Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 4
วันที่ 4 นี่ก็เป็นวันแรกที่ผมได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มสักที สาเหตุที่น่าจะทำให้ผมนอนหลับได้สนิทดี ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เจ้าเพื่อนกรนดังจนหมีอายของผมมันไปเที่ยวต่างจังหวัด ทิ้งห้องให้ผมนอนคนเดียวสบาย ๆ ผมก็เลยได้ไปนอนเตียงนุ่ม ๆ ของมัน และไม่ต้องทนฟังเสียงกรนดังสนั่น ๆ ให้ระบมประสาทหู (เพื่อนอีกคนที่ไปเที่ยวด้วยกันกับมันในทริปนี้ บอกว่า ตอนนั่งรถทัวร์กลับมาที่โตเกียว เจ้าเพื่อนหมีกรนคนนี้ขนาดนั่งอยู่ก็ยังกรนได้ และกรนจนดังลั่นไปทั่วรถ จนเพื่อนอีกคนทนไม่ไหวต้องปลุกมันอยู่เรื่อย ๆ -*-) วันนี้ผมมีนัดไปเที่ยว Odaiba นครแห่งอนาคตกัน คือ Odaiba นี่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาว่าเป็นผืนแผ่นดินขนาดกี่ตร.กม.ก็ไม่รู้แต่ก็ใหญ่เหมือนกัน ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์สร้างขึ้น ที่ Odaiba ตอนนี้ก็เหมือนจะเป็นเกาะสวาทหาดสวรรค์ไปเรียบร้อยโรงเรียนพี่ยุ่นแล้ว เพราะว่าถ้ามาที่นี่ เราจะสามารถเจอทุกสิ่งแห่งความบันเทิงได้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นห้างที่มีอยู่ถึง 4 ห้างขึ้นไป (คือผมไม่แน่ใจ แต่ชัวร์ ๆ ว่ามี 4 ห้างอย่างต่ำ) โชว์รูม Toyota เท่ ๆ นามว่า MEGA WEB , Game Center และชิงช้าสวรรค์ , พิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์สุดแสนจะล้ำยุค, โรงอาบน้ำที่ครบครันด้วยน้ำแร่แบบต่าง ๆ และเรือรบโบราณให้ขึ้นไปเดินเล่นได้ และตึกสุดล้ำยุคที่ขึ้นไปเยี่ยมชมได้ คือ ฟัง ๆ ดูมันดูเป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาด และไม่น่าจะลงตัว มาอยู่ด้วยกันได้ แต่มันก็อยู่ด้วยกันแล้ว และอยู่กันอย่าง Symbiosis กันดีทีเดียวล่ะครับ
|
รถไฟไป Odaiba จะเป็นรถไฟสายพิเศษครับ แพงหน่อย ถ้าจะนั่งแบบไม่แพงมันจะอ้อม |
|
ถึงแล้ว Odaiba |
|
อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร |
|
ห้างกำลังจะเปิดตอน 10 โมงลูกค้ามาต่อคิวเยอะมาก ไม่รู้ว่ามีลดราคารึเปล่า |
|
สัญลักษณ์ของ Odaiba สะพาน Rainbow Bridge กับเทพีเสรีภาพขนาดจิ๋ว |
|
เทพีเสรีภาพขนาดจิ๋วครับ |
|
ตึก Fuji TV อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาะ Odaiba |
พวกผมนัดกันที่สถานี Shimbashi บน JR Yamanote Line สถานีนี้เป็นสถานที่เหมาะแก่การนัดไปที่ Odaiba มาก เพราะจะมีสถานี Shimbashi ที่จะเป็นสายใหม่ นั่งตรงไปที่ Odaiba โดยตรงได้เลย และเป็นสถานีที่มีสถานที่นัดที่ ใหญ่โต โดดเด่น เป็นสง่า กับหัวรถจักรสีดำขนาดใหญ่ ที่ใช้เป็นสถานที่นัดที่ดีมาก ๆ นัดกันยังไงก็ไม่มีทางหลง พอเพื่อนมากันครบ พวกผมก็จ่ายเงิน 310 Yen เพื่อไปลงยังสถานี Daiba คือแม้ว่าจะนั่งแค่ไม่กี่ป้าย แต่เหมือนสายรถไฟสายนี้จะเป็นของเอกชน และเหมือนจะลงทุนไปเยอะ ก็เลยต้องเรียกเก็บค่ารถไฟแพงหน่อย รวมถึงรถไฟสายนี้จะไม่มีคนขับ เพราะอะไรก็ไม่รู้ถึงต้องทำให้ไม่มีคนขับ ต้องการให้ล้ำยุค หรือว่าต้องการประหยัดแรงงานก็ไม่ทราบได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที พวกเราก็เดินทางจาก Shimbashi ไปถึงสถานี Daiba โดยสวัสดิภาพ
|
ประติมากรรม 2 อันนี้ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน |
|
หน้าตึก Odaiba มีจัดงานแสดงโดยดาราครับ เป็นแก๊งค์สาวน้อย 10 กว่าคน |
|
Luffy กับ Chopper นี่มีแต่คนไปรุมถ่ายรูปกัน |
คือจริง ๆ ที่ Odaiba นี่ผมได้มาเมื่อทริปที่แล้วค่อนข้างจะครบแล้ว (
ลิงค์รีวิว ตระเวณกิน ฤดูร้อนของผมเมื่อปีที่แล้ว) แต่มาคราวนี้กับคราวที่แล้ว feel ค่อนข้างต่างกันพอสมควรเนื่องจากตอนนั้นมานี่แบบร้อนตับแตก แทบจะไม่อยากเดินข้างนอกตึก คนน้อย เกาะทั้งเกาะแทบจะเป็นของผม แต่มางวดนี้อากาศเย็นสบายแต่ก็แลกกับการต้องไปเบียดเสียดกับคนญี่ปุ่นจำนวนมากมายมหาศาล พอลงจากสถานี พวกผมก็ไปที่ตึก Fuji Tv เพื่อถ่ายรูปกับตึกเท่ ๆ ตึกนี้กันสักหน่อย แล้วผมกับเพื่อนสนิทผมคนนึงก็แยกกลุ่มกับกลุ่มใหญ่เนื่องจากคนอื่นจะไปมิไรคัง (พิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์) กัน แต่ผมกับเพื่อนหิว เลยอยากหาอะไรกินกันก่อน ผมได้หาข้อมูลมาแล้่วว่าจะกินราเมนอร่อย ๆ ที่ห้าง Aqua City คลำ ๆ หา ๆ อยู่สักพักกว่าจะเจอ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ อ่านต่อกันเลย
รีวิวร้านที่ 5 ร้านราเมน แบบรวมกลุ่ม ณ ห้าง Aqua City, Odaiba
|
ป้ายหน้าร้าน คอราเมนเห็นแบบนี้แล้วจะอดใจไหวได้อย่างไรใช่มั้ยครับ |
|
ทางเข้าก็เหมือนเดินเข้าไปในเมืองสมัย Edo |
|
ภายในจะมีหลาย ๆ ร้านราเมนมาตั้งรวม ๆ กันอยู่ครับ |
คือตอนก่อนจะมากินร้านราเมนนี้ ผมหาข้อมูลเอาไว้ว่าเป็นร้านชื่อนึง จดชื่อร้านมาเป็นตัวคันจิ (แบบจดมั่ว ๆ จริง ๆ เขียนไม่เป็น) แล้วก็ไปดู Directory ของทางห้าง หา ๆ อยู่หลายรอบ หาไม่เจอ คิดในใจว่า เฮ้ย ซวยแล้ว จดมาผิดเหรอนี่ ลองเดิน ๆ วนดูก็หาไม่เจอ ก็เลยเริ่มปลง แต่แล้วเดินไปเดินมาอยู่ที่ชั้น 5 ก็สะดุดตาเข้ากับทางเข้าอะไรสักอย่างที่ดูอลังการดี พอไปดู ๆ ป้ายเมนูอาหารหน้าร้าน เห็นเป็นเมนูราเมนน่ากินดี ก็เลยชวนเพื่อนผมเข้าไปกินกัน พอเดินเข้าไป ก็ต้องตกใจครับ เพราะว่าที่นี่มันคือร้านที่ให้อารมณ์แบบร้าน Ramen Champion บ้านเรา คือเอาร้านราเมนหลาย ๆ ร้านมารวมอยู่ในเวิ้งเดียวกัน เลย ผมไม่แน่ใจว่ามีกี่ร้าน แต่อย่างต่ำ ๆ คือมีร้านราเมน 5 ร้าน ร้านเกี๊ยวซ่า (ใช่ครับ เกี๊ยวซ่า) 1 ร้าน (ขายแต่เกี๊ยวซ่า) และร้านเครื่องดื่ม ให้อารมณ์เหมือน food court บ้านเรา ต่างกันตรงที่อาหารแต่ละร้านจะมีแต่ราเมนเท่านั้น ผมเดินวน ๆ หาร้านที่จะสั่งอยู่สักพัก ก็ไปเจอกับร้านที่ตรงกับที่ผมหาข้อมูลมาจนได้!!!
|
ราเมนของผม Tonkotsu อะไรสักอย่าง เพิ่มหมูชาชูพิเศษ |
|
เส้นก็เป็นเส้นเล็กสไตล์ฮากาตะ ชอบครับ อร่อย ๆ ๆ ๆ แต่เจ้าหมูชาชูไม่ค่อยมีเอกลักษณ์เท่าไร บางไปหน่อยและก็ไม่ค่อยมีรสชาติ |
ราเมนของร้านที่ผมอ่านชื่อไม่ออกนี่ เป็นราเมนน้ำซุปกระดูกหมูที่น้ำซุปแบบเข้มข้นมากกกก thick มาก ๆๆๆ จนแทบจะไม่เหลือความเป็นน้ำเลย แต่ก็เป็นน้ำซุปที่เข้มข้นแบบเข้มข้นอร่อยดี คือผมชิมคำแรกติดใจเลยให้เพื่อนผมที่ชิมด้วยชิมด้วยเพื่อนผมก็ติดใจเช่นกัน ส่วนเส้นราเมนจะเป็นเส้นแบบราเมนธรรมดา ไม่ได้เป็นเส้นเล็กแบบฮากาตะ ซึ่งตามปกติแล้วผมจะชอบเส้นเล็ก ๆ มากกว่า แต่พอกินกับน้ำซุปเข้มข้นที่แทบจะติดเส้นมาจนทั่วเส้น กับหมูชาชูที่ให้มาจนเต็มชามแบบนี้ มันก็เป็นอะไรที่อร่อยดีครับ ผมซด ๆ ดูด ๆ แปบ ๆ ก็หมดชาม โอ้ว อร่อยดี
|
อันนี้ราเมนแบบแห้งของเพื่อนผม หน้าตาดูธรรมดา ๆ |
|
แต่ว่ารสชาติเยี่ยมเลยทีเดียวครับ |
|
เบียร์สดแก้วใหญ่ 500 yen กินเข้าได้กับอาหารทุกรูปแบบ |
ส่วนราเมนของเพื่อนผมเป็นราเมนแบบแห้ง ๆ ไม่รู้เรียกว่าอะไรเหมือนกัน ซึ่งตอนแรกตอนก่อนจะคลุกก็ดูหน้าตาธรรมดา ไม่ได้น่ากินอะไรมาก แต่พอคลุกให้เข้ากัน สาหร่ายแผ่นที่ซอยเป็นแผ่นเล้ก ๆ , ไข่แดงดิบ และขิงดอง คละเคล้าทั่วกันแล้ว มันก็ดูน่ากินขึ้นมานิดนึง และพอได้กินแล้วก็แบบ เออ แฮะ เป็นราเมนแห้งที่น่าจะอร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาเลยล่ะ คือผมไม่ค่อยชอบราเมนแห้ง ส่วนใหญ่จะสั่งแบบน้ำ กิน Tsukemen มาก็หลายร้าน กินราเมนแห้งมาก็หลายร้าน ไม่มีอร่อยสักร้าน แต่ราเมนแห้งของร้านนี้อร่อยดีครับ รสชาติเข้มข้น ๆ เค็ม ๆ นิดหน่อย ผมล่ะอยากจะขโมยเพื่อนผมกินจนหมดชามจริง ๆ
สิ่งที่ชอบของร้านราเมนรวมแห่งนี้อีกอย่างคือ เราไม่ต้องแลกคูปอง หรือแลกบัตรเติมเงินก่อนจะสั่งราเมน เอาเงินสดจ่ายได้เลย และก็พอสั่งแล้ว จะได้เบอร์เป็นกล่องเหล็กมากล่องนึง พอเราได้กล่องนี้ จะไปทำอะไรก็ได้ พอราเมนเราเสร็จกล่องมันก็จะร้องเตือน! โอ้โห hi-tech มาก พอร้องเสร็จเราก็เดินไปเอาราเมนร้อน ๆ ทำเสร็จใหม่ ๆ ของเรามากินได้อย่างสบายใจ สรุป ใครที่ไป Odaiba และได้แวะไปห้าง Aqua City ก็ลองแวะไปร้านราเมนรวมร้านนี้ได้ครับ น่าจะมีร้านที่ท่านถูกใจกันบ้างไม่หนึ่งร้านก็ทุกร้าน
ปล. ร้านนี้ผมหาข้อมูลจาก r.tabelog ได้คะแนนเฉลี่ย 3.54 มั้ง ซึ่งร้านไหนที่ได้คะแนนเกิน 3.5 นี่ถือว่าเทพแล้ว มีแค่ไม่ถึง 5% ของร้านทั้งหมดในญี่ปุ่น (ร้านที่ได้คะแนนเกิน 4 นี่มีไม่ถึง 0.5% หรืออะไรนี่แหละครับจำไม่ได้แล้ว เคยมี pop-up เด้งขึ้นมา ดังนั้นใครที่หาข้อมูลร้านอาหารญี่ปุ่นจาก tabelog ละก็ ร้านไหนเกิน 3.5 กินได้โดยไม่ต้องกังวลเลยล่ะครับ
|
กินเสร็จก็เดิน ๆ ๆไปที่ Miraikung ครับ อันนี้ห้าง Aqua City ที่ผมเพิ่งกินราเมนเสร็จตะกี้ |
|
ห้าง Diver City Tokyo ไม่เคยเข้าเหมือนกัน แต่ดูคนเยอะมากครับห้างนี้ |
|
เดิน ๆ ใกล้ถึงแล้ว วันนี้คนเยอะครับ รถจอดเต็มเลย |
|
ลูกเห็ดเล็กแดง พ่อแม่ มากันเต็มเลย คนเยอะมากก |
|
เจ้าห้องนอนดูลูกโลกนี่ คราวก่อนผมมา ไม่มีคนเลยสักคน |
|
ด้านในส่วนจัดแสดงพิเศษ |
|
ช้างอยู่ในสวนสัตว์อายุจะแค่ 17 ปี แต่พออยู่ในป่าจะเป็น 36 ปี แต่ถ้าตัดเรื่องมนุษย์ออกไปจะกลายเป็น 56 ปี |
|
กินแต่พออิ่มแล้วคุณจะอายุยืนครับเขาบอก |
|
เครื่องอะไรไม่รู้ |
|
DNA Double Helix strain สวยงามมาก |
|
อุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายวีดีโอต่าง ๆ |
พอเสร็จจากร้านราเมน ผมกับเพื่อนก็รีบ ๆ ตามเพื่อนกลุ่มใหญ่กันไปที่ Miraikung ต่อ เจ้ามิไรคัง หรือพิพิทธภัณฑ์แห่งอนาคตนี่ก็เป็นพิพิทธภัณฑ์เจ๋ง ๆ เท่ ๆ ที่จัดแสงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติในด้านต่าง ๆ โดยะจะมีชั้น 3 และชั้น 5 เป็นส่วนจัดแสดงแบบถาวร และขั้น 1 เป็น Special Exhibition (เสียเงินเพิ่ม 400 yen) คราวที่แล้วที่ผมมา ชั้น 1 จัดแสดงเกี่ยวกับ การก่อสร้าง Sky Tree (Tokyo Tower อันใหม่ของญี่ปุ่น) คราวนี้ผมมาเป็นการจัดแสดงเกี่ยวกับ 73 คำถามเกี่ยวกับความตาย! คืออารมณ์ประมาณว่า "ถ้าคุณรู้ว่าคุณเป็นโรคร้ายถึงแก่ความตายคุณจะบอกคนรู้จักมั้ย" "ถ้าโลกจะแตกคุณจะหนีออกจากเมืองรึเปล่า" อะไรแบบนี้ จัดแสดงเป็นทั้งด้านนามธรรมและรูปธรรมเชิงวิทยาศาสตร์ ผมว่ายังไม่ค่อยเจ๋งเท่าไร เพราะแบบ บางข้อมันนามธรรมเกิ๊น นี่พิพิทธพัณฑ์วิทยาศาสตร์นะเว้ยเฮ้ย ส่วนชั้น 3 และชั้น 5 นั้นยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ผมมาเมื่อคราวที่แล้ว ก็รบกวนไปดูรีวิวของคราวที่แล้วจะดีกว่านะครับ มามิไรคังคราวที่แล้ว ผมจำได้ว่าแทบจะไม่มีคน ไม่มีรถจอดที่ลานจอดรถเลยแทบจะสักคันนึง แต่มาวันนี้ รถจอดเต็ม ผมต้องต่อคิวซื้อบัตร และต้องไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ดูโน่นดูนี่กับเด็กกะเปี๊ยกตาตี่ (แต่น่ารัก) เหนื่อยครับ วันนี้เลยไม่ค่อยได้ดู นั่ง ๆ รอเพื่อนซะมากกว่า
|
ไปที่โรงอาบน้ำกันซักหน่อย ค่าเข้ารู้สึกจะ 3000 - 4000 เยน ไม่ไหวแพงเกิน แต่อ่าน ๆ สเปคแล้วน่าจะเจ๋งครับ |
|
ทางเข้าทำได้ดูย้อนยุคดี |
|
ข้าง ๆ กันเหมือนจะมีคาเฟ่ของสุนัข |
|
ฝนเริ่มมาอีกรอบ T_T |
|
ใบพัดของเรือที่ไม่ใช้แล้ว ใหญ่มาก ๆ ครับ หลุดเข้าไปนี่คงโดนปั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น |
|
เรือ Soya เปิดให้ขึ้นไปชมได้ ค่าเข้าชม 300 เยน |
|
เรือจำลองแบบต่าง ๆ ในพิพิทธภัณฑ์ชั่วคราวครับ |
|
ไปที่ไหนคนก็เยอะวันนี้ |
|
เรือใบแบบโบราณก็มี |
พอเสร็จจากมิไรคัง ฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมาอีก ทำให้งานวันนี้เริ่มกร่อยขึ้นมาอีกแล้ว ผมชวนเพื่อนไปที่ Monogatari Onsen ออนเซ็นเท่ ๆ ที่มาตั้งอยู่ที่ Odaiba ได้ยังไงก็ไม่ทราบ ค่าเข้านั้นก็แสนแพง 2900 yen ผมก็เลยแบบขอถ่ายรูปด้านหน้าแทนละกัน แต่เท่าที่อ่านมา เหมือนว่าที่นี่จะมีบ่อน้ำร้อนหลากหลายแบบมาก คือจ่ายเงินไปรวดเดียว สามารถอยู่ได้ทั้งวัน แช่ไปแช่มา เปลี่ยนบ่อไปบ่อมาได้เลย แต่พอดี ผมก็ไม่ได้เป็คนพิศวาสการแช่น้ำร้อนนักก็เลยไม่ขอลองดีกว่า เดินเลยจาก Onsen Monogatari ไปเล็กน้อยก็จะเจอกับพิพิทธพันฑ์ Maritime อะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับเรือ ในยุคต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วส่วนจัดแสดงหลักที่สร้างอาคารเป็นรูปเรือลำใหญ่นั้นปิดปรับปรุงและยังไม่มีกำหนดเปิดอยู่ ส่วนจัดแสดงจะมีแค่ส่วนเล็ก ๆ (มาก) ส่วนนึงที่มีโมเดลเรือกับ Simulation แบบต่าง ๆ ให้ลองเล่นกัน ซึ่งก็ไม่ได้น่าสนใจมาก แต่ว่าค่าเข้าฟรีแค่นั้นครับ และก็ข้าง ๆ ส่วนจัดแสดง จะมีเรือรบ หรือเรือกู้ภัยลำใหญ่ยักษ์ ที่ปลดระวางแล้ว จอดอยู่ให้คนเข้าไปเยี่ยมชม ถ่ายรูปกันได้ในราคา 300 yen แต่พอดี ตอนผมไปถึง ฝนตกมาหนักพอดี ก็เลยไม่ได้ขึ้นไปดูในเรือกัน เพราะจะเปียกไปมากกว่าเดิมเปล่า ๆ
|
ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันหน่อย เพิ่งจะเคยขึ้นเนี่ยแหละผม |
|
คนขึ้นเยอะเหมือนกัน |
|
ตู้นึงนั่งได้ 5 คน และจะลดเหลือ 3000 เยนต่อตู้ประหยัดไป 600 เยนโดยรวม -*- |
|
อันนี้ภาพเบลอ ๆ มัว ๆ จะบนชิงช้าสวรรค์ |
|
มัวและเบลอมาก ไม่รู้จะขึ้นไปทำไมเหมือนกัน |
|
ไปที่เมือง Edo กันต่อ คนญี่ปุ่นนี่นึกอะไรไม่ออกก็จะทำย้อนยุคไว้ก่อนนะครับ |
|
คนเยอะเหมือนเคย |
|
อันนี้หนึ่งในร้านทาโกะยากิในพิพิทธภัณฑ์ทาโกะยากิ |
|
ซื้อมาลองกินจานนึง ก็อร่อยดีนะครับ |
พอเสร็จจากที่ Maritime Museum แห่งนี้ ผมก็ตามเพื่อนไปที่พื้นที่บริเวณ Venus Fort ที่จะรวม ๆ ทั้งห้าง Venus Fort ที่แต่งภายในสวน ๆ เหมือน Venetian , Show Room รถยนต์ Toyota แบบล้ำยุค ที่มีส่วนโชว์รถธรรมดา ๆ , ส่วนให้ทดลองขับรถยนต์รุ่นต่าง ๆ , ส่วนให้ลองขับรถอนาคต ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ผมชอบที่สุดที่ Odaiba ล่ะเสียแต่ว่า วันที่ไป คนจะเยอะไปไหนไม่รู้ และรถค่อนข้างซ้ำกับปีที่แล้วที่ผมมาครับ ผมก็เลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก และเดินเลยไปหน่อยก็จะมีชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ที่น่าจะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น (เคยสูงสุดและใหญ่สุด) และ Game Center และปาจิงโกะขนาดใหญ่อยู่ เพื่อนญี่ปุ่นผมที่ไปด้วยกัน ชวนขึ้นชิงช้าสวรรค์ เนื่องจากถ้าขึ้นกันเยอะ ๆ 5 คนต่อ 1 กระเช้า จะได้ส่วนลดเหลือ 3000 yen จากราคาเต็ม 1 คน 900 yen ผมก็เลยขึ้นไปด้วย แต่แบบ ตอนขึ้นไป ฝนตกอยู่ ฟ้าครึ้ม ฝ้าเกาะกระจกชิงช้าสวรรค์ เลยมองอะไรแทบไม่เห็น ก็ได้แต่นั่งคุย นั่งแกล้งกันบนนั้น ไม่ค่อยได้ดูวิวซักเท่าไร แต่ว่าตอนที่อยู่ข้างบนสุดนี่ก็สูงดีนะครับ ถ้าวิวสวย ๆ นี่คงสวนมากถึงมากที่สุดเลยล่ะ เจ้าชิงช้าสวรรค์นี่ใช้เวลา 16 นาที ก็ถือว่าไม่ถูกไม่แพงล่ะมั้งครับ เสร็จจากชิงช้าสวรรค์ เราก็ไปกันที่ห้าง Aqua City หรืออะไรสักอย่างใกล้ ๆ กันต่อ ที่ชั้น 3 ของห้างจะมีส่วนที่ทำเป็นเหมือนเมือง Edo ย้อนยุค มีสินค้าเก๋ ๆ ขาย, มีบ้านผีสิงแบบผีญี่ปุ่น, มี Tagoyaki Museum ก็เดินได้เพลิน ๆ ฆ่าเวลาได้ดีเหมือนกันครับที่นี่ (แต่วันที่ผมไป คนเยอะไปหน่อย เดินไปก็ชนคนอื่นไป -*-) พอเสร็จจาก Odaiba พวกเราก็เดินทางกลับไปที่ Shimbashi กันต่อเพื่อไปหาข้าวเย็นกินกัน
รีวิวร้านที่ 6 ชื่อร้าน อ่านไม่ออก แต่เป็นร้านแนว Yakisakana หรือปลาย่างสไตล์ญี่ปุ่น
คือรู้สึกว่าชื่อร้านของร้านที่ 5 นี่ว่าแย่แล้ว ร้านที่ 6 นี่แย่กว่าอีกนะครับว่ามั้ย ฮ่า ๆ ร้านนี้เป็นร้านที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นผมพาเดินดุ่ม ๆ เข้าไปนั่ง ผมเซฟพิกัดร้านและถ่ายรูปหน้าร้านมาไว้ เพราะว่าอะไร? เพราะว่าร้านนี้เค้าเจ๋งมากครับ! อร่อยดี โดยร้านนี้จะอยู่ใกล้ ๆ สถานี Shimbashi เดินประมาณสัก 5 นาที พิกัดร้านจะตามนี้ 35.664982,139.759250 (เอาไปใส่ใน google maps ได้เลยครับ) ร้านนี้ตอนเข้าไปนั่งแรก ๆ ผมนึกว่าเป็นร้านแนว Izakaya แต่แบบตอนเดินผ่านเคาน์เตอร์ของร้าน เห็นมีอาหารทะเลสด ๆ วางไว้เต็ม และมีตะแกรงวาง ๆ ไว้อยู่เยอะ ก็เลยชักไม่ค่อยแน่ใจ ก็เลยมาถามเพื่อนญี่ปุ่น เพื่อนก็บอกว่าร้านนี้เป็นร้านปลาย่าง(อาหารทะเลย่าง) หรือ Yakisakana ที่อาหารหลักจะเป็น ปลาญี่ปุ่นแบบต่าง ๆ ไปย่าง, ทอด มาให้เรา แต่ก็จะมีอาหารสไตล์ Izakaya ที่ค่อนข้างจะครบครันเช่นกัน (พวก Yakitori, tempura)
|
อ่านตัวคันจิตัวหน้าไม่ออก แต่สามตัวหลังอ่านว่า Bataya ครับ เปิดมา 55 ปีแล้วรึเปล่า? |
|
ไข่หวานเป็น appetizer อร่อยเยี่ยมเลยทีเดียว |
|
เบียร์ Sapporo เย็น ๆ กดไปทั้งหมด 5 แก้วคืนนั้น |
|
ผักดองอร่อย ๆ กินรออาหารมา |
เมนูอาหารของร้านนี้ผมอ่านไม่ออกเลยจริง ๆ เนื่องจากเป็นตัวคันจิหมดไม่มีรูปเลยสักนิด ก็เลยปล่อยให้เพื่อนญี่ปุ่นที่ไปด้วยกันเป็นคนสั่งคนเดียว ผมไม่ไปก้าวก่ายใด ๆ ทั้งสิ้น อาหารอย่างแรกที่ได้เป็นผักดองรวม คือ หลายคนเห็นรูป หรืออ่านเจอคงยี้ อะไรก็แค่ผักดอง แต่ผมอยากจะบอกว่าผักดองที่ญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ขี้ไก่นะครับ อร่อยแบบ ผมยอมกินแต่ผักดองทั้งมื้อเลยก็ยังได้เลยประมาณนั้น คือมีเพื่อนผมคนนึงที่อยู่ญี่ปุ่น 3 ปีเคยจัดอันดับให้ผมฟังว่ามีอะไรที่ชอบที่ญี่ปุ่นบ้าง เพื่อนคนนี้จัดให้ผักดองเป็นของชอบอันดับ 4 ของเค้านะครับ! (อันดับ 1 รู้สึกจะ Snowboard, 2 จะ Maguro, 3 จะผู้หญิง) เจ้าผักดองจานแรกที่ได้นี่ก็อร่อยไม่ผิดหวังที่เป็นผักดองญี่ปุ่น อร่อย เปรี้ยวตามผักที่ควรจะเปรี้ยว หวานตามผักที่ควรจะหวาน โอย เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยราคาถูกที่อร่อยดีแท้
|
เริ่มต้นจานหลักกันด้วย ปลาฮอกเกะตัวโต สด ๆ อร่อยมาก ๆๆ |
|
เบียร์มาเป็นสายน้ำครับวันนี้ |
อาหารจานที่ 2 เป็นปลาฮกเกะย่าง ซึ่งเมื่อวานผมเพิ่งกินที่ร้าน Kino Kura Jr. มาหมาด ๆ ก็แบบแอบเซ็งเล็กน้อยที่เพื่อนผมสั่งไป แต่พอเห็นหน้าตาปลาที่แบบตัวใหญ่มากกกก ใหญ่กว่าของร้าน Kinno Kura Jr. สัก 50 - 60 % ได้ ความรู้สึกอยากกินก็เริ่มถาโถมเข้ามา และพอได้กินคำแรกเท่านั้นล่ะครับคำว่า Fin มันก็ตกตูมลงมาบนหัวผมทันที เพราะว่ามันแบบอร่อยมากกก อร่อยแบบสดมาก ย่างมากำลังดี เนื้อหวาน นุ่ม สด ร่วม และทาเกลือมากำลังดีเค็ม ๆ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย เพื่อนคนไทยผมที่ไปด้วยกัน 4 คนต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามันสุดยอดมาก ๆ เจ้าปลาฮกเกะตัวยักษ์นี้ ส่วนจานที่ 3 ก็เป็นสลัดปลาข้าวสาร ที่หน้าตาก็ดูธรรมดา ๆ เหมือนสลัดผักญี่ปุ่นที่ไทย แต่แบบพอคลุก ๆ สลัดนี่ซักหน่อย ปลาข้าวสารมันก็หล่นพรึ่บลงมาจากยอดกอง ทางร้านให้มาเยอะมากกก และสลัดจานนี้ก็อร่อยเยี่ยมอีกเช่นกัน โดยมีดัชนีชี้วัดคือ เพื่อน ๆ ผมทุกคนพยายามดึงเจ้าสลัดจานนี้ไปใกล้ตัวเองตลอดเวลา ฮ่า ๆ
|
สลัดปลาข้าวสารมั้ง เห็นปลาข้าวสารป่ะครับ หมก ๆ อยู่ด้านบนสลัด |
|
ปลาไข่ย่าง ก็ดีครับ |
|
ปิ้ง ๆ ย่าง ๆ แบบรวมบ้าง อร่อยดีครับ |
อาหารจานที่ 4 เป็น ปลาไข่ ชื่อญี่ปุ่นว่าอะไรจำไม่ได้ล่ะครับ ชิโมะ ๆ (น่าจะ Shishamo) อะไรประมาณนี้ย่าง ก็จัดได้ว่าอร่อยอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมาก ที่ประทับใจก็คงจะเป็นความใหญ่ของปลาไข่ที่แบบใหญ่กว่าปลาไข่เราสัก 2 เท่าได้ คือมันใหญ่จนแบบเห็นแล้วต้องถามเพื่อความชัวร์ว่านี่คือปลาไข่รึเปล่า และเจ้าปลานี่นอนอ้าปากกลม ๆ ของมันมาเลย ผมเดาว่าที่มันอ้ามาแบบนี้เพราะทางร้านเอาไปย่างกันแบบสด ๆ รึเปล่ามันเลยอ้าปากมา! อาหารจานที่ 5 เป็น ยากิโทริรวม มีเนื้อส่วนกึ๋น, ตับ, ปีกไก่, หนังไก่ และเห็ดหอมมา จานใหญ่มาก คืออยากจะบอกว่าผมกินยากิโทริที่เมืองไทยมาก็มักจะไม่เจอไม่อร่อยอยู่แล้ว กินที่ญี่ปุ่นนี่ยิ่งไปกันใหญ่ครับมีแต่อร่อยมากไม่ก็อร่อยน้อยเท่านั้น ซึ่งเจ้าจานนี้เป็นแบบแรกครับ แม้ว่าจานจะใหญ่ ก็หมดลงในเวลาไม่นาน
|
อันนี้ปลา Hata Hata ย่าง |
|
Yagi Udon ครับเพื่อนญี่ปุ่นผมบอกมา อร่อยอีกแล้ว |
อาหารจานที่ 6 เป็นปลาฮาตะ ฮาตะ ย่าง เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินและได้กินนี่แหละครับ จานนี้ก็คล้าย ๆ ปลาไข่ย่าง ต่างกันตรงที่ก้างจะเยอะกว่าและตัวใหญ่กว่า แต่ให้รสชาติ, texture เหมือน ๆ กัน อาหารจานที่ 7 เป็นอะไรที่ไม่เคยกินอีกแล้ว อุด้งย่าง (เพื่อนผมเรียกมันว่า Yakiudon) คือเหมือนเอาเส้นอุด้งไปผัด ๆ กับกระทะมากกว่าจะย่าง และคลุกมากับหมูและแครอท เห็นหน้าตาตอนแรกก็แบบ อี๊ นี่มันก็แค่ udon กาก ๆ จานนึงรึเปล่า แต่พอได้กินแล้วนี่แบบ เฮ้ยยยยย ทำไมมันอร่อยแบบนี้ udon เส้นเหนียวหนึบ รสชาติเค็ม ๆ กลมกล่อมกำลังดี มากับหมูแผ่นรสชาติดี เนื้อนุ่ม แม้ว่าจานนี้จะเยอะ(อีกแล้ว) ก็หมดลงในเวลาไม่นานอีกแล้น
|
หน่อไม้ญี่ปุ่นแบบ Tempura บ้างก็ดีนะครับ แต่อยากได้แบบพวกเนื้อสัตว์, ปลามากกว่า |
|
อันนี้จำไม่ได้แล้ว เป็นประมาณเอาของต้ม ๆ น่ะครับ |
เข้าสู่อาหาร 2 จานสุดท้าย จานรองสุดท้ายจานแรกเป็น หน่อไม้ญี่ปุ่นเทมปุระ ซึ่งจานนี้น่าจะเป็นจานที่ fail ที่สุดในมื้อครับ ส่วนนึงเพราะว่ามันเป็นผักโง่ ๆ และอีกส่วนนึงคือจานอื่น ๆ มันเทพเกินไป -*- ส่วนจานสุดท้ายนี่ดีหน่อย เป็นอารมณ์ประมาณชาบูทำสำเร็จมาให้ เป็นหมู, ผักกับน้ำซุปและเส้นแปลก ๆ ที่คล้าย ๆ เส้นหมี่บ้านเรา ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าคนญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร คือผมถามแล้ว แต่ผมจำไม่ได้ เนื่องจากว่ากินเบียร์ ณ จุดนั้นไปแล้ว 5 แก้วใหญ่ -*- จานนี้ก็อร่อยดีครับ ซด ๆ กิน ๆ แก้เมาได้ดีในระดับนึง
สรุป ร้านนี้ อร่อยมาก เทพมาก ค่าเสียหายก็ไม่ค่อยแพง กินกันเยอะทั้งอาหารและเครื่องดื่ม (เฉลี่ยแล้วกินเบียร์กันคนละ 5 แก้ว) แต่ค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 3000 yen เท่านั้น ใครที่มาแถว Shimbashi มองหาร้านแนวที่หาไม่ค่อยได้ในเมืองไทย ก็แนะนำมาจัดร้านนี้ได้นะครับ อ้อ เท่าที่ผมเดินดูแถว ๆ Shimbashi นี่รู้สึกว่าจะมีร้านแนว Izakaya ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เห็นร้านนึงมีเบียร์สด 180 yen โฆษณาไว้หน้าร้านด้วย ย่านนี้ผมไม่เคยมา มาก่อน แต่อีกหน่อยคิดว่าน่าจะเป็น ย่านที่ผมต้องลองแวะมาบ่อยขึ้นหน่อยซะแล้วสิ! (ย่านนี้น่าจะเป็นย่านอารมณ์ประมาณ office เยอะ ๆ มีร้านอาหารไว้รองรับคนก่อนจะกลับบ้านเยอะ ๆ)
หลังจากกินกันเสร็จ แต่ละคนอิ่ม และกรึ่มกันกำลังดี เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่ม เพื่อนผมหลายคนต้องรีบกลับ ตอนแรกว่าจะไปต่อคาราโอเกะกัน แต่แบบ เพื่อนคนไทยผมหอปิดเที่ยงคืน เพื่อนญี่ปุ่นผมบางคนอยู่ไซตามะ, บางคนอยู่ชิบะ ใช้เวลาเดินทางกลับบ้าน 2 ชั่วโมง ก็เลยตกลงกันว่า แยกย้ายกันกลับดีกว่า ตอนก่อนกลับ คนญี่ปุ่นจะมีพิธีเหมือนกับว่าปาร์ตี้เลิกแล้วคือจับมือล้อมกันเป็นวงกลม และให้คนที่เป็นเจ้ามือ หรือผู้อาวุโสสุดพูดนำว่า ยบบบบ คนอื่น ๆ ก็พูดตาม เสร็จแล้วก็ตบมือ ว่า ปัง ก็จะเป็นการจบพิธีอย่างเป็นทางการ ซึ่งผมว่าก็ดีแล้วเพราะว่าตอนนี้ ผมก็กำลังกรึ่มจากอาหารเลิศรสแบบไคเซกิของอีก 3 วันถัดมาจากรีวิวนี้อยู่ ยังไงก็ลองติดตามอ่านกันต่อหน่อยนะครับ อยากให้เห็นอาหารเทพ ๆ มื้อนี้จริง ๆ สำหรับวันนี้ เอ้า มาครับทุกคน มายืนเป็นวงกลม เอ้า ยบบบ ปัง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment