BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Monday, December 16, 2013

Sanriku Sushi Bangkok Review

Sanriku Sushi - Japanese Restaurant and Sushi Bar at Uno Hotel Sukhumvit 19

ซันริคุ ซูชิ - ร้านอาหารญี่ปุ่น ซูชิ สุขุมวิท 19 อโศก ปลาดิบ



Overall Score  9.5/10
Taste   5/5
Ambiance  3/5
Service  4/5
Value   3.5/5

Sanriku Sushi - Japanese Restaurant on BumRes.com (For more pictures, menu and info)



Sanriku (三陸) เป็นชื่อพื้นที่นึงด้านขวาบนของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 3 จังหวัดคือ Aomori, Iwate และจังหวัด Miyagi บางส่วนซึ่งภูมิภาคนี้เป็นภูมิภาคที่โดดเด่นในเรื่องอาหารทะเลสด ๆ จากปลามาก ปลาที่โดดเด่นสุด ๆ ก็คงเป็นปลา Maguro หรือ Blue Fin Tuna ที่ภูมิภาคนี้ภูมิใจกันมาก ๆ (และจังหวัดอื่นก็เชิดชูเช่นเดียวกัน) ผมเคยเดินทางไปจังหวัด Aomori มา ที่ตลาดประจำเมืองของที่นี่จะมีอาหารแบบนึงผมจำชื่อเรียกไม่ได้แล้วจะเป็นให้เราไปเลือกเอาปลาดิบ, อาหารทะเลแบบต่าง ๆ มาตักใส่ข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ และกินกันสด ๆ แบบ mix & match ได้ตามใจ (คล้าย ๆ chirashi sushi) ซึ่งนอกจากราคาจะถูกแล้ว ความสดยังสุดยอดอีกต่างหาก คือแบบอาหารทะเลของที่นี่เค้าคงเจ๋งจริง ๆ ซึ่งสาเหตุจริง ๆ ของความอร่อยของปลาในย่านนี้คือจะมีการบรรจบกันของกระแสน้ำอุ่น (Kuroshio) และกระแสน้ำเย็น (Oyashio) ทำให้มีปลาหลากหลาย, ชุกชุมอุดมสมบูรณ์ นั่นเอง แล้วนอกจากตัวปลาหรืออาหารทะเลแล้ว พวกผักผลไม้ของจังหวัดแถวนี้ก็มีชื่อเสียงเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักการกินเลยล่ะ (น้อง ๆ ฮอกไกโดเลยล่ะครับ)






ที่เกริ่นกันมาเนิ่นนานเกี่ยวกับ Sanriku นี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะร้านในรีวิวฉบับนี้นั้นมีการตั้งชื่อเดียวกันกับย่านอันอุดมสมบูรณ์นี้นี่เองกับร้าน Sanriku Sushi ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 19 บริเวณชั้นล่างของโรงแรม UNO ถ้าเข้ามาจากปากซอยก็เข้ามาสัก 100 เมตรจะเห็นร้านอยู่ขวามือครับ ที่จอดรถนั้นก็สามารถจอดได้หน้าร้านเลยมียามดูแลให้อย่างดีแต่ว่าจอดได้แค่ 4-5 คันแค่นั้น พอเข้ามาในร้านเราก็จะพบกับร้าน Sushi ร้านเล็ก ๆ ที่ตกแต่งบรรยากาศได้ค่อนข้างเป็นญี่ปุ่นดี มีส่วน Sushi Bar 6-7 ที่นั่ง, ส่วนโต๊ะธรรมดา 4-5 โต๊ะและชั้นลอยของทางร้านก็จะเป็นห้องส่วนตัวแบบเสื่อญี่ปุ่น ก็เรียกได้ว่าแม้ว่าร้านนี้จะเป็นร้านเล็ก ๆ แต่ก็มีที่นั่งให้เลือกสรรกันแบบครบครันเลยทีเดียว

ส่วนที่มาของชื่อร้านนั้น ตอนแรกผมก็แอบดีใจนึกว่าร้านนี้จะสั่งปลามาจากภูมิภาค Sanriku เองเลยโดยตรง แต่เปล่าครับ ที่ทางร้านตั้งชื่อว่า Sanriku Sushi นั้นมีเหตุผลแค่ว่าอยากให้คนไทยได้รู้จักภูมิภาคแห่งความอุดมสมบูรณ์แห่งนี้แค่นั้นเอง แต่ปลาของที่นี่ก็ไม่ใช่ย่อยครับ เป็นปลาที่สั่งเข้ามาจาก Tsukiji Fish Market เองโดยตรง เหมือน ๆ กับร้าน premium หลาย ๆ ร้านในบ้านเรา อาหารของร้านนี้ก็ไม่ได้มีขายเฉพาะ ปลาดิบ หรือ Sushi & Sashimi อย่างเดียว มี roll แบบต่าง ๆ ให้เลือกพอสมควร, ของกินเล่นก็พอมี หรือพวก หม้อไฟ Nabe ก็มีเช่นกันแต่ว่าต้องสั่งจองล่วงหน้า ก็เรียกได้ว่าเป็นร้าน sushi ร้านเล็ก ๆ ที่มีอะไรมากกว่าซูชิพอสมควรล่ะครับ แต่สิ่งนึงที่ร้านเล็ก ๆ ยังไงก็มักจะสู้ร้านใหญ่ ๆ ไม่ได้ก็คือเรื่องความหลากหลายของวัตถุดิบ หรือชนิดปลานั่นเอง เพราะว่าลูกค้าไม่เยอะ stock ของได้ไม่เยอะ, สั่งมาหลาย ๆ แบบมากก็ไม่ได้เดี๋ยวเหลืออะไรแบบนี้ ซึ่งร้าน Sanriku Sushi แห่งนี้ก็ไม่ได้อยู่เหนือกฎเกณฑ์ที่ว่านี้เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากเหตุผลข้อนี้ก็เลยทำให้ไหน ๆ ทางร้านก็ stock ของไว้ได้ไม่มากนักแล้ว ก็สู้สั่งแต่เฉพาะของดีประจำฤดูกาลมาแทนซะเลย นอกจากจะตัดปัญหาเรื่องของไม่หมด, ของเหลือแล้ว ก็ยังทำให้ลูกค้าได้รับประทานแต่ของอร่อยในหน้านั้น ๆ อีกด้วย (อย่างตอนผมไปนี่ทางร้านจะไม่สั่ง Uni มาเลยเพราะว่าไม่ใช่หน้าของมัน)









ตัว Sushi ของทางร้านนี้ก็มีทั้งแบบปกติ หรือแบบเป็น set, แบบเป็นคำเหมือน ๆ กับร้านอื่น (ราคาก็อยู่ในระดับกลาง ๆ เช่นเดียวกันด้วย) แต่พิเศษกว่าร้านอื่นก็คือร้านนี้จะมี Omakase Course ราคาคุ้มค่าไว้บริการอีกด้วยเช่นกัน คำว่า Omakase นี่คงจะไม่ต้องอธิบายอะไรกันแล้วในพ.ศ.นี้ เพราะว่าคำ ๆ นี้ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก แต่คือเท่าที่ผมเห็นร้าน Sushi ร้านไหนในเมืองไทยที่มีเจ้า Omakase นี้ ผมมักจะเห็นทางร้านตั้งราคากันโอเว่อร์จนแบบ เอิ่ม จะแพงเว่อร์กันไปมั้ยแทบทุกที่เลย (จะมีก็ร้าน Sousaku Sushi ร้านเดียวล่ะครับที่ราคาสมเหตุสมผล) ซึ่งตัว Omakase ของที่ร้าน Sanriku Sushi แห่งนี้ก็จะเริ่มต้นที่ 1,500 บาทโดยประมาณ ตัว sushi นั้น course นั้นก็จะแล้วแต่ของในวันนั้น, แล้วแต่ราคา course ที่เราจ่าย แต่หลัก ๆ แล้วเชฟเค้าบอกมาว่า 2,000 บาทก็จะได้ประมาณ 12-15 คำโดยประมาณ หรือเฉลี่ยแล้วคำละแค่ 100 กว่าบาทแค่นั้นเองครับ




Sashimi Set Take - 1,000 บาท: มื้อนี้เริ่มต้นกันด้วย Sashimi ก่อนเป็ฯการวอร์มอัพก่อนที่จะเข้าสู่ omakase course ของทางร้านนี้กัน ใน set นี้ก็มีปลา(และหอย) ทั้งหมด 8 อย่าง ประกอบด้วย Akami, Chutoro, Madai, Salmon, Shime Saba, Hamachi, Hotate และ Tai ทั้งหมดนี้อยู่ในเกณฑ์อร่อยเยี่ยมหมดเลยครับ ปลาสด เย็น อร่อย วาซาบิใช้ของดี ตัวหัวไชเท้าก็หั่นมาละเอียดเป็นฝอยดี ตัวเนื้อปลาที่โดดเด่นนั้นผมชอบตัว Akami และตัว Chutoro มันแบบอร่อยล้ำจริง ๆ โดยเฉพาะส่วน chutoro นี่คือทางร้านบอกว่าเลือกเอาส่วนที่ใกล้ ๆ กับ ootoro มาก็เลยทำให้ได้ความมันเป็นพิเศษ






Sushi Omakase - 2,000 บาท (โดยประมาณ): ส่วนตัวโอมากาเสะซูชิในมื้อนี้ก็จะมีทั้งหมด 11 คำโดยประมาณ (ราคาที่วงเล็บคือราคาที่มีอยู่ในเมนูของแต่ละคำนะครับ อันไหนไม่มีอยู่ในเมนูก็จะไม่มีวงเล็บราคา)



คำแรก Akami 80 บาท: ความอร่อยนั้นแตกต่างจากตัว sashimi พอสมควร เพราะว่าตัวซูชินั้นเชฟเค้าปั้นมาได้ดีมากครับ คือบอกตรง ๆ ว่าตอนที่กินเข้าไปคำแรก ผมแอบประหลาดใจในตัวความแน่นของข้าวอยู่เหมือนกัน เพราะว่าข้าวมันมาแบบหลวม ๆ นิด ๆ ไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก และก็ข้าวมาแบบอุ่น ๆ กำลังดีเลยด้วย (ข้าวนี่อารมณ์แบบที่กินที่ญี่ปุ่นเลยล่ะครับ พอดีผมไม่ได้ไปญี่ปุ่นมาเกือบปีแล้วคุ้นกับการปั้นข้าวแบบไทย ๆ ไปแล้วเลยลืมสัมผัสแบบนี้ไปเหมือนกัน) และตัวเนื้อปลาก็ปั้นมาแบบสัดส่วนพอดีกับข้าวตามสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ ซึ่งก็เป็นอะไรที่ผมยิ่งชอบไปอีก คือแบบกินคำแรกเข้าไปก็รู้แล้วว่าคำที่เหลือนี่มันต้องฟินแน่นอนอะไรแบบนั้น



คำที่ 2 Madai:ก็เป็นปลาเนื้อขาวที่เหมาะแก่การเริ่มต้น course ได้เป็นอย่างดีครับ เนื้อนุ่มดี เนื้อบางหน่อยไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก และตัวเชฟก็ทา shoyu มาให้แบบปริมาณกำลังดีด้วย (จริง ๆ ทามาให้ทุกคำ แค่หยิบเข้าไปอย่างเดียว) ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้เป็นไร ผมกะปริมาณที่จะจิ้มปลาเนื้อขาวกัโชยุไม่ค่อยได้เลย พอแบบเชฟทามาให้แบบนี้ก็แบบอืมลงตัวดีเลย



คำที่ 3 Yellow Tail - 120 บาท: อร่อยไม่ผิดหวัง นุ่ม มัน อร่อย



คำที่ 4 Hotate - 120 บาท: คำนี้อร่อยกว่า sashimi ที่กินมาก่อนหน้าแบบชัดเจนครับ อาจจะเพราะตัว hotate พอแล่มาเป็นแบบ sushi แล้วมันจะให้ texture ที่ดีกว่าเนื้อนุ่มหวานอร่อยมาก ๆ ครับคำนี้



คำที่ 5 Salmon - 70 บาท: แซลมอนนำไป aburi (เผา) มาและก็วางโปะมาด้วยวาซาบิสดสด เนื้อปลาหอม ที่ผิมเด้ง ๆ แข็ง ๆ นิดนึงส่วนด้านในก็นุ่ม ๆ ทำให้เกิด texture ที่ผสมผสานดี คำนี้ อร่อยอีกเช่นกันครับ



คำที่ 6 Ootoro - 350 บาท: คำนี้บอกตรง ๆ ว่าตอนรกผมคิดเอาไว้ว่าไม่น่าจะอร่อยแน่เลย เพราะว่าเป็น ootoro ที่มาแบบติดเส้นเอ็นมาด้วย (ผมสงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าทำไม ootoro ถึงมีสองแบบไม่แน่ใจว่าเป็น wild tuna กับ farm tuna รึเปล่า) เพราะแบบกิน ootoro แนวนี้มาหลายที ไม่ค่อยจะมีอร่อย ๆ ประทับใจทุกที มันจะไม่ละลายเท่าแบบที่มีไขมันกระจาย ๆ ตัวแทรกอยู่ในเนื้อน่ะครับ แต่คำนี้ อืม ทำได้ดีกว่าทุกที่ที่มีมาแบบเป็นเส้นเอ็นแบบนี้เลย นุ่ม อร่อย ละลายในปากเลย แต่น่าเสียดายที่ยังไงก็ยังคงมีความเป็นเส้นเอ็นอยู่ดีครับ



คำที่ 7 Shime Saba - 80 บาท: อร่อยดีครับ ดองมาเปรี้ยวกำลังดี แต่เอาจริง ๆ เหมือนตัวเนื้ออาจจะนุ่มได้มากกว่านี้อีกนิดนะครับ



คำที่ 8 Kinmedai - 250 บาท: เนื้อปลาบาง ๆ นุ่ม ๆ ทาโชยุมาแบบกำลังดี ก็เป็นปลาเนื้อขาวที่มาช่วยตัดรสปลาเนื้อสีแบบอื่นได้ดีครับ



คำที่ 9 Anago: จานนี้เหมือนแอบจะต้มมาน้อยไปหน่อยครับ เนื้อยังไม่นุ่มละมุนเท่าที่ควร ซอสที่ให้มาก็น้อยไปนิด แต่รวม ๆ แล้วดีกว่า anago ในไทยหลาย ๆ ร้านนะครับ



คำที่ 10 Ikura -280 บาท: สิ่งแรกที่โดดเด่นเลยหลังกินซูชิคำนี้เข้าไปหาใช่ตัวไข่ปลาแซลมอนไม่ครับ แต่เป็นตัวสาหร่ายซะมากกว่า มันแบบ กรอบ แห้ง อร่อยดีมากเลย ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่าทางร้านจะย่างสาหร่ายกันเองเหมือนร้าน Jiro แต่ทางเชฟบอกว่าเค้าสั่งสาหร่ายอย่างดีมาจากญี่ปุ่นแทน อืม ใส่ใจทุกรายละเอียดจนทำให้ ikura คำนี้โดดเด่นกว่าที่อื่นจริง ๆ (แต่ตัวไข่ปลาแซลมอนไม่ได้หนีที่อื่นมากครับ)



คำที่ 11 Tamago - 60 บาท: ปิดท้ายด้วยซูชิของหวาน ที่ทางร้านเสิร์ฟมาแบบเย็น ๆ ซึ่งเท่าที่ผมเคยกินมา เสิร์ฟแบบร้อน ๆ อุ่น ๆ นั้นจะเป็นการปิดท้ายที่ลงตัวกว่า และก็ไข่หวานแอบจืดไปนิดนึงแต่ว่าตัวเนื้อสัมผัสนี่โอเคแล้วล่ะครับ




เพิ่มเติม Soup Miso ของทางร้านนี้เป็นอีกหนึ่งทีเด็ดที่ผมอยากจะแนะนำให้ลงกัน เป็นซุป miso แบบเข้มข้นที่นำกระดูกปลาฮามาจิไปต้มจนเปื่อยและให้มาในซุปด้วย คือแบบเป็นซุปมิโสะที่รสชาติเข้มข้นอร่อยประทับใจจริง ๆ เสิร์ฟกันมาแบบร้อน ๆ ลวกปากโดนใจ และที่สำคัญคือฟรี! เติมได้ไม่อั้นด้วย! (ผมซัดไป 3 ถ้วยอ่ะครับ ฮ๋า ๆ) อีกอย่างนึงที่ไม่เขียนถึงไม่ได้คือตัวขิงดอง ขิงดองของทางร้านจะเลือกใช้ขิงอ่อน และก็แบบดองมารสชาติดีมาก ทำให้แทนที่ขิงดองนี้จะเป็นแค่ตัวแก้เลี่ยน แต่มันกลายเป็นอะไรที่พวกผมกินกันเยอะมาก ๆ แทนซะอย่างนั้น

สรุป ร้าน Sanriku Sushi ณ สุขุมวิท ซอย 19 แห่งนี้ก็เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของผมพอสมควรเลยครับ ตอนแรกก่อนมากินก็คิดไว้ว่า "เอ้อ ก็คงเป็นอีกหนึ่งร้าน sushi ธรรมดา ๆ ล่ะมั้ง" แต่หลังจากจบมื้อนี้ ร้านนี้ก็ขึ้นมาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของร้านซูชิที่ผมว่าจะมากินยามที่อยากจะหาซูชิดี ๆ กินเลยล่ะ อาหารราคาไม่ค่อยแพง, ของคุณภาพดีรสชาติเยี่ยม, เชฟอัธยาศัยดีและใจดี และที่สำคัญคือร้านเปิดกันจนถึงตี 2 ไม่ต้องมีอุปสรรคกันเรื่องเวลาเลย ใครอยากจะลอง omakase คุณภาพเยี่ยมทัดเทียมกับร้านที่ญี่ปุ่นในราคาสบายกระเป๋าไม่ได้ขูดเลือดขูดเนื้อแบบร้านอื่น และไม่ต้องเสียตังค์ค่าตั๋วไปญี่ปุ่น แนะนำว่าถ้ามาร้านนี้แล้วระวังจะติดใจเหมือนผมและเพื่อนกันล่ะ





--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...