BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Tuesday, June 5, 2012

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1

สนามบินสุวรรณภูมิสวย ๆ ของเรา


แม้ว่าการทางไปญี่ปุ่นของผมในครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 2 แล้ว แต่ความตื่นเต้นในการที่จะได้ไป ก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปกว่าครั้งแรกเลย ตื่นเต้นขนาดไหนน่ะเหรอครับ? ก็แค่เดินทางไปก่อนเครื่องขึ้น 3 ชั่วโมงแค่นั้นเอง (-_-)’ (คือทุกทีผมจะไปอย่างเร็วก็ 2 ชั่วโมง) เหตุผลส่วนนึงที่ไปเร็วก็เพราะว่าจะไปแลก เงินด้วยเนื่องจากก่อนหน้านี้ยุ่งมาก ๆ ไม่มีเวลาเดินทางไปแลกเงินเลย บวกกับแม่ผมชอบพร่ำบอกอยู่เสมอ ว่า “แลกเงินที่สนามบินน่ะแหละถูกที่สุด” ผมก็เลยเอาวะเดี๋ยวไปแลกสนามบินก็ได้ แต่ที่ไหนได้ครับ หลังจากที่เดินวนหาเคาน์เตอร์แลกเงินแล้ว (ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่ของ SCB) และเช็คราคากับ เจ้าที่รับแลกเงิน ราคาถูก ปรากฎว่าผมต้องเสียเงินค่าขี้เกียจไปแลกเป็นส่วนต่างประมาณ 700 บาทครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็น บทเรียนราคาอาหารที่ญี่ปุ่นหนึ่งมื้อสำหรับความขี้เกียจของผม
พอแลกเงินเสร็จผมก็เดินไปเจอกับผู้ร่วมทริปของผมในครั้งนี้ คนแรกชื่อ นายม่ำ เขาคนนี้เป็น นักเรียนทุนมองโบโช (เขีนยังไงเนี่ย) ที่เป็นทุนนักเรียนแลกเปลี่ยนญี่ปุ่น และเพิ่งจะเรียนจบกลับมาอยู่เมืองไทย เมื่อเดือนเมษายน 54 ที่ผ่านมาครับ ส่วนเพื่อนอีกคนนึง เป็นคนที่ผมเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก และบอกตรง ๆ ว่าผมตกใจมากเมื่อได้เห็น คุณเธอคนนี้ในครั้งแรก เนื่องจากว่าคุณเธอเป็นผู้หญิงที่แนวววว มาก ๆ (เดี๋ยวจะมีรูปประกอบครับ) คุณเธอคนนี้ชื่อว่า สุ ซึ่งมีความผูกพันกับญี่ปุ่นในระดับนึงเนื่องจากเคยไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นอยู่ 3 เดือน
พวกผม 3 คนพาตัวเองผ่านการตรวจต่าง ๆ นา ๆ ของสนามบินเสร็จ ก็แวะดูของ Duty Free ที่แม้จะปลอดภาษีแต่ก็ยังคงตั้งราคาฟันกำไรซะจนซื้อไม่ลง แป็บนึงก็เดินมาราธอนกันไปจนถึง Gate ครับ คือเดินไกลมากจริง ๆ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงได้ไกลขนาดนี้ กิโลกว่าสองกิโลได้มั้งครับกว่าจะถึง Gate


ที่นั่งชั้นธุรกิจของการบินไทยครับ ส่วนใหญ่จะนั่งกันเดี่ยว ๆ เพราะมากันคนเดียว และเที่ยวบินนี้ ที่นั่งแทบจะเต็ม (ที่เดียว) ทุกคู่ครับ


เที่ยวบิน ที่ผมนั่งในคราวนี้เป็นของการบินไทยครับ ถึงแม้ว่าตั๋วของการบินไทยนั้นจะแพงกว่า สายการบินอื่น ๆ แต่ก็มีแค่ไม่กี่สายการบินนะครับที่จะบินตรงจากกรุงเทพไปลงที่ฮาเนดะเลย ซึ่ง Thai Airways ของบ้าน เราก็เป็นหนึ่งในไม่กี่สายการบินที่ว่านี่แหละครับ หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า ตอนนี้การเดินทางไปที่โตเกียวนั้นสามารถเลือกลงได้ 2 สนามบิน นั่นก็คือ Narita Airport หรือสนามบิน อินเตอร์คู่บุญบารมีของเมืองโตเกียว ที่ตั้งตัวเองอยู่ที่จังหวัดชิบะ ซึ่งไกลมาก การเดินทางจากนาริตะ เข้าไปที่โตเกียวจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ แต่ล่าสุดเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา สนามบิน Haneda (แปลเป็นไทยได้ว่าทุ่งปีกนก) ซึ่งแต่เดิมจะใช้รองรับการเดินทางเฉพาะสายการบินในประเทศ เท่านั้น ได้เปิด International Terminal ขึ้น และทำให้การเดินทางจากสนามบินไปโตเกียว ไม่ใช่เรื่อง ที่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะใช้เวลาแค่ 20-30 นาทีคุณก็จะเดินทางถึงใจกลางเมืองโตเกียวได้แล้วครับ ถ้าลงที่ Haneda Airport แห่งนี้
และสำหรับเที่ยวบินนี้ มีความพิเศษอีกอย่างคือผมได้มีโอกาสนั่ง Business Class ครั้งแรก (แบบจำความได้) ในชีวิตครับ ก็เลยขอรีวิว การเดินทางโดยชั้นธุรกิจนี่หน่อยละกันครับ ที่นั่งชั้นธุรกิจ ของการบินไทยนี่ก็ตรงตัวครับ ผมดู ๆ แล้วเห็นแต่นักธุรกิจเดินทางการคนเดียว ไม่มีครอบครัวเดินทางเลย และไม่น่าเชื่อนะครับว่า จะมีคนนั่งชั้นธุรกิจกันเยอะมาก เยอะจนที่นั่งทุกคู่เต็มเลยทีเดียว

Leg Room กว้างมาก

รีโมทที่นั่งปรับได้รอบทิศเลย  นวดหลังด้วยก็ยังได้

จอ 10 นิ้วมั้ง และมีรายการให้ดูเยอะมาก เยอะแบบดูยังไงก็ไม่หมดครับ
ประสบการณ์การนั่งไปญี่ปุ่นคราวที่แล้วของผมคือนั่ง United Airlines ชั้นประหยัดไป ตอนนั้นจำได้ว่าซื้อเพราะราคาประหยัดมากแค่ 17,000 บาทเท่านั้น แต่ก็แลกมาด้วยความลำบากของที่นั่ง, การเบียดเสียดกันของผู้คน , การรอคิวนาน และการไปลงที่นาริตะ หลังจากคราวนั้นก็เลยสาบานกับ ตัวเองว่าจะยอมจ่ายแพงหน่อยเพื่อความสบายที่แตกต่าง นำมาซึ่งการนั่ง Business Class ของ Thai Airways ในครั้งนี้ของผมนั่นเองครับ



หูฟังตัดเสียงรบกวน คุณภาพก็ดีอยู่ แต่ก็ไม่ดีเท่า Bose หรือ Premium Brand อื่น ๆ

Menu อาหารมาเป็น Course ครับ เลือก Main Dish ได้ว่าจะเอาอะไร

ต้อนรับด้วยแชมเปญเย็น ๆ หนึ่งแก้ว

ซึ่งผมก็รู้สึกดีที่ยอมจ่ายเงินแพงขึ้นนะครับ เพราะมันแลกมาด้วยที่นั่งที่สบายกว่ากันมาก และการบริการที่ดีกว่า รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญกันเลยทีเดียว
อาหารของชั้นธุรกิจนี้จะแตกต่างจากชั้นประหยัดตรงที่จะเสิร์ฟกันเป็น course ครับ โดยจะเป็นอาหาร แบบ 3 course มี appetizer , main course แล้วก็ dessert ซึ่งตัว Main Course เราจะสามารถเลือกประเภทอาหารได้


อาหารดูดีมีชาติตระกูลครับ อันนี้เป็น Appetizer ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร


ส่วนอันนี้เป็น Main Dish ซึ่งหน้าตาดูไม่ค่อยไหวแต่รสชาติเยี่ยมมากครับ

เครื่องดื่มเยอะมาก สั่งอะไรก็แทบจะมีหมด

ส่วนที่นั่งก็เป็นแบบเบาะไฟฟ้าปรับรอบทิศทาง จะปรับนอน, นั่งเอียง, นั่งตรง ยังไงได้หมด และก็สามารถนวดได้อีกต่างหาก นอกเหนือจากที่นั่งกับอาหารแล้วก็จะมีหูฟังครับ ที่จะเป็นแบบ Noise Cancellation หรือตัดเสียงรบกวนภายนอก และก็จะมีชุดประทินโฉม แจกฟรีให้เราด้วย อ้อ แล้วก็มี หนังสือพิมพ์ให้เลือกอ่านได้ไม่อั้นแบบสุด ๆ สิ่งเดียวที่ชั้นธุรกิจดูจะด้อยกว่าชั้นประหยัด ก็คงเป็นตัว Flight Attendent ครับที่ทางสายการบินจะเลือกใช้คนประสบการณ์ (และอายุ) สูงมาคอยบริการชั้นนี้ และให้เด็ก ๆ สาว ๆ ไปบริการชั้นประหยัดแทนครับ ทั้งหมดนี้ก็เป็นความแตกต่างระหว่างชั้นประหยัด กับ ชั้นธุรกิจ ที่ผมนึกออกครับ

ยืดขาสุดก็ยังไม่ชนที่นั่งด้านหน้าเลยครับ (ขาผมไม่ได้สั้นผิดปกตินะครับ ฮ่า ๆ)

ของหวานตบท้ายก็อร่อยดีเช่นกัน

Kalua ผสมนม เครื่องดื่มปิดท้ายก่อนจะหลับยาว

ตม.แถวยาวมาก มีแต่คนจีนด้านหน้าผม

เครื่องบินใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมงก็ร่อนตัวลงสู่ท่าอากาศยาน ฮาเนดะ ครับ เป็นเวลา 4 ทุ่มตามเวลาท้องถิ่น พอเดินลงจากเครื่องก็ไปที่ตม.กันเลยครับ พอเห็นแถวของตม.แล้วก็ตกใจครับ ว่าทำไมมันถึงยาวขนาดนี้ ปรากฎว่า มีไฟลท์ของคนจีนมาลงก่อนหน้าพวกผมแค่แป๊บเดียว เลยทำให้พวกผม ต้องยืนรอคิวกันนานทีเดียว

ที่น่าแปลกใจอีกอย่างสำหรับไฟลท์นี้ก็คือ พวกผมขนาดรีบจ้ำกันมาที่ตม.แล้ว แต่พวกผม 3 คนกลับเป็นคนสุดท้ายของไฟลท์ แสดงว่า คนที่เหลือที่เดินทางมาพร้อมกับผม เป็นคนญี่ปุ่นหมดเลย ! (คนญี่ปุ่นมีช่องของตัวเองต่างหากครับ) ซึ่งมันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก (สำหรับผม) อะไรกัน สายการบินไทย แต่ไม่มีคนไทยนั่ง




มาถึงตรงนี้ ผมขอบรรยายที่ตำแหน่งและพิกัดต่าง ๆ ของโตเกียวอย่างพอสังเขปให้คุณผู้อ่าน ฟังก่อนละกันนะครับ เพื่อจะได้เข้าใจถึงทำเลและย่านต่าง ๆ ของโตเกียวได้มากขึ้น พออ่านไปก็จะได้ เข้าถึงอรรถรสมากขึ้น โตเกียวจะมีส่วนใจกลางของเมืองเป็น Imperial Palace หรือพระราชวังอิมพีเรียล ที่ตัวองค์จักรพรรดิ์พำนับอยู่ ตัวพระราชวังแห่งนี้จะเปิดให้คนเข้าชมปีละแค่ 2 วันเท่านั้นคือวันที่ 2 มกราคม กับอีกวันนึงผมไม่แน่ใจรู้สึกจะเป็นวันเกิดขององค์สมเด็จพระจักรพรรดิ์ก็เป็นได้ และถัดจากใจกลางของเมืองมา ก็จะมีสายรถไฟบนดินสายนึงซึ่งวิ่งเป็นวงกลมวนรอบใจกลางเมือง นั่นก็คือสาย Yamanote (สายสีเขียวอ่อน) สายนี้จะวิ่งผ่านย่านสำคัญ ๆ ของโตเกียวแทบจะทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Shibuya , Shinjuku , Harajuku , Ikebukuro , Ueno , Tokyo หรือ Ginza การเดินทางวนครบครึ่งรอบของสาย Yamanote (คือสุดด้านนึงไปสุดอีกด้าน) ใช้เวลา 30 นาทีครับ วนรอบนึงก็จะใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี

ส่วนสายรถไฟบนดินสายอื่น ๆ ผมว่าไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก เพราะถ้าเดินทางในโตเกียว จริง ๆ แล้วนั่ง Yamanote นี่แหละไปถึงหมด ยกเว้นว่าต้องการไปที่ที่ต้องต่อรถเช่น Roppongi , Asakura ซึ่งต้องต่อสายอื่น รวมถึงถ้าต้องการเดินทางเร็ว ๆ เพราะว่า Yamanote นั้นจะจอดทุกป้าย ก็คงต้องใช้บริการรถไฟสายอื่นอีกเช่นกัน รถไฟบนดินของโตเกียวนั้นแทบทุกสายจะดำเนินงานโดย JR ซึ่งสามารถใช้บัตร JR Pass นั่งได้ แต่รถไฟใต้ดินทั้งหมด ซึ่งเครือข่ายค่อนข้างจะครอบคลุมโตเกียวเช่นกันนั้น จะเป็นของเอกชนซึ่ง JR Pass ใช้ไม่ได้ สรุปคร่าว ๆ สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟในโตเกียว ก็คือ ไม่ต้องกลัวอะไรมากครับ ดูชื่อสถานีที่จะไปแล้วก็นั่ง ๆ ไปเหอะ ถ้าหลงก็ถามนายสถานีหรือไม่ก็ย้ายสายเอา ท่านก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางเองครับ (กำปั้นทุบดินไปมั้ย?)





ย่านต่าง ๆ ในโตเกียวถ้าแบ่งคร่าว ๆ เป็น 4 ทิศก็จะสามารถแบ่งได้ตามนี้ครับ ฝั่งตะวันตก จะเป็นย่านที่เหมาะแก่การไปช้อปปิ้งและท่องเที่ยวครับเพราะประกอบด้วยย่าน Shinjuku , Shibuya , Harajuku และถ้าเลยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือหน่อยก็จะเป็น Ikebukuro ซึ่งเป็นอีกหนึ่งย่านช้อปปิ้ง เช่นกัน ส่วนทางเลยไปทางตะวันตกเฉียงใต้หน่อยก็จะเป็นย่านแห่งแสงสี และราตรีย่าน Roppongi กับ Kabukijo นั่นเองครับ ใครที่อยากมาที่เดียวจบก็หาที่พักเอาแถว ๆ ฝั่งตะวันตกของโตเกียวเอาละกันนะครับ นอกจากจะเดินทางไปเที่ยวย่านต่าง ๆ ใกล้ ๆ นี่สะดวกแล้ว ยังสามารถต่อรถไฟไปยังภาคตะวันตกของเกาะฮอนชู ได้ที่สถานีชินจูกุ อีกด้วย (เช่นไป Osaka , Kyoto) เรียกได้ว่าอยู่ย่านนี้ ก็ไม่ต้องไปไหนอีกแล้วล่ะครับ

ส่วนอีกทิศนึงที่น่าสนใจก็จะเป็นทิศตะวันออกครับ ทิศนี้จะมีย่านดัง ๆ ก็เช่นย่าน Ginza , Akihabara, Tsukiji ครับ และทางเลยไปทางตะวันออกเฉียงเหนือหน่อยก็จะเป็นย่าน Ueno ที่เป็นอีกหนึ่งย่านช้อปปิ้งราคาประหยัด และมีสวนสัตว Ueno ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดของญี่ปุ่นด้วย ส่วนถ้าเป็นทิศใต้ของโตเกียวจะไม่ค่อยมีอะไรให้เที่ยวครับจะเป็นย่านคนทำงานซะมากกว่า จะมีก็คงเป็น Odaiba ซึ่งเป็นเกาะที่ถมขึ้นมาเองโดยฝีมือของพี่ยุ่นเค้า โดยบนเกาะจะมีห้าง, สวนสนุก, พิพิทธภัณฑ์ ให้เที่ยวอยู่เยอะเหมือนกันครับ โตเกียวแบบพอสังเขปก็ประมาณนี้ล่ะครับ



รถไฟเข้าเมืองใต้สนามบิฮาเนดะเลย สะดวกสบาย

ไม่ค่อยมีคน เพราะดึกแล้ว และก็ไม่ใช่สายยอดนิยม

ถึงสถานี Shinakawa สถานีหลักแห่งโตเกียวตอนล่าง

รถไฟของที่ญี่ปุ่น แม้จะเป็นสายบ้านนอกแค่ไหน ก็จะมีเวลาที่จะมาเทียบชานชาลา แบบเป๊ะ ๆ เป็นนาทีบอกหมด ผมล่ะอยากให้ประเทศไทยมีแบบนี้จัง เวลาไปยืนรอรถไฟฟ้าจะได้ไม่ต้องมาลุ้นว่าอีกนานแค่ไหน



หลังจากเปลี่ยนรถที่สถานี Shinakawa และนั่งต่อไปอีกป้ายนึงลงที่ Ooimachi ก็เป็นอันสิ้นสุด การเดินทางด้วยรถไฟสำหรับวันนี้ แต่ยังครับ ยังต้องเดินกันต่อ อีกเรื่องนึงที่ผมอยากจะบอกท่าน ๆ ทั้งหลายที่จะมาญี่ปุ่นแบบไม่ง้อทัวร์ก็คือ แนะนำให้ฟิตร่างกายมาให้จงหนักครับ เพราะการเที่ยวเองที่ญี่ปุ่น นั้นต้องเดิน เดิน และเดิน เป็นอย่างมาก วันนึงเดินไม่ต่ำกว่า 5 กิโลอ่ะครับถ้าเดินเที่ยวตลอดวัน  โชคดีอย่างนึงครับที่บ้านของเพื่อนผมที่ผมจะไปนอนฟรีในครั้งนี้ อยู่ใกล้สถานีมาก เดินแค่ 5 นาทีเท่านั้น

พอเดินออกจากสถานี ผมก็ค้นพบว่า โตเกียวในฤดูร้อนที่หลาย ๆ คนบอกกันไว้ว่าเป็นอะไรที่ร้อนจริง อะไรจริงนั้นไม่ได้พูดเกินเลยไปเลย ช่วงเวลาที่ผมอยู่โตเกียวเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์นี้ บอกตรง ๆ ว่าผมทรมานมาก อากาศของที่นี่ร้อนกว่ากรุงเทพ และผมต้องเดิน ๆ ๆ แทบจะตลอดเวลา เลยทำให้แทบจะไม่มีช่วงเวลาไหนที่ตัวผมจะไม่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเลย! แต่ภาวะร้อนตับแตกนี้ก็แลกมาด้วย สิ่งดี ๆ อย่างนึงนั่นก็คือ การแต่งตัวแบบเปิดเผยของสาวญี่ปุ่นเค้าครับ เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วที่ผมมาตอนหน้าหนาวกับคราวนี้แล้ว บอกตรง ๆ ว่าคราวนี้ผมตื่นตาตื่นใจกว่ามาก เห็นอะไรขาว ๆ ละลานตาไปหมด หุหุ




ห้องนอนเละ ๆ ของรุ่นน้องผม

ห้องนอนครับ ขนาดกี่เสื่อไม่รู้ ค่าเช่าเดือนละ 80,000 เยน

มีครัว (เล็ก ๆ) กับห้องน้ำ (เล็ก ๆ ) ในตัว



ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นบ่อย ๆ น่าจะคุ้นตากับหอพักที่ตัวละครในการ์ตูนชอบพักกัน ที่เป็นหอพัก 2 ชั้นมีบันไดขึ้นข้าง ๆ ตึก ที่พักของเพื่อนผม ก็เป็นตึกแบบที่ว่านี่แหละครับ จินตนการของผม ต่อที่พักประเภทนี้นั้นค่อนข้างจะติดลบครับเนื่องจากพวกตัวละครที่อาศัยอยู่ในห้องพวกนี้มักจะซกม่ก ๆ แต่พอเข้าไปในห้องของเพื่อนผม ภาพที่เห็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิดครับ ห้องดูใหม่, สะอาด และห้องน้ำก็ดูดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก เหมาะแก่การฝากตัวเป็นเวลาหลายคืนได้โดยไม่มีปัญหาเลยล่ะครับ

หลังจากรื้อข้าวของและอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมนึกว่าคืนนี้นั้นจะจบแล้ว แต่ที่ไหนได้ครับ คืนแรก ของผมที่ญี่ปุ่นช่างเป็นคืนอันแสนจะยาวนานเหลือเกิน เพราะผมดันหลุดไปอยู่ในถ้ำหมีครับ! หมีกรนกัน 2 ตัวดังลั่นถ้ำบวกกับการได้งีบมาก่อนแล้วบนเครื่องบิน จนผมซึ่งแต่เดิมก็เป็นคนหลับยากแล้วยิ่งหลับยากเข้าไปใหญ่ ทำให้ค่ำคืนของผมยาวนานไปถึงตี 5 ฟ้าสว่าง นกร้องแล้วนั่นเอง กว่าผมจะได้นอนหลับลง

โปรดติดตามอ่านตอนที่ 2 วันที่ 2 ได้ในลิงค์ นี้



Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12




--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...