สนามบินสุวรรณภูมิสวย ๆ ของเรา |
แม้ว่าการทางไปญี่ปุ่นของผมในครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แต่ความตื่นเต้นในการที่จะได้ไป ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปกว่าครั้งแรกเลย ตื่นเต้นขนาดไหนน่ะเหรอครับ? ก็แค่เดินทางไปก่อนเครื่องขึ้น 3 ชั่วโมงแค่นั้นเอง (-_-)’ (คือทุกทีผมจะไปอย่างเร็วก็ 2 ชั่วโมง) เหตุผลส่วนนึงที่ไปเร็วก็เพราะว่าจะไปแลก เงินด้วยเนื่องจากก่อนหน้านี้ยุ่งมาก ๆ ไม่มีเวลาเดินทางไปแลกเงินเลย บวกกับแม่ผมชอบพร่ำบอกอยู่เสมอ ว่า “แลกเงินที่สนามบินน่ะแหละถูกที่สุด” ผมก็เลยเอาวะเดี๋ยวไปแลกสนามบินก็ได้ แต่ที่ไหนได้ครับ หลังจากที่เดินวนหาเคาน์เตอร์แลกเงินแล้ว (ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่ของ SCB) และเช็คราคากับ เจ้าที่รับแลกเงิน ราคาถูก ปรากฎว่าผมต้องเสียเงินค่าขี้เกียจไปแลกเป็นส่วนต่างประมาณ 700 บาทครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็น บทเรียนราคาอาหารที่ญี่ปุ่นหนึ่งมื้อสำหรับความขี้เกียจของผม
พอแลกเงินเสร็จผมก็เดินไปเจอกับผู้ร่วมทริปของผมในครั้งนี้ คนแรกชื่อ นายม่ำ เขาคนนี้เป็น นักเรียนทุนมองโบโช (เขีนยังไงเนี่ย) ที่เป็นทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนญี่ปุ่น และเพิ่งจะเรียนจบกลับมาอยู่เมืองไทย เมื่อเดือนเมษายน 54 ที่ผ่านมาครับ ส่วนเพื่อนอีกคนนึง เป็นคนที่ผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก และบอกตรง ๆ ว่าผมตกใจมากเมื่อได้เห็น คุณเธอคนนี้ในครั้งแรก เนื่องจากว่าคุณเธอเป็นผู้หญิงที่แนวววว มาก ๆ (เดี๋ยวจะมีรูปประกอบครับ) คุณเธอคนนี้ชื่อว่า สุ ซึ่งมีความผูกพันกับญี่ปุ่นในระดับนึงเนื่องจากเคยไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นอยู่ 3 เดือน
พวกผม 3 คนพาตัวเองผ่านการตรวจต่าง ๆ นา ๆ ของสนามบินเสร็จ ก็แวะดูของ Duty Free ที่แม้จะปลอดภาษีแต่ก็ยังคงตั้งราคาฟันกำไรซะจนซื้อไม่ลง แป็บนึงก็เดินมาราธอนกันไปจนถึง Gate ครับ คือเดินไกลมากจริง ๆ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ไกลขนาดนี้ กิโลกว่าสองกิโลได้มั้งครับกว่าจะถึง Gate
ที่นั่งชั้นธุรกิจของการบินไทยครับ ส่วนใหญ่จะนั่งกันเดี่ยว ๆ เพราะมากันคนเดียว และเที่ยวบินนี้ ที่นั่งแทบจะเต็ม (ที่เดียว) ทุกคู่ครับ |
เที่ยวบิน ที่ผมนั่งในคราวนี้เป็นของการบินไทยครับ ถึงแม้ว่าตั๋วของการบินไทยนั้นจะแพงกว่า สายการบินอื่น ๆ แต่ก็มีแค่ไม่กี่สายการบินนะครับที่จะบินตรงจากกรุงเทพไปลงที่ฮาเนดะเลย ซึ่ง Thai Airways ของบ้าน เราก็เป็นหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่ว่านี่แหละครับ หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า ตอนนี้การเดินทางไปที่โตเกียวนั้นสามารถเลือกลงได้ 2 สนามบิน นั่นก็คือ Narita Airport หรือสนามบิน อินเตอร์คู่บุญบารมีของเมืองโตเกียว ที่ตั้งตัวเองอยู่ที่จังหวัดชิบะ ซึ่งไกลมาก การเดินทางจากนาริตะ เข้าไปที่โตเกียวจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ แต่ล่าสุดเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา สนามบิน Haneda (แปลเป็นไทยได้ว่าทุ่งปีกนก) ซึ่งแต่เดิมจะใช้รองรับการเดินทางเฉพาะสายการบินในประเทศ เท่านั้น ได้เปิด International Terminal ขึ้น และทำให้การเดินทางจากสนามบินไปโตเกียว ไม่ใช่เรื่อง ที่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะใช้เวลาแค่ 20-30 นาทีคุณก็จะเดินทางถึงใจกลางเมืองโตเกียวได้แล้วครับ ถ้าลงที่ Haneda Airport แห่งนี้
และสำหรับเที่ยวบินนี้ มีความพิเศษอีกอย่างคือผมได้มีโอกาสนั่ง Business Class ครั้งแรก (แบบจำความได้) ในชีวิตครับ ก็เลยขอรีวิว การเดินทางโดยชั้นธุรกิจนี่หน่อยละกันครับ ที่นั่งชั้นธุรกิจ ของการบินไทยนี่ก็ตรงตัวครับ ผมดู ๆ แล้วเห็นแต่นักธุรกิจเดินทางการคนเดียว ไม่มีครอบครัวเดินทางเลย และไม่น่าเชื่อนะครับว่า จะมีคนนั่งชั้นธุรกิจกันเยอะมาก เยอะจนที่นั่งทุกคู่เต็มเลยทีเดียว
Leg Room กว้างมาก |
รีโมทที่นั่งปรับได้รอบทิศเลย นวดหลังด้วยก็ยังได้ |
จอ 10 นิ้วมั้ง และมีรายการให้ดูเยอะมาก เยอะแบบดูยังไงก็ไม่หมดครับ |
ประสบการณ์การนั่งไปญี่ปุ่นคราวที่แล้วของผมคือนั่ง United Airlines ชั้นประหยัดไป ตอนนั้นจำได้ว่าซื้อเพราะราคาประหยัดมากแค่ 17,000 บาทเท่านั้น แต่ก็แลกมาด้วยความลำบากของที่นั่ง, การเบียดเสียดกันของผู้คน , การรอคิวนาน และการไปลงที่นาริตะ หลังจากคราวนั้นก็เลยสาบานกับ ตัวเองว่าจะยอมจ่ายแพงหน่อยเพื่อความสบายที่แตกต่าง นำมาซึ่งการนั่ง Business Class ของ Thai Airways ในครั้งนี้ของผมนั่นเองครับ
หูฟังตัดเสียงรบกวน คุณภาพก็ดีอยู่ แต่ก็ไม่ดีเท่า Bose หรือ Premium Brand อื่น ๆ |
Menu อาหารมาเป็น Course ครับ เลือก Main Dish ได้ว่าจะเอาอะไร |
ต้อนรับด้วยแชมเปญเย็น ๆ หนึ่งแก้ว |
ซึ่งผมก็รู้สึกดีที่ยอมจ่ายเงินแพงขึ้นนะครับ เพราะมันแลกมาด้วยที่นั่งที่สบายกว่ากันมาก และการบริการที่ดีกว่า รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญกันเลยทีเดียว
อาหารของชั้นธุรกิจนี้จะแตกต่างจากชั้นประหยัดตรงที่จะเสิร์ฟกันเป็น course ครับ โดยจะเป็นอาหาร แบบ 3 course มี appetizer , main course แล้วก็ dessert ซึ่งตัว Main Course เราจะสามารถเลือกประเภทอาหารได้
อาหารดูดีมีชาติตระกูลครับ อันนี้เป็น Appetizer ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร |
ส่วนอันนี้เป็น Main Dish ซึ่งหน้าตาดูไม่ค่อยไหวแต่รสชาติเยี่ยมมากครับ |
เครื่องดื่มเยอะมาก สั่งอะไรก็แทบจะมีหมด |
ส่วนที่นั่งก็เป็นแบบเบาะไฟฟ้าปรับรอบทิศทาง จะปรับนอน, นั่งเอียง, นั่งตรง ยังไงได้หมด และก็สามารถนวดได้อีกต่างหาก นอกเหนือจากที่นั่งกับอาหารแล้วก็จะมีหูฟังครับ ที่จะเป็นแบบ Noise Cancellation หรือตัดเสียงรบกวนภายนอก และก็จะมีชุดประทินโฉม แจกฟรีให้เราด้วย อ้อ แล้วก็มี หนังสือพิมพ์ให้เลือกอ่านได้ไม่อั้นแบบสุด ๆ สิ่งเดียวที่ชั้นธุรกิจดูจะด้อยกว่าชั้นประหยัด ก็คงเป็นตัว Flight Attendent ครับที่ทางสายการบินจะเลือกใช้คนประสบการณ์ (และอายุ) สูงมาคอยบริการชั้นนี้ และให้เด็ก ๆ สาว ๆ ไปบริการชั้นประหยัดแทนครับ ทั้งหมดนี้ก็เป็นความแตกต่างระหว่างชั้นประหยัด กับ ชั้นธุรกิจ ที่ผมนึกออกครับ
ยืดขาสุดก็ยังไม่ชนที่นั่งด้านหน้าเลยครับ (ขาผมไม่ได้สั้นผิดปกตินะครับ ฮ่า ๆ) |
ของหวานตบท้ายก็อร่อยดีเช่นกัน |
Kalua ผสมนม เครื่องดื่มปิดท้ายก่อนจะหลับยาว |
ตม.แถวยาวมาก มีแต่คนจีนด้านหน้าผม |
เครื่องบินใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมงก็ร่อนตัวลงสู่ท่าอากาศยาน ฮาเนดะ ครับ เป็นเวลา 4 ทุ่มตามเวลาท้องถิ่น พอเดินลงจากเครื่องก็ไปที่ตม.กันเลยครับ พอเห็นแถวของตม.แล้วก็ตกใจครับ ว่าทำไมมันถึงยาวขนาดนี้ ปรากฎว่า มีไฟลท์ของคนจีนมาลงก่อนหน้าพวกผมแค่แป๊บเดียว เลยทำให้พวกผม ต้องยืนรอคิวกันนานทีเดียว
ที่น่าแปลกใจอีกอย่างสำหรับไฟลท์นี้ก็คือ พวกผมขนาดรีบจ้ำกันมาที่ตม.แล้ว แต่พวกผม 3 คนกลับเป็นคนสุดท้ายของไฟลท์ แสดงว่า คนที่เหลือที่เดินทางมาพร้อมกับผม เป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย ! (คนญี่ปุ่นมีช่องของตัวเองต่างหากครับ) ซึ่งมันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก (สำหรับผม) อะไรกัน สายการบินไทย แต่ไม่มีคนไทยนั่ง
มาถึงตรงนี้ ผมขอบรรยายที่ตำแหน่งและพิกัดต่าง ๆ ของโตเกียวอย่างพอสังเขปให้คุณผู้อ่าน ฟังก่อนละกันนะครับ เพื่อจะได้เข้าใจถึงทำเลและย่านต่าง ๆ ของโตเกียวได้มากขึ้น พออ่านไปก็จะได้ เข้าถึงอรรถรสมากขึ้น โตเกียวจะมีส่วนใจกลางของเมืองเป็น Imperial Palace หรือพระราชวังอิมพีเรียล ที่ตัวองค์จักรพรรดิ์พำนับอยู่ ตัวพระราชวังแห่งนี้จะเปิดให้คนเข้าชมปีละแค่ 2 วันเท่านั้นคือวันที่ 2 มกราคม กับอีกวันนึงผมไม่แน่ใจรู้สึกจะเป็นวันเกิดขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิ์ก็เป็นได้ และถัดจากใจกลางของเมืองมา ก็จะมีสายรถไฟบนดินสายนึงซึ่งวิ่งเป็นวงกลมวนรอบใจกลางเมือง นั่นก็คือสาย Yamanote (สายสีเขียวอ่อน) สายนี้จะวิ่งผ่านย่านสำคัญ ๆ ของโตเกียวแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Shibuya , Shinjuku , Harajuku , Ikebukuro , Ueno , Tokyo หรือ Ginza การเดินทางวนครบครึ่งรอบของสาย Yamanote (คือสุดด้านนึงไปสุดอีกด้าน) ใช้เวลา 30 นาทีครับ วนรอบนึงก็จะใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี
ส่วนสายรถไฟบนดินสายอื่น ๆ ผมว่าไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก เพราะถ้าเดินทางในโตเกียว จริง ๆ แล้วนั่ง Yamanote นี่แหละไปถึงหมด ยกเว้นว่าต้องการไปที่ที่ต้องต่อรถเช่น Roppongi , Asakura ซึ่งต้องต่อสายอื่น รวมถึงถ้าต้องการเดินทางเร็ว ๆ เพราะว่า Yamanote นั้นจะจอดทุกป้าย ก็คงต้องใช้บริการรถไฟสายอื่นอีกเช่นกัน รถไฟบนดินของโตเกียวนั้นแทบทุกสายจะดำเนินงานโดย JR ซึ่งสามารถใช้บัตร JR Pass นั่งได้ แต่รถไฟใต้ดินทั้งหมด ซึ่งเครือข่ายค่อนข้างจะครอบคลุมโตเกียวเช่นกันนั้น จะเป็นของเอกชนซึ่ง JR Pass ใช้ไม่ได้ สรุปคร่าว ๆ สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟในโตเกียว ก็คือ ไม่ต้องกลัวอะไรมากครับ ดูชื่อสถานีที่จะไปแล้วก็นั่ง ๆ ไปเหอะ ถ้าหลงก็ถามนายสถานีหรือไม่ก็ย้ายสายเอา ท่านก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางเองครับ (กำปั้นทุบดินไปมั้ย?)
ย่านต่าง ๆ ในโตเกียวถ้าแบ่งคร่าว ๆ เป็น 4 ทิศก็จะสามารถแบ่งได้ตามนี้ครับ ฝั่งตะวันตก จะเป็นย่านที่เหมาะแก่การไปช้อปปิ้งและท่องเที่ยวครับเพราะประกอบด้วยย่าน Shinjuku , Shibuya , Harajuku และถ้าเลยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือหน่อยก็จะเป็น Ikebukuro ซึ่งเป็นอีกหนึ่งย่านช้อปปิ้ง เช่นกัน ส่วนทางเลยไปทางตะวันตกเฉียงใต้หน่อยก็จะเป็นย่านแห่งแสงสี และราตรีย่าน Roppongi กับ Kabukijo นั่นเองครับ ใครที่อยากมาที่เดียวจบก็หาที่พักเอาแถว ๆ ฝั่งตะวันตกของโตเกียวเอาละกันนะครับ นอกจากจะเดินทางไปเที่ยวย่านต่าง ๆ ใกล้ ๆ นี่สะดวกแล้ว ยังสามารถต่อรถไฟไปยังภาคตะวันตกของเกาะฮอนชู ได้ที่สถานีชินจูกุ อีกด้วย (เช่นไป Osaka , Kyoto) เรียกได้ว่าอยู่ย่านนี้ ก็ไม่ต้องไปไหนอีกแล้วล่ะครับ
ส่วนอีกทิศนึงที่น่าสนใจก็จะเป็นทิศตะวันออกครับ ทิศนี้จะมีย่านดัง ๆ ก็เช่นย่าน Ginza , Akihabara, Tsukiji ครับ และทางเลยไปทางตะวันออกเฉียงเหนือหน่อยก็จะเป็นย่าน Ueno ที่เป็นอีกหนึ่งย่านช้อปปิ้งราคาประหยัด และมีสวนสัตว Ueno ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ส่วนถ้าเป็นทิศใต้ของโตเกียวจะไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวครับจะเป็นย่านคนทำงานซะมากกว่า จะมีก็คงเป็น Odaiba ซึ่งเป็นเกาะที่ถมขึ้นมาเองโดยฝีมือของพี่ยุ่นเค้า โดยบนเกาะจะมีห้าง, สวนสนุก, พิพิทธภัณฑ์ ให้เที่ยวอยู่เยอะเหมือนกันครับ โตเกียวแบบพอสังเขปก็ประมาณนี้ล่ะครับ
รถไฟเข้าเมืองใต้สนามบิฮาเนดะเลย สะดวกสบาย |
ไม่ค่อยมีคน เพราะดึกแล้ว และก็ไม่ใช่สายยอดนิยม |
ถึงสถานี Shinakawa สถานีหลักแห่งโตเกียวตอนล่าง |
รถไฟของที่ญี่ปุ่น แม้จะเป็นสายบ้านนอกแค่ไหน ก็จะมีเวลาที่จะมาเทียบชานชาลา แบบเป๊ะ ๆ เป็นนาทีบอกหมด ผมล่ะอยากให้ประเทศไทยมีแบบนี้จัง เวลาไปยืนรอรถไฟฟ้าจะได้ไม่ต้องมาลุ้นว่าอีกนานแค่ไหน |
หลังจากเปลี่ยนรถที่สถานี Shinakawa และนั่งต่อไปอีกป้ายนึงลงที่ Ooimachi ก็เป็นอันสิ้นสุด การเดินทางด้วยรถไฟสำหรับวันนี้ แต่ยังครับ ยังต้องเดินกันต่อ อีกเรื่องนึงที่ผมอยากจะบอกท่าน ๆ ทั้งหลายที่จะมาญี่ปุ่นแบบไม่ง้อทัวร์ก็คือ แนะนำให้ฟิตร่างกายมาให้จงหนักครับ เพราะการเที่ยวเองที่ญี่ปุ่น นั้นต้องเดิน เดิน และเดิน เป็นอย่างมาก วันนึงเดินไม่ต่ำกว่า 5 กิโลอ่ะครับถ้าเดินเที่ยวตลอดวัน โชคดีอย่างนึงครับที่บ้านของเพื่อนผมที่ผมจะไปนอนฟรีในครั้งนี้ อยู่ใกล้สถานีมาก เดินแค่ 5 นาทีเท่านั้น
พอเดินออกจากสถานี ผมก็ค้นพบว่า โตเกียวในฤดูร้อนที่หลาย ๆ คนบอกกันไว้ว่าเป็นอะไรที่ร้อนจริง อะไรจริงนั้นไม่ได้พูดเกินเลยไปเลย ช่วงเวลาที่ผมอยู่โตเกียวเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์นี้ บอกตรง ๆ ว่าผมทรมานมาก อากาศของที่นี่ร้อนกว่ากรุงเทพ และผมต้องเดิน ๆ ๆ แทบจะตลอดเวลา เลยทำให้แทบจะไม่มีช่วงเวลาไหนที่ตัวผมจะไม่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเลย! แต่ภาวะร้อนตับแตกนี้ก็แลกมาด้วย สิ่งดี ๆ อย่างนึงนั่นก็คือ การแต่งตัวแบบเปิดเผยของสาวญี่ปุ่นเค้าครับ เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วที่ผมมาตอนหน้าหนาวกับคราวนี้แล้ว บอกตรง ๆ ว่าคราวนี้ผมตื่นตาตื่นใจกว่ามาก เห็นอะไรขาว ๆ ละลานตาไปหมด หุหุ
ห้องนอนเละ ๆ ของรุ่นน้องผม |
ห้องนอนครับ ขนาดกี่เสื่อไม่รู้ ค่าเช่าเดือนละ 80,000 เยน |
มีครัว (เล็ก ๆ) กับห้องน้ำ (เล็ก ๆ ) ในตัว |
ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นบ่อย ๆ น่าจะคุ้นตากับหอพักที่ตัวละครในการ์ตูนชอบพักกัน ที่เป็นหอพัก 2 ชั้นมีบันไดขึ้นข้าง ๆ ตึก ที่พักของเพื่อนผม ก็เป็นตึกแบบที่ว่านี่แหละครับ จินตนการของผม ต่อที่พักประเภทนี้นั้นค่อนข้างจะติดลบครับเนื่องจากพวกตัวละครที่อาศัยอยู่ในห้องพวกนี้มักจะซกม่ก ๆ แต่พอเข้าไปในห้องของเพื่อนผม ภาพที่เห็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิดครับ ห้องดูใหม่, สะอาด และห้องน้ำก็ดูดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก เหมาะแก่การฝากตัวเป็นเวลาหลายคืนได้โดยไม่มีปัญหาเลยล่ะครับ
หลังจากรื้อข้าวของและอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมนึกว่าคืนนี้นั้นจะจบแล้ว แต่ที่ไหนได้ครับ คืนแรก ของผมที่ญี่ปุ่นช่างเป็นคืนอันแสนจะยาวนานเหลือเกิน เพราะผมดันหลุดไปอยู่ในถ้ำหมีครับ! หมีกรนกัน 2 ตัวดังลั่นถ้ำบวกกับการได้งีบมาก่อนแล้วบนเครื่องบิน จนผมซึ่งแต่เดิมก็เป็นคนหลับยากแล้วยิ่งหลับยากเข้าไปใหญ่ ทำให้ค่ำคืนของผมยาวนานไปถึงตี 5 ฟ้าสว่าง นกร้องแล้วนั่นเอง กว่าผมจะได้นอนหลับลง
โปรดติดตามอ่านตอนที่ 2 วันที่ 2 ได้ในลิงค์ นี้
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com SeriesJapan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment