BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Tuesday, June 5, 2012

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2


ตื่นมาพร้อมกับทีวีจอยักษ์ในห้องรุ่นน้อง ที่ญี่ปุ่นเลิกส่งสัญญาณทีวีเป็น analog มาได้หลายปีล่ะครับ ในขณะที่พี่ไทยเรา HD ยังไม่มาเลย เฮ้อ


หลังจากที่ได้นอนหลับไปอย่างน้อยนิด เวลา 8 โมงเช้าผมก็ตื่นขึ้นมาพร้อมความงัวเงียเล็กน้อย แต่ก็ต้องฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นครับ เพราะมาเที่ยวไม่ได้จะมานอนแถมวันนี้โปรแกรมก็แน่นเอี๊ยด ตลอดวันอีกต่างหาก หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็เริ่มต้นเดินทางกัน จุดหมายแรกคือหาร้านอาหารเช้า รับประทานกันสักหน่อย โดยร้านแรกที่ได้กินที่ญี่ปุ่นเป็นร้านโซบะราคาประหยัดครับ ร้านนี้เป็นร้านที่เปิดตอนเช้าที่ได้คะแนนสูงสุดแล้วใน r.tabelog ในละแวกใกล้บ้านผม
พูดถึง r.tabelog หลายคนอาจจะไม่รู้จัก มันคือเว็บรวบรวมข้อมูลร้านอาหารพร้อม review จากคนที่ได้ไปมาที่ร้านจริง ๆ เป็นเว็บที่ดีมาก ๆ ดีจนผมเอาไอเดียมาทำที่ประเทศไทยด้วยเลยกับเว็บ BumRes.com ของผม ผมก็แอบฝันนะว่าประเทศไทยจะมีเว็บที่มีร้านอาหารและรีวิวเยอะแบบเว็บนี้บ้าง เพราะ เรื่องกินสำหรับผมมันเรื่องใหญ่จริง ๆ เวลาไปในจังหวัดหรืออำเภอที่ไม่รู้จัก การจะหาของกินอร่อย ๆ นี่มันช่างยากเย็นแสนเข็ญ จะไปเชื่อไกด์บุ๊คก็เป็นแค่ลิ้นของคน ๆ เดียว จะถามคนท้องถิ่น บางทีเค้าก็ชอบอาหารอีกแบบ ดังนั้น คะแนนจากคนหมู่มากนี่แหละครับ ที่จะเป็นตัวตัดสินอย่างเป็นกลางที่สุดแล้ว

Apartment ของรุ่นน้องผม ลักษณะเหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่นมากครับ ไม่รู้ทำไมต้องทำแค่ 2 ชั้น


ฝาท่อที่ญี่ปุ่น จะมีลวดลายสวยงาม และแตกต่างกันไปตามเมือง

ย่าย Ooimachi ของผม ตอนเช้ายังไม่ค่อยมีคนเท่าไร


รีวิวร้านโซบะร้านแรก


ร้านโซบะที่เป็นอาหารมื้อแรกของผมที่ญี่ปุ่นร้านนี้ก็เป็นร้านบ้าน ๆ ร้านนึงครับ รสชาติก็อร่อยดี แต่เนื่องจากโซบะมันก็เป็นอะไรที่ไม่ได้อร่อยสำหรับผมอยู่แล้ว แต่ก็แน่นอนครับว่าอร่อยกว่าโซบะในกรุงเทพแทบจะทุกร้านแน่นอน ร้านนี้เต็ม 5 ก็ให้สัก 3 ดาวครึ่งละกันครับ


หน้าร้าน

ร้านที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะให้กดคูปองแล้วก็ไปยื่นให้ที่ counter เป็นการประหยัดแรงงาน เนื่องจากค่าแรงเขาแพงมากครับ

บรรยากาศในร้าน ร้านเล็ก ๆ มีโต๊ะกับบาร์

เอาคูปองไปยื่นที่ตรงนี้ และก็รับอาหารที่ตรงนี้กินเสร็จก็เอาาคืนที่ตรงนี้

โซบะใส่สาหร่าย ผักขยำเป็นก้อน ๆ ทอดและไข่ดิบของผม อร่อยครับ

โซบะเย็นพร้อมเนื้อปลาทอดและผักของเพื่อนผม ก็อร่อยอีกเช่นกัน

โซบะแกงกะหรี่ก็อร่อยอีก สมแล้วที่ร้านนี้ได้อันดับ 1 จาก r.tabelog ในย่าน Ooimachi

ไข่ดิบ กินทั้งก้อนเลยครับ ไม่เสียแร่ธาตุ

คนญี่ปุ่นชอบมากินข้าวคนเดียว ร้านแทบทุกร้านเลยจะมีบาร์ไว้รองรับ และได้ข้อดีอีกอย่างคือประหยัดที่ด้วย

น้ำเปล่าทุกร้านจะฟรีครับ พนักงานมารินให้บ้าง ไปกดเองบ้าง เห็นแล้วก็อิจฉา เมืองไทยนี่กับน้ำเปล่าก็จะเอากำไรกันให้ได้


เมื่อท้องอิ่ม ก็มีแรงเดินกันต่อครับ เป้าหมายแรกในวันนี้คือย่าน Daigenyama ย่านนี้ เพื่อนผมอยากให้ไปเพราะเป็นย่านที่ร้านรวงจะสวยงาม ๆ หน่อยและก็จะไม่ค่อยมีคนนัก เป็นประมาณ ย่านไฮโซสวยงามอะไรประมาณนั้น และที่สำคัญคืออยู่ใกล้ ชิบุย่า ย่านที่จะต้องไปต่อในตอนเที่ยงครับ ไปถึงย่าน Daigenyama แล้วก็เดิน ๆ เล่นไม่ค่อยมีอะไรมากครับ และหลังจากที่เดินกันเสร็จ ดูเหมือนว่า เพื่อนผมที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจะพามาเดินผิดที่ ต้องไปตรงไหนก็ไม่รู้ ซึ่งคนจะเยอะกว่านี้และมีร้านต่าง ๆ มากกว่านี้ อันนี้ก็เซ็งครับ จากนั้นก็เลยไปชิบุย่ากันต่อ เรานัดคนที่จะเป็นผู้ร่วมเดินทางประจำทริปคนสำคัญ คนนึงไว้ นั่นก็คือ น้องเต้ ครับ เรานั่นก็ที่อนุสาวรีย์หมา หรือเจ้าฮะจิโกะ นั่นเอง ประวัติของเจ้าหมาน้อย ฮะจิโกะ นี่หลายคนคงเคยจะอ่านเจอกันมาแล้ว ผมก็ขอกล่าวถึงสักเล็กน้อยละกันครับ






บัตรเติมเงินยี่ห้อ Pasmo ซึ่งสามารถใช้จ่ายค่ารถไฟ, ค่ารถเมล์, ค่าน้ำดื่มหยอดตู้, ค่าบุหรี่และอื่น ๆ อีกมากมายครับ

ร้านบุหรี่มีอยู่แทบจะทุกหัวมุมถนน คนญี่ปุ่นดูดบุหรี่จัดจริง ๆ


บุหรี่โปรดของผมและเพื่อน ๆ Marlboro Ice Blast จะมีเม็ดแป๊ะกดแล้วจะเย็น ๆ เวลาดูด

หลงทางก็ถามทางครับ ถ้าคุยญี่ปุ่นไม่ได้นี่คงแย่

สะพานลอยเค้าจะไม่ค่อยมี ยกเว้นว่าแยกไหนที่มันมีทางม้าลายไม่ได้จริง ๆ

Porsche Cayene รถหรู ๆ มีให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ คนจะมีรถที่ญี่ปุ่นได้นี่ต้องรวยมาก ๆ เท่านั้นครับ






ระหว่างที่ยืนรอ ผมก็ได้เห็นห้าแยกที่มีคนเดินข้ามถนนเยอะสุดในโลก เป็นครั้งที่ 2 โดยคราวที่แล้ว มาตอนหน้าหนาว ผู้คนจะใส่โค้ทใส่เสื้อหนาวกันแต่มาคราวนี้ ส่วนใหญ่จะแต่งตัวสบาย ๆ กันครับ ก็ให้อารมณ์กันไปคนละแบบ พูดถึงเรื่องการเดินข้ามถนน ผมไม่รู้ว่าทำไมประเทศไทยถึงเป็นประเทศเดียว (รึเปล่า) ที่คนต้องหลบรถเวลาข้ามถนน เพราะไม่ว่าจะที่ไหนที่ผมไปมา อเมริกา, เซี่ยงไฮ้ (อันนี้ไม่ค่อยชัวร์ แต่จำได้ว่าไม่มีปัญหากับการวิ่งหนีรถ) ยุโรป หรือญี่ปุ่นเองที่ “รถ” จะต้องรอ “คน” ข้ามให้เสร็จก่อน ซึ่งผมว่ามันก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลนะครับ คนขับรถนั่งสบาย ๆ อยู่แล้วทำไมเราจะต้องไปวิ่งหนีรถให้เมื่อยตุ้ม อีกก็ไม่รู้ สิ่งที่ประทับใจสำหรับการข้ามถนนของคนญี่ปุ่น อีกแบบก็คือทุกแยกไม่ว่าจะแยกเล็กแค่ไหน บ้านไหนเพียงใด ก็จะมีไฟคนข้าม และมีเสียงนกร้องบอกให้คนตาบอดข้ามได้อยู่ทุกแยกไปครับ ผมนึกถึงคนตาบอดเมืองไทยแล้วก็นึกไม่ออกว่า พวกเขาจะข้ามถนนได้อย่างไร ถ้าไม่ใช้สะพานลอยครับ




สถานีใหญ่ ๆ อย่าง Shibuya , Shinjuku คนจะเยอะแบบเยอะจริง ๆ 

Shibuya หน้าร้อน ผู้คนแต่งตัวกันสบาย ๆ เหมือนกรุงเทพเลยล่ะครับ

คนละบรรยากาศกับเมื่อปีที่แล้วที่ผมมาเลย

เจ้าฮะจิโกะ หมาแสนซื่อสัตย์ สัญลักษณ์และจุดนัดพบประจำย่านนี้

ที่สถานี Shibuya นี้จะมีรถไฟเหมือนจะเป็นโบกี้แรกมาตั้งโชว์ด้วย




หลังจากยืนรอสักพัก เต้ ก็มาถึงและเราก็รีบรุดหน้าไปกินอาหารมื้อใหญ่มื้อแรกประจำทริปนี้ กับร้าน Midori Sushi นั่นเองครับ พูดถึงร้าน Sushi แล้ว หลาย ๆ ท่านก็คงจะพอนึกออกว่า Sushi ที่ญี่ปุ่นนั้นจะมี หลายระดับมาก ๆ (จริง ๆ ก็เหมือนเมืองไทยมั้ง?) แบบถูก ๆ ก็จะเป็นซูชิสายพาน (Kaiten Sushi) โดยเจ้า ซูชิแบบนี้ก็จะมีหลายระดับอีกมีทั้งแบบถูกมาก ๆ จานละ 100 yen หมดทั้งร้าน แบบนี้คุณภาพก็จะเลวร้ายที่สุด และก็จะมีการใช้วัตถุดิบทดแทนด้วย เช่นปลาจินดาระ ก็จะใช้ปลาเนื้อขาว ๆ ที่ชิลีแทน หรือ ไข่ปลาแซลมอน ก็จะใช้วุ้นมาสังเคราะห์แทน อะไรประมาณนี้ครับ แบบที่แพงขึ้นมาหน่อย ก็จะอยู่ที่ 100 - 400 yen ต่อจาน แบบนี้คุณภาพวัตถุดิบก็จะดีขึ้นมาหน่อยครับ แต่ว่าการปั้นนั้นจะไม่ค่อย พิถีพิถันสักเท่าไรนัก จะแบบเร่ง ๆ ปั้นเพื่อให้ทันลูกค้าครับ เนื่องจากคนปั้นซูชิตามร้านนี้มักจะมีจำนวนน้อย แบบที่อัพขึ้นมาหน่อยก็จะเป็นร้านแบบนั่งสั่งครับ ร้านพวกนี้ก็จะคล้าย ๆ กัน ราคาถูกราคาแพงก็จะแล้วแต่ ความดังของร้าน, ของคนปั้น หรือชื่อเสียงอันยาวนานของร้านครับ ร้านแบบนั่งสั่งนี้ ตัวคุณภาพการปั้นของ ซูชิแต่ละคำจะดีกว่าร้านสายพานแบบชัดเจนครับ ข้าวกับปลาจะสมานเป็นชิ้นเดียวกัน การตกแต่งจัดเรียง จานอาหารก่อนนำมาเสิร์ฟจะจัดมาอย่างสวยงาม ตัววัตถุดิบก็จะใหม่สดเสมอ เพราะจะไม่มีการปั้นทิ้งไว้ บนสายพานให้หมุนไปเรื่อย ๆ อ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ร้านสายพานที่แพง ๆ หน่อยหลายร้านจะมีเซนเซอร์ไว้ใต้จาน นะครับถ้าจานนั้นหมุนเกินระยะเวลาที่กำหนด (รู้สึกจะ 1 ชั่วโมง) จานนี้ก็จะถูกกำจัดทิ้งไป

อย่างร้าน Midori Sushi ที่ผมกำลังจะกินนี่ก็มีหลายสาขาครับ บางสาขาก็เป็นซูชิสายพาน บางสาขาก็เป็นแบบนั่งสั่ง ซึ่งแน่นอนครับแบบนั่งสั่งคุณภาพจะดีกว่า แต่ก็จะแพงกว่าด้วย สำหรับสาขา ชิบุย่า ที่ผมมานี่เป็นแบบนั่งสั่งครับ เนื่องจากว่ากินทั้งที กินให้มันดี ๆ กันไปเล้ยยย อ้อ พูดถึงเรื่องร้านซูชิแบบนั่งสั่งก็นึกได้อีกเรื่องครับ การกินซูชิที่ร้านจะมีสิ่งที่เรียกว่า ​Omakase  อยู่ หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คือให้คนปั้นจัดมาให้ครับ โดยเราจะกำหนดงบ, กำหนดปลาที่กินไม่ได้, ปลาที่ไม่ชอบกับคนปั้น แล้วคนปั้นก็จะค่อย ๆ ทยอยปั้นมาให้เราเรื่อย ๆ จนอิ่มครับ (ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 15 คำ) มาญี่ปุ่นคราวนี้ผมไม่ได้กินแบบ ​Omakase  นี่เลยเนื่องจากเกรงใจเพื่อน ๆ ถ้าเพื่อน ๆ จะต้องกินตามครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วแบบ ​Omakase นี่จะแพงกว่าแบบปกติเพราะ เชฟจะเลือกสิ่งที่สด และดีที่สุดในแต่ละวันแต่ละมื้อมาให้เราครับ จริง ๆ รายละเอียด, ประวัติหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เกี่ยวกับ ซูชิ นี่ยังมีอีกเยอะครับ ไว้เดี๋ยวผมจะค่อย ๆ ทยอยสอดแทรกลงไปละกัน เพราะในทริปนี้ผมก็กินซูชิค่อนข้างเยอะเหมือนกันครับ





รีวิวร้าน Midori Sushi


ร้าน Midori Sushi @ Shibuya ก็ถือว่าเป็นการประเดิมร้านซูชิร้านแรกที่น่ารประทับใจสำหรับผมครับ ซูชิอร่อยราคาไม่ค่อยแพง และมีให้เลือกเยอะมาก ๆ ร้านนี้เอาไป 5 ดาวเต็มเลยละกันครับ ชอบครับ


หน้าร้าน Midori Sushi @ Shibuya ครับ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไรวันนี้รอคิวแค่ 15 นาทีเอง

คนเต็มร้าน ทั้งแบบโต๊ะและแบบเคาน์เตอร์

Sushi มีให้เลือกเยอะสะใจ ราคาก็ไม่ค่อยแพงเท่าไรนักครับ

Set ใหญ่สุดของทางร้าน 3,000 yen โดยประมาณ (ถือว่าถูกมากถ้าเทียบกับที่ไทย)

การห่อแบบนี้เรียกว่า กุนกังมากิ หรือแบบเรือรบครับ เหมาะกับใส่ไข่ปลาแซลมอน, หอยเม่น และชิราโอะ

อีกหนึ่งมุมกับชุด 3000 yen ถ้าที่ไทยคงสัก 3000 บาท

เพื่อนผมสั่งแบบตามสั่ง

อันนี้ไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง น่าจะ sear tuna กับ sear salmon

Salmon สดกับ Hotate สด Midori Sushi @ Shibuya นี่จะปั้นคำค่อนข้างเล็กกว่าร้านอื่น ๆ ที่ผมกินหน่อยครับ

Anago หรือปลาไหลน้ำจืด สวยงามคำใหญ่โตมาก

อันนี้ไม่แน่ใจว่าคืออะไร น่าจะกุ้งโบตั๋นกบคาร์เวียร์นะครับ

ชอบครับ สวยงาม สดมากกับเจ้า หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอนนี่

อันนี้แบบ a la carte มี Awabi หรือเป๋าฮื้อ , ครีบปลาตาเดียว และก็อีก 2 อันจำชื่อไม่ได้ (โคโฮดะมั้ง)



ฮามาจิ สีไม่ค่อยเหมือนที่ไทย แต่ก็เนียน อร่อยครับ

Salmon ส้มแจ๋นมาก อร่อยเยี่ยมเช่นเดียวกัน

อ่านไม่ออกก็ดูรูปเอาครับ

พนักงานร้านอาหารที่ญี่ปุ่นนี่ผมว่าเป็นหนึ่งในตองอูครับ ทั้งมารยาท, การดูแล การยิ้มแย้มแจ่มใส และอื่นๆ 

อันนี้เป็นของเรียกน้ำย่อย สลัดไข่ปู กับไข่ตุ๋น


เบียร์สดที่ญี่ปุ่น ผมสั่งแทบจะทุกมื้อครับ อร่อยมาก อร่อยกว่าเบียร์เมืองไทยเยอะ ส่วนใหญ่จะราคา 500 -700 yen ต่อแก้วโดยประมาณ


ปลาชิราโอะ หากินไม่ค่อยได้ที่ไทย อร่อยดีครับ ชอบ (ใช่ปลาข้าวสารรึเปล่าผมไม่แน่ใจ)

เป๋าฮื้อ หรือ Awabi ที่ไทยก็ไม่ค่อยมี แต่ไม่ค่อยอร่อยครับ แข็ง, เหนียวไป







หลังจากที่กินจนอิ่มแทบจะพุงแตกตาย เราก็ไปเดินย่อยอาหารกันที่ย่าน Koenji ครับ ย่านนี้ เพื่อนผมบอกว่าเป็นย่านน้องเล็กของฮาราจูกุ คือจะเป็นแหล่งที่วัยรุ่นแต่งตัวแนว ๆ มาเดินกัน และก็จะมีร้านรวงของแนว ๆ ขายอยู่เยอะ แต่เนื่องจากวันที่ไปเป็นวันธรรมดา ก็เลยไม่ค่อยเจอเด็กแนว ๆ กันสักเท่าไรครับ เนื่องจากเด็ก ๆ ไปโรงเรียนกัน ส่วนร้านรวง ก็มีร้านเจ๋ง ๆ แปลก ๆ พอสมควรครับ เช่นร้านนึงชื่อร้าน Cool Book หรืออะไรประมาณนี้น่ะครับ ในร้านจะขายหนังสือ ปนกันกับของกระจุกกระจิกต่าง ๆ และก็เป็นเพลงมันส์ ๆ ไปด้วย อันนี้ผมก็ค่อนข้างงงว่า มันเข้ากันตรงไหน และก็มีร้านแบบนึง ผมจำชื่อญี่ปุ่นไม่ได้ คือจะขาย บารากุ ให้ไปนั่งดูดกัน แล้วก็จะมีเครื่องดื่มบริการ (แต่ไม่มีแอลกอฮอล์) ร้านก็จะตกแต่งมืด ๆ ทมิฬ ๆ หน่อย อืม ก็เป็นอะไรที่แปลกดี แล้วก็จะมีร้านให้เช่า ชุด custom , fancy , kimono , yugata ครับ เสื้อผ้าของร้านนี้ก็เจ๋งดี หลังจากเดิน ๆ กันได้สักพัก ก็ต้องกลับไป Shibuya อีกครั้งเนื่องจาก เต้ มีภารกิจต้องไปสอนหนังสือครับ (สอนภาษาไทยให้คนญี่ปุ่น)



ย่าน Koenji ครับ ดูทันสมัย สะอาดเอี่ยมดีมาก



ที่ญี่ปุ่น ย่านช้อปปิ้งของเค้าจะเป็นแบบนี้หมดครับคือเป็นร้านรวง 2 ข้างทางแล้วก็มีหลังค่ากันแดดกันฝนด้านบน เหมือนกันหมดไม่ว่าจะย่านไหนเมืองไหน ก็เป็นระเบียบดีนะครับ

น้ำเปล่าที่ญี่ปุ่นจะไม่มีขายมีแต่น้ำแร่และน้ำอื่น ๆ ขวดนี้ 105 yen 

ร้านแนว ๆ เยอะครับย่านนี้ 


เสื้อผ้าสวย ๆ แนว ๆ

ที่จอดรถอันสุดแสนจะทันสมัย (แต่ดูไม่ทันสมัยเท่าที่อินเดียในหนัง MI:4

ร้านที่บอกครับ เหมือนจะให้เข้าไปนั่งดูดบารากู่ พร้อมกับดื่มชากาแฟ เป็นร้านที่ concept แปลกดี

ผักถูกดีครับ ผมไปตอนหลัง Tsunami ซักพักแล้วเลยแพงขึ้นมาหน่อย จำได้ว่าช่วงหลัง Tsunmai นี่ถูกมาก เหมือนแทบจะแจกฟรี

เบคอนปลาวาฬอันละไม่กี่บาท เมืองไทยแค่แผ่นเดียวก็ขายกันหลายร้อยบาทแล้วล่ะครับ

Sashimi วางขายเกลื่อนแทบจะเป็นเรื่องปกติ

ร้าน Mac Store ที่ Shibuya ครับ คล้าย ๆ ร้าน iStudio ที่เมืองไทย คนเยอะพอกัน พนักงานใส่เครื่องแบบ และร้านสวยพอ ๆ กัน

แวะดูกล้องหน่อยครับ

ร้านกล้องเค้านี่อุปกรณ์เยอะมาก ๆ ร้านกล้องที่บ้านเราชิดซ้ายไปเลย

แต่เนื่องด้วยค่าเยนที่แข็งขึ้นมามากทำให้กล้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ ราคาแพงขึ้นมาเช่นเดียวกัน (แพงกว่าไทย)






หลังจากแยกย้ายกับเต้ พวกผม 3 คนก็มุ่งหน้าไป Yogohama กันต่อ ถ้าพูดถึงขนาดเมือง (เทียบจากจำนวนประชากร) ของญี่ปุ่นแล้ว หลายท่าน (รวมถึงผมด้วย) คงคิดว่า โตเกียวใหญ่เป็นอันดับ 1 และตามมาด้วยโอซาก้า ซึ่งความจริงอันนี้เป็นเรื่องจริงเมื่อ 3-4 ปีก่อนครับแต่ล่าสุด Yokohama ได้แซง Osaka ขึ้นมาเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ไปแล้ว Yokohama เป็นเมืองท่า ที่อยู่ใกล้โตเกียวมาก ๆ ตั้งตัวเองอยู่ทางทิศตะวันตก(เฉียงใต้) ของโตเกียว มีพนักงานบริษัทหลายคนที่บ้านอยู่ Yokohama แล้วเดินทางไปทำงานในโตเกียว เนื่องจากถ้าเดินทางจริง ๆ มันก็แค่รึ่งชั่วโมงเท่านั้น (คนในเขตปริมณฑลในกรุงเทพบางคนยังเดินทางไปทำงานโดยใช้เวลานานกว่าเลยว่ามั้ยครับ?)






มุ่งหน้าไป Yokohama 

แวะ Convenient Store ของเค้าซักหน่อย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เยอะดีแท้ครับ

หนังสือ, magazine ก็เยอะครับ บ่งบอกการอ่านหนังสือของคนญี่ปุ่น คนอ่านเยอะก็เลยทำให้หนังสือเยอะ ราคาต่อเล่มก็เลยถูกด้วยอีกต่างหาก เฮ้อ คิดแล้วก็เซ็งเมืองไทย

Showroom lexus แต่ไม่ค่อยเห็นคนขับกัน

ย่าน Shopping ของเมือง Yokohama ครับ ย่าน Motomachi



สุสานเต็มเมือง คนโยโกฮาม่าไม่กลัวผีกันเลย

คนจูงหมามาเดินเล่นกันเยอะมากครับ มีหลากหลายสายพันธุ์มาก

บ้านเมืองจะเป็นสไตล์ยุโรป เก่าแก่ ๆ ไม่เหมือนย่านอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่น


ป้า ๆ พาน้องหมามาเจอกัน ดูคุณเธอสนุกสนานกันมากครับ





Yokohama สำหรับผมแล้วก็เป็นเมืองที่ดูดีและน่าอยู่ดีนะครับ บ้านเมืองดูสะอาด ๆ (ซึ่งจริง ๆ ญี่ปุ่นก็สะอาดทุกเมือง) บ้าน, ร้านรวงดูทันสมัย chick ๆ แล้วก็ออกแนวยุโรป ๆ ยุคเก่ายังไงก็ไม่ทราบ ผมเดินไปทางยอดเขาที่มีบ้านแบบหลังใหญ่เยอะ ๆ แต่หลังบ้านก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง และมีหลุมศพสไตล์ยุโรปตั้งอยู่อย่างระเกะระกะในย่านนี้ ก็ไม่รู้ว่าคนในย่านนี้เขาไม่กลัวผีกันหรืออย่างไร พอเดินไปจนถึงยอดเขา ก็เจอกับคณะแม่บ้านพาหมามาเล่นกันครับ ดูพวกคุณเธอมีความสุขกันมาก ๆ (เช่นเดียวกับน้องหมาของคุณเธอ) พูดถึงเรื่องหมาที่ญี่ปุ่นแล้วนอกจากเจ้าฮะจิโกะที่เป็นที่โด่งดัง แล้ว หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าหมาที่ญี่ปุ่นแพงมาก ๆ ต้องเป็นคนมีฐานะจริง ๆ เท่านั้นถึงจะเลี้ยงได้ เพราะค่าใช้จ่ายนั้นพอ ๆ กับลูกคนนึงเลยทีเดียว แพงจนเพื่อนญี่ปุ่นที่มาไทย เห็นหมาจรจัดเยอะ มาก ๆ ในไทย แล้วพูดกับผมว่า คนไทยนี่รวยเนอะ เอาหมามาปล่อยกันจนหมาเต็มบ้านเต็มเมืองเลย ฮ่า ๆๆ น้องหมาที่ญี่ปุ่นนี่เท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะเป็นหมา size เล็ก - กลาง ครับ นาน ๆ ทีถึงจะมีหลุด size ใหญ่มาบ้าง และเสียดายตลอด 8 วันที่ผมอยู่งวดนี้ผมไม่เห็นพันธุ์ Golden Retriever พันธุ์โปรดของผมเลย (ที่บ้านผมเลี้ยงไว้อยู่ตัวนึงครับก็เลยชอบ)



สะพานยาว ๆ ใหญ่ ๆ แบบนี้มีอยู่แทบจะทุกเมืองท่า

กลับแล้วจ้า Motomachi

แวะ China Town เค้าหน่อย เป็นเมืองคนจีนที่สะอาด และสวยงามมาก

คนไม่ค่อยเยอะ (ดูความสะอาดของพื้นสิครับ)



มีแต่ร้านอาหารจีน (แน่สิ) ร้านเยอะมากครับ น่าเข้าไปกินหลายร้าน

โอย น้ำลายไหล




พอผมพิชิตยอดเขา(เตี้ย ๆ ) ที่ Yokohama และได้ถ่ายรูปอ่าวโยโกฮาม่าอันยิ่งใหญ่เสร็จก็ถึงเวลา จรลีลงจากเขาล่ะครับ พอลงจากเขาเสร็จตะวันก็ลับฟ้าไปซะแล้ว พวกผมเดินกลับจากยอดเขาผ่าน China Town ที่เป็น ไชน่าทาวน์ที่สะอาดและสวยงาม หรูหราอลังการมาก (เมื่อเทียบกับเยาวราชเรา หรือที่โกเบเอง) แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ลองกินเลยสักร้านเนื่องจากมีนัดกับเพื่อนไว้ที่ร้านอื่นที่โตเกียวแล้ว ก็เลยได้แต่เก็บบรรยากาศร้านมาอย่างเดีย เดินไปเดินมาสักพัก ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมา ๆ ผมก็เลยชวน ม่ำกับสุ แวะร้านอาหารเดนมาร์คร้านนึงหลบฝนก่อน ร้านนี้ผมไม่รู้จักชื่อร้านหรอกครับ แต่แบบ ประหลาดดี อาหารเดนมาร์ค ที่กรุงเทพถ้าให้ผมนึกก็นึกไม่ออกครับว่ามีอาหารแบบนี้ด้วย เนื่องจากว่าพวกผมมีนัดกิน มื้อดึกกันต่อก็เลยไม่ได้กินกันเยอะ ก็สั่งเบียร์กันมาคนละแก้วพร้อมอาหารกินเล่นครับ ซึ่งทั้ง 2 อย่างประทับใจมาก ๆ ๆ อร่อยจนอยากจะชมออกมาเป็นภาษาเดนมาร์คเลยทั้งอย่างนั้น




ไม่รู้แปลว่าไรครับ ร้านเดนมาร์คร้านนี้

บรรยากาศร้านยุโร๊ป ยุโรป

เบียร์ดำของเพื่อนผม ผมไม่ค่อยชอบเบียร์ดำ

มาร้านเดนมาร์คก็ต้องสั่งเบียร์เดนมาร์ค Carlsberg ก็อร่อยดีนะครับ

ซุปมาแปลก มาเย็น ๆ แต่ก็อร่อยดี

ไอ้นี่ไม่รู้เรียกว่าอร่อย หน้าตาแปลก รสชาติอร่อยเยี่ยมมากครับ


โยโกฮาม่า ยามค่ำคืน แต่ทำไมไฟยังติดกันอยู่แทบทุกตึก คนญี่ปุ่นขยันทำงานกันมากครับ กลับกัน 4 ทุ่ม เที่ยงคืนเป็นเรื่องปกติ ใครกลับก่อนจะโดนเพ่งเล็งเอาด้วยซ้ำครับ

คล้าย ๆ โป๊ะขนาดใหญ่ยื่นออกไปในทะเล ให้มาสวีทกัน มาเดินเล่นชมวิวกัน





หลังจากฝนหยุดเทลงมาพวกผมก็เดินกันไปต่อที่ตรงท่าเรือครับ เดินไปตรงบริเวณที่คล้าย ๆ เป็นโป๊ะขึ้นเรือ แต่ก็ไม่ใช่ เป็นไม้ ๆ ยื่นออกไปในทะเลครับ เจอคู่รักชาวญี่ปุ่นหลายคู่มาสวีทหวานแว๋วกัน เพราะบรรยากาศ ณ จุดนี้นั้นให้มาก ๆ ครับ ทางการก็เหมือนจะรู้ดีก็เลยจัดเก้าอี้นั่งคู่ไว้ตั้งอยู่ห่าง ๆ กัน เฮ้อ ใครที่มา Yokohama กับคนรักก็ลองแวะมาที่นี่ดูนะครับ ผมจำไม่ได้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่แบบบรรยากาศให้มาก ๆ วิวสวย (เห็นชิงช้าสวรรค์, หอคอย Yokohama) และโรแมนติคมาก ๆ ครับ หลังจากที่เราแอบโรแมนติคกัน(รึเปล่า) 3 คนเสร็จเวลาก็เริ่มดึกแล้วก็เลยกลับไปที่โตเกียวกัน พอกลับไปถึงห้องเจอนายอื๋อ (เจ้าของห้องที่ผมไปนอนฟรี) กำลังเดินกลับห้องพอดี ก็เลยชวนกันไปกินข้าวกันสักหน่อย โดยนายอื๋อได้แนะนำร้าน 270 yen (ทุกอย่าง 270 yen!) ซึ่งมีชื่อร้านว่า อะไรสักอย่าง Jr. เนี่ยแหละครับ พอผมแค่ได้ฟัง concept ของร้านเท่านั้นล่ะ ความอยากไปของผมก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาเลยทีเดียว




ทางเข้าร้าน Kinno Kura Jr. ให้ความรู้สึกเป็นญี่ปุ่นดีมั้ยครับ? ไม้ ๆ ๆ

Edamame หรือถั่วแระ จานนี้โต๊ะนึงบังคับสั่ง เอามาวางแหมะให้เลย

สั่ง Menu จาก tablet อันนี้ คล้าย ๆ ipad แต่จอไม่ใช่ capacitive screen และเหมือนจะ run โดย linux ที่ทางร้านเขียนขึ้นเอง สะดวกดีครับ

ทุกอย่าง 270 yen

แม้แต่เบียร์สด (อร่อยมากกกก เบียร์เค้า)

ไก่ทอด







ร้าน 270 yen หรือ Kinraku Jr. เป็นร้านสไตล์ Izakaya (ร้านเหล้าแบบญี่ปุ่น) ซึ่งจัดร้านได้ตรงตามสไตล์ Izakaya มาก ๆ (เป็นไม้ ๆ และก็แบ่งเป็นห้องเล็ก) จุดเด่นของร้านนี้คืออาหาร และเครื่องดื่มทุกอย่างจะราคา 270 yen หมด ซึ่งเป็นอะไรที่ถูกมาก ๆ เท่านั้นยังไม่พอ อาหารทุกอย่างยัง อร่อยอีกต่างหาก! ตัวอย่างอาหารนะครับ ปลาฮอกเกะตัวเบ้อเริ่ม (ใหญ่กว่าโอโตยะที่เมืองไทย) ราคา 270 เยน! (ประมาณ 110 บาท) ซูชิหน้าเนื้อย่าง 5 คำ, ยากิโทริ 3 ไม้ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทีเด็ดที่สุดคงเป็นที่เบียร์สดครับ เพราะแก้วละแค่ 270 yen เอง ซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ เพราะเบียร์สดตามร้านอาหารญี่ปุ่นเท่าที่ผมกินมา ไม่ว่าจะร้านบ้านนอกขนาดไหน อย่างต่ำ ๆ ก็ 500 yen แล้วล่ะครับ (ยกเว้นจะมีช่วง Happy Hour) ผมก็เลยซัดไป เท่าไรแก้วหว่า หลายแก้วจนจำไม่ได้ล่ะครับ ฮ่า ๆๆ



อะไรทอดไม่รู้

อะไรก็ไม่รู้

ปอเปี๊ยะทอด

ซูชิหน้าเนื้อ

แซลมอนซาซิมิ

ไก่ยากิโทริ




พูดถึงเรื่องเบียร์สดที่ญี่ปุ่นแล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเบียร์สดที่ญี่ปุ่นถึงได้ “อร่อยมาก” ขนาดนี้ อร่อยจนผมต้องสั่งกินที่ร้านอาหารทุกมื้อ อร่อยแบบขนาดผมซื้อเบียร์กระป๋องที่แพงที่สุดใน 7-11 แล้วก็ยังไม่อร่อยเท่า อร่อยจนผมคร่ำครวญอยากกินตอนกลับมาและอร่อยจนผมปฏิญานกับตัวเองว่า ไปญี่ปุ่นต่อจากนี้จะสั่งมาดื่มอย่างต่ำมื้อละ 1 แก้ว! ผมไม่รู้ว่ามันเป็นที่กรรมวิธีการเก็บเบียร์สดของทางร้าน หรือเพราะรสชาติที่ถูกปากกับคนไทย แต่เพื่อนคนไทยของผมทุกคน ต่างชื่นชมเจ้า นามะ-บีรุ (เบียร์สด อ่านแบบญี่ปุ่น) กันทุกคนครับ ดังนั้นใครที่เป็นคอเบียร์ (หรือไม่ได้เป็นก็ตาม) ถ้ามีโอกาสจะได้ลองเบียร์สดญี่ปุ่น ผมแนะนำอย่างยิ่งว่าให้ลองครับ นี่อาจจะเป็นสาเหตุนึงด้วยมั้งที่ทำให้ ผู้หญิงญี่ปุ่นดื่มเบียร์กันเป็นเรื่องปกติ (ผู้หญิงดื่มเบียร์นี่ sexy ดีนะครับตามความคิดผม แหะ ๆ) ในขณะที่ผู้หญิงไทยที่ดื่มเบียร์? ผมแทบจะนับหัวได้เลยกับเพื่อนผู้หญิงผม

หลังจากที่กินกันจนอิ่มหมีพีมัน (และกรึ่มกำลังดี) พวกเราก็เดินทางกลับไปที่หอพักนายอื๋อและอาบน้ำและล้มตัวนอนกันอย่างรวดเร็วครับ อ้อ หน้าร้อนวันแรกของผมที่ญี่ปุ่นผมอยากจะบอกว่า (มึง)จะร้อนไปไหนครับ ร้อนกว่ากรุงเทพอีกครับ ผมนี่เหงื่อแตกแทบจะตลอดเวลากันเลยทีเดียว



ปลาฮอกเกะนี่ก็ 270 yen ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าตัวละ 300 บาทที่ร้าน Ootoya บ้านเราอีก

เครื่องดื่มก็มีมากมาย

เครื่องในคนญี่ปุ่นก็กินกันไม่แพ้คนไทยเลยล่ะครับ (เผลอ ๆ มากกว่า)


เหล้าลิ้นจี่บ๊วยของโปรดของสาว ๆ

กินกันจนร้านปิด ไม่เหลือคนแล้ว

วันที่ 2 ของผมก็จบลงอย่างงดงามและประทับใจครับ เดินทางกันมาราธอนมาก กว่าจะได้กลับเข้าห้องนอนก็เกือบตี 1 แล้ว และกว่าจะได้นอนก็ซัดไปตี 3 ได้ วันที่ 3 ตอนที่ 4 ของผมเป็นอย่างไรโปรดติดตามต่อได้ ตาม link นี้เลยครับ



Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...