้าในบริเวณคิตาโนะ ไม่ค่อยสวยมีต้นไม้บัง แต่ก็พอไหวอยู่ (เพราะฟรี)


ย่าน Kitano-Cho หรือย่านพ่อค้าชาวต่างชาติเก่า ของโกเบ ก็เป็นย่าน ๆ นึงที่ไม่มีอะไรมากครับนอกจากบ้านของพ่อค้าหลาย ๆ สัญชาติมาตั้งเรียงรายอยู่รวม ๆ กัน ซึ่งพ่อค้าพวกนี้ไม่อยู่กันแล้ว คนญี่ปุ่นก็เลยเอามาเปิดเป็นบ้านให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชม ซึ่งบ้านแต่ละหลังเท่าที่ผมดูรูปมาก็สวยงามดีมากครับ แต่พอดีว่าค่าเข้าแต่ละหลังซัดไปหลังละ 500 yen บ้าง 700 yen บ้าง (แม้ว่าจะมีค่าเข้าแบบเหมารวม แต่ราคารู้สึกจะกระโดดไปเป็นหลายพันเยนอยู่ ประมาณว่าไม่ได้ลดอะไรมากมาย) ถ้าดูหมดทุกหลังค่าเข้าชมคงซัดไปประมาณเกือบ 5000 yen พวกผมก็เลยตัดใจ ดูมันเอาแต่ข้างนอกนี่แหละ ซึ่งแค่ข้างนอกผมก็ว่าเพียงพอแล้วครับ ได้บรรยากาศดีมาก นอกจากบ้านพ่อค้าชาวต่างชาติแล้ว ย่านนี้ก็จะมีร้าน cafe , ร้านอาหารกิ๊บ ๆ เก๋ ๆ อยู่ค่อนข้างเยอะ เหมาะแก่การไปสวีทกันครับ

เสียเวลาอยู่ที่ย่านนี้อยู่ 2-3 ชั่วโมง เราก็ไปต่อกันที่ Sorakuen Garden สวนสุดสวยประจำเมือง Kobe กันต่อครับ สวนนี้ก็เป็นหนึ่งในสวนเสียตังค์ (300 yen) ของญี่ปุ่นเค้า ซึ่งส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นสวนต่าง ๆ ที่ผมไปมาจะไม่เคยมีเสียตังค์เลย สวนนี้เป็นสวนแรกที่ผมต้องเสียตังค์เข้าไป แต่ก็ถือว่าถูกและคุ้มมากครับ เพราะว่าสวนสวยและใหญ่มาก และเป็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นแบบญี่ปุ่นจ๋าเลย จะว่าไปแล้ว การจัดสวนนี่ก็ถือว่าเป็นศิลปะที่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นของชาติไหนเหมือนกันนะครับ อย่างสวนญี่ปุ่นนี่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว สวนสไตล์ตะวันตก, ฝรั่งเศสมองปราดเดียวก็รู้แล้วอีกเช่นกัน ส่วนสวนสไตล์พี่ไทยเรา มองปราดเดียวอาจจะไม่รู้ เพราะส่วนใหญ่มันจะไม่ค่อยเป็นสวนสักเท่าไร -*- เจ้าสวนนี้เดิมไปส่วนของนายกเทศมนตรีท่านนึง แล้วเหมือนว่าจะรวยจัดตอนหลังก็เลยมอบให้เป็นสมบัติของเทศบาลโกเบ ที่สวนนี้มีบ้านของพ่อค้าหลุดมาหลังนึงด้วย (ถูกย้ายมาหลังจากแผ่นดินไหว) ชื่อบ้าน Hassem House แต่ว่าตัวบ้านไม่ให้เข้าไปดู ให้ดูแต่ภายนอกเท่านั้น สวนนี้พวกผมชอบกันมากครับ แนะนำว่าใครไปโกเบ ยังไงลองแวะกันไปดูหน่อยครับ การเดินทาง ดูในแผนที่อาจจะไม่ไกล แต่พอดีว่ามันไม่มีสถานีรถไฟใกล้ ๆ เลยผมใช้วิธีนั่ง taxi เอา ค่าแท็กซี่ไม่เกิน 1000 yen ครับ


แค่ป้ายยังสวยเลย

ใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสีพอดี

สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ถูกทำลายไปหมดตอนสงครามเหลือแต่เจ้าสิ่งนี้ครับ จำไม่ได้ล่ะครับว่าเรียกว่าอะไรภาษาไทย (ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่รู้เหมือนกัน ฮ่า ๆ)


โกดัง หนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือจากสงคราม

สวนสวยครับ ใหญ่ด้วย

เป็นระเบียบ สะอาด สวนที่ไทยแบบจ่ายตังค์ (เช่นสวนนงนุช) ผมยังไม่เคยไป เลยไม่รู้ว่าอันไหนดีกว่ากัน

บ้านนั้นเหมือนจะสร้างเพิ่มทีหลัง ไม่แน่ใจเหมือนกัน น้ำในบึงเค้าสีเขียวสวยดีนะครับ

อยากมีไว้ที่บ้านจังเลย ดู art & classic มาก

พออิ่มตาอิ่มใจกับสวนเสร็จ ก็ได้เวลาองค์ลงทันที พวกเราก็เลยมุ่งหน้าไปยังย่าน Kobe Harborland แหล่งรวมห้างสรรพสินค้าและที่สันทนาการประจำเมืองโกเบ ที่นี่ก็จะมีห้างชื่อ Mosaic ที่มีร้านอาหารและร้านรวงต่าง ๆ เยอะมาก และร้านที่นี่จะตกแต่งร้านได้สวยงามยังไงบอกไม่ถูก นอกจากห้างนี้ก็มีห้างอื่น ๆ เช่น Seagull Harbor หรือ Hankyu Department Store แต่แบบเคยอ่านเจอมาว่าห้าง Mosaic นี่คือที่สุดแห่งร้านอาหารล่ะเพราะว่าร้านอาหารเยอะจริง ๆ ประมาณ 40 ร้านซึ่งพวกผมเดินวนกันอยู่รอบนึงก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะกินอะไรเลยไปลงเอยเอากับร้านบุฟเฟ่ต์ที่ดูกะโหลกกะลาแต่รสชาติอาหารนั้นดูกว่าหน้าตาอย่างเหลือเชื่อครับ กับร้านที่มีชื่อว่า Fisherman Market Kobe ร้านนี้ ร้านนี้เป็นร้านบุฟเฟ่ต์แบบเดินไปตักเองขนาดใหญ่ มีไลน์อาหารทะเลให้เลือกตักเยอะพอสมควร และก็พวกอาหารปรุงสำเร็จแบบธรรมดาก็มีให้เลือกเยอะ ซึ่งน่าแปลกใจจริง ๆ ครับว่าทำไมอาหารทุกอย่างที่ผมตักมันถึงอร่อยไปหมดเลยก็มิทราบ ร้านนี้ใครอยากเน้นคุ้มและมาแถวโกเบ แนะนำให้ไปลองดูกันครับ

ชมสวนเสร็จก็นั่ง taxi ไป Kobe Harborland ต่อ taxi ที่นี่ทุกคันมี GPS ครับ ครึ่ง ๆ จะเปิดใช้

Kobe Tower สัญลักษณ์ของเมือง 

น่าจะเป็นเรือล่องชมบริเวณอ่าว แต่เหมือนจะไม่แล่นนะวันที่ผมไป

หนึ่งในห้างในย่านนี้ Seagull Harbor

อันนี้ป้ายโฆษณา Teppanyaki ของโรงแรม ตอนแรกว่าจะชวนที่บ้านเข้าไปกิน (ราคาไม่ค่อยแรง) แต่พอดีเดินเลยไปไกลแล้วเลยไปลงเอยร้านในห้างแทน T_T

ห้าง Mosaic อีกหนึ่งห้างประจำย่าน Kobe Harborland


ร้านสวย ๆ เต็มไปหมดไม่ว่าจะของหวาน (แบบในรูป) เสื้อผ้า หรืออื่น ๆ

ไม่ค่อยมีคนครับ เนื่องจากเป็นวันจันทร์ ห้าง Mosaic นี่ร้านอาหารเยอะครับประมาณ 50 ร้านได้ พวกผมเดินเลือกกันไม่ถูกเลย

ร้าน Fisherman's Market @ Kobe ให้บริการแบบ Tabehoudai หรือ all you can eat นั่นเอง

คนค่อนข้างเยอะเหมือนกันร้านนี้

บุฟเฟ่ต์มีให้เลือกพอประมาณ แม้ว่าจานนี้ผมจะสุม ๆ รวมมาดูไม่น่ากิน แต่ขอโทษเหอะครับ อาหารแต่ละอย่าง(แม่ง) อร่อยกว่าที่ตาเห็นมาก

ถ้าอาหารหน้าตาแบบนี้ที่กรุงเทพผมคงกระเดือกไม่ลง

แต่ว่ากับร้านนี้แล้วแต่ละอย่างอร่อยจนน่าตกใจ

เหมือนว่าจะใช้วัตถุดิบดี

แต่แค่วัตถุดิบดีอย่างเดียวมันไม่พอต้องมีฝีมือด้วย (เคยเจอมากับตัวล่ะครับกับ Sunday Brunch ห้องอาหาร VIU ที่ St. Regis กรุงเทพ ใช้วัตถุดิบดีสุด ๆ แต่ปรุงมาได้ห่วยแตกมาก)

ใกล้ ๆ กับ Kobe Harborland ก็จะเป็น Meriken Park (อยู่ติดกันเลย) ลานขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยพิพิทธภัณฑ์ Kobe Maritime ซึ่งจัดแสดงพวกเรือในยุคสมัยใหม่ กับประวัตศาสตร์ของเมืองท่าโกเบ ว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกยังไง  ใกล้ ๆ กันกับที่ Maritime Museum นี่ก็จะมี Kobe Port Tower หอคอยสีแดงที่ทำจากเหล็กสานกันที่เป็นคล้าย ๆ สัญลักษณ์ของเมืองโกเบตั้งตระหง่านอยู่ แต่หอคอยนี้ไม่ค่อยสูงเท่าไรครับประมาณ 100 เมตรเท่านั้น แต่วิวก็น่าจะสวยอยู่เพราะรอบ ๆ ข้างไม่มีสิ่งก่อสร้างอะไรมาบดบังเลย  และด้านนอกของ Museum นี้ก็จะเป็นลานกว้าง ๆ มีประติมากรรมและสิ่งก่อสร้างเจ๋ง ๆ สวย ๆ ให้ถ่ายรูปอยู่ค่อนข้างเยอะ กระจายตัวกันอยู่ห่าง ๆ และพอหมดจากที่นี่แล้วเราก็สามารถเดินไป China Town ต่อได้ ระยะทางห่างกันประมาณแค่ 10 นาทีเท่านั้น โดย Chinatown ของ เมืองโกเบจะอยู่บริเวณย่าน Motomachi ใกล้กับสถานีรถไฟ ชื่อเดียวกัน Motomachi ตัว Chinatown ของเมืองโกเบนี่ค่อนข้างเล็กและไม่อลังการเท่า Chinatown ที่ Yokohama ที่ผมเคยไปมา (เคยมี TV Champion เอาพ่อครัวจากสองย่านนี้มาสู้กัน มิน่าย่าน Yokohama ถึงชนะ) แต่ก็เป็นอีกหนึ่งย่านที่น่าแวะไปเดินดู ถ่ายรูป หรือซื้อของกินครับ ใกล้ ๆ กับ Chinatown ก็จะมีย่านถนนช้อปปิ้งที่ชื่อ Motomachi อะไรสักอย่างอยู่ไปเดินเล่นได้เพลิน ๆ ครับมีของขายแทบจะครบทุกอย่าง

สิ่งก่อสร้างเจ๋ง ๆ เยอะ

Merikan Park ไปตอนวันหยุดพอดี วันกีฬาแห่งชาติอะไรนี่แหละครับ

ไม่รู้ขับได้จริงรึเปล่าลำนี้

ลำนี้ก็ด้วย ไม่รู้ขับได้มั้ย

ประติมากรรม แปลก ๆ สวย ๆ แหวก ๆ มีเยอะไปหมด

ฝาท่อที่นี่แต่ละเมืองจะมีลวดลายของตัวเองครับ ผมถ่ายสะสมไว้พอสมควรล่ะ

ปลายักษ์ อีกหนึ่งส่งก่อสร้างเท่ ๆ

จะไปไหนก็ตาม (แม่ง) ปิดหมดเลยวันนั้น T_T เป็นอุทธาหรณ์ว่าจะไปเที่ยวต่างประเทศ อย่าลืมดูว่าวันไหนเป็นวันหยุดประจำชาติเขาบ้าง อย่างวันที่ผมไป ใครจะไปคิดว่าจะมีวัน Health and Sports Day เป็นวันหยุดประจำชาติกับเค้าด้วย

มาถึงแล้ว ย่านช้อปปิ้ง

Motomachi

เป็นอย่างนี้ทุกที่จริง ๆ ครับทางเดินหลังคาแก้ว เรียงรายด้วยร้านรวง 2 ข้างทาง ที่ Kobe Motomachi นี่ดูจะกว้างกว่าที่อื่น ๆ ที่ผมไปมา

Chinatown ประจำเมือง ตรงนี้เป็นลานที่มีรูปปั้น 12 นักษัตรตั้งอยู่

คนมาถ่ายรูปประจำราษีตัวเองกันเยอะครับ

มาคราวนี้ก็ไม่ได้กินร้านอาหารจีนใน Chinatown อีกแล้ว เฮ้อ แต่ร้านอาหารจีนในชุมชมคนจีนนี่ตกแต่งร้านสวยน่ารักดีมากครับ ที่ Yokohama ก็เป็นแบบนี้

ร้านแบบไม่ใช่ภัตตาคารก็มี

หรือซื้อของกินเล่นก็ได้

เล็กมากครับ Chinatown @ Kobe


ทีเด็ดที่สุดในย่านนี้คงเป็นร้านนี้

Bruce Lee เต็มร้าน

อันนี้ร้านกล้องที่ Motomachi ครับ

ร้านกล้องที่ญี่ปุ่นแต่ละร้านอลังการสุด ๆ แต่เนื่องจากค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นมามากทำให้อุปกรณ์กล้องทั้งหลายแหล่ แพงกว่าเมืองไทยไปมากมาย คือซื้อเมืองไทยคุ้มกว่า

มีดทำครัวแบบต่าง ๆ ไม่รู้เหมือนกันครับว่าแต่ละแบบใช้ทำไรบ้าง

แวะกินขนมสักหน่อย ปรากฎว่าร้านนี้กลายเป็นร้านดังประจำเมืองซะงั้น (มารู้ตอนหลัง)

มีทั้งส่วน Indoor และ Ourdoor ครับ

เค้กเค้าอร่อยมาก สมกับเป็นร้านดัง

ไม่ว่าจะชิ้นข้างบนหรือชิ้นนี้

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำจากอะไรครับ

จริง ๆ แล้วตามตารางที่ผมวางแผนมา ผมกะจะมา Kobe ซ้ำอีกรอบเพราะ 1. ยังไม่ได้กินเนื้อโกเบแบบ Teppanyaki เลย 2. ยังไม่ได้ไป Mount Rokko ภูเขาที่มีอะไรเจ๋ง ๆ ให้ทำบนภูเขาเยอะ (อารมณ์คล้าย ๆ สวนผึ้งบ้านเรา แต่อากาศดีกว่า) รวมถึงมีวิวที่สวยสุดยอดมาก ๆ อยู่ แต่วันที่ผมแพลนไว้ (3 วันหลังจากนี้) พายุเจ้ากรรมดันซัดเข้าญี่ปุ่นซะงั้นทำให้ผมอดไปไหนเลย ต้องเที่ยวง่อย ๆ อยู่ที่โอซาก้า T_T พวกเราเดินทางกลับไปที่ Umeda ย่านบ้านเกิดโดยใช้ระยะเวลาไม่นาน ประมาณ 30 นาที แล้วก็ไปหาอะไรกินกัน ซึ่งมื้อนี้ก็เป็นอีกมื้อที่ไม่เอาอะไรมากแวะกินร้านที่อยู่แถว ๆ สถานีครับ โดยร้านที่แวะกินในมื้อเย็นนี้ก็ตามรูปข้างล่างนี่เลยชื่อร้าน Piccolo เป็นร้านขายข้าวหน้าแกงกะหรี่ ราคาประหยัดและชามใหญ่ยักษ์มาก ร้านนี้ถ้าอยู่ญี่ปุ่นก็คงเป็นระดับเดียวกันกับร้าน CoCo Ichibanya หรืออาจจะดีกว่าหน่อย ซึ่งรสชาติก็ใกล้เคียงกันครับ อร่อยพอใช้ตามสไตล์แกงกะหรี่ แต่ทีเด็ดร้านนี้ก็ตามที่พิมพ์ไปตะกี้ครับว่าจานใหญ่มาก ใหญ่จริง ๆ ใหญ่แบบขนาดผมยังแทบจะกินไม่หมดเลย ร้านนี้น่าจะเป็นร้าน chain ครับ ใครดูรูปแล้วสนใจ ไปญี่ปุ่นเห็นป้ายก็ลองแวะชิมกันได้ครับ พอเสร็จจากร้านนี้ก็เช่นเคย พวกเราไปเดินแผนก Supermarket ของห้าง Hankyu Department Store เพื่อตามหาของกินลดครึ่งราคากัน ผมก็ได้ปลาดิบมา 3 แพ็ค (ดิบจริง ๆ ครับไม่มีหัวไชเท้าซอยด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ ) (ไหนบอกว่าอิ่มกับข้าวแกงกะหรี่?) หลังจากกินปลาดิบสด ๆ ลดราคา (หอยโฮตาเตะตัวใหญ่และเนื้อนุ่มหวานนนมากกกก ครับ) ก็ได้เวลานอนครับ วันนี้เหนื่อยจริง ๆ ซึ่งจากโปรแกรมที่วางไว้แล้ว พรุ่งนี้เหนื่อยกว่านี้อีก เฮ้อ จะเป็นอะไร โปรดติดตามอ่านได้ที่ลิงค์ นี้เลยครับ

ร้านอยู่บริเวณ Kappa Plaza ในสถานีรถไฟ Umeda

เหมือนจะมีพ่อครัวคนเดียว แต่อาหารก็ไวครับ

ข้าวห่อไข่กับแฮมเบิร์คราดซอสแกงกะหรี่ อร่อยดีครับ

ข้าวห่อไข่ราดซอสเห็ดชิตาเกะ

จานใหญ่จริง ๆ ครับ เหยียดสุดมือแล้วยังได้ประมาณแค่ครึ่งจาน

แกงกะหรี่รสชาติค่อนข้างจัดจ้านถูกปากผมมาก

และจานใหญ่สะใจด้วย

ซูมเข้าไปอีกสักหน่อย
มื้อดึกของผม ถูกมากครับ ไม่ถูกคงไม่ซื้อมาขนาดนี้ 


เบียร์ Suntory Premium Malts อีกแล้ว ก็แบบมันอร่อยอ่ะครับ

แซลมอนก็สดดีครับ แต่ทีเด็ดคือหอยโฮตาเตะครับ ตัวใหญ่มากกกกก ใหญ่จริง ๆ และเนื้อสด นุ่ม หวาน ละมุน มาก โอ้ว อ้า อยากกิน เมืองไทยตัวแบบนี้คงตัวละประมาณ 200 - 300 บาทในขณะที่ผมซื้อมาทั้งถาดนั่นประมาณ 200 บาท


Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 2

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...