BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Thursday, February 7, 2013

Ogu Ogu Ploenchit Bangkok Review

Ogu Ogu - Japanese Izakaya Restaurant and Sake Bar at Park Venture Bldg., BTS Ploenchit, Bangkok

โอกุ โอกุ ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเหล้าญี่ปุ่น สาเก บาร์ ตึก พาร์คเวนเจอร์ BTS เพลินจิต





Overall Score  9.5/10
Taste   4.5/5
Ambiance  4.5/5
Service  4.5/5
Value   3/5

Ogu Ogu - Modern Japanese Restaurant and Sake Bar on BUmRes.com (For more pictures and menu)



ถ้าพูดถึงร้าน Sake Bar แบบมีสาเกให้เลือกแบบครบครับ อยากจะกินจากถิ่นไหน แหล่งไหนของญี่ปุ่นก็มีให้พร้อมหมด อยากกินแบบรสชาติยังไงมีกลิ่นหอมแบบไหนก็จัดให้ได้หมด อะไรแบบนี้ ร้านในกรุงเทพนั้นก็ยังมีร้าน Sake Bar แท้ ๆ แบบนี้ยังไม่ค่อยเยอะเท่าไร จะเน้น ๆ ไปทางแนว Wine Bar หรือ Beer Bar อะไรพวกนั้นแทน สาเหตุส่วนนึงคงน่าจะเกิดจากที่คนไทยไม่ค่อยนิยมกินสาเกกันสักเท่าไร ไม่รู้เพราะความหายากของมัน, ความราคาแพงของมัน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเหล้าขาว ฮ่า ๆ) หรือเพราะรสชาติของมันที่อาจจะแบบแรงไปหน่อยโดยเฉพาะกับคุณผู้หญิงทั้งหลาย รึเปล่าก็ไม่ทราบได้ เพราะตัวผมเองก็ไม่ได้ชื่นชอบสาเกอะไรมาก แต่สาเหตุนั้นจะเป็นเพราะความราคาแพงของมันเหนือเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งตัวผมเองก็พยายามจะกินเจ้าเหล้าจากข้าวสไตล์ญี่ปุ่นนี่ให้อร่อยมาหลายทีล่ะ แต่พอไปร้านที่มี alcohol ให้เลือกหลากหลาย ๆ ทีไรก็มักจะไปลงเอยที่เบียร์ หรือ ไวน์ซะแทน

กับร้านที่จะรีวิวในฉบับนี้ก็เป็นร้านที่ได้ชื่อว่าเป็น Sake Bar ของแท้ เพราะมีสาเกให้เลือกแบบครบครันจริง ๆ ตั้งแต่ราคาไม่เท่าไรไปจนราคาสูงเสียดฟ้า รวมถึงพนักงานของร้านที่ผมไม่รู้จะเรียกว่า Sommelier ได้หรือไม่นี้ (อาจจะเรียกว่า Sake Sommelier) นั้นมีความรู้ความเข้าใจในตัวสาเกเป็นอย่างดี และสามารถแนะนำให้เราได้ตรงกับความต้องการของเราจริง ๆ กับร้านที่มีนามว่า Oku Oku ที่ชื่ออาจจะฟังดูไร้ความหมาย แต่จริง ๆ แล้วแปลว่าความผสมผสาน การสอดคล้องกันของยุคเก่าและยุคใหม่ หรือ Harmony in traditional way and modern way อะไรเทือกนั้นนั่นเอง ซึ่งชื่อร้านนั้นไม่ได้ตั้งขึ้นมาอย่างไม่มีจุดประสงค์ ควรจะเรียกว่าชื่อร้านนั้นบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของร้านนี้ได้เป็นอย่างดีน่าจะเหมาะสมกว่า






การผสมผสานของยุคเก่าและยุคใหม่ของร้านนี้เกิดจากอะไรหลาย ๆ อย่างของร้าน เช่นตัวอาหารที่จะเป็นอาหารญี่ปุ่นแนวดั้งเดิมผสมกับสมัยใหม่ จนออกมาเป็นอาหาร fusion ของ 2 ยุค, ตัวเครื่องดื่มที่มีให้เลือกตั้งแต่เครื่องดื่มโบราณ เช่น สาเก ไปจนถึง cocktail สูตรเฉพาะของทางร้านที่ทางร้านรังสรรค์และคิดค้นขึ้นมาเอง , การตกแต่งของทางร้านที่ตกแต่งแบบร่วมสมัย ใช้ไม้ ๆ เป็นวัสดุหลักในการตกแต่ง เคียงคู่ไปกับอะไรอื่น ๆ ที่บ่งบอกความเป็น modern ของทางร้าน ogu ogu แห่งนี้ เห็นมั้ยครับ บางทีการตั้งชื่อร้านให้เหมาะสมไว้ก่อน หรือทำร้านออกมาแล้วแล้วมาตั้งชื่อร้านให้มันตรงตาม concept ของชื่อร้าน ก็เป็นอะไรที่ มันทำให้ร้านนั้นมีความเป็นตัวของตัวเอง, กำหนดเจตนารมณ์ของทางร้านได้อย่างชัดเจนดีเหมือนกัน

เครื่องดื่มของทางร้าน Ogu Ogu นี้ก็ตามที่กล่าวไปมีทั้งเครื่องดื่มของโลกเก่าและโลกใหม่ให้เลือกแบบครบครัน วันนี้ตัวผมเองก็ได้ลองเครื่องดื่มทั้ง 2 แบบเลย ขอเริ่มกันที่เครื่องดื่มยุคใหม่ก่อนเลยละกัน กับ Signature Cocktail 2 ชนิดของทางร้าน แก้วแรกนั้นเป็น Coco chanel (Malibu, white rum, coconut juice, etc. - 250 บาท) ก็เป็น Cocktail ที่หน้าตาอาจจะดูไม่ค่อยแรง แต่จริง ๆ แล้วแรงพอตัวเลย และชื่อของ cocktail ก็เหมือนจะต้องการเล่นกับสีของแบรนด์เครื่องหนังยี่ห้อดังที่ตัว Logo จะเป็นสีดำขาว ตามสีของ cocktail ด้วย รสชาตินั้น ไม่รู้จะบรรยายยังไงดี เอาเป็นว่า อร่อยครับ ใครกินก็ต้องชอบ เหมือนกับผมและเพื่อนอีก 2 คนในมื้อนี้ ส่วนอีกแก้วนั้นเป็น  Sakura (Tequila rose, white rum, lychee, etc. - 250 บาท) คือแก้ว Coco Chanel แก้วที่แล้วนี่ว่าสวย และงดงามแล้ว แก้วนี้นี่สวยงามกว่าแบบชัดเจนเลย ตัว cocktail มาในสีชมพูเข้ม ๆ เล็กน้อย เข้มกว่าสีซากุระจริง ๆ นิดหน่อย และรสชาติก็มาแบบเบา ๆ หอม ๆ ดื่มแล้วเหมือนกับกำลังมองและเพลิดเพลินไปกับทิวแถวของต้นซากุระที่ออกดอกบานสะพรั่งอะไรประมาณนั้น ตัวผมเองกิน Signature Cocktail มาก็หลายที่ ผมว่าที่ Ogu Ogu แห่งนี้ล่ะ ที่ทำหน้าตาและรสชาติของ Cocktail ออกมาตรงตามที่ตั้งชื่อไว้มากที่สุดล่ะ







ร้าน Ogu Ogu แห่งนี้ตามที่เขียนไว้ยืดยาวว่าเป็น Sake Bar ของแท้ ก็เลยทำให้ร้านนี้มี House Sake ไว้คอยบริการลูกค้าด้วย คือเราสามารถสั่งเป็นขวดก็ได้หรือจะสั่งเป็น Karafe ก็ได้ และเราสามารถชิมสาเกที่สั่งไปก่อนได้ว่าถูกใจรึเปล่า แล้วถึงจะตกลงรับขวดนั้น หรือ Karafe นั้นมาเป็นกรรมสิทธิ์เหมือนกับที่เราสามารถทำได้ในร้านอาหารตะวันตกทั่ว ๆ ไปกับไวน์ของทางร้าน ซึ่งจุดนี้ ผมว่าไม่น่ามีร้านไหนกรุงเทพที่ยอมให้ลูกค้ากันถึงขั้นนี้เลยนะ อันนี้ก็นับว่าเจ๋งจริง ๆ ในมื้อนี้ผมก็ได้ลอง House Sake สักตัวซึ่งจำชื่อไม่ได้ ซึ่งก็อร่อยดีครับ มาแบบเย็น ๆ กระดก ๆ ทีละจอก ๆ กินเพลินเคล้าคลอไปกับอาหารญี่ปุ่นของทางร้านได้อย่างลงตัวดีแท้

เข้ากันที่เรื่องอาหารบ้าง อาหารของร้าน Ogu Ogu แห่งนี้จะมีอัตลักษณ์เป็นของตัวเองพอ ๆ กับตัวเครื่องดื่มของทางร้าน คือ อาหารหลาย ๆ จาน (หรือทุกจาน?) นั้นจะเป็นอาหารที่เชฟชาวญี่ปุ่นจาก Suntory เป็นคนคิดสูตรขึ้นมาให้โดยเฉพาะ ก็เลยทำให้อาหารของร้านนี้นั้นมีเอกลักษณ์แบบหากินที่ไหนไม่ได้แล้วในกรุงเทพ ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่าทางพนักงานจะ ขี้ฮกเบ่เบ๊ ขี้ฮกตาลาล่า ไป แต่พอได้กิน ได้เห็นอาหารทุกจานในมื้อนี้แล้ว อืม จริงอย่างที่ว่าจริง ๆ ว่า "มันหากินที่อื่นไม่ได้จริง ๆ นะ" โดยอาหารก็จะมีให้เลือกครบครันทุกหมวดหมู่อาหารญี่ปุ่น Salad, Sashimi, Donburi หรือ Main Course ทั้งหลายแหล่ อาหารแต่ละจานก็จะออกแนวเป็นอาหารหน้าตาสวย ๆ , fusion ๆ แทบทั้งนั้น และถ้าใครแบบทำงานอยู่แถวเพลินจิตนี่พอดี ทางร้านก็มีบริการ Set Lunch ราคาประหยัดไว้ด้วย ซึ่งร้าน Ogu Ogu แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมรู้สึกว่า Set Lunch ของเค้าประหยัดจริงอะไรจริง ประหยัดกว่าอาหารมื้อเย็นสัก 50% ได้ คือแบบคุ้มอ่ะครับถ้ามากินตอนเที่ยง ราคาอาหารของร้านนี้ก็ตามระดับของร้านครับ ราคาอาจจะแพงเล็กน้อย คือส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 400 - 500 บาทโดยประมาณต่อจาน แต่ทุก ๆ ท่านที่กินอาหารญี่ปุ่นกันมาเยอะก็น่าจะพอรู้กันว่า อาหารญี่ปุ่นนั้นเป็นอาหารที่พึ่งคุณภาพของวัตถุดิบค่อนข้างเยอะ จ่ายไปแพง ๆ ก็มักจะได้ความอร่อยแบบแพง ๆ กลับมาอยู่เสมอ

มื้อนี้เริ่มต้นด้วย Sashimi Salad - 350 บาท หรือ สลัดปลาดิบที่ไม่ว่าจะร้านอาหารญี่ปุ่นแนว ๆ ไหนก็มีขายกันหมด ซึ่งของร้าน Ogu Ogu จานนี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากร้านอื่นมากนักในแง่รสชาติครับ คือแบบก็เป็นผักสด ๆ กับเนื้อปลาสด ๆ ราดมายองเนส และน้ำสลัดเปรี้ยว ๆ มาเล็กน้อยอะไรพวกนั้น จานนี้ก็เหมือนกับเป็นการเปิดประตูกระเพาะอาหารของเราก่อน ไม่มีอะไรมาก






พอจานที่ 2 ที่เป็น Ebi Wasabi Mayo - deep fried shrimp fritters coated with wasabi dressing - 380 บาท ก็เหมือนกับเป็นการเริ่มโหมโรงเข้าสู่ประสบการณ์ใหม่ของอาหารญี่ปุ่นกันแล้ว จานนี้เอาจริง ๆ มันคือกุ้งทอด ที่วางโปะลงมาบนใบ rocket และก็โรยหน้ามาด้วยหัวไชเท้าซอย ประมาณนั้น แต่ละคำที่เรากินนั้น ทางเชฟก็ทำกุ้งมาขนาดพอดีคำ ไม่เล็กไปไม่ใหญ่ไป กินแล้วไปค้าง ๆ อยู่ในปากกำลังดี ตัวรสชาตินั้นจะได้ความหวานจากมายองเนส ผสมกับความเผ็ดแบบวาซาบิ และก็ความกรอบของผิวนอกที่ทอดมา และความหวานของเนื้อกุ้งด้านในอีกที คือเป็นรสชาติที่ค่อนข้างจะ complex แต่ก็ผสมผสานกันลงตัวดีแท้เลยล่ะครับ

จานที่ 3 เป็น Fiery Prawn - grilled prawn sauteed with garlic and dried chilli - 690 บาท ผมเคยไปกินกุ้งอบภูเขาไฟ ที่ร้านนครปฐมมา ตอนนั้นก็คิดว่า อืม มันก็ดูเป็นกุ้งภูเขาไฟดีพอแล้ว แต่พอมาเจอ กุ้งอัคคีของร้าน Ogu Ogu นี่แล้วผมกลับรู้สึกว่าร้านนี้น่าจะใช้ชื่อว่ากุ้งภูเขาไฟได้เหมาะสมกว่านะเนี่ย จานนี้เป็นการนำกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ 2 ตัว ไปย่าง แล้วก็แกะเปลือกเสิร์ฟมาพร้อมกับพริกแห้งที่ตัวเมล็กข้างในที่มีสาร capsaicin เผ็ด ๆ ออกหมดแล้ว จานนี้ความอลังการนี่เอาไป 10 เต็มครับ ส่วนรสชาติก็นะ อุตส่าห์ทำมาอลังการแบบนี้แล้วมันจะไม่อร่อยได้อย่างไร กุ้งอร่อยดีมากครับ เนื้อสด เด้ง อร่อย และแบบยิ่งกินคู่กับพริกแห้งที่ให้มาจนล้นชามแบบนี้แล้วยิ่งเข้ากันเป็นอย่างดี จานนี้สมกับเป็น Signature Dish ของทางร้านจริง ๆ (พริกแม้ว่าจะเอาไส้ออก แต่มันก็ยังแอบเผ็ดเล็กน้อยอยู่ดีครับ ฮ่า ๆ)







จานที่ 4 เป็นอีกหนึ่งจานที่ผมไม่เคยกินมาก่อนกับ Truffle Carbonara Udon - our favorite modern take on traditional carbonara using our udon noodle with truffle infused cream sauce - 380 บาท หรือ เป็นคาร์โบนาร่าที่เอาเส้นอุด้งมาทำแทนเส้นสปาเก็ตตี้ หรือเส้นพาสต้า ทั่วไปนั่นเอง ตอนแรกก่อนจะกิน ผมก็คิดว่ามันไม่น่าจะเข้ากันได้นะ แต่พอกินคำแรกเข้าไปก็ได้แต่ร้อง เฮ้ย ทำไมมันเจ๋งแบบนี้ คือแบบ เส้นอุด้งแม้ว่าจะเป็นเส้นใหญ่ แต่แบบทางร้านเอาไปลวกและผัดมาจนนิ่มสุด ๆ และตัวซอสคาร์โบนาร่า หรือการผัดให้ออกมาจนสำเร็จนั้น ไม่รู้ว่าคนทำเคยทำพาสต้ามาเยอะแค่ไหน คือไม่รู้จะไปติอะไรเลยล่ะครับ อร่อยจริง ๆ ผมและเพื่อน 2 คนชอบมากจานนี้ เสียดายอย่างเดียวคือมันต้องใช้ตะเกียบกิน แต่ละคำที่กินก็เลยไม่ค่อยสะใจเท่าไร แต่ก็ต้องย้ำเตือนตัวเองว่า เอ็งกำลังกินอาหารญี่ปุ่นอยู่นะ ก็ต้องใช้ตะเกียบสิ อะไรแบบนี้

อาหารคาวจานสุดท้ายเป็น Negi Tuna Roll - finely chopped tuna rolled with avocado & deep fried in tempura batter - 390 บาท จานนี้ก็มีทำมาแปลกกว่าชาวบ้านเล็กน้อยตรงที่มีการเอาเนื้อทูน่าไปพัน ๆ สาหร่ายแล้วก็ไปทอดกับเทมปุระมา เลยทำให้แบบ texture ที่ได้กินมันแตกต่างกว่าที่เคย ๆ กินมา ตัวเนื้อปลาทูน่าก็ทำมาแบบแค่ให้สุกแค่ด้านนอก ส่วนด้านในยังดิบอยู่ คือแบบพอรวม ๆ ทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้ว แต่ละคำที่กัดและเคี้ยวก็เลยทำให้มันมีหลาย texture เหลือเกิน ตัวรสชาตินั้นก็อร่อยดีครับ ทูน่าเต็มปากเต็มคำ กินกับซอสเปรี้ยว ๆ ของทางร้านลงตัวดี







ตอนแรกผมนึกว่าทีเด็ดของร้านนี้จะหมดไปกับอาหารคาวแล้ว แต่เปล่าครับ ของหวานของร้านนี้ก็อลังการและเทพพอ ๆ กับ (หรือเผลอ ๆ ยิ่งกว่า) อาหารคาวด้วยซ้ำ ของหวานอย่างแรกเป็น Chocolate Mousse - served with chocolate gelato - 240 บาท หรือไอศครีมช็อคโกแลต และ ช็อคโกแลตมูส ที่เสิร์ฟมาแบบอลังการในจานสวย ๆ และน้ำแข็งแห้ง โอเค คะแนนการนำเสนอเอาไปสิบเต็มอีกแล้ว และก็อีกแล้ว ตั้งใจนำเสนอแบบนี้เค้าก็คงภูมิใจในรสชาติตัวของหวานอยู่พอสมควร ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริง ๆ ครับ ตัวผมเองเป็นคนไม่ค่อยชอบช็อคโกแลตเท่าไร แต่พอได้กินช็อคโกแลตของจานนี้แล้วแบบหยุดไม่อยู่ครับ เช่นเดียวกับเพื่อนผมอีก 2 คนคือเหมือนกับแย่งกันกินเลยล่ะ ฮ่า ๆ

ส่วนของหวานอีกจานนั้นเป็น Tofu Blanc Manger - soy milk mousse served with ogura red bean and our special green tea gelato - 280 บาท อันนี้อาจจะไม่อลังการเท่าจานแรก แต่ก็อร่อยดีเช่นกัน ของทุกอย่างในจานทำมาดีหมด ไม่ว่าจะไอศครีมชาเขียวที่รสชาติเข้มข้น, ถั่วแดงที่แบบบดมาเละ ๆ และหวานกำลังดี และเต้าหู้ที่มาแบบกึ่ง ๆ จะเป็นของเหลว อืม เยี่ยมอีกเช่นกัน




สรุป มื้อนี้กับร้าน Ogu Ogu บอกตรง ๆ ว่าร้านนี้เหนือกว่าที่ผมคาดไว้เยอะมากครับ ทุกอย่างนั้นเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไปซะหมด ไม่ว่าจะ การบริการ, บรรยากาศร้าน, หน้าตาอาหาร, รสชาติอาหาร (ที่อร่อยทั้งของหวานและของคาว มีหลายร้านที่ผมอยากให้ 10 เต็มแต่มักจะมาตกม้าตายตรงของหวานก็มี) และเครื่องดื่ม จะเสียอย่างเดียวก็ตรงราคานี่แหละครับที่แบบถ้ามาจัดกันหนัก ๆ ก็น่าจะคนละ 2,000 บาทโดยประมาณได้ แต่ก็ตามที่ผมบอกไว้ ว่าของดีแทบจะทุกอย่างในโลกนี้มันก็ต้องมาพร้อมกับราคา premium ๆ หน่อยล่ะครับ ใครสนใจอยากไปลองอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ หากินที่ไหนไม่ได้ในกรุงเทพ พร้อมเครื่องดื่มแบบครบครัน ก็ไปลองกันที่ร้าน Ogu Ogu - ชั้น G ตึก Park Venture ติดกับ BTS Ploenchit แห่งนี้กันได้เลยครับ ผมล่ะอยากกลับซ้ำอีกจริง ๆ

ปล.  ร้านนี้เค้าจะมี Lotus Chip - with rosemary infused salt - 140 บาท จานเล็กไว้บริการให้ลูกค้ากินเล่นระหว่างรออาหารด้วย แต่แบบเนื่องจากว่าเป็นของกินเล่นที่ทำมาดีเกิน จนลูกค้าสั่งกันบ่อย ทางร้านก็เลยมีจานใหญ่ราคา 140 บาทไว้บริการ หรือถ้าใครติดใจหนัก จะซื้อกลับบ้านทางร้านก็มี pack เป็นถุงกลับบ้านให้อีกด้วยครับ!


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...