Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
|
ตื่นมาพร้อมกับทีวีจอยักษ์ในห้องรุ่นน้อง ที่ญี่ปุ่นเลิกส่งสัญญาณทีวีเป็น analog มาได้หลายปีล่ะครับ ในขณะที่พี่ไทยเรา HD ยังไม่มาเลย เฮ้อ |
หลังจากที่ได้นอนหลับไปอย่างน้อยนิด เวลา 8 โมงเช้าผมก็ตื่นขึ้นมาพร้อมความงัวเงียเล็กน้อย แต่ก็ต้องฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นครับ เพราะมาเที่ยวไม่ได้จะมานอนแถมวันนี้โปรแกรมก็แน่นเอี๊ยด ตลอดวันอีกต่างหาก หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็เริ่มต้นเดินทางกัน จุดหมายแรกคือหาร้านอาหารเช้า รับประทานกันสักหน่อย โดยร้านแรกที่ได้กินที่ญี่ปุ่นเป็นร้านโซบะราคาประหยัดครับ ร้านนี้เป็นร้านที่เปิดตอนเช้าที่ได้คะแนนสูงสุดแล้วใน r.tabelog ในละแวกใกล้บ้านผม
พูดถึง r.tabelog หลายคนอาจจะไม่รู้จัก มันคือเว็บรวบรวมข้อมูลร้านอาหารพร้อม review จากคนที่ได้ไปมาที่ร้านจริง ๆ เป็นเว็บที่ดีมาก ๆ ดีจนผมเอาไอเดียมาทำที่ประเทศไทยด้วยเลยกับเว็บ BumRes.com ของผม ผมก็แอบฝันนะว่าประเทศไทยจะมีเว็บที่มีร้านอาหารและรีวิวเยอะแบบเว็บนี้บ้าง เพราะ เรื่องกินสำหรับผมมันเรื่องใหญ่จริง ๆ เวลาไปในจังหวัดหรืออำเภอที่ไม่รู้จัก การจะหาของกินอร่อย ๆ นี่มันช่างยากเย็นแสนเข็ญ จะไปเชื่อไกด์บุ๊คก็เป็นแค่ลิ้นของคน ๆ เดียว จะถามคนท้องถิ่น บางทีเค้าก็ชอบอาหารอีกแบบ ดังนั้น คะแนนจากคนหมู่มากนี่แหละครับ ที่จะเป็นตัวตัดสินอย่างเป็นกลางที่สุดแล้ว
|
Apartment ของรุ่นน้องผม ลักษณะเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นมากครับ ไม่รู้ทำไมต้องทำแค่ 2 ชั้น |
|
ฝาท่อที่ญี่ปุ่น จะมีลวดลายสวยงาม และแตกต่างกันไปตามเมือง |
|
ย่าย Ooimachi ของผม ตอนเช้ายังไม่ค่อยมีคนเท่าไร |
รีวิวร้านโซบะร้านแรก
ร้านโซบะที่เป็นอาหารมื้อแรกของผมที่ญี่ปุ่นร้านนี้ก็เป็นร้านบ้าน ๆ ร้านนึงครับ รสชาติก็อร่อยดี แต่เนื่องจากโซบะมันก็เป็นอะไรที่ไม่ได้อร่อยสำหรับผมอยู่แล้ว แต่ก็แน่นอนครับว่าอร่อยกว่าโซบะในกรุงเทพแทบจะทุกร้านแน่นอน ร้านนี้เต็ม 5 ก็ให้สัก 3 ดาวครึ่งละกันครับ
|
หน้าร้าน |
|
ร้านที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะให้กดคูปองแล้วก็ไปยื่นให้ที่ counter เป็นการประหยัดแรงงาน เนื่องจากค่าแรงเขาแพงมากครับ |
|
บรรยากาศในร้าน ร้านเล็ก ๆ มีโต๊ะกับบาร์ |
|
เอาคูปองไปยื่นที่ตรงนี้ และก็รับอาหารที่ตรงนี้กินเสร็จก็เอาาคืนที่ตรงนี้ |
|
โซบะใส่สาหร่าย ผักขยำเป็นก้อน ๆ ทอดและไข่ดิบของผม อร่อยครับ |
|
โซบะเย็นพร้อมเนื้อปลาทอดและผักของเพื่อนผม ก็อร่อยอีกเช่นกัน |
|
โซบะแกงกะหรี่ก็อร่อยอีก สมแล้วที่ร้านนี้ได้อันดับ 1 จาก r.tabelog ในย่าน Ooimachi |
|
ไข่ดิบ กินทั้งก้อนเลยครับ ไม่เสียแร่ธาตุ |
|
คนญี่ปุ่นชอบมากินข้าวคนเดียว ร้านแทบทุกร้านเลยจะมีบาร์ไว้รองรับ และได้ข้อดีอีกอย่างคือประหยัดที่ด้วย |
|
น้ำเปล่าทุกร้านจะฟรีครับ พนักงานมารินให้บ้าง ไปกดเองบ้าง เห็นแล้วก็อิจฉา เมืองไทยนี่กับน้ำเปล่าก็จะเอากำไรกันให้ได้ |
เมื่อท้องอิ่ม ก็มีแรงเดินกันต่อครับ เป้าหมายแรกในวันนี้คือย่าน Daigenyama ย่านนี้ เพื่อนผมอยากให้ไปเพราะเป็นย่านที่ร้านรวงจะสวยงาม ๆ หน่อยและก็จะไม่ค่อยมีคนนัก เป็นประมาณ ย่านไฮโซสวยงามอะไรประมาณนั้น และที่สำคัญคืออยู่ใกล้ ชิบุย่า ย่านที่จะต้องไปต่อในตอนเที่ยงครับ ไปถึงย่าน Daigenyama แล้วก็เดิน ๆ เล่นไม่ค่อยมีอะไรมากครับ และหลังจากที่เดินกันเสร็จ ดูเหมือนว่า เพื่อนผมที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจะพามาเดินผิดที่ ต้องไปตรงไหนก็ไม่รู้ ซึ่งคนจะเยอะกว่านี้และมีร้านต่าง ๆ มากกว่านี้ อันนี้ก็เซ็งครับ จากนั้นก็เลยไปชิบุย่ากันต่อ เรานัดคนที่จะเป็นผู้ร่วมเดินทางประจำทริปคนสำคัญ คนนึงไว้ นั่นก็คือ น้องเต้ ครับ เรานั่นก็ที่อนุสาวรีย์หมา หรือเจ้าฮะจิโกะ นั่นเอง ประวัติของเจ้าหมาน้อย ฮะจิโกะ นี่หลายคนคงเคยจะอ่านเจอกันมาแล้ว ผมก็ขอกล่าวถึงสักเล็กน้อยละกันครับ
|
บัตรเติมเงินยี่ห้อ Pasmo ซึ่งสามารถใช้จ่ายค่ารถไฟ, ค่ารถเมล์, ค่าน้ำดื่มหยอดตู้, ค่าบุหรี่และอื่น ๆ อีกมากมายครับ |
|
ร้านบุหรี่มีอยู่แทบจะทุกหัวมุมถนน คนญี่ปุ่นดูดบุหรี่จัดจริง ๆ |
|
บุหรี่โปรดของผมและเพื่อน ๆ Marlboro Ice Blast จะมีเม็ดแป๊ะกดแล้วจะเย็น ๆ เวลาดูด |
|
หลงทางก็ถามทางครับ ถ้าคุยญี่ปุ่นไม่ได้นี่คงแย่ |
|
สะพานลอยเค้าจะไม่ค่อยมี ยกเว้นว่าแยกไหนที่มันมีทางม้าลายไม่ได้จริง ๆ |
|
Porsche Cayene รถหรู ๆ มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ คนจะมีรถที่ญี่ปุ่นได้นี่ต้องรวยมาก ๆ เท่านั้นครับ |
ระหว่างที่ยืนรอ ผมก็ได้เห็นห้าแยกที่มีคนเดินข้ามถนนเยอะสุดในโลก เป็นครั้งที่ 2 โดยคราวที่แล้ว มาตอนหน้าหนาว ผู้คนจะใส่โค้ทใส่เสื้อหนาวกันแต่มาคราวนี้ ส่วนใหญ่จะแต่งตัวสบาย ๆ กันครับ ก็ให้อารมณ์กันไปคนละแบบ พูดถึงเรื่องการเดินข้ามถนน ผมไม่รู้ว่าทำไมประเทศไทยถึงเป็นประเทศเดียว (รึเปล่า) ที่คนต้องหลบรถเวลาข้ามถนน เพราะไม่ว่าจะที่ไหนที่ผมไปมา อเมริกา, เซี่ยงไฮ้ (อันนี้ไม่ค่อยชัวร์ แต่จำได้ว่าไม่มีปัญหากับการวิ่งหนีรถ) ยุโรป หรือญี่ปุ่นเองที่ “รถ” จะต้องรอ “คน” ข้ามให้เสร็จก่อน ซึ่งผมว่ามันก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลนะครับ คนขับรถนั่งสบาย ๆ อยู่แล้วทำไมเราจะต้องไปวิ่งหนีรถให้เมื่อยตุ้ม อีกก็ไม่รู้ สิ่งที่ประทับใจสำหรับการข้ามถนนของคนญี่ปุ่น อีกแบบก็คือทุกแยกไม่ว่าจะแยกเล็กแค่ไหน บ้านไหนเพียงใด ก็จะมีไฟคนข้าม และมีเสียงนกร้องบอกให้คนตาบอดข้ามได้อยู่ทุกแยกไปครับ ผมนึกถึงคนตาบอดเมืองไทยแล้วก็นึกไม่ออกว่า พวกเขาจะข้ามถนนได้อย่างไร ถ้าไม่ใช้สะพานลอยครับ
|
สถานีใหญ่ ๆ อย่าง Shibuya , Shinjuku คนจะเยอะแบบเยอะจริง ๆ |
|
Shibuya หน้าร้อน ผู้คนแต่งตัวกันสบาย ๆ เหมือนกรุงเทพเลยล่ะครับ |
|
คนละบรรยากาศกับเมื่อปีที่แล้วที่ผมมาเลย |
|
เจ้าฮะจิโกะ หมาแสนซื่อสัตย์ สัญลักษณ์และจุดนัดพบประจำย่านนี้ |
|
ที่สถานี Shibuya นี้จะมีรถไฟเหมือนจะเป็นโบกี้แรกมาตั้งโชว์ด้วย |
หลังจากยืนรอสักพัก เต้ ก็มาถึงและเราก็รีบรุดหน้าไปกินอาหารมื้อใหญ่มื้อแรกประจำทริปนี้ กับร้าน Midori Sushi นั่นเองครับ พูดถึงร้าน Sushi แล้ว หลาย ๆ ท่านก็คงจะพอนึกออกว่า Sushi ที่ญี่ปุ่นนั้นจะมี หลายระดับมาก ๆ (จริง ๆ ก็เหมือนเมืองไทยมั้ง?) แบบถูก ๆ ก็จะเป็นซูชิสายพาน (Kaiten Sushi) โดยเจ้า ซูชิแบบนี้ก็จะมีหลายระดับอีกมีทั้งแบบถูกมาก ๆ จานละ 100 yen หมดทั้งร้าน แบบนี้คุณภาพก็จะเลวร้ายที่สุด และก็จะมีการใช้วัตถุดิบทดแทนด้วย เช่นปลาจินดาระ ก็จะใช้ปลาเนื้อขาว ๆ ที่ชิลีแทน หรือ ไข่ปลาแซลมอน ก็จะใช้วุ้นมาสังเคราะห์แทน อะไรประมาณนี้ครับ แบบที่แพงขึ้นมาหน่อย ก็จะอยู่ที่ 100 - 400 yen ต่อจาน แบบนี้คุณภาพวัตถุดิบก็จะดีขึ้นมาหน่อยครับ แต่ว่าการปั้นนั้นจะไม่ค่อย พิถีพิถันสักเท่าไรนัก จะแบบเร่ง ๆ ปั้นเพื่อให้ทันลูกค้าครับ เนื่องจากคนปั้นซูชิตามร้านนี้มักจะมีจำนวนน้อย แบบที่อัพขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นร้านแบบนั่งสั่งครับ ร้านพวกนี้ก็จะคล้าย ๆ กัน ราคาถูกราคาแพงก็จะแล้วแต่ ความดังของร้าน, ของคนปั้น หรือชื่อเสียงอันยาวนานของร้านครับ ร้านแบบนั่งสั่งนี้ ตัวคุณภาพการปั้นของ ซูชิแต่ละคำจะดีกว่าร้านสายพานแบบชัดเจนครับ ข้าวกับปลาจะสมานเป็นชิ้นเดียวกัน การตกแต่งจัดเรียง จานอาหารก่อนนำมาเสิร์ฟจะจัดมาอย่างสวยงาม ตัววัตถุดิบก็จะใหม่สดเสมอ เพราะจะไม่มีการปั้นทิ้งไว้ บนสายพานให้หมุนไปเรื่อย ๆ อ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ร้านสายพานที่แพง ๆ หน่อยหลายร้านจะมีเซนเซอร์ไว้ใต้จาน นะครับถ้าจานนั้นหมุนเกินระยะเวลาที่กำหนด (รู้สึกจะ 1 ชั่วโมง) จานนี้ก็จะถูกกำจัดทิ้งไป
อย่างร้าน Midori Sushi ที่ผมกำลังจะกินนี่ก็มีหลายสาขาครับ บางสาขาก็เป็นซูชิสายพาน บางสาขาก็เป็นแบบนั่งสั่ง ซึ่งแน่นอนครับแบบนั่งสั่งคุณภาพจะดีกว่า แต่ก็จะแพงกว่าด้วย สำหรับสาขา ชิบุย่า ที่ผมมานี่เป็นแบบนั่งสั่งครับ เนื่องจากว่ากินทั้งที กินให้มันดี ๆ กันไปเล้ยยย อ้อ พูดถึงเรื่องร้านซูชิแบบนั่งสั่งก็นึกได้อีกเรื่องครับ การกินซูชิที่ร้านจะมีสิ่งที่เรียกว่า Omakase อยู่ หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือให้คนปั้นจัดมาให้ครับ โดยเราจะกำหนดงบ, กำหนดปลาที่กินไม่ได้, ปลาที่ไม่ชอบกับคนปั้น แล้วคนปั้นก็จะค่อย ๆ ทยอยปั้นมาให้เราเรื่อย ๆ จนอิ่มครับ (ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 15 คำ) มาญี่ปุ่นคราวนี้ผมไม่ได้กินแบบ Omakase นี่เลยเนื่องจากเกรงใจเพื่อน ๆ ถ้าเพื่อน ๆ จะต้องกินตามครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วแบบ Omakase นี่จะแพงกว่าแบบปกติเพราะ เชฟจะเลือกสิ่งที่สด และดีที่สุดในแต่ละวันแต่ละมื้อมาให้เราครับ จริง ๆ รายละเอียด, ประวัติหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เกี่ยวกับ ซูชิ นี่ยังมีอีกเยอะครับ ไว้เดี๋ยวผมจะค่อย ๆ ทยอยสอดแทรกลงไปละกัน เพราะในทริปนี้ผมก็กินซูชิค่อนข้างเยอะเหมือนกันครับ
รีวิวร้าน Midori Sushi
ร้าน Midori Sushi @ Shibuya ก็ถือว่าเป็นการประเดิมร้านซูชิร้านแรกที่น่ารประทับใจสำหรับผมครับ ซูชิอร่อยราคาไม่ค่อยแพง และมีให้เลือกเยอะมาก ๆ ร้านนี้เอาไป 5 ดาวเต็มเลยละกันครับ ชอบครับ
|
หน้าร้าน Midori Sushi @ Shibuya ครับ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไรวันนี้รอคิวแค่ 15 นาทีเอง |
|
คนเต็มร้าน ทั้งแบบโต๊ะและแบบเคาน์เตอร์ |
|
Sushi มีให้เลือกเยอะสะใจ ราคาก็ไม่ค่อยแพงเท่าไรนักครับ |
|
Set ใหญ่สุดของทางร้าน 3,000 yen โดยประมาณ (ถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับที่ไทย) |
|
การห่อแบบนี้เรียกว่า กุนกังมากิ หรือแบบเรือรบครับ เหมาะกับใส่ไข่ปลาแซลมอน, หอยเม่น และชิราโอะ |
|
อีกหนึ่งมุมกับชุด 3000 yen ถ้าที่ไทยคงสัก 3000 บาท |
|
เพื่อนผมสั่งแบบตามสั่ง |
|
อันนี้ไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง น่าจะ sear tuna กับ sear salmon |
|
Salmon สดกับ Hotate สด Midori Sushi @ Shibuya นี่จะปั้นคำค่อนข้างเล็กกว่าร้านอื่น ๆ ที่ผมกินหน่อยครับ |
|
Anago หรือปลาไหลน้ำจืด สวยงามคำใหญ่โตมาก |
|
อันนี้ไม่แน่ใจว่าคืออะไร น่าจะกุ้งโบตั๋นกบคาร์เวียร์นะครับ |
|
ชอบครับ สวยงาม สดมากกับเจ้า หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอนนี่ |
|
อันนี้แบบ a la carte มี Awabi หรือเป๋าฮื้อ , ครีบปลาตาเดียว และก็อีก 2 อันจำชื่อไม่ได้ (โคโฮดะมั้ง) |
|
ฮามาจิ สีไม่ค่อยเหมือนที่ไทย แต่ก็เนียน อร่อยครับ |
|
Salmon ส้มแจ๋นมาก อร่อยเยี่ยมเช่นเดียวกัน |
|
อ่านไม่ออกก็ดูรูปเอาครับ |
|
พนักงานร้านอาหารที่ญี่ปุ่นนี่ผมว่าเป็นหนึ่งในตองอูครับ ทั้งมารยาท, การดูแล การยิ้มแย้มแจ่มใส และอื่นๆ |
|
อันนี้เป็นของเรียกน้ำย่อย สลัดไข่ปู กับไข่ตุ๋น |
|
เบียร์สดที่ญี่ปุ่น ผมสั่งแทบจะทุกมื้อครับ อร่อยมาก อร่อยกว่าเบียร์เมืองไทยเยอะ ส่วนใหญ่จะราคา 500 -700 yen ต่อแก้วโดยประมาณ |
|
ปลาชิราโอะ หากินไม่ค่อยได้ที่ไทย อร่อยดีครับ ชอบ (ใช่ปลาข้าวสารรึเปล่าผมไม่แน่ใจ) |
|
เป๋าฮื้อ หรือ Awabi ที่ไทยก็ไม่ค่อยมี แต่ไม่ค่อยอร่อยครับ แข็ง, เหนียวไป |
หลังจากที่กินจนอิ่มแทบจะพุงแตกตาย เราก็ไปเดินย่อยอาหารกันที่ย่าน Koenji ครับ ย่านนี้ เพื่อนผมบอกว่าเป็นย่านน้องเล็กของฮาราจูกุ คือจะเป็นแหล่งที่วัยรุ่นแต่งตัวแนว ๆ มาเดินกัน และก็จะมีร้านรวงของแนว ๆ ขายอยู่เยอะ แต่เนื่องจากวันที่ไปเป็นวันธรรมดา ก็เลยไม่ค่อยเจอเด็กแนว ๆ กันสักเท่าไรครับ เนื่องจากเด็ก ๆ ไปโรงเรียนกัน ส่วนร้านรวง ก็มีร้านเจ๋ง ๆ แปลก ๆ พอสมควรครับ เช่นร้านนึงชื่อร้าน Cool Book หรืออะไรประมาณนี้น่ะครับ ในร้านจะขายหนังสือ ปนกันกับของกระจุกกระจิกต่าง ๆ และก็เป็นเพลงมันส์ ๆ ไปด้วย อันนี้ผมก็ค่อนข้างงงว่า มันเข้ากันตรงไหน และก็มีร้านแบบนึง ผมจำชื่อญี่ปุ่นไม่ได้ คือจะขาย บารากุ ให้ไปนั่งดูดกัน แล้วก็จะมีเครื่องดื่มบริการ (แต่ไม่มีแอลกอฮอล์) ร้านก็จะตกแต่งมืด ๆ ทมิฬ ๆ หน่อย อืม ก็เป็นอะไรที่แปลกดี แล้วก็จะมีร้านให้เช่า ชุด custom , fancy , kimono , yugata ครับ เสื้อผ้าของร้านนี้ก็เจ๋งดี หลังจากเดิน ๆ กันได้สักพัก ก็ต้องกลับไป Shibuya อีกครั้งเนื่องจาก เต้ มีภารกิจต้องไปสอนหนังสือครับ (สอนภาษาไทยให้คนญี่ปุ่น)
|
ย่าน Koenji ครับ ดูทันสมัย สะอาดเอี่ยมดีมาก |
|
ที่ญี่ปุ่น ย่านช้อปปิ้งของเค้าจะเป็นแบบนี้หมดครับคือเป็นร้านรวง 2 ข้างทางแล้วก็มีหลังค่ากันแดดกันฝนด้านบน เหมือนกันหมดไม่ว่าจะย่านไหนเมืองไหน ก็เป็นระเบียบดีนะครับ |
|
น้ำเปล่าที่ญี่ปุ่นจะไม่มีขายมีแต่น้ำแร่และน้ำอื่น ๆ ขวดนี้ 105 yen |
|
ร้านแนว ๆ เยอะครับย่านนี้ |
|
เสื้อผ้าสวย ๆ แนว ๆ |
|
ที่จอดรถอันสุดแสนจะทันสมัย (แต่ดูไม่ทันสมัยเท่าที่อินเดียในหนัง MI:4 |
|
ร้านที่บอกครับ เหมือนจะให้เข้าไปนั่งดูดบารากู่ พร้อมกับดื่มชากาแฟ เป็นร้านที่ concept แปลกดี |
|
ผักถูกดีครับ ผมไปตอนหลัง Tsunami ซักพักแล้วเลยแพงขึ้นมาหน่อย จำได้ว่าช่วงหลัง Tsunmai นี่ถูกมาก เหมือนแทบจะแจกฟรี |
|
เบคอนปลาวาฬอันละไม่กี่บาท เมืองไทยแค่แผ่นเดียวก็ขายกันหลายร้อยบาทแล้วล่ะครับ |
|
Sashimi วางขายเกลื่อนแทบจะเป็นเรื่องปกติ |
|
ร้าน Mac Store ที่ Shibuya ครับ คล้าย ๆ ร้าน iStudio ที่เมืองไทย คนเยอะพอกัน พนักงานใส่เครื่องแบบ และร้านสวยพอ ๆ กัน |
|
แวะดูกล้องหน่อยครับ |
|
ร้านกล้องเค้านี่อุปกรณ์เยอะมาก ๆ ร้านกล้องที่บ้านเราชิดซ้ายไปเลย |
|
แต่เนื่องด้วยค่าเยนที่แข็งขึ้นมามากทำให้กล้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ราคาแพงขึ้นมาเช่นเดียวกัน (แพงกว่าไทย) |
หลังจากแยกย้ายกับเต้ พวกผม 3 คนก็มุ่งหน้าไป Yogohama กันต่อ ถ้าพูดถึงขนาดเมือง (เทียบจากจำนวนประชากร) ของญี่ปุ่นแล้ว หลายท่าน (รวมถึงผมด้วย) คงคิดว่า โตเกียวใหญ่เป็นอันดับ 1 และตามมาด้วยโอซาก้า ซึ่งความจริงอันนี้เป็นเรื่องจริงเมื่อ 3-4 ปีก่อนครับแต่ล่าสุด Yokohama ได้แซง Osaka ขึ้นมาเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ไปแล้ว Yokohama เป็นเมืองท่า ที่อยู่ใกล้โตเกียวมาก ๆ ตั้งตัวเองอยู่ทางทิศตะวันตก(เฉียงใต้) ของโตเกียว มีพนักงานบริษัทหลายคนที่บ้านอยู่ Yokohama แล้วเดินทางไปทำงานในโตเกียว เนื่องจากถ้าเดินทางจริง ๆ มันก็แค่รึ่งชั่วโมงเท่านั้น (คนในเขตปริมณฑลในกรุงเทพบางคนยังเดินทางไปทำงานโดยใช้เวลานานกว่าเลยว่ามั้ยครับ?)
|
มุ่งหน้าไป Yokohama |
|
แวะ Convenient Store ของเค้าซักหน่อย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เยอะดีแท้ครับ |
|
หนังสือ, magazine ก็เยอะครับ บ่งบอกการอ่านหนังสือของคนญี่ปุ่น คนอ่านเยอะก็เลยทำให้หนังสือเยอะ ราคาต่อเล่มก็เลยถูกด้วยอีกต่างหาก เฮ้อ คิดแล้วก็เซ็งเมืองไทย |
|
Showroom lexus แต่ไม่ค่อยเห็นคนขับกัน |
|
ย่าน Shopping ของเมือง Yokohama ครับ ย่าน Motomachi |
|
สุสานเต็มเมือง คนโยโกฮาม่าไม่กลัวผีกันเลย |
|
คนจูงหมามาเดินเล่นกันเยอะมากครับ มีหลากหลายสายพันธุ์มาก |
|
บ้านเมืองจะเป็นสไตล์ยุโรป เก่าแก่ ๆ ไม่เหมือนย่านอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่น |
|
ป้า ๆ พาน้องหมามาเจอกัน ดูคุณเธอสนุกสนานกันมากครับ |
Yokohama สำหรับผมแล้วก็เป็นเมืองที่ดูดีและน่าอยู่ดีนะครับ บ้านเมืองดูสะอาด ๆ (ซึ่งจริง ๆ ญี่ปุ่นก็สะอาดทุกเมือง) บ้าน, ร้านรวงดูทันสมัย chick ๆ แล้วก็ออกแนวยุโรป ๆ ยุคเก่ายังไงก็ไม่ทราบ ผมเดินไปทางยอดเขาที่มีบ้านแบบหลังใหญ่เยอะ ๆ แต่หลังบ้านก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และมีหลุมศพสไตล์ยุโรปตั้งอยู่อย่างระเกะระกะในย่านนี้ ก็ไม่รู้ว่าคนในย่านนี้เขาไม่กลัวผีกันหรืออย่างไร พอเดินไปจนถึงยอดเขา ก็เจอกับคณะแม่บ้านพาหมามาเล่นกันครับ ดูพวกคุณเธอมีความสุขกันมาก ๆ (เช่นเดียวกับน้องหมาของคุณเธอ) พูดถึงเรื่องหมาที่ญี่ปุ่นแล้วนอกจากเจ้าฮะจิโกะที่เป็นที่โด่งดัง แล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าหมาที่ญี่ปุ่นแพงมาก ๆ ต้องเป็นคนมีฐานะจริง ๆ เท่านั้นถึงจะเลี้ยงได้ เพราะค่าใช้จ่ายนั้นพอ ๆ กับลูกคนนึงเลยทีเดียว แพงจนเพื่อนญี่ปุ่นที่มาไทย เห็นหมาจรจัดเยอะ มาก ๆ ในไทย แล้วพูดกับผมว่า คนไทยนี่รวยเนอะ เอาหมามาปล่อยกันจนหมาเต็มบ้านเต็มเมืองเลย ฮ่า ๆๆ น้องหมาที่ญี่ปุ่นนี่เท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะเป็นหมา size เล็ก - กลาง ครับ นาน ๆ ทีถึงจะมีหลุด size ใหญ่มาบ้าง และเสียดายตลอด 8 วันที่ผมอยู่งวดนี้ผมไม่เห็นพันธุ์ Golden Retriever พันธุ์โปรดของผมเลย (ที่บ้านผมเลี้ยงไว้อยู่ตัวนึงครับก็เลยชอบ)
|
สะพานยาว ๆ ใหญ่ ๆ แบบนี้มีอยู่แทบจะทุกเมืองท่า |
|
กลับแล้วจ้า Motomachi |
|
แวะ China Town เค้าหน่อย เป็นเมืองคนจีนที่สะอาด และสวยงามมาก |
|
คนไม่ค่อยเยอะ (ดูความสะอาดของพื้นสิครับ) |
|
มีแต่ร้านอาหารจีน (แน่สิ) ร้านเยอะมากครับ น่าเข้าไปกินหลายร้าน |
|
โอย น้ำลายไหล |
พอผมพิชิตยอดเขา(เตี้ย ๆ ) ที่ Yokohama และได้ถ่ายรูปอ่าวโยโกฮาม่าอันยิ่งใหญ่เสร็จก็ถึงเวลา จรลีลงจากเขาล่ะครับ พอลงจากเขาเสร็จตะวันก็ลับฟ้าไปซะแล้ว พวกผมเดินกลับจากยอดเขาผ่าน China Town ที่เป็น ไชน่าทาวน์ที่สะอาดและสวยงาม หรูหราอลังการมาก (เมื่อเทียบกับเยาวราชเรา หรือที่โกเบเอง) แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ลองกินเลยสักร้านเนื่องจากมีนัดกับเพื่อนไว้ที่ร้านอื่นที่โตเกียวแล้ว ก็เลยได้แต่เก็บบรรยากาศร้านมาอย่างเดีย เดินไปเดินมาสักพัก ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมา ๆ ผมก็เลยชวน ม่ำกับสุ แวะร้านอาหารเดนมาร์คร้านนึงหลบฝนก่อน ร้านนี้ผมไม่รู้จักชื่อร้านหรอกครับ แต่แบบ ประหลาดดี อาหารเดนมาร์ค ที่กรุงเทพถ้าให้ผมนึกก็นึกไม่ออกครับว่ามีอาหารแบบนี้ด้วย เนื่องจากว่าพวกผมมีนัดกิน มื้อดึกกันต่อก็เลยไม่ได้กินกันเยอะ ก็สั่งเบียร์กันมาคนละแก้วพร้อมอาหารกินเล่นครับ ซึ่งทั้ง 2 อย่างประทับใจมาก ๆ ๆ อร่อยจนอยากจะชมออกมาเป็นภาษาเดนมาร์คเลยทั้งอย่างนั้น
|
ไม่รู้แปลว่าไรครับ ร้านเดนมาร์คร้านนี้ |
|
บรรยากาศร้านยุโร๊ป ยุโรป |
|
เบียร์ดำของเพื่อนผม ผมไม่ค่อยชอบเบียร์ดำ |
|
มาร้านเดนมาร์คก็ต้องสั่งเบียร์เดนมาร์ค Carlsberg ก็อร่อยดีนะครับ |
|
ซุปมาแปลก มาเย็น ๆ แต่ก็อร่อยดี |
|
ไอ้นี่ไม่รู้เรียกว่าอร่อย หน้าตาแปลก รสชาติอร่อยเยี่ยมมากครับ |
|
โยโกฮาม่า ยามค่ำคืน แต่ทำไมไฟยังติดกันอยู่แทบทุกตึก คนญี่ปุ่นขยันทำงานกันมากครับ กลับกัน 4 ทุ่ม เที่ยงคืนเป็นเรื่องปกติ ใครกลับก่อนจะโดนเพ่งเล็งเอาด้วยซ้ำครับ |
|
คล้าย ๆ โป๊ะขนาดใหญ่ยื่นออกไปในทะเล ให้มาสวีทกัน มาเดินเล่นชมวิวกัน |
หลังจากฝนหยุดเทลงมาพวกผมก็เดินกันไปต่อที่ตรงท่าเรือครับ เดินไปตรงบริเวณที่คล้าย ๆ เป็นโป๊ะขึ้นเรือ แต่ก็ไม่ใช่ เป็นไม้ ๆ ยื่นออกไปในทะเลครับ เจอคู่รักชาวญี่ปุ่นหลายคู่มาสวีทหวานแว๋วกัน เพราะบรรยากาศ ณ จุดนี้นั้นให้มาก ๆ ครับ ทางการก็เหมือนจะรู้ดีก็เลยจัดเก้าอี้นั่งคู่ไว้ตั้งอยู่ห่าง ๆ กัน เฮ้อ ใครที่มา Yokohama กับคนรักก็ลองแวะมาที่นี่ดูนะครับ ผมจำไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่แบบบรรยากาศให้มาก ๆ วิวสวย (เห็นชิงช้าสวรรค์, หอคอย Yokohama) และโรแมนติคมาก ๆ ครับ หลังจากที่เราแอบโรแมนติคกัน(รึเปล่า) 3 คนเสร็จเวลาก็เริ่มดึกแล้วก็เลยกลับไปที่โตเกียวกัน พอกลับไปถึงห้องเจอนายอื๋อ (เจ้าของห้องที่ผมไปนอนฟรี) กำลังเดินกลับห้องพอดี ก็เลยชวนกันไปกินข้าวกันสักหน่อย โดยนายอื๋อได้แนะนำร้าน 270 yen (ทุกอย่าง 270 yen!) ซึ่งมีชื่อร้านว่า อะไรสักอย่าง Jr. เนี่ยแหละครับ พอผมแค่ได้ฟัง concept ของร้านเท่านั้นล่ะ ความอยากไปของผมก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาเลยทีเดียว
|
ทางเข้าร้าน Kinno Kura Jr. ให้ความรู้สึกเป็นญี่ปุ่นดีมั้ยครับ? ไม้ ๆ ๆ |
|
Edamame หรือถั่วแระ จานนี้โต๊ะนึงบังคับสั่ง เอามาวางแหมะให้เลย |
|
สั่ง Menu จาก tablet อันนี้ คล้าย ๆ ipad แต่จอไม่ใช่ capacitive screen และเหมือนจะ run โดย linux ที่ทางร้านเขียนขึ้นเอง สะดวกดีครับ |
|
ทุกอย่าง 270 yen |
|
แม้แต่เบียร์สด (อร่อยมากกกก เบียร์เค้า) |
|
ไก่ทอด |
ร้าน 270 yen หรือ Kinraku Jr. เป็นร้านสไตล์ Izakaya (ร้านเหล้าแบบญี่ปุ่น) ซึ่งจัดร้านได้ตรงตามสไตล์ Izakaya มาก ๆ (เป็นไม้ ๆ และก็แบ่งเป็นห้องเล็ก) จุดเด่นของร้านนี้คืออาหาร และเครื่องดื่มทุกอย่างจะราคา 270 yen หมด ซึ่งเป็นอะไรที่ถูกมาก ๆ เท่านั้นยังไม่พอ อาหารทุกอย่างยัง อร่อยอีกต่างหาก! ตัวอย่างอาหารนะครับ ปลาฮอกเกะตัวเบ้อเริ่ม (ใหญ่กว่าโอโตยะที่เมืองไทย) ราคา 270 เยน! (ประมาณ 110 บาท) ซูชิหน้าเนื้อย่าง 5 คำ, ยากิโทริ 3 ไม้ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทีเด็ดที่สุดคงเป็นที่เบียร์สดครับ เพราะแก้วละแค่ 270 yen เอง ซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ เพราะเบียร์สดตามร้านอาหารญี่ปุ่นเท่าที่ผมกินมา ไม่ว่าจะร้านบ้านนอกขนาดไหน อย่างต่ำ ๆ ก็ 500 yen แล้วล่ะครับ (ยกเว้นจะมีช่วง Happy Hour) ผมก็เลยซัดไป เท่าไรแก้วหว่า หลายแก้วจนจำไม่ได้ล่ะครับ ฮ่า ๆๆ
|
อะไรทอดไม่รู้ |
|
อะไรก็ไม่รู้ |
|
ปอเปี๊ยะทอด |
|
ซูชิหน้าเนื้อ |
|
แซลมอนซาซิมิ |
|
ไก่ยากิโทริ |
พูดถึงเรื่องเบียร์สดที่ญี่ปุ่นแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเบียร์สดที่ญี่ปุ่นถึงได้ “อร่อยมาก” ขนาดนี้ อร่อยจนผมต้องสั่งกินที่ร้านอาหารทุกมื้อ อร่อยแบบขนาดผมซื้อเบียร์กระป๋องที่แพงที่สุดใน 7-11 แล้วก็ยังไม่อร่อยเท่า อร่อยจนผมคร่ำครวญอยากกินตอนกลับมาและอร่อยจนผมปฏิญานกับตัวเองว่า ไปญี่ปุ่นต่อจากนี้จะสั่งมาดื่มอย่างต่ำมื้อละ 1 แก้ว! ผมไม่รู้ว่ามันเป็นที่กรรมวิธีการเก็บเบียร์สดของทางร้าน หรือเพราะรสชาติที่ถูกปากกับคนไทย แต่เพื่อนคนไทยของผมทุกคน ต่างชื่นชมเจ้า นามะ-บีรุ (เบียร์สด อ่านแบบญี่ปุ่น) กันทุกคนครับ ดังนั้นใครที่เป็นคอเบียร์ (หรือไม่ได้เป็นก็ตาม) ถ้ามีโอกาสจะได้ลองเบียร์สดญี่ปุ่น ผมแนะนำอย่างยิ่งว่าให้ลองครับ นี่อาจจะเป็นสาเหตุนึงด้วยมั้งที่ทำให้ ผู้หญิงญี่ปุ่นดื่มเบียร์กันเป็นเรื่องปกติ (ผู้หญิงดื่มเบียร์นี่ sexy ดีนะครับตามความคิดผม แหะ ๆ) ในขณะที่ผู้หญิงไทยที่ดื่มเบียร์? ผมแทบจะนับหัวได้เลยกับเพื่อนผู้หญิงผม
หลังจากที่กินกันจนอิ่มหมีพีมัน (และกรึ่มกำลังดี) พวกเราก็เดินทางกลับไปที่หอพักนายอื๋อและอาบน้ำและล้มตัวนอนกันอย่างรวดเร็วครับ อ้อ หน้าร้อนวันแรกของผมที่ญี่ปุ่นผมอยากจะบอกว่า (มึง)จะร้อนไปไหนครับ ร้อนกว่ากรุงเทพอีกครับ ผมนี่เหงื่อแตกแทบจะตลอดเวลากันเลยทีเดียว
|
ปลาฮอกเกะนี่ก็ 270 yen ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าตัวละ 300 บาทที่ร้าน Ootoya บ้านเราอีก |
|
เครื่องดื่มก็มีมากมาย |
|
เครื่องในคนญี่ปุ่นก็กินกันไม่แพ้คนไทยเลยล่ะครับ (เผลอ ๆ มากกว่า) |
|
เหล้าลิ้นจี่บ๊วยของโปรดของสาว ๆ |
|
กินกันจนร้านปิด ไม่เหลือคนแล้ว |
วันที่ 2 ของผมก็จบลงอย่างงดงามและประทับใจครับ เดินทางกันมาราธอนมาก กว่าจะได้กลับเข้าห้องนอนก็เกือบตี 1 แล้ว และกว่าจะได้นอนก็ซัดไปตี 3 ได้ วันที่ 3 ตอนที่ 4 ของผมเป็นอย่างไรโปรดติดตามต่อได้ ตาม link นี้เลยครับ
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment