Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 2
หลังจากที่ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเมื่อวาน (น่าจะไม่ถึง 2 ชั่วโมง) วันแรกจริง ๆ ของการเที่ยวญี่ปุ่นของผมก็เริ่มต้นขึ้น ผมมีนัดกับเพื่อนตอน 9 โมงที่สถานี Kamata อยู่ห่างจากสถานี Oimachi ของผมไป 2 สถานี หลังจากเช็คเว็บ Hyperdia (เว็บเช็คตารางเวลารถไฟสำหรับชาวต่างชาติครับ สะดวกดี เป็นภาษาอังกฤษ) ก็เลยคิดว่าออกจากบ้าน 8.45 ก็ไปทันสบาย ๆ คือรู้สึกว่าผมจะเคยพิมพ์ไปแล้วว่ารถไฟของที่ญี่ปุ่นนี่จะมาตรงเวลากันเป็นนาทีเลย ประมาณว่า 8:49 น. กับ 8:50 น.นี่มีผลมาก ๆ คืออาจจะตกรถหรือได้ขึ้นรถประมาณนั้นเลย ซึ่งเจ้าเวลาการเดินทางของรถไฟของที่ญี่ปุ่นนี่จะดีมาก ๆ นอกจากจะเช็คเส้นทางไหนก็ได้แล้วยังสามารถดูเวลาของรถไฟเที่ยวนั้น ๆ ที่เราจะไปได้อีก ทำให้สามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างแม่นยำ ตรงเวลา ซึ่งผมก็อยากให้รถไฟฟ้า, รถใต้ดินที่กรุงเทพมีแบบนี้บ้างนะ แต่ก็นะ ทางรถไฟบ้านเรามันยังไม่ได้ซับซ้อนและเยอะแบบญี่ปุ่นเลยอาจจะไม่จำเป็นมากนัก แต่มีไว้ก็มีกว่าไม่มีว่ามั้ยครับ?
ผมเดินทางไปถึงสถานี Kamata ตอนเวลา 8.59 น. ก่อนเวลานัด 1 นาที รอเพื่อนอยู่แปบนึง ผมก็เจอกับเพื่อนที่จุดนัดได้อย่างไม่ยากเย็น (ตอนแรกแอบกลัวว่าจะคลาดกันรึเปล่า เพราะว่าเพื่อนผมไม่ยอมเปิด roaming , ไม่มีโทรศัพท์ คือติดต่อเวลาออกมาข้างนอกไม่ได้เลย) (โชคดีที่สถานีเล็ก) ตอนแรกผมวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวแถว ๆ Ebisu แต่แบบพอขึ้นรถไฟไปแล้ว ไปเจอกับเพื่อนคนไทย ของเพื่อนผมที่จะเที่ยวกับผมอีก 2 คน ซึ่งสองคนนี้กำลังจะไปสวนสัตว์ Ueno กัน ผมก็เลยเปลี่ยนแผน และตามสองคนนี้ไปสวนสัตว์ที่มีคนเข้าชมเยอะที่สุดในญี่ปุ่นแทนดีกว่า เพราะเที่ยวเยอะ ๆ ย่อมสนุกกว่าเที่ยวไม่กี่คนอยู่แล้ว (แต่เที่ยวเยอะไปบางครั้งก็ไม่ดีนะครับ ทุกท่านว่ามั้ย? ผมว่าการเที่ยวนี่สัก 4-5 คนกำลังสวย ถ้ามากกว่านี้มันจะเริ่มมากคนมากความ มีการยึกยักรอกัน เกี่ยงโน่นเกี่ยงนี่ และสุดท้ายก็จะแยกกลุ่มกันในที่สุด)
|
ไปถึงคนเยอะดีครับ Ueno Zoo |
|
ค่าเข้า 600 yen ครับ |
|
หมีแพนด้า ตัวชูโรงประจำสวนสัตว์ |
|
ไม่รู้ทำไมถึงมีวัดไทย, ศาลาไทยอยู่ด้วย |
|
แผนที่สวนสัตว์โดยรวมครับ ถือว่าใหญ่ดีเหมือนกัน |
สวนสัตว์ Ueno นี่ก็เรียกได้ว่าเป็นสวนสัตว์กลางเมือง (ประมาณเขาดินบ้านเรา) คือเจ้าสถานี Ueno นี่ก็เป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานของโตเกียวแล้ว เจ้าสวนสัตว์นี่ก็ยังสามารถมาตั้งอยู่หน้าสถานีได้อีก คือแบบลงจากสถานีปุ๊บ เดินผ่านสวนสาธารณะนิดนึงก็จะเจอสวนสัตว์แล้ว Ueno Zoo นี่ก็เป็นสวนสัตว์ที่เรียกได้ว่ามีสัตว์แทบจะครบเท่าที่จะมีได้เลย (ค่าเข้า 600 yen ลืมบอกไปครับ อ้อ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นจะค่าเข้าเท่านี้แหละครับ) ก็สัตว์ที่สวนสัตว์แห่งนี้มีก็เรียกได้ว่าค่อนข้างแปลกดีสำหรับผม คือมีทั้งสัตว์เขตร้อน, เขตหนาว, เขาอบอุ่น แบบครบเลยทีเดียว ไม่ว่าจะ หมีแพนด้า, หมีขาว, สิงโต, จระเข้, สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ , ยีราฟ, แรด, เสือ, ลิง ฯลฯ คือ น่าประหลาดใจจริง ๆ ที่สัตว์ที่ไม่ควรจะมาอยู่ในสวนสัตว์แห่งนี้ได้ ก็ดันอยู่ได้ (เช่นหมีขาว, ฮิปโป) คือถ้าเทียบสวนสัตว์แห่งนี้กับสวนสัตว์เขาดินของบ้านเรา ถ้านับเรื่องความหลากหลายของสัตว์ ทั้ง 2 ที่น่าจะพอ ๆ กัน แต่ถ้านับเรื่องอากาศ ที่ Ueno วันนั้นเย็นสบายมากครับ แต่เขาดินนี่ผมไปมากี่ครั้งก็เหงื่อแตกทุกครั้ง , ความสะอาดและแผนที่แล้ว Ueno Zoo กินขาดจริง ๆ ถ้าใครจะมาสวนสัตว์นี้ ผมว่าถ้าเวลาเหลือที่โตเกียวก็มาสักหน่อยก็ดีครับ เดินทางไม่ลำบาก ค่าใช้จ่ายไม่แพง และฆ่าเวลาได้ประมาณ 3-4 ชั่วโมงสบาย ๆ พอเสร็จจากการทัศนาสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ พวกเราก็ไปต่อกันที่ร้าน Ichiran ร้านราเมนสไตล์ฮากาตะ (ฟุกุโอเกะ) อันโด่งดังที่ถูกปากถูกใจไม่ว่าจะคนไทยหรือคนญี่ปุ่น
|
หลินปิง! ซนมากเลยครับ เล่นไม่หยุดเลย น่ารักดี |
|
หน้าผาแห่งลิงครับ ลิงญี่ปุ่นก็คล้าย ๆ ลิงไทยแค่ขนเยอะกว่าหน่อย |
|
สวนสัตว์เค้าค่อนข้างร่มรื่นนะครับ อากาศเย็นสบายด้วย |
|
อันนี้ไม่รู้ว่าชื่อตัวอะไร ลามูร์ ลาแมร์ พ่อง นั่นมันเครื่องสำอางค์ (น่าจะลามะ) |
|
คาปีบาร่า สัตว์ rodent ที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก |
|
เพนกวินก็มีครับ มีเยอะดีด้วย |
|
ไม่รู้เรียกว่าเพนกวินพันธุ์อะไรเหมือนกันครับ |
|
เจ้า 2 ตัวนี้เดินแบบนี้ตามกันตลอดเวลาที่ผมดูอยู่เลยครับ ฮ่า ๆ |
|
นกฟลามิงโกรึเปล่า? เยอะดี สวยดี |
|
จระเข้ตัวใหญ่ยักษ์ หลับตาพริ้ม สบาย ๆ ฟาร์มจระเข้บ้านเราเจ๋งกว่า มีเยอะกว่าครับ |
|
เต่ายักษ์ ไม่ค่อยได้เห็นเท่าไรนะผมอ่ะ ก็เจ๋งดีนะครับ ตัวเบ้อเริ่มเลย |
|
ม้าลายกับแพะอะไรสักอย่าง อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข |
|
แรด เท่ดีครับ ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย |
|
หมี คุมะ ตัวใหญ่ ขนดำปุยดี น่ากอดมากครับ |
|
ข้าง ๆ วัดมีเจดีย์กับสวนสวย ๆ ด้วยครับ |
|
เจดีย์สวยดีครับ |
|
ด้านหน้าเจดีย์เป็นสวนของน้องกวาง |
รีวิวร้านที่ 2 Ichiran Ramen @ Ueno Station (Link รีวิวร้าน Ichiran @ Shinjuku)
|
อันนี้รูปหน้าร้านตอนที่ผมกินเสร็จแล้วนะครับ คิวยาวดีเหมือนกัน |
|
อันนี้ราเมนของผม มีราเมน , เพิ่มชาชู และก็เพิ่มไข่ต้มครับ |
|
อันนี้แบบที่ผมเลือก มีให้เลือกได้เยอะมาก |
|
ผมได้นั่งโต๊ะแต่ว่าเอกลักษณ์ของร้านจะเป็นคอก ๆ มากกว่า ประหนึ่งว่าจะได้มีสมาธิต่อการกินสุด ๆ |
ร้าน Ichiran สาขาสถานี Ueno นี่จะอยู่ที่ทางออก Yamagichi ของสถานี Ueno พิกัด
35.712467, 139.775164 ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ชัวร์ว่าเป็นร้านนี้รึเปล่าเพราะไม่มีภาษาอังกฤษเขียนเลย แต่พอไปด้อม ๆ มอง ๆ หน่อย และอาศัยอ่านได้ว่า ตัวคันจิ 一 อ่านได้ว่า Ichi ก็เลยค่อนข้างชัวร์และเดินเข้าไป พอเข้าไปถึงก็เจอกับเครื่องสั่งราเมน แบบที่คุ้นเคย ราเมนแบบเริ่มต้นรู้สึกจะราคา 780 yen เพิ่มโน่นเพิ่มนี่ก็อย่างละ 100 - 150 yen โดยประมาณ ผมไม่รู้ว่าสาขาอื่นมีพนักงานคอยดูลูกค้ารึเปล่า แต่สำหรับสาขา Ueno นี่ดีหน่อยตรงที่จะมีพนักงานชาวญี่ปุ่นคอยแนะนำโต๊ะให้เรา จริง ๆ แล้วเจ้าราเมนร้านนี้จะดังเรื่องที่กั้นที่นั่งเป็นคอก ๆ เพื่อที่จะได้ให้ลูกค้าสามารถกินราเมนได้อย่างมีสมาธิ และให้ผู้หญิงมากินราเมนคนเดียวได้อย่างไม่กระดากอาย แต่วันนี้ผมไป 4 คนก็เลยได้นั่งโต๊ะแบบธรรมดา ซึ่งก็ถือว่าแปลกดีเหมือนกัน
|
ไข่ต้มของผมมาแบบทั้งเปลือกเลย ต้องมานั่งแกะเอง |
|
ราเมนของผม เผ็ดระดับ 8 |
ราเมนของร้าน Ichiran นี่ผมเคยลองมาก่อนหน้านี้แค่ครั้งเดียวเมื่อปีที่แล้ว และจำได้ว่ายังติดใจมาจนถึงวันที่ไป ราเมนของร้านนี้จะเป็นราเมนน้ำซุปกระดูกหมูสไตล์ฮากาตะ คือเส้นจะเรียว ๆ เล็ก ๆ น้ำซุปเข้มข้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นอะไรที่โดนใจผมมาก นอกจากนั้น ร้านนี้ยังสามารถเลือกความเข้มของซุป , ความแข็งของเส้น, ใส่หัวหอมเยอะน้อยแค่ไหน, เผ็ดมากน้อยแค่ไหน อีกด้วย คือแบบเลือกได้จนพอใจเลย ซึ่งจากมื้อนี้ที่ได้ลองชิมของชามคนอื่นและของตัวเองแล้ว ผมได้ข้อสรุปสำหรับผมว่า ผมชอบ ความเข้มของซุปแบบ - มาก , ความแข็งของเส้นแบบ - เกือบมาก , ใส่หัวหอมเยอะ ๆ และเผ็ดระดับ 8 ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนนะครับ ใครชอบแบบไหนก็ลองมา comment กันหน่อยนะครับ อีกอย่างนึงสำหรับร้านนี้คือ ไข่ต้มของร้านจะให้มาเป็นฟอง ให้เราแกะเปลือกเอง ระหว่างนั่งรอราเมน ก็เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์และกลยุทธ์อีกอย่างนึง และไข่ต้มร้านนี้จะอยู่ในระดับยางมะตูม เกือสุกถึง สุกแล้ว ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมากเลย
|
ราเมนเส้นเล็ก ๆ สไตล์ฮากาตะ ผมชอบมาก |
|
อร่อยดีครับ ซดเกลี้ยงเลยผม |
เบ็ดเสร็จมื้อนี้ เพื่อน ๆ ผมอีก 3 คนที่ไม่เคยกินราเมน Ichiran มาก่อน ก็ประทับใจในความอร่อยเช่นเดียวกันกับผม โดยเฉพาะพี่คนนึง หลังจากที่กินมื้อนี้เสร็จ ก็ยังคงพูดถึงความอร่อยของร้านนี้อยู่อีก 3 วัน ไม่มีเบื่อ (คือจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะพูดถึงอีกกี่วัน เพราะว่าผมเพิ่งเจอพี่เค้ามาแค่ 3 วัน ฮา) ซึ่งตอนลุกออกมาจากร้าน ผมก็แอบรู้สึกดีตรงที่ แม้ว่าผมจะเข้าร้านตอนเกือบเที่ยง (11.45 น.) แต่ก็แบบยังไม่ค่อยมีลูกค้าเท่าไร แต่ตอนที่ลุกออกมา ประมาณ เกือบ ๆ บ่ายนี่แบบ ลูกค้ารอคิวกันยาวมากก อย่างต่ำน่าจะสัก 20 คน คือคิวยาวตั้งแต่ในร้านมาจนหน้าร้านเลยอะไรประมาณนั้น บ่งบอกถึงความเทพของร้านนี้จริงอะไรจริง ใครอยากลองราเมนอร่อย ๆ เวลาไปญี่ปุ่น ผมแนะนำให้จัดร้าน Ichiran นี้ให้ได้เลยครับ
ปล. ปีที่แล้วผมไปสาขา Shinjuku ไม่ค่อยมีคนเท่าไร
|
สถานี Ueno เป็นสถานที่ใหญ่มากครับ |
|
อันนี้ตารางรถไฟสาย Yamanote อันเลื่องชื่อและมีประโยชน์สำหรับคนโตเกียวมากครับ |
|
Yebisu Sky Walk ทางเดินอันแสนจะสะดวกสบายจากสถานี Ebisu เลยครับ |
|
ไปถึง Ebisu Garden Place ฝนตกลงมาหนักพอดีเลย ฮือ ๆ |
พอกินราเมนกันเสร็จ อิ่มท้องกันแล้ว ผมกับเพื่อน 2 คนก็แยกตัวกับพี่ ๆ ในทริปอีก 2 คน โดยพวกเขาจะไปที่ Akihabara แหล่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกและอยู่ใกล้ ๆ กับ Ueno แห่งนี้กัน ส่วนผมกับเพื่อนจะไปเดินเล่นเตร็ดเตร่กันที่ Ebisu การเดินทางจาก Ueno ไป Ebisu นี่ก็ค่อนข้างง่ายครับ เนื่องจากว่าทั้ง 2 สถานีต่างอยู่บนสาย Yamanote Line ทั้งคู่ นั่งกันยาว ๆ ครึ่งชั่วโมงไม่ต้องเปลี่ยนรถก็จะถึง พอไปถึง Ebisu ผมก็แอบเซ็งเพราะว่าฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมาจนได้ แต่โชคดีที่เป้าหมายในการท่องเที่ยวของผม - Yebisu Garden Place นั้นตังค์หนาจนสร้าง Skywalk ที่เชื่อมระหว่างสถานี Ebisu ไปจนถึงหน้า Garden Place กันเลยทีเดียว เจ้า Yebisu Garden Place นี่ก็ตามชื่อเลยครับ เป็นเมืองเล็ก ๆ ในแนวคิด City within City ของเบียร์ Yebisu เค้า (จริง ๆ แล้วย่าน Ebisu นี่ก็ตั้งชื่อตามเบียร์ Yebisu นี่แหละครับ เนื่องจากแต่ก่อนมีโรงหมักเบียร์อยู่ที่นี่) หลาย ๆ คนที่เป็นคอเบียร์น่าจะรู้จักเจ้าเบียร์ Premium ที่มีสัญลักษณ์เป็นเทพแห่งโชคลาภยี่ห้อนี้กัน แต่ถ้าใครไม่รู้ เบียร์ยี่ห้อนี้ก็ถือว่าเป็นเบียร์ 1 ยี่ห้อที่ขายดี และเป็นเบียร์เกรด Premium ที่ในร้านสะดวกซื้อจะเริ่มขายกันที่กระป๋องละ 200 กว่าเยนโดยประมาณ เบียร์กระป๋องนี่ผมเคยกินทั้งหมด 3 แบบ มีสีทอง (lager ธรรมดา) สีดำ (dark beer) และสีแดง (น่าจะเป็นผสมระหว่าง lager กับ dark) ซึ่งเบียร์ยี่ห้อนี้เป็นเบียร์ญี่ปุ่นที่ผมชอบมาก เพราะมันอร่อย, หอม, เข้ม โดนใจ ในเมืองไทย ร้านที่มีเบียร์ให้เลือกเยอะ ๆ ก็มักจะมีเบียรยี่ห้อนี่ขายเช่นกัน ใครสนใจก็ลองกันได้ครับ
|
อันนี้เป็นหลังคากระจก สวยดีครับ |
|
Museum of YEBISU Beer - Tokyo |
|
คนนี้น่าจะเป็นเจ้าของ Yebisu นะครับ เท่ดี |
|
พรม Yebisu ขนาดใหญ่มาวางต้อนรับเราอยู่ |
|
ถังหมักเบียร์ขนาดใหญ่ |
|
แบบจำลองโรงงาน Yebisu |
|
อันนี้เป็นส่วนทัวร์ จะมีให้ทดลองชิมเบียร์, มีบรยายให้ความรู้ แต่ภาษาญี่ปุ่นล้วนครับ |
และเจ้าสถานที่นามว่า Yebisu Garden Place ตามที่เขียนไว้ข้างบนว่าทางผู้สร้าง Sapporo Beer (ซื้อ Yebisu ไปเมื่อปี 1970 กว่า ๆ ) ต้องการสร้างให้เป็น City within City หรือเมืองในเมือง คือในเมืองย่อม ๆ นี้ก็จะมี Yebisu Beer Museum, มี Photography Museum, ห้าง, ร้าน Tsutaya ขนาดยักษ์, ตึกสูง ๆ ให้ชมวิว และร้านอาหารฝรั่งเศสสุดหรูหราที่ได้มิชลิน 3 ดาวของ Joel Robuchon และโรงแรม Westin Grande ตั้งอยู่ ก็เรียกได้ว่าเป็นเมืองย่อม ๆ ได้จริง ๆ เพราะว่ามาที่เดียวก็ได้เที่ยวค่อนข้างครบและหลากหลายดี พวกผมเริ่มต้นกันที่ สถานที่ไหน ท่านผู้อ่านก็น่าจะเดาได้อยู่แล้ว Yebisu Beer Museum นั่นเอง! เจ้าพิพิทธภัณฑ์เบียร์แห่งนี้ ก็เป็นพิพิทธภัณฑ์ขนาดย่อม ๆ ที่มีส่วนจัดแสดงเป็นประวัติเกี่ยวกับเบียร์ Yebisu , มีสถาปัตยกรรมเท่ ๆ เกี่ยวกับเบียร์ เช่นถังหมักเบียร์, กระป๋องเบียร์ยักษ์, และประติมากรรมที่สร้างจากกระป๋องเบียร์ รวมถึงมีทัวร์ที่สอนและอธิบายการดื่มเบียร์, สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับเบียร์ด้วย (เสียตังค์ และภาษาญี่ปุ่น Only คนไทย กะเหรี่ยง ๆ แบบผมก็ชวดไปตามระเบียบ) และมี ร้านขายเบียร์สด ๆ ให้นั่งกินชิล ๆ ทดสอบรสชาติเบียร์ระดับเทพกัน เบียร์จะแก้วละ 400 yen (เป็นแก้วเล็กประมาณสัก 350 ml) และก็มีอาหารกินเล่นขายด้วย ก็มาทั้งที ผมกับเพื่อนเลยชวนดื่มกันคนละแก้ว ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ อร่อยจนไม่อยากให้หมดเลยล่ะ
|
เคยปรากฎในหนังสือการ์ตูนด้วย ด้านขวานี่น่าจะเป็นไส้กรอก กับแกล้ม กินคู่กัน |
|
เปลี่ยนโลโก้ไปเรื่อย ๆ คับ อันนี้ไม่รู้ว่าสมัยทศวรรษไหน |
|
เดินเสร็จก็ไปแวะจิบเบียร์สด ๆ กันสักหน่อย |
|
แบบ lager กับเบียร์ mix ครับ อร่อยจน..อยากจะเมาคาพิพิทธภัณฑ์เลย ฮ่า ๆ |
พอดื่มเบียร์กันเสร็จ พวกผมก็ไปที่ Photography Museum กันต่อ (คือผมกับเพื่อนชอบถ่ายรูปทั้งคู่) แต่พอไปถึง เห็นราคาแล้วก็แอบช็อคครับ เพราะแพงมากร่วม ๆ 3000 yen ได้ พวกผมก็เลยเปลี่ยนใจ ไปเดิน ๆ ถ่ายรูปเล่นที่ Yebisu Garden Place กันแทน แต่ก็น่าเสียดายอีกเช่นกันที่ฝนตก ไม่งั้นเจ้าภัตตาคารสุดหรูของ Joel Robuchon (เชฟชาวฝรั่งเศสที่ได้ดาวมิชลินเยอะที่สุดในโลก 26 ดวงมั้ง) ก็คงจะสวยกว่านี้ , ประติมากรรมสวย ๆ ตามสวนก็คงจะถูกผมถ่าย และวิวสวย ๆ บนตึกที่ชั้น 36 ก็คงจะถูกผมขึ้นไปถ่าย แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ฝืนธรรมชาติมันฝืนไม่ได้ พวกผมก็เลยมุ่งหน้าไปที่ Shinjuku กันต่อเลย โดยมีแผนว่าจะไปเดินห้าง Isetan กับ Kinokuniya และห้างอื่น ๆ สักหน่อย ไปถึงก็แวะที่ร้าน Yodobashi กันก่อน ร้านนี้ก็จะเป็นหนึ่งในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเจ้าใหญ่ที่ญี่ปุ่น (เจ้าอื่น ๆ ก็มี Laby, La-Ox, Bic Camera, ฯลฯ) ซึ่งถ้าใครที่เป็นคนชอบกล้อง ผมอยากแนะนำให้มาเดินเล่นดูร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นสักหน่อย เพราะว่าร้านพวกนี้ทุกสาขาจะมีกล้อง และอุปกรณ์ขายกันอย่างอลังการมาก ที่สำคัญคือจะมีกล้องตัว Top ๆ เช่น Nikon D4, D800 ให้ลองจับลองเล่นกันแบบไม่กลัวจะเสียกัน, เลนส์ก็มีให้เลือกครบทุกช่วงที่ต้องการ, กระเป๋ากล้อง, Accessories ต่าง ๆ ก็มีมากมาย แต่ปัญหาคือ จากการที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นมามาก (อย่างตอนผมไปนี่ 100 เยน 38.3 บาทเข้าไปแล้ว) ทำให้พวกอุปกรณ์เกี่ยวกับกล้องทั้งหลายราคาแพงกว่าเมืองไทยหรือสูสีกว่าเมืองไทยไปซะอย่างนั้น
|
อันนี้ส่วนร้านอาหารที่ให้ไปนั่งดื่มเบียร์ครับ |
|
ร้านอาหารของ Joel Robuchon ร้านสวยงาม ใหญ่โตอลังการ |
|
แต่ตอนผมไปเหมือนจะไม่มีลูกค้าอยู่เลย เพราะว่ามันเลยเวลามื้อเที่ยงไปแล้วครับ |
|
Tokyo Museum of Photography ตอนแรกว่าจะเข้าไปดูแต่ค่าเข้าแพงเกินไปครับ |
ถ้าเงินเยนยัง 100 Yen = 30 บาทเหมือนเมื่อ 3-4 ปีก่อน กล้องและอุปกรณ์ต่าง ๆ นี่จะเป็นอะไรที่ถูกมาก ๆ เลยล่ะครับ (แปลกดีที่กล้องที่ญี่ปุ่นจะราคาไม่เป็นมาตรฐานกับประเทศอื่นในโลก แต่พวกคอมพิวเตอร์และอะไรอื่น ๆ จะราคาเท่า ๆ กับประเทศอื่นในโลก) ส่วนห้าง Isetan ก็ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นห้างที่ขายของหรู ๆ เว่อร์ เต็มห้าง คือของเค้าแบบราคาแพงเว่อร์จนผมตกใจ เช่น ร่มอันละ 15000 yen เงี้ย ไม่รู้ว่าตัวผ้าทำมาจากผ้าไหมรึเปล่า? หรือเสื้อกันหนาวหนังของ D&G ตัวละ 400,000 yen เงี้ย ไม่รู้ว่าทำจากหนังมนุษย์อวกาศรึเปล่าถึงได้แพงขนาดนั้น เอาเงินไปซื้อรถน่าจะดีกว่านะผมว่า แต่เจ้าห้าง Isetan (รวมถึงห้างอื่น ๆ ด้วย) จะมีชั้นใต้ดิน (ส่วนใหญ่จะเป็นชั้น B1) ที่ถ้าใครเป็นคนชอบกิน ชั้นนี้จะเป็นสวรรค์ของนักกินเลย ลองนึกภาพ Siam Paragon ชั้น G บ้านเรา ตรงบริเวณด้านหน้า Supermarket ที่จะเป็นร้านเล็ก ๆ ขายอาหารต่าง ๆ ลองคุณขนาดความใหญ่ไปสัก 3-4 เท่าของบริเวณดังกล่าว และลองนึกภาพอาหารญี่ปุ่นมากมายตระการตา ทั้งของคาว, ของหวาน ดาหน้ามาให้คุณเลือก พร้อมการเชียร์ให้ซื้อของพนักงานที่แข่งกันสุด ๆ ใครชอบของกิน จัดไปอย่าให้เสียจริง ๆ ส่วนร้าน Kinokuniya ไม่รู้เป็นอะไร ผมมา Shinjuku งวดนี้ก็งวดที่เท่าไรแล้วไม่รู้ ก็ยังหาร้านหนังสือเทพแห่งนี้ไม่เจอซักที เฮ้อ ผมกะว่าภายในทริปนีนี่แหละ ผมต้องไปร้านนี้ให้ได้!! (แต่จนแล้วจนรอด ทริปนี้ก็ไม่ได้ไปอยู่ดี -*-)
เสร็จจากเดินเล่นฆ่าเวลาที่ Shinjuku เนื่องจากไม่มีที่ไหนให้ไปเพราะฝนตก ผมกับเพื่อนก็ whatsapp ถามเพื่อนที่ญี่ปุ่นว่ามีร้าน Sushi ร้านไหนแนะนำแถว ๆ Oimachi หรือแถว ๆ apartment ที่พักบ้างมั้ย เพื่อนก็แนะนำร้านนึงมาครับ ซึ่งเจ้าร้านนี้ดันเป็นร้านเดียวกันกับร้านที่ผมมากินสั่งลาคราวที่แล้ว เฮ้อ (เฮ้อ ทำไมน่ะเหรอครับอ่านกันต่อเลย ... T_T)
รีวิวร้านที่ 3 ร้าน "Sushi ธรรมดา ๆ แพงไปเมื่อเทียบกับคุณภาพ ณ Oimachi" (ชื่อยาวดีมั้ยครับ? จริง ๆ คือผมอ่านไม่ออก อ่านออกแค่ว่า Sushi Maru)
|
ตัวด้านซ้ายไม่รู้อ่านว่าอะไร ด้านขวาอ่านว่า Sushi Maru |
|
คุณปู่คนนี้เป็นคนปั้นให้ผม ปั้นได้สั่วมาก ปู่เอ๊ย |
ร้านนี้คราวที่แล้วที่ผมมาญี่ปุ่น ผมมีโอกาสได้มากิน จำได้ว่าตอนนั้นไม่ได้ประทับใจอะไรในเรื่องรสชาติเลย นอกจากความรวดเร็วในการปั้นของคนปั้น ที่ปั้นเร็วจนแบบ ซูชิหน้าตาดูไม่ค่อยได้ และข้าวไม่ประสานกับเนื้อปลา คือเหมือนแบบไม่ตั้งใจปั้นอะไรประมาณนั้น แต่แบบความสดของปลาบางชนิดก็พอรับได้อยู่ หรือความหลากหลายของปลาก็มีให้เลือกพอสมควร การมาร้านนี้ครั้งที่ 2 แม้ว่าผมจะโดนเพื่อนหลอกมา (คือมันบอกว่ามีเพื่อนมันคนนึงชอบมาก! คือถ้าผมรู้ว่าเป็นร้านนี้ ผมไม่มาหรอก) แต่แบบมันก็ไม่ได้แย่ขนาดที่จะกินไม่ได้ผมก็เลยลากเพื่อนผมที่ซวยไปด้วยเข้าไปนั่งในร้านกัน พิกัดร้าน 35.607341, 139.736137
|
ทูน่าสามสหาย |
|
เบียร์สด ร้านไหนก็อร่อยครับ แต่แพงไปหน่อยร้านนี้ 550 yen แน่ะ |
|
อันนี้เป็นปลาหนังสีเงินแบบรวม ๆ มีซาบะ, Kohada และอะไรก็ไม่รู้ |
|
รวมมิตรหอย 3 สหายบ้าง มี Hotate, Akagai และก็อะไรไม่รู้อีกอัน |
งวดที่แล้วผมกินไปประมาณ 5000 yen คือกินเยอะมาก เกือบ ๆ 30 จาน (
link รีวิวร้านนี้ครั้งที่แล้ว) คราวนี้ก็เลยคิดว่าจะค่อย ๆ สั่ง ไม่ต้องเอาเยอะมาก ซึ่งสุดท้ายแล้วก็สั่งไปทั้งหมดประมาณ 2000 yen (รวมเบียร์สด 1 แก้ว) หรือประมาณ 15 คำก็ถือว่าโอเคไม่เยอะไม่น้อยเท่าไร หน้า Sushi ที่ผมสั่งไปก็มีหน้าแปลก ๆ ที่ผมไม่รู้จักพอสมควรเช่น ปลาหนังสีเงิน 2-3 แบบ, ปลาหมึกดองมิโซะที่ใส่มาในซูชิแบบเรือรบหรือ Gunkanmaki, และปลาซาวาระ ที่เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยิน คือรสชาติโดยรวม ถ้าเอาไปเทียบกับร้าน Sushi ระดับล่าง ๆ - กลาง ๆ ในบ้านเรา ร้านนี้ส่วนใหญ่จะชนะ แต่ก็จะมีร้านราคากลาง ๆ เทพ ๆ ที่ผมคิดว่าดีกว่าที่กรุงเทพ เช่น Shori Sushi ที่แบบราคาพอ ๆ กันแต่กินกรุงเทพก็ได้ไม่ต้องถ่อมาถึงที่โตเกียวนี่อะไรประมาณนั้น
|
จานนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างเลยครับ ผมรู้แค่ว่าผมอยากกินเจ้าลูกปลาหมึก |
|
จานนี้ก็พอไหว ดูน่ากินดี |
|
จานนี้ทางร้านจัด set มาให้ ก็ธรรมดา ๆ ครับ |
|
ปลาอะไรไม่รู้ Sawara รึเปล่าไม่แน่ใจ พอดีเห็นคนญี่ปุ่นที่นั่งข้าง ๆ สั่งผมก็เลยสั่งบ้าง |
คือสรุปง่าย ๆ คือ ร้าน Sushi ที่ญี่ปุ่น มันก็มีทั้งร้านที่ดีและร้านที่ไม่ดีเหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่ร้านที่แพงมักจะดีและอร่อยตามราคาอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ ถ้าเราสามารถหาร้านที่ถูกและดีได้ มันก็จะเป็นอะไรที่ Fin เอามาก ๆ เช่น เพื่อนผมเคยพาผมไปร้าน Sushi ทุกอย่าง 105 yen ที่แถว ๆ Ueno มา จำได้ว่ามันอร่อยมาก และประหยัดดีสุด ๆ ในขณะที่อีกร้านนึงที่เป็นร้านเก่าแก่ ๆ หน่อย ปั้นกันสด ๆ ตามสั่ง ราคาแพงเว่อร์ (มื้อนั้นประมาณ 5000 yen) แต่รสชาติก็ไม่ได้หนีร้าน 105 yen สักเท่าไร เจ้าร้าน Sushi นี่ก็เข้าข่ายร้าน Sushi ราคา(เกือบ)ถูก แต่ไม่อร่อย เช่นเดียวกัน จะมีดีหน่อยก็ตรงที่ พ่อครัวปั้นเร็ว (อ่านว่า ปั้นลวก ๆ แม่งปั้น Sushi บ้าอะไรยังกะเด็กหัดปั้น) และมีหน้าให้เลือกเยอะหลากหลายดี อืม สรุป ร้าน Sushi ร้านนี้ผมไม่ขอแนะนำจริง ๆ ครับ มาโตเกียวทั้งที มีร้านที่ถูกกว่านี้และเจ๋งกว่านี้อยู่อีกเยอะ! (แล้วมึงไปกินหาพ่องอะไรใช่มั้ยครับ? คุณถาม? ผมโดนเพื่อนหลอก T_T) และสรุปอีกรอบนึงคือ ร้านนี้ก็ถือว่าเป็นร้านที่รักษาคุณภาพดีมาก ปั้นสั่ว ๆ เมื่อปีก่อนยังไง ปีนี้ก็ยังปั้นอยู่แบบนั้น, รสชาติซูชิธรรมดา ๆ อย่างไร (บางหน้านี่แบบ เฮ้ย เมืองไทยบางร้านดีกว่าเยอะเลย) ปีนี้ก็ยังธรรมดาอยู่แบบนั้น เฮ้อ
|
อันนี้ Engawa มั้งครับ ไม่อร่อยเลย เมืองไทยทำดีกว่าเยอะ |
|
กุ้ง ebi ธรรมดา ๆ ปิดท้าย |
|
กินไปประมาณ 20 คำมั้งของผม ค่าเสียหายประมาณ 2000 yen |
หลังจากเซ็ง ๆ กับร้าน Sushi นี่ ผมก็กลับมาถึง Apartment ห้องเพื่อนผมตอน ทุ่มนึง นั่งหาข้อมูลร้านอาหารที่จะกินในมื้อต่อ ๆ ไป, หาข้อมูลที่เที่ยวที่จะไป และดูข้อมูลโน่นนี่ เผลอแปบเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปถึงเที่ยงคืน เพื่อนผมเพิ่งทำงานเสร็จกลับมาพอดี แม้ว่าเมื่อคืนผมจะได้นอนแค่ 2 ชั่วโมง แต่คืนนี้ผมก็ไม่ง่วงอีกแล้ว บวกกับเจ้าเพื่อนตัวดีผม ที่มาฝากผมซื้อ JR Pass แบบงง ๆ แบบไม่อยากได้ แต่ผมก็ถ่อไปซื้อมาให้ ไปขึ้นตั๋วมาให้แล้ว ก็เลยจำใจต้องใช้ และต้องหาที่พักต่างจังหวัดในช่วง Golden Week ที่หายังไงก็ไม่เจอ หรือเจอก็แพงเว่อร์ ทำให้มันนั่งหานั่งคุย Skype กับเพื่อนที่จะไปด้วยกันตลอดคืน (คือผมรู้ตัวก่อนนอนล่าสุดคือ ตี 4 มันก็ยังหาอยู่) ทำให้คืนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมได้นอนน้อยอีกแล้ว T_T
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment