Japan Fukuoka - Hiroshima - Kansai Fall 2012 Trip Part 3 - Hiroshima & Osaka Restaurants
พอเสร็จจาก Peace Memorial Museum ใน Part ที่ 2 โปรแกรมถัดไปของผมก็คือตัว Hiroshima Castle ปราสาทที่ไม่ได้โด่งดังอะไรมากประจำเมือง คือผมกะจะไปก็เพราะว่ามันอยู่ใกล้ตัว Peace Park เดิน 15 นาทีก็ถึง แต่แบบกะแค่จะไปถ่ายรูปเฉย ๆ ไม่ได้กะจะเข้าไปข้างในเพราะว่าผมเคยไปปราสาทมาหลายที่ล่ะ ข้างในมันก็ไม่มีอะไร ถ่ายรูปข้างนอกเอาก็พอแล้ว พอถ่ายรูปปราสาทเสร็จ เวลาก็ชี้ไปที่ บ่ายโมงกว่า ๆ แล้ว ท้องก็เริ่มร้องแล้ว ผมกับแม่เลยพาตัวเองไปยังร้าน Udon ใกล้ ๆ สถานี Hiroshima ที่ได้คะแนนรีวิวสูงกันทันที
7th Shop
ชื่อร้าน Nokiya - 乃きや (のきや)
URL http://tabelog.com/hiroshima/A3401/A340102/34004839/
ประเภท Udon
ค่าใช้จ่าย 1000 yen โดยประมาณ
|
Nokiya - Udon Shop ใกล้ ๆ กับ Hiroshima Station ครับ |
|
เมนูจริงๆ มีภาษาอังกฤษแต่มีเล่มเดียว แม่ผมอ่าน ผมพออ่านญี่ปุ่นออกเลยใช้เล่มญี่ปุ่น |
|
เมนูร้าน Nokiya นี่ไม่แพงเลยว่ามั้ยครับ |
|
ร้านเล็ก ๆ ครับ ตอนผมไปก็พอมีลูกค้าอยู่ |
|
เบียร์สด Sapporo อร่อยมากอีกแล้ว แต่ทำไมถึงฟองเยอะก็ไม่ทราบครับ |
ร้าน Nokiya นี่ก็เป็นอีกหนึ่งร้านดี ๆ ที่มีเมนูภาษาอังกฤษไว้รองรับลูกค้าชาวต่างชาติ (ก่อนจะไปก็ไม่รู้หรอกครับ แต่ลองขอ ๆ ดู) ตัวร้านนั้นตั้งอยู่ใกล้สถานี Hiroshima มาก ๆ เดินสัก 5 นาทีก็ถึงแล้ว ร้านก็เป็นร้านขนาดเล็กแบบค่อนข้างเล็กมาก มีโต๊ะอยู่ 5-6 โต๊ะเล็ก ๆ เท่านั้น แต่สิ่งนึงที่กลับไม่เล็กตามขนาดร้านคือตัวเมนูอาหารของเค้าครับ แม้ว่าร้านนี้อาหารทุกชามจะมีเส้นอุด้งเป็นองค์ประกอบ แล้วก็เปลี่ยนน้ำซุป, ใส่ topping, เพิ่มโน่นเพิ่มนี่เอาเพื่อสร้างความหลากหลายแทน แต่แบบ ไม่น่าเชื่อครับว่า อาหารจากอุด้งมันจะเอามาทำเป็นเมนูได้หลากหลายขนาดนี้ ผมกับแม่นั่งงมตัวเมนูกันแบบงง ๆ เพราะมีวัตถุดิบหลายอย่างที่ไม่รู้จัก แต่ในที่สุดก็สามารถเลือกมาได้ 3 อย่างครับ
ร้าน Nokiya นี่บอกตรง ๆ ว่าเป็นร้านอุด้งที่ผมน่าจะรออาหารนานที่สุดล่ะ ส่วนใหญ่ที่ไปกินร้านอุด้งนี่แทบจะไม่มีร้านไหนรอเกิน 5 นาที แต่กับร้านนี้ ผมน่าจะรอร่วม ๆ 10 - 15 นาทีได้ ซึ่งระหว่างรอก็พอเข้าใจอยู่ว่าทำไมถึงนาน เพราะเหมือนกับว่าแต่ละชามที่ออกมาจากครัวนั้น เส้นอุด้งจะถูกทำสด ๆ จานต่อจานเสมอ ซึ่งด้วยเหตุนี้เลยทำให้เส้นอุด้งที่ผมได้กินนี่มันช่าง..อร่อยจริง ๆ ครับ เส้นเหนียวหนึบ เด้งดีสุด ๆ เส้นแต่ละเส้นก็ทำความยาวมากำลังดีให้ดูดซู้ด ๆ ได้ทีเดียวในคำเดียว คงจะยากที่จะหาเส้นอุด้งที่สมบูรณ์แบบแบบนี้ได้ง่าย ๆ ล่ะครับ (ผมนึกถึงร้าน Yokoi Udon ที่ไทยที่คุณภาพพอ ๆ กัน)
|
Udon มันภูเขากับหัวหอมสับของผม หน้าตาก็น่ากินดีครับ |
|
เส้น Udon ยอดเยี่ยมมาก |
|
พอคลุก ๆ แล้วกลับไม่น่ากินขึ้นมาซะอย่างนั้น |
|
อันนี้ Udon เนื้อร้อน ๆ พร้อมไข่ต้ม อร่อยมากครับ ให้เยอะดีด้วย |
|
ส่วนอันนี้ Udon Tempura อร่อยอีกเช่นกัน ทอดเทมปุระมาได้ยอดเยี่ยมดีทีเีดียว |
|
น้ำซุปเหมือนตัว Udon เนื้อครับ ร้อน ๆ อร่อย ๆ |
|
กินเกลี้ยงไม่มีเหลือ |
อุด้งชามแรกที่ได้เป็น อุด้งกับมันภูเขาในน้ำซุปเย็น ๆ จานนี้ผมสั่งเพราะความใคร่รู้มันอยากจะลองมาก ๆ เนื่องจากไม่เคยกินมาก่อน ตอนพนักงานยกเจ้าอุด้งชามนี้มา หน้าตามันก็ดูน่ากินดีอยู่หรอกครับ แต่แบบพอคลุก ๆ อะไรต่าง ๆ จนเข้ากันหมดแล้ว ความน่ากินมันลดลงไปสัก 30% ได้เลย เพราะแบบมันภูเขา (Tororo) พอคลุกไปคลุกมาแล้วมันมีฟองปุด ๆ ขึ้นมาอ่ะครับ เหมือนแบบเจ้าอุด้งชามนี้กลายเป็นอาหารบูดไปเลย ส่วนรสชาติ ผมว่ามันแปลก ๆ อ่ะ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร มีดีตรงที่เส้น udon ยอดเยี่ยมกับมาแบบเย็นเจี๊ยบดี
ส่วนอีก 2 ชามนั้นเป็นอุด้งร้อนครับกับอุด้งเนื้อกับไข่ต้ม (ไม่ยางมะตูม) และ อุด้งเทมปุระรวม ทั้ง 2 ชามนี้ น้ำซุปเป็นน้ำซุปแบบเดียวกัน เป็นประมาณน้ำซุป Shoyu ร้อน ๆ ครับ ตัวน้ำซุปอร่อย ตัวเส้น Udon นั้นไร้เทียมทานอยู่แล้ว ส่วนตัวเครื่องก็ทำมาได้มาตรฐานดี ก็เลยทำให้เจ้าอุด้งร้อน ๆ 2 ชามนี้ อร่อยเกือบ ๆ ประทับใจเลยก็ว่าได้ (ดีกว่าเจ้าชามมันภูเขาก่อนหน้าเยอะครับ) มื้อนี้กินไปกินมาค่าเสียหายไม่กี่ตังค์ แต่อิ่มดีแท้ มาญี่ปุ่นนี่ฝากท้องกับพวกอาหารเส้น ๆ เค้าก็ดีนะครับ ราคาไม่แพง รสชาติดี (กว่าที่ไทยเป็นส่วนใหญ่) และร้านมีแทบจะทั่วทุกสารทิศเลย
พออิ่มท้องมีแรงโดนต่อ เป้าหมายต่อไปของพวกผมคือการเดินทางไปยัง Mazda Museum อีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ผมกะจะมา zoom zoom ให้ได้ในทริปนี้ ผมนั่งรถไฟไปลงยังสถานีอะไรก็ไม่รู้ 2-3 ป้ายจากสถานี Hiroshima แล้วก็เดินไปที่ Mazda สำนักงานใหญ่ เพื่อจะไปเข้าชมพิพิทธภัณฑ์ของพวกเขา แต่พอไปถึง ก็กลายเป็นโชว์ความเสล่อไปแทนครับ เนื่องจากว่าการจะเข้าชม Mazda Museum เนี่ย มันต้องมีการจองคิวเอาไว้ก่อน (รับจองล่วงหน้า 365 วัน ทั้งผ่านเว็บไซต์และโทรศัพท์) โดยทัวร์ภาษาอังกฤษจะมีแค่วันละรอบเท่านั้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะ 10.30 น. แต่แบบผมกับแม่ไปถึงเอาตอนเกือบ ๆ 3 โมง และทัวร์นี่จะแบบพาไปอีกที่นึงเลยต้องนั่งรถบัสไป แต่ที่ที่ผมกับแม่ไปนั้นเป็นแค่จุดนัดพบเพื่อนั่งรถไปต่อ ก็กลายเป็นว่าผมกับแม่ก็แห้วกันไปตามระเบียบ (ไม่ได้จองมาด้วยซ้ำ) ตอนแรกก็กะว่าวันถัดไปจะมาอีกรอบ แต่คิดไปคิดมาก็ขี้เกียจครับ จริง ๆ Mazda ก็ไม่ได้เป็นแบรนด์โปรดในดวงใจผมสักเท่าไร ชิ (ว่าไปนั่น) คือจริง ๆ แล้วใน website ก็เขียนเอาไว้ว่าต้องจองนะครับ แต่ตอนก่อนมาผมนึกว่ามันจะเป็นแบบ มีส่วนให้คนทั่วไปเข้าชมตอนไหนก็ได้ด้วย ไม่ใช่แค่มีแต่ส่วนทัวร์พาเดินแค่นั้น เฮ้อ เซ็งครับ ทัวร์ฟรีทุกอย่างด้วย
|
ตึกของ Mazda ที่นัดพบเพื่อพาไปทัวร์ |
|
ทางเข้ามีธงไทยด้วย ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีเหมือนกัน |
|
อดไปทัวร์ เลยได้แต่ดู Showroom ของ Mazda อย่างเดียวครับ |
|
พอกลับโรงแรม เดินผ่านร้านเค้กในโรงแรม Sheraton บ่อยครับ เลยแวะซื้อมาก้อนนึง |
|
เค้กกับ Coke Zero อร่อยดีแท้ |
8th Shop
ชื่อร้าน Suishin - 酔心 本店 (すいしん)
URL http://tabelog.com/hiroshima/A3401/A340101/34000054/
ประเภท อาหารญี่ปุ่นทั่วไปเน้นหอยนางรม
ค่าใช้จ่าย 5000 yen โดยประมาณ
|
ชุด Kaiseki ของทางร้านครับ ราคาไม่ค่อยแพงเลย |
|
ทางเข้าร้าน Suishin ร้านนี้ใหญ่ครับ จุดดึงดูดก็คืออาหารจำลองหน้าร้านนี่แหละครับ เยอะและน่ากินมาก |
|
Menu ชุด Kaiseki ที่สั่งไป 4,500 yen เท่านั้น |
|
เบียร์สดมาแก้วใหญ่เลย อร่อย ๆ |
|
ปลาอะไรไม่รู้แล่บาง มากับปลาผิวเงิน อืม ยังไม่ค่อยโดนเท่าไรครับ |
|
อาหารกินเล่นใน Kaiseki อีกจาน เจลลี่ยัดปลา, กับปลาแห้งกับผักดอง |
หลังจากเซ็ง ๆ อดไป Mazda Museum กัน ผมกับแม่เลยชวนกันไปที่ Downtown ของเมือง Hiroshima เพื่อไป Shopping และเดินเล่น รวมถึงไปตามหาร้านที่เล็งเอาไว้หลังจากที่เดินเจอเมื่อวันก่อนกัน คือเป้าหมายแรกและเป้าหมายสองก็ถือว่าทำได้อย่างค่อนข้างประสบความสำเร็จครับ ได้ของกระจุกกระจิก, เสื้อผ้า และผลาญเวลาไปเยอะดี แต่เป้าหมายหลังนี่เกือบ fail ครับเพราะเนื่องจากร้าน Suishin นี่วันก่อนที่เดินผ่านตัว Pocket Wi-fi ของผมที่เช่ามา แบตมันหมดพอดี เลยไม่สามารถหาพิกัดตัวเองแล้วเซฟเอาไว้ได้ โชคดีที่เดินไปเดินมา อาศัย landmark ใหญ่ ๆ ช่วย ในที่สุดก็เดินเจอครับ
ร้าน Suishin นี่ดึงดูดให้ผมกับแม่มากินเนื่องจากตัวอาหารปลอมที่วางโชว์อยู่หน้าร้านมันแบบ อลังการงานสร้างมาก ๆ และราคาก็ดูไม่ค่อยแพงอีกต่างหาก ก็เลยคิดเอาไว้ว่าจะมากินเป็นมื้อใหญ่สั่งลาเมือง Hiroshima กัน อาหารของร้านนี้ก็จะเป็นอาหารญี่ปุ่นแบบทั่ว ๆ ไป มีให้สั่ง ให้เลือกแทบจะครบทุกอย่าที่ควรจะมี และจะพิเศษหน่อยก็ตรงที่จะมีอาหารที่ใช้หอยนางรมมาทำเยอะ และก็มีเจ้าอาหารชุดสไตล์ญี่ปุ่นหรือ Kaiseki ราคาไม่ค่อยแพงไว้คอยบริการอีกด้วย นอกจากนี้แล้ว ตัวร้านก็ตกแต่งแบบเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแท้ ๆ ครับ มีทั้งโต๊ะนั่งพื้นแบบญี่ปุ่น หรือโต๊ะนั่งห้อยขาลงไปแบบญี่ปุ่น ตัวพนักงานก็ใส่กิโมโนเสิร์ฟกันเต็มยศ เสียดายอย่างที่ ป้าที่ดูแลโต๊ะผม แม้ว่าจะมารยาทดี ร่าเริงแจ่มใสสุด ๆ แต่ป้าแกพูดอังกฤษไม่ได้เลยสักคำ -*- บางจังหวะกว่าจะส่งภาษามือกันรู้เรื่องนี่ก็เล่นเอาเขินกันเลยทีเดียวครับ ฮ่า ๆ
|
หัวปลานึ่งซีอิ๊ว อร่อยมาก ๆ ครับ ไม่ได้กินอร่อยแบบนี้มานานมากล่ะ |
|
น่าเสียดายที่หัวมันไม่ค่อยใหญ่เท่าไร ยังกินไม่ค่อยมันส์ก็หมดแล้ว |
|
Sashimi ชุดใหญ่ ทุกอย่างสด อร่อย คุณภาพดีหมดครับ |
|
Agami นี่เผลอ ๆ จะชอบที่สุดในจานเลย |
|
หอยนางรม Hiroshima สด ๆ ก็อร่อยครับ |
|
อีกหนึ่งจานใน Kaiseki หอยนางรมอบอะไรสักอย่างกับเนื้อย่าง อร่อยมากครับ ชอบ ๆ |
อาหารในมื้อนี้สั่งไปทั้งหมด 3 อย่างครับ มีชุด Kaiseki ราคาประหยัด 4,500 yen มีอาหารให้ 8 อย่าง และมีรูปเจ้า Torii ที่ Miyajama วางขนาบอยู่ ผมก็ขอตั้งชื่อว่าเป็น Miyajima Kaiseki ละกัน อย่างที่ 2 เป็น Sashimi set ใหญ่สำหรับ 2 คน (3,500 yen มั้ง?) และอย่างที่สามเป็นชุด Sushi ที่แพงที่สุดในร้าน (3,000 yen มั้ง?) อาหารทั้งหมดนี้เรื่องปริมาณนี่เรียกได้ว่าคุ้มค่าคุ้มราคามากครับ เพราะแต่ละอันนี่ให้มาจานใหญ่ และเยอะกว่าค่าเฉลี่ยที่เคย ๆ กินมาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเจ้า Kaiseki ที่แบบ 4,500 yen แต่ให้มาถึง 8 อย่าง!
เรื่องรสชาติ ไล่เรียงกันไปทีละอย่าง ตัว Sashimi รวมชุดใหญ่นั้น ก็มีปลาที่ค่อนข้างจะ basic ๆ อยู่ซักครึ่งนึง พวก Akami, Hamachi, Tai, Amaebi, Ika อะไรประมาณนั้น และก็มีที่แปลก ๆ หน่อยอยู่อีก 2 อย่างคือมี Kaki (หอยนางรม) กับปลาหนังเงิน ๆ ที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร ปลาและหอยทั้งหมดนี้ ทุกอย่างสดอร่อยได้มาตรฐาน Sashimi ที่ถ่อมากินถึงญี่ปุ่นเป็นอย่างมากครับ โดยเฉพาะเจ้า Akami ที่แบบเนื้อสีแดงฉานสวยงาม รสชาติอร่อยโดนใจ เย็นเฉียบกินแล้วซี๊ดอ๊าส์ กันเลยทีเดียว และทีเด็ดอีกอย่างก็คงเป็นหอยนางรม Hirsohima สด ๆ ครับ ผมชวดเจ้าหอยสด ๆ นี่จากร้านเฉพาะทางบนเกาะ Miyajima มาแล้ว โชคดีที่ได้มากินในมื้อนี้เนื่องจากว่ามันเป็นหอยนางรมที่สดและอร่อยมาก ๆ บีบมะนาว (lime) ลงไป แล้วก็ยกขึ้นมาดูดซวบ โอย กลิ่นหอมทะเลไหลพรั่งพรูเข้ามาพร้อมกับเนื้อหอยที่สด ๆ มัน ๆ นุ่ม ๆ เยี่ยมมากเลยครับ
|
เศษเทมปุระทอดมาให้กินเล่น |
|
Beer อะไรไม่รู้แต่มี Torii ของ Miyajima ก็ตั้งชื่อว่า Miyajima Beer ละกัน |
|
เป็นเบียร์เกือบเบียร์ดำครับ รสจะเข้ม ๆ หน่อย |
|
ปลาตัวเล็ก ๆ ดองน้ำส้มมา อร่อยครับ |
|
ข้าวหน้าปลาไหลถ้วยกลาง ๆ |
|
ให้ปลาไหลมาเยอะพอสมควร |
|
ชุด Sushi แบบแพงสุดของร้านที่สั่งไป Anako อลังการมาก |
|
ซุปกานี่ไม่รู้อยู่ในชุดไหน อร่อยครับ |
|
Anago อลังการจริง ๆ ครับ ยาวเท่าตะเกียบเลย |
|
ของหวานปิดท้าย |
|
ค่าเสียหาย |
ส่วนเจ้าอาหารชุด Kaiseki นั้น ผมก็มาถึงบางอ้อ เอาตอนที่กินไปเกือบจะหมด 8 อย่างว่าทำไมมันถึงถูก เนื่องจากว่าแต่ละจานนั้น มันไม่ค่อยอร่อยสักเท่าไร รสชาติมันจะกลาง ๆ คือเหมือนกับใช้วัตถุดิบไม่ดีสักเท่าไรครับ (แต่หน้าตานี่ดูใส่ใจมากกว่าจะทำมาแต่ละจาน) คือถ้าแบบคิดว่ากินเพื่อเอาความหลากหลาย ความอลังการแล้วเจ้าชุดนี้ก็ถือว่าคุ้มดีอยู่ครับ แต่ถ้าจะกินเอารสชาติ .. ผมคงอาจจะคาดหวังมากเกินไป แต่ถึงกระนั้น ก็มีจานนึงที่แบบอร่อยโดดเด่นมาก ๆ นั่นก็คือหัวปลานึ่งซีอิ๊ว ปลาผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันคือปลาอะไร แต่แบบรสชาติโดยรวมนี่สุดยอดจริง ๆ เนื้อปลานุ่ม สด ใช้ตะเกียบแบะ ๆ มากินได้อย่างง่าย ๆ แทบไม่ต้องออกแรง ตัวน้ำซีอิ๊วก็รสชาติกลมกล่อมอร่อยดีแท้ หัวปลาที่มาอย่างสมบูรณ์ ๆ โดนผมกับแม่เปิบพิสดารจนเกลี้ยงจนเหลือแต่กระดูกและลูกกะตา ภายในเวลาไม่นานเลย
ส่วนเจ้าชุด Sushi ที่สั่งเพิ่มทีหลังเนื่องจากยังไม่อิ่มดีนั้นบอกตรง ๆ ว่าค่อนข้าง fail ในด้านรสชาติ คือความอลังการของชุดนี้ถือว่าผ่านครับ โดยเฉพาะเจ้าตัว Anago ที่ผมว่ามันเป็น Anago ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตผมที่เคยเห็นมาเลย (ดูรูปประกอบ ยาวกว่าตะเกียบอีก) และ Sushi คำอื่น ๆ ก็ปั้นมาดี สวยงาม ขนาดกำลังดีตามสไตล์ Edo ไม่ใช่สไตล์ Honmono บ้านเราที่ปั้นปลามาใหญ่ over แต่แม้ว่าทั้งหมดนี้จะดูดีแค่นั้น ผมกินแต่ละคำเข้าไปไม่ว่าจะตัว Anago, Otoro, Botan Ebi, Uni, Akagai, Tamago, Ikura, และปลาเนื้อขาวอีก 2 คำที่ไม่รู้ว่าคืออะไร (คือปลาเนื้อขาวนี่แยกไม่ค่อยออกสักทีครับ มีใครพอมีเคล็ดลับในการแยกมันบ้างครับ ผมกิน ๆ มารู้สึกรสชาติมันจะคล้าย ๆ กันหมด หน้าตาก็คล้าย ๆ กัน แยกยากชะมัด) แต่ละอย่างกินแล้วมันไม่ค่อยโดนเลยอ่ะครับ ร้าน Sushi Zanmai ที่กินเมื่อวันก่อนที่ Fukuoka ราคาถูกกว่าและอร่อยกว่าแบบชัดเจนเลยก็ว่าได้ครับ
ร้าน Suishin @ Downtown Hiroshima นี่โดยรวมแล้วผมว่าร้านนี้ก็โอเคนะครับ อาหารอลังการ มีให้เลือกเยอะ ราคาก็ไม่ค่อยแพงเท่าไร แต่เหมือนกับว่าตัวอาหารของร้านนี้จะขายวิญญาณให้กับความคุ้มค่าและหน้าตาและความอลังการไป รสชาติก็เลยหลงเหลืออยู่ค่อนข้างน้อยไปกว่าที่ควรจะเป็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ร้านนี้ผมว่าก็น่าจะลองที่จะมากินนะครับ อาหารเค้าหลากหลายและคุ้มดี
โปรแกรมท่องเที่ยวสถานที่เที่ยวดัง ๆ ของผมใน trip นี้จริง ๆ ก็หมดแล้ว เพราะว่าอีก 2 วันที่เหลือของผมมันก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากไปนอนเอ้งเม้งที่ Osaka เพื่อตระเวณหาข้าวกินกับรอขึ้นเครื่องกลับเท่านั้น จะมีก็มีไปเที่ยว Kobe แวะไปดู Earthquake Museum ที่เหมือนจะดี แต่พอไปถึงก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไร ไม่ค่อยมีอะไรอยากจะเขียนถึงนัก ก็เอาเป็นว่าส่วนที่เหลือในบันทึกนักชิมในทริปนี้ก็ขออุทิศให้กับร้านที่เหลือที่ผมไปไล่กินอีก 5 ร้านกับรีวิวโรงแรมแค่นั้นละกันนะครับ
หลังจากหลับอย่างเต็มอิ่ม ผมก็นั่งรถไฟ Shinkansen กลับไปที่ Osaka ในตอนเช้าอย่างชิล ๆ จำไม่ได้เหมือนกันว่านั่งสายไหนจาก Hiroshima ไป แต่จำได้แค่ว่ามันเร็วมาก ๆ ครับ ประมาณสักชั่วโมงนิด ๆ ก็ไปถึงสถานี Shin-Osaka แล้ว ส่วนโรงแรมที่ผมจะไปซุกหัวนอนอีก 2 คืนที่โอซาก้านั้นก็มีนามว่า Swissotel Nankai Osaka โรงแรมที่ทำเลดีมาก ๆ อยู่ในสถานีรถไฟใหญ่สถานี Namba เลย โรงแรมนี้ก็เป็นโรงแรมที่ผมจองเพราะเห็นว่าได้คะแนนรีวิวดีมากในเว็บ booking.com เว็บจองโรงแรมโปรดของผม แต่แบบพอไปนอนโรงแรมนี้เข้าจริง ๆ แล้วมันกลับไม่ดีอย่างที่คิดครับ อย่างแรกเลยคือ ผมเลือกทำเลโรงแรมผิด คือโอเคตัวโรงแรม Swissotel Nankai Osaka นี่อยู่ในทำเลที่ดีต่อการไปเดินเล่น, Shopping เพราะว่าอยู่ติดกับย่าน Dotombori อันเลื่องชื่อเลย แต่แบบเจ้าสถานี Namba นี่มันดันอยู่ไกลจากสถานี JR ใกล้ ๆ นี้แทบทั้งหมด ทำให้เจ้าตัว Sanyo Area Pass ของผมนี่แทบจะไร้ค่าไปเลย เพราะมันต้องไปนั่ง subway ซึ่งไม่ cover แทนถ้าจะไปไหนมาไหน รวมถึงตัว Airport Express ซึ่งมีนั่งจากสถานี Namba ไปยัง สนามบิน KIX เลยก็ไม่ cover ต้องจ่าย 1500 yen โดยประมาณ แต่ก็แลกมากับการเดินทางที่เร็วขึ้น (แค่ 30 นาทีก็ถึงสนามบินแล้ว)
|
นั่งรถไฟกลับไป Osaka ล่ะครับ |
|
งวดนี้ Shinkansen มาแบบที่นั่ง 3 + 2 แปลดีเหมือนกัน หรือเพราะเป็นตู้ไม่ได้จองก็ไม่รู้ |
|
อาหารเช้า ปลาดิบอะไรก็ไม่ทราบครับ อร่อยดี |
|
เนื่องจากกระเป๋าเยอะ แม่ผมขี้เกียจลากลง Sub-way ก็เลยนั่ง Taxi |
|
เลยโดนค่า Taxi มหาโหดไป ประมาณ 1,100 บาท นั่งแค่ 15 นาที |
|
วิวจากโรงแรม Swissotel nankai Osaka ครับ สวยดี |
|
รู้สึกผมจะอยู่ชั้น 18 นะ |
|
ห้องขนาดไม่ค่อยใหญ่เท่าไร เตียงก็เป็นเตียง Queen Size |
|
แคบ แต่ก็ไม่แคบเท่าพวก Business Hotel ทั่ว ๆ ไป |
|
มีอุปกรณ์ครบทุกอย่างครับ |
|
ห้องน้ำก็ใหม่ดี สะอาด ทันสมัย |
อย่างที่ 2 คือ โรงแรมนี้ประกาศตัวเองว่ามี fitness ในเว็บ booking.com ซึ่งเหตุผลที่ผมจองส่วนนึงก็เพราะเรื่องนี้ด้วย แต่พอไปถึง กลับกลายเป็นว่าทางโรงแรมคิดค่าใช้บริการ 2,000 yen ต่อครั้ง oh my god! 800 บาทต่อครั้ง แพงไปครับ และแบบไม่มีการเขียนไว้อย่างชัดเจนด้วย ส่วนอย่างที่ 3 (ซึ่งไม่รู้จะนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีได้รึเปล่า) คือ นอนโรงแรม 5 ดาวที่ญี่ปุ่นมาก็หลายที่แล้ว เพิ่งจะเคยมี Bellgirl มายกกระเป๋าให้ผมก็ครั้งนี้แหละครับ ซึ่งคุณเธอก็แบบ บริการดีมาก กระฉับกระเฉง แนะนำโน่นนี่เต็มไปหมด ซึ่งผมกับแม่ก็ไม่รู้ธรรมเนียมว่ามันควรต้อง tip คุณเธอมั้ย ซึ่งถ้าเป็นที่อื่นในโลกก็ต้อง tip กันหมด ก็เลยตัดสินใจจะ tip ให้เธอ แต่แบบก็ไม่รู้อีกว่าจะต้องให้เท่าไรมันถึงจะเหมาะสม พอดีเพื่อนชาวญี่ปุ่นผมเคยเล่าให้ฟังว่าเขาทำงานพิเศษได้ชั่วโมงละ 1,400 yen อืม ผมกับแม่เลยสรุปกันว่าให้ 1,000 yen ก็ได้ฟะ ซึ่งพอยื่นแบงค์ให้เธอ คุณเธอก็รีบรับทันที แต่ก็งงอีก เพราะพอไปค้นข้อมูลในเน็ทเพิ่ม เห็นเค้าเขียนกันว่า นอนโรงแรมหรูแค่ไหน service ดีแค่ไหนก็ไม่ต้อง tip ก็เลยกลายเป็นเสียเงินไปฟรี ๆ กับราเมนชามกว่า ๆ หรือเอาจริง ๆ ก็คือ 3 ชามก็ได้ครับเพราะตอนขากลับคุณเธอก็บริการดีลากกระเป๋าผมกับแม่ไปส่งจนถึงประตูรถไฟ airport express มันก็เลยเกิดอาการใจอ่อน ให้ไปอีก 1,000 yen จนได้ T_T (โอย tip บ้าอะไร 400 บาท บ้านเรา 20 บาทก็หรูแล้วว่ามั้ยครับ T_T)
ส่วนสิ่งดี ๆ ของโรงแรม Swissotel Nankai Osaka ก็คือห้องใหม่ดีทั้งตัวห้องนอนและตัวห้องน้ำ ทุกอย่างใหม่หมด (เห็นป้ายแปะไว้ว่าเพิ่ง renovate เมื่อไม่นาน) แต่ห้องนั้นเล็กกว่าที่ Sheraton Hiroshima อย่างชัดเจน (ก็ตามทำเลราคาที่ดินล่ะเนอะ) อุปกรณ์ต่าง ๆ นา ๆ ก็มีให้ครบครัน ไม่ว่าจะตู้เย็น, ตู้เซฟ, เตารีด, กาแฟ, เครื่องต้มกาแฟ, ทีวีเคเบิ้ล โอยครบหมด และโรงแรมนี้เป็นโรงแรมแบรนด์ที่มาแปลกคือมี wi-fi แถมให้ด้วย ไม่เหมือนกับ Sheraton ที่เพิ่งไปนอนมาหรือโรงแรมแบรนด์ดังอื่น ๆ ที่จะมาเก็บเล็กเก็บน้อย อ้อ โรงแรมนี้ห้องอาหารเค้ามีเยอะด้วยนะครับ 6-7 ห้องแทบจะครบทุกสัญชาติเลยก็ว่าได้ แต่แบบผมเห็นราคาแล้วแพงเหลือเกินเลยไม่ได้กิน แต่เหมือนจะเคย ๆ เจอรีวิวว่าห้องอาหารโรงแรมนี้ดี วิวสวย เผื่อใครอยากจะไปลองครับ
9th Shop
ชื่อร้าน 宗家一条流 がんこラーメン十八代目
URL http://tabelog.com/osaka/A2702/A270202/27011053/
ประเภท Ramen
ค่าใช้จ่าย 1000 yen โดยประมาณ
|
ร้านราเมนแสนอร่อย ชื่อร้านอ่านไม่ออก ณ Namba Station ครับ |
|
ทางเข้าร้านเล็ก ๆ ตอนคนเยอะ ๆ ตรงนี้คงเป็นที่ยืนรอคิวกัน |
|
กดคูปองเสร็จก็ไปยื่นให้พ่อครัวแล้วรอราเมนครับ ไอ้ 800 yen ที่ผมจะสั่งมันดันหมด |
|
ร้นเล็กมากนั่งได้แค่ 6-7 คน |
|
ทุกอย่างบริการตัวเอง ยกเว้นทำก๋วยเตี๋ยวเอง |
|
Yebisu แก้วแรกในทริปนี้มั้งครับ |
ร้านที่ 9 ในทริปนี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านราคาประหยัด กับร้าน Ramen คะแนน(โคตร) สูงที่ผมหาจากเว็บ tabelog เจ้าประจำของผม ร้านนี้นอกจากจะอยู่ใกล้สถานี Namba แบบเดินไปไม่ถึง 5 นาทีแล้ว ในเว็บ tabelog ยังมีรายการอาหารเขียนไว้อย่างละเอียดไว้แล้วด้วย ผมเลยให้เพื่อนผมที่อ่านออกช่วยเลือก ๆ เมนูที่จะสั่งไว้ให้ก่อน ร้านนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าอ่านว่าอะไร แต่แบบชื่อร้านดูยาวเป็นบ้า ใครอยากจะตามรอย หาไม่ยากครับ ร้านอยู่ด้านตะวันออกของสถานี Namba แบบเดินแค่ 5 นาที ร้านเป็นร้านเล็ก ๆ แบบเป็นทางเดินแคบ ๆ เข้าไปแตกขยายออกเล็กน้อยด้านใน มีที่นั่งแค่ 7-8 ที่เท่านั้น ตอนผมไป โชคดีที่ไปตอนไม่ค่อย prime time คือไปตอนสักบ่าย 2 ครับ เลยไม่ต้องรอคิวใด ๆ และระบบการสั่งของร้านนี้ก็เป็นแบบกดคูปอง เหมือนร้านราเมนอื่น ๆ สั่งสะดวกดีครับ
สิ่งนึงที่เซ็งคือผมอุตส่าห์ทำการบ้าน เลือกรายการที่จะสั่งไป แต่พอไปยืนอยู่หน้าตู้กดคูปอง ดันมีตัวอักษรสีแดงที่น่าจะแปลว่าหมด ขึ้นอยู่กับทุกรายการที่ผมจะสั่ง ผมเลยต้องไปสั่งราเมน Basic ของทางร้านกินเอา ราเมนของร้านนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำซุปอะไรแต่มันจะเป็นคล้าย ๆ ก๋วยเตี๋ยวจีน หรือราเมนลูกผสมญี่ปุ่นกับจีนที่ถ้าเอาจริง ๆ ก็เป็นราเมนที่ค่อนข้างจะมีขายกันเยอะพอสมควรที่ญี่ปุ่นเลยล่ะ คือตัวน้ำซุปจะเป็นน้ำใส ๆ องค์ประกอบหลัก ๆ ก็น่าจะมีกระดูกหมู, เกลือ อะไรพวกนี้เป็นหลัก ราเมนที่สั่งไปในวันนี้ก็สั่งไป 2 แบบ ผมกับแม่คนละชามครับ ของผมเป็นราเมนน้ำซุปกุ้ง ส่วนแม่ผมเป็นน้ำซุปกระเทียม
|
ราเมนแสนอร่อย จำไม่ได้ว่าอันไหนน้ำซุปอะไรครับ มันหน้าตาเหมือนกันมาก ๆ |
|
อ้อ อันนี้ของผม มีเพิ่มหมูชาชูเข้าไป น้ำซุปกุ้งครับ |
|
เส้นอร่อยมาก ชอบ ๆ |
ทั้ง 2 ชามที่ได้รับบอกตรง ๆ ว่าหน้าตาเหมือนกันมาก ไม่ใช่เจ้าของร้านนี่คงแยกไม่ออกว่าอะไรคืออะไร และแม้ว่าผมจะได้ชิมน้ำซุปของทั้ง 2 ชามแล้ว ผมก็ยังแยกไม่ค่อยออกอยู่ดีว่าอันนี้มันเป็นกุ้งตรงไหน อีกชามมันเป็นกระเทียมตรงไหน -*- แต่สิ่งนึงที่แยกได้อย่างชัดเจนเลยคือ ราเมนของร้าน 宗家一条流 がんこラーメン十八代目 นี่มันโคตรรรอร่อยเลยครับ น้ำซุปจะรสชาติเบา ๆ หน่อยไม่เค็มไป ไม่เลี่ยนไป ไม่ข้นไป รสชาติมันจะกลมกล่อม ๆ กำลังดี คล้าย ๆ น้ำซุปบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงบ้านเรา แต่เพื่อความซับซ้อนของรสชาติและความอร่อยเพิ่มลงไป ตัวเส้นก็เป็นเส้นบะหมี่ไข่ เส้นเรียวเล็ก ๆ แบบที่ผมชอบ เส้นกับน้ำซุปนี่ผมให้ 10 เต็มเลย แต่ว่าตัวหมูชาชูของร้านนี้กลับธรรมดาไปหน่อย เนื้อมันยังไม่นุ่ม, ไม่ละลายในปากพอ และมันแอบเค็มไปนิดด้วย มีหลาย ๆ ร้านที่เคยกินที่ญี่ปุ่นแล้วทำได้ดีกว่านี้เยอะครับ (ร้านที่ไทยที่ผมชอบชาชูที่สุดคือร้าน ราเมนตรงตึก Terminal ข้าง Emporium ที่ชื่อ Chita อะไรสักอย่างน่ะครับ)
สรุป ราเมนอีกหนึ่งมื้อประจำทริปนี้นี่แบบประทับใจมากครับ อร่อยจนแบบ อยากจะกลับไปซ้ำอีกรอบโดยไม่ต้องคิดอะไรเพิ่มเลย ใครไป Osaka แล้วแวะไปแถว Namba อยากหาร้านราคาประหยัดไว้ฝากท้อง ผมแนะนำร้าน 宗家一条流 がんこラーメン十八代目 นี้จริง ๆ ครับ อร่อยเว่อร์ (กินจนไม่เหลืออะไรในชามเลยอ่ะครับผมกับแม่ ฮ่าๆ)
10th Shop
ชื่อร้าน Shabuchin しゃぶ亭 なんば千日前店 (シャブチン)
URL http://tabelog.com/osaka/A2702/A270202/27011918/
ประเภท Shabu Shabu
ค่าใช้จ่าย 5000 yen โดยประมาณ
ร้าน Shabuchin นี่ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่อยู่ใกล้ ๆ สถานี Namba ครับ ร้านนี้อยู่ใกล้กว่าร้านราเมนก่อนหน้าด้วยซ้ำ ทุกทริปที่มาญี่ปุ่นส่วนใหญ่ผมก็มักจะเฉลี่ย ๆ กระจายประเภทอาหารกินไปโดยจะเน้นราเมน กับ ซูชิไว้เยอะหน่อย ส่วนอาหารประเภทอื่นก็จะลดหลั่นกันไป แต่ไม่ว่าทริปไหน ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมี Shabu Shabu หรือ Sukiyaki อยู่ในทริปไว้สักหนึ่งมื้อครับ เพราะแม้ว่าเจ้าอาหารต้ม ๆ ลวก ๆ ที่เดี๋ยวนี้บ้านเรามีเปิดกันขึ้นมามากมาย (แต่ส่วนใหญ่เป็นบุฟเฟ่ต์คุณภาพไม่ค่อยดี -*-) ประเภทนี้ ที่ญี่ปุ่นมันจะราคาแพงกว่าที่ไทยค่อนข้างเยอะ (ส่วนใหญ่บุฟเฟ่ต์เริ่มต้นกันที่ 3,000 yen หรือ 1,200 บาทโดยประมาณ) แต่ว่าของเค้าแพงเพราะคุณภาพเค้าดีครับ เนื้อวัวที่ร้านชาบู ๆ ญี่ปุ่นเอามาใช้(แทบ) จะเป็นเนื้อ Domestic ทั้งหมด (วัว Domestic ของญี่ปุ่นจะแพงกว่าวัว Import ครับ คนละเรื่องกับประเทศอื่น ๆ) ราคามันก็เลยแพงเป็นเงาตามตัว
กับร้าน Shabuchin ใกล้ ๆ Namba Station แห่งนี้ก็เช่นเดียวกันครับ เป็นร้าน Shabu Shabu ชั้นดีที่ได้คะแนนรีวิวค่อนข้างสูง ติดตรงที่ทางร้านไม่ได้ขายแบบบุฟเฟ่ต์ แต่จะขายเป็น course ๆ แทน โดย course ที่ให้เลือกก็จะมีหลากหลายมาก ๆ เนื้อวัวมีหลายเกรด หลายส่วน, เนื้อหมูมีหลายเกรด หลายส่วน ให้เลือกสั่งตามงบ ตามความชอบพอของลูกค้า โดยเราสามารถเลือกได้แค่เกรดของเนื้อ และชนิดของเนื้อ นอกเหนือจากนั้นทุก course ก็จะเหมือนกันหมดคือจะได้ผักมา set นึง, บะหมี่ถ้วยนึง แค่นั้นครับ (ไม่แน่ใจเติมผักกับบะหมี่ได้รึเปล่า พอดีผมไม่ได้ขอเพิ่ม) ร้าน Shabuchin นี่ก็เป็นร้านแรกที่ญี่ปุ่นที่ผมเคยกินแบบเป็นหม้อส่วนตัว ซึ่งผมไม่รู้ว่าทางร้านจงใจทำแบบนี้เพราะอยากจะขายเป็น course ๆ เป็นคน ๆ ไป หรือเพราะว่าร้านพื้นที่น้อย เอาโต๊ะมาเรียง ๆ กันไม่ได้ก็ไม่ทราบครับ อืมก็เจ๋งดี โดยส่วนตัวผมก็ชอบหม้อส่วนตัวนะ กินสะดวกดี ไม่ต้องยุ่งกับใคร
|
เนื้อวัว Kagonoya A5 อร่อย ๆ |
|
เนื้อลายสวยงามมาก |
|
เนื้อหมูไม่รู้ใช่ Kurobuta รึเปล่า |
|
เป็นเนื้อหมูที่สวยงามมาก ๆ |
|
บะหมี่กินตบท้าย เห็นหน้าตากาก ๆ งี้แต่อร่อยมากนะครับ |
มื้อนี้สั่งไปทั้งหมด 2 Course กับอีกหนึ่งจานเนื้อครับ โดย Course ที่สั่งของผมกับแม่สั่งเหมือนกันเลย เป็น Gourmet Gyu Shabu Set (Premium Japanese Beef Ribeye Roll 130 g) - 3,900 yen โดยไอ้คำว่า premium ที่ว่านี่ทางร้านเค้าก็หมายถึงเนื้อวัว Kagonoya เกรด A5 คือเกรดของเนื้อวัวที่ญี่ปุ่นนี่เค้าจะวัดจากไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อครับ ยิ่งเยอะก็จะยิ่งได้คะแนนสูง ซึ่งทางญี่ปุ่นเองได้ A5 นี่ก็คือสูงสุดแล้ว แต่เหมือนผมจะเคยเห็นการวัดคะแนนนอีกแบบที่ใช้คำว่า Marble Score ซึ่งรู้สึกว่าจะเต็ม 13 หรือ 14 นี่แหละ ซึ่ง A5 ของญี่ปุ่นจากที่เทียบ ๆ ด้วยตาเปล่าก็จะประมาณ 12 คะแนนขึ้นล่ะครับ
ทางร้าน Shabuchin เอาตัวผักมาให้ผมลวกเล่นก่อน ก่อนจะตามมาด้วยจานเนื้อ บอกตรง ๆ ว่าผมเห็นเจ้าจานเนื้อผมตอนมาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว มันแบบ ทึ่งครับ ทึ่งในความสวยงามของเนื้อที่ทำไมลายไขมันมันแทรกสวยงดงามและเยอะขนาดนี้ ถ่ายรูปอยู่หลายรูป นั่งมองอยู่แปบนึงก่อนที่สุดท้ายจะเริ่มลงมือกิน ผมเอาเนื้อไปสะบัด ๆ ในน้ำที่เดือดอยู่แล้วสัก 5 วิแล้วก็จิ้มกินกับน้ำจิ้มงาที่ทางร้านให้มา พอกินเข้าไปแล้ว จบเลยครับ ทริปนี้ผมบรรลุโสดาบันแล้ว ได้กินเนื้อเทพขนาดนี้ เนื้อมันอร่อยจริง ๆ ครับ เนื้อแบบไขมันเยอะจนแทบไม่ต้องเคี้ยว และแบบมันละลาย ๆ อร่อย ๆ อยู่ในปาก ชอบ ๆ ๆ แต่น่าเสียดายครับที่ 3,900 yen ได้มาแค่จานเดียว (จะให้เป็นบุฟเฟ่ต์รึไงพ่อคุณ?) ผมกินแค่นี้ไม่อิ่มแน่นอนก็เลยสั่งเจ้าเนื้อหมู premium แบบเฉพาะเนื้อหมูมาอีกจาน (1,300 yen) อีกแล้วครับ พอเนื้อหมูถูกเอามาวางตรงหน้าก็ได้แต่ทึ่งกับความสวยงามและน่ากินของมันอีกแล้ว เนื้อหมูที่สวยงามขนาดนี้ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นก็คงเป็นเนื้อหมูของร้าน Tonkatsu ที่ติดตรึงใจผมที่โตเกียวเมื่อครึ่งปีก่อนล่ะครับ ส่วนรสชาติ แน่นอนครับ สวยงามขนาดนี้ ร้าน Shabuchin เค้าพิถีพิถันขนาดนี้ อร่อยยอดเยี่ยมตามเนื้อไปติด ๆ ครับ
มื้อนี้บอกตรง ๆ ว่าของทุกอย่างของทางร้าน Shabuchin ใกล้ ๆ Namba Station แห่งนี้อร่อยหมดเลย ไม่ว่าจะ ตัวผักที่สุดแสนจะสดและให้มาหลากหลายมาก, น้ำซุปอร่อยได้มาตรฐาน, เนื้อวัวกับเนื้อหมูบรรยายความเทพไปเยอะแล้ว, น้ำจิ้มก็อร่อยดีทั้งแบบเปรี้ยวและแบบซอสงา แต่ไม่น่าเชื่อครับ เจ้าเส้นบะหมี่ที่ทางร้านมีให้กินตบท้าย มันก็อร่อยแบบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นบะหมี่แถมเช่นกัน คือพอกินทุกอย่างเสร็จแล้ว เจ้าของร้านก็จะเอาบะหมี่ที่เตรียมไว้ ไปลวกแบบสด ๆ ให้เรา เห็นเค้าจับเวลา, สะเด็ดเส้น แบบชำนาญแล้วก็เอามาวางให้กิน ตอนก่อนกิน ไม่คิดอะไรหรอกครับ แต่พอกินแล้ว.. โอ้วนี่มันเส้นเทพแบบเอาไปขายในร้านราเมนเทพ ๆ ได้เลยนะเนี่ย!
ร้าน Shabuchin นี่ผมขอแนะนำจริง ๆ ครับ อร่อยมาก เดินทางสะดวก มีเมนูภาษาอังกฤษ และเจ้าของร้านก็พอพูดอังกฤษได้ เสียดายครับ ที่ทางร้านไม่มี buffet และแบบคนกินเยอะแบบผมถ้าจะให้กินแต่เนื้อ Kagonoya A5 นั่นจนอิ่มคงต้องกินสัก 5 จาน ซึ่งแบบนั้นมันก็คงจะเปลืองไป เฮ้อ แต่ไม่เป็นไรครับ กินน้อย ๆ ให้รู้คุณค่าของมันอาจจะดีกว่ากินเยอะจนไร้คุณค่าก็ได้ว่ามั้ยครับ
11th Shop
ชื่อร้าน Motomachi Kare - something 元町カレーパルフェ 栄町店
URL http://tabelog.com/hyogo/A2801/A280102/28033513/
ประเภท ข้าวแกงกะหรี่
ค่าใช้จ่าย 500 yen โดยประมาณ
ร้านที่ 11 ในทริปนี่เป็นอีกร้านที่เรียกว่าร้านสุดวิสัยครับ คือตอนแรกผมเดินทางมายัง China Town - Kobe เพื่อจะไปกินร้านเนื้อญี่ปุ่นแต่เป็นสไตล์จีนนามว่า Ito Grill ร้านแนะนำจากเพื่อนผู้ชำนาญในญี่ปุ่น ตอนก่อนจะมาก็ถามเพื่อนผมล่ะว่าต้องจองก่อนรึเปล่า เค้าก็บอกไม่ต้องจอง ซึ่งพอไปถึง ลางสังหรณ์ของผมก็ถูกเผง เพราะว่า มันคือเที่ยงวันเสาร์ ลูกค้านั่งเต็มร้านเลยครับ คุยกับเจ้าของ เจ้าของบอกว่าวันนี้ไม่รับคนไม่จองโต๊ะ ก็เลยกลายเป็น "อดแดก" เนื้อโกเบอีกแล้วครับ คือผมมาโกเบนี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วแต่ยังไม่ได้กินเนื้อโกเบสักที เฮ้อ (มื้อถัดไปก็ไม่ได้กินอยู่ดีครับแม้ว่าจะยังอยู่ในโกเบก็ตาม -*-) หลังจากชวดกับร้านนี้ก็เลยหา ๆ ร้านใน iPad แล้วก็ไปเจอกับร้านข้าวแกงกะหรี่นามว่า 元町カレーパルフェ 栄町店 เข้าให้ครับ
ร้านนี้ที่ผมกับแม่เลือกฝากท้องกันก็เพราะว่าอย่างแรกเลยคือ อยากกินแกงกะหรี่มาก มาญี่ปุ่นรอบหลัง ๆ นี่ผมไม่เคยได้กินแกงกะหรี่เลยเนื่องจากอาหารอย่างอื่นมันน่าสนใจกว่า น่ากินกว่า เลยไม่ค่อยจะเหลือพื้นที่ไว้ให้เจ้าอาหารราคาประหยัดประเภทนี้สักเท่าไร, อย่างที่ 2 คือร้าน 元町カレーパルフェ 栄町店 มันอยู่ใกล้ China Town มาก ๆ ครับ อย่างที่ 3 คือ ข้าวแกงกะหรี่มันราคาถูก และก็รวดเร็วดีไม่เสียเวลามาก พวกผมเดิน ๆ หาร้านนี้อยู่สักพักก็มาเจอเข้าจนได้ ร้าน 元町カレーパルフェ 栄町店 เป็นร้านเล็กมาก ๆ เป็นแบบห้องแถวที่ไม่รู้จะเรียกว่าห้องแถวดีมั้ย คือร้านจะมีส่วนครัวและทุก ๆ อย่างอยู่เป็นพื้นที่เล็ก ๆ แล้วก็เป็นเคาน์เตอร์ให้ลูกค้านั่งอีก 5-6 คน พื้นที่ร้านน่าจะมีขนาดไม่เกิน 15 ตร.ม. (คือประมาณห้องโรงแรมเล็ก ๆ ห้องนึงอ่ะครับ) แต่เจ้าของร้านที่เป็นผู้ชายตัวอ้วน ๆ ร่าเริง และทำทุกอย่างคนเดียวทั้งหมดคนนี้ก็สามารถเปิดร้านของเค้าขึ้นมาได้
|
ข้าวแกงกะหรี่มาตรฐาน 500 yen พร้อมไก่ทอด น่ากิ๊นน่ากิน |
|
รสชาติดีครับ เผ็ดกำลัดงี |
|
เติมกระเทียม, ขิงดอง เข้าไปเพิ่มรสชาติ อร่อยไปอีกแบบ |
ร้านนี้มีข้าวแกงกะหรี่ให้เลือกกี่แบบไม่รู้ครับ ผมอ่านไม่ออกสั่งไม่ค่อยเป็น รู้สึกว่าจะมีให้เลือกขนาดเล็กกับขนาดใหญ่ (500 yen กับ 600 yen) แล้วก็ add topping โน่นนี่ กับมีให้เลือกอีก 3 แบบ ผมกับแม่เนื่องจากอ่านไม่ออก เจ้าของก็ไม่ยอมพูดอังกฤษก็เลยสั่งเจ้าจาน 500 yen มาตรฐานไป 2 จานครับ ร้านนี้อีกเหตุผลที่เลือกเพราะว่าคะแนนรีวิวเค้าสูง และเพิ่งเปิดมาได้ไม่นาน ซึ่งพอได้กินแกงกะหรี่เค้าแล้วมันก็อืม อร่อยจริง ๆ แกงกะหรี่จะรสชาติเผ็ดนิด ๆ แบบถ้าเป็นที่ CoCo Ichibanya ก็คงประมาณเผ็ด 3 ซึ่งถูกปากผมกับแม่มาก ตัวน้ำแกงกะหรี่ก็เนียน ๆ อร่อย ๆ กลิ่นก็หอม ข้าวก็ข้าวญี่ปุ่นอย่างดี ไก่คาราเกะที่ให้มาด้วยกันก็อร่อยดีครับ คือมันเป็นข้าวแกงกะหรี่ 500 yen ที่อร่อยคุ้มค่ามากทีเดียว ผมกินแบบเปล่า ๆ ไม่ได้เติมอะไรไปครึ่งจาน ส่วนอีกครึ่งจานผมใส่หัวหอมดอง กับขิงดอง ที่ทางร้านมีเตรียมไว้ให้เยอะมากลงไปเพิ่ม กินแล้วอร่อยไปอีกแบบ เปลี่ยนรสชาติไปจากเดิม
ร้านแกงกะหรี่ 元町カレーパルフェ 栄町店 นี่ก็อร่อยสมคะแนนรีวิวจริง ๆ ครับ ลูกค้าญี่ปุ่นที่มานั่งกินกันไม่ขาดสายตลอดเวลาที่ผมนั่งกิน (ส่วนใหญ่เป็นซื้อกลับบ้านครับ เจ้าของร้านอยู่ไม่สุขเลยล่ะ) ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องการันตีความอร่อยของร้านนี้ ใครมาแถว China Town เมือง Kobe แล้วอยากหาร้านอร่อย ๆ ถูก ๆ ฝากท้องก็จัดร้านนี้ได้เลยครับ
12th Shop
ชื่อร้าน Gyutoro - 牛とろ (ぎゅうとろ)
URL http://tabelog.com/hyogo/A2801/A280101/28004492/
ประเภท Sukiyaki
ค่าใช้จ่าย 5000 yen โดยประมาณ
|
ป้ายนี้แหล่ะครับ กับคำว่า Tabehoudai (แปลว่ากินไม่อั้น) ที่ทำให้ผมกับแม่เลือกเข้าไปกินกัน |
|
มีพวก steak ด้วย แต่ไม่ได้กิน เสียดายยย |
|
เบียร์สดสั่งลา กินไป 3-4 แก้วครับมื้อนี้ อร่อย ๆ |
|
ไข่แดงจุ่มกับเนื้อ |
|
น้ำสุกี้เตรียมพร้อม |
ตลอดทั้งทริปนี้ยังไม่มีมื้อไหนที่เป็นบุฟเฟ่ต์เลยสักมื้อ ล่วงเลยมาจนถึงร้านที่ 12 กว่าผมจะได้กินร้านบุฟเฟ่ต์ซักที จริง ๆ ร้าน Gyutoro นี่ผมก็ไม่ได้กะจะกินเช่นเดียวกับหลาย ๆ ร้านในทริปนี้ แต่พอดีร้านเนื้อย่างโกเบที่เล็งเอาไว้ พอพาแม่ไปดูเมนูที่วางอยู่หน้าร้านแล้วแบบ แต่ละจานราคาราคาแพงมาก ถ้ากินแบบจริงจังส่งท้ายแม่ผมกลัวว่าราคาจะกระโดดไปหลายหมื่นเยน ก็เลยชวน ๆ กันเดินหาร้านที่เป็นบุฟเฟ่ต์กันแทน ก็เลยมาลงเอยเอาที่ร้าน Gyutoro ที่อยู่ใกล้ ๆ สถานีรถไฟ Sannomiya Station แห่งนี้กันแทน ด้วยป้ายโฆษณาหน้าร้านอันใหญ่โตเด่นชัดที่บอกว่าที่ร้านมีบุฟเฟ่ต์ Shabu Shabu กับ Sukiyaki ให้กินในราคา 3,900 yen พร้อมรูปเนื้อหน้ากิน ๆ แม่กับผมพอเห็นรูปเห็นราคาปุ๊บก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดินเข้าไปเลยครับ
ร้าน Gyutoro ณ ใกล้ ๆ สถานีรถไฟ Sannomiya แห่งนี้ เป็นร้านขนาดค่อนข้างใหญ่ครับ ด้านในร้านทำเป็นโต๊ะญี่ปุ่นแทบจะทั้งหมดที่ผมเห็น และแบ่งเป็นห้อง ๆ โต๊ะละห้องให้ความเป็นส่วนตัวอย่างมาก อาหารนอกจากตัวบุฟเฟ่ต์ Shabu Shabu กับ Sukiyaki แล้วก็ยังมีพวกเนื้อเสต็ก ทั้งแบบ Teppanyaki กับเสต็กธรรมดา หรืออาหารแบบอื่น ๆ ให้เลือกกินค่อนข้างเยอะถึงเยอะมาก ผมก็ดูเมนูไปงั้น ๆ ล่ะครับ เพราะมื้อใหญ่ส่งท้ายทริปมันต้องเป็นอะไรที่จัดหนัก จัดเต็ม เป็นมื้อบุฟเฟ่ต์อยู่แล้ว ส่วนประเภทนั้นผมเลือกแบบ Sukiyaki ไปเนื่องจากว่าเพิ่งกิน Shabu Shabu มาเมื่อวาน
|
ผักก็ด อร่อยดี แต่ให้เส้นอุด้ง (กองอยู่ด้านล่าง) มาเยอะมาก ๆ เยอะเกินไป |
|
เนื้อจานแรกมาแบบเนื้อรวม เนื้อหมู, เนื้อวัว และเน้อไก่ สุมกันมาเป็นก้อนกลม ๆ |
|
เนื้อวัว |
|
เนื้อหมู |
|
เนื้อไก่ |
|
ทุกอย่างพร้อมกินล่ะครับมื้อนี้ |
|
เนื้อร่อย ๆ จุ่มไข่ ฟินแท้เหลา |
|
เอาเนื้อไปคลุก ๆ ในหม้อแปบเดียวก็กินได้ล่ะครับ |
|
คลี่หมูออกมา มันเหมือน bacon มากกว่าจะเป็นเนื้อหมูนะครับ |
|
เนื้อวัวลายสวย แต่ก็ไม่ถึงกับสวยเว่อร์ |
|
เนื้อวัวอร่อยครับ กินไป 5 จานทั้งหมด |
รอสักพักนึงทางร้านก็ยกเนื้อมาให้เป็นกองเนื้อ 3 ประเภท เนื้อวัว, เนื้อหมู และก็เนื้อไก่ พร้อมผักอีกจานใหญ่ ๆ ที่มีเส้นอุด้งให้มาเยอะมากมายเหลือเกิน พอยกมาให้แบบนี้ แอบเซ็งครับ เพราะผมกับแม่ไม่ได้กะจะกินเนื้ออะไรอย่างอื่นนอกจากเนื้อวัวอยู่แล้วรวมถึงไม่ได้อยากกินเส้นอุด้งเยอะขนาดนี้ด้วย แต่ก็บ่นเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นก็เลยไม่ได้บ่นอะไร เนื้อวัวของร้าน Gyutoro แห่งนี้ก็อร่อยดีครับไม่ถึงกับอร่อยเทพเหมือนร้าน Shabushin ที่ Osaka เมื่อวานแต่ถ้าเทียบกับร้านบุฟเฟ่ต์ในไทยก็น่าจะชนะทุกร้านล่ะครับ (มีร้าน Shibuya Shabu ร้านเดียวล่ะมั้งครับที่ผมว่าทำได้สูสีกับร้านนี้หน่อย) ส่วนเนื้อหมูกับเนื้อไก่ก็ไม่ได้แย่ แค่มันอร่อยไม่เท่าเนื้อวัวแค่นั้น (จริง ๆ เนื้อไก่นี่แอบอร่อยกว่าเมืองไทยเยอะดีครับ น่าจะเป็นไก่บ้านญี่ปุ่น) มื้อนี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาจัดหนัก ก็ได้จัดหนักจริง ๆ ครับเพราะสั่งเนื้อเพิ่มไปถึง 6 จานเต็ม ๆ เฉลี่ยแล้วจานนึงราคาอยู่ที่ 1000 yen โดยประมาณเท่านั้น
มื้อนี้ที่เซ็งอย่างคือ ร้านนี้จะไม่ยอมให้สั่งอะไรเพิ่มถ้ายังกินของเก่าไม่หมดครับ คือ เนื้อหมูกับเนื้อไก่ที่ให้มาโดยไม่ได้ขอมันก็พอโอเคอยู่เพราะให้มาไม่เยอะ แต่เจ้าเส้นอุด้งที่ให้มายังกะว่าจะให้อิ่มด้วยเส้นอุด้งไม่ต้องไปกินเนื้อเลยนี่มันทุเรศเกินจะทนครับ ผมเลยเอามันย้ายจากตัวตะกร้าไปใส่ในถ้วยทำเหมือนกำลังจะกิน เจ้าพนักงานตัวดีเลยยอมให้สั่งผักเพิ่มได้ ส่วนที่เซ็งอีกอย่างคือ ผมรู้ว่าตัวสุกี้ยากี้ของญี่ปุ่นพอกินไปสักพักมันจะหวาน ๆ อยู่ล่ะเพราะตัวน้ำซุปเค้าจะหวาน แต่น้ำซุปของร้านนี้เหมือนจะหวานกว่าปกติ แล้วเจ้าพนักงานก็ไม่ค่อยเอาน้ำมาเติมให้ ช่วงหลัง ๆ นี่เหมือนกินเนื้อหวาน มากกว่ากินสุกี้ยากี้ยังไงก็ไม่ทราบ (แต่ก็ยังพอกินได้อยู่ครับ แค่ไม่อร่อยเท่าตอนแรก)
ผมก็ไม่รู้ว่าที่ Kobe นี่มันจะมีร้าน Shabu, Sukiyaki หรือร้านเนื้อย่างแบบบุฟเฟ่ต์ที่ใช้เนื้อโกเบอยู่รึเปล่า ซึ่งถ้ามีราคาก็คงแพงหูฉี่ หมื่นเยนอัพต่อคน ซึ่งกับราคา 3,900 yen ที่จ่ายไปที่ร้าน Gyutoro ใกล้ ๆ สถานี Sannomiya แห่งนี้ ผมว่ามันก็ถือว่าคุ้ม (เมื่อคิดเป็นราคาที่ญี่ปุ่น) อยู่นะครับ ใครมาโกเบ อยากจะจัดหนักจัดเต็มลองร้านนี้ก็ไม่เสียหายครับ!
|
Airport Express ไปยัง Kansan International Airport |
|
บอกลากันที่ลิฟท์เลย |
13th shop
ชื่อร้าน Dotombori something - どうとんぼり神座 関西国際空港店
URL http://tabelog.com/osaka/A2705/A270503/27063484/
ประเภท ราเมน
ค่าใช้จ่าย 1000 yen โดยประมาณ
ร้านสุดท้ายในทริปนี้ก็เหมือน ๆ กับทริปก่อน ๆ หน้าครับที่เป็นร้านในสนามบิน flight ของผมที่จะเดินทางไป Seattle ต่อนั้นออกจากญี่ปุ่นประมาณบ่ายโมงเลยทำให้มื้อนี้เหมือนจะเป็นมื้อ Brunch แบบฉบับญี่ปุ่นไปโดยปริยายเพราะกินกันตั้งแต่ 10 โมง ร้านอาหารในสนามบิน KIX นี่เมื่อเทียบกับที่ Haneda ที่ผมเคยกินมาเรียกได้ว่าที่ KIX นี่น้อยกว่ากันแบบค่อนข้างเยอะครับ Haneda ดูอลังการกว่าเยอะมาก ส่วนร้าน どうとんぼり神座 関西国際空港店 ที่ผมเลือกนี้ก็เป็นหนึ่งในร้านราเมน 3 ร้านในสนามบินที่ได้คะแนนสูงสุดล่ะ
ร้านนี้ตัวราเมนเค้ามีน้ำซุปให้เลือกแบบเดียวครับเป็นน้ำซุปโชยุ และก็มี Tsukemen ให้กินสำหรับคนที่ไม่ชอบราเมนแบบธรรมดา ๆ (ซึ่งผมรู้สึกว่าคนญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้นิยม Tsukemen กันมาก แทบทุกร้านเลยต้องมีเจ้าเมนูนี้กัน) ตัวราเมนนั้นเราสามารถ customize เองได้เยอะ และ Topping ของร้านนี้ก็มีให้เลือกค่อนข้างเยอะด้วย ผมกับแม่ก็สั่งกันไปคนละชามครับ ของแม่ผมเป็นราเมนธรรมดาส่วนของผมก็เพิ่มไข่กับชาชูเข้าไป ส่วนองค์ประกอบที่เหลือในชามนั้นเหมือนกันหมดเลย ไม่ว่าจะตัวเส้นที่เป็นเหมือนเส้นบะหมี่ไข่บ้านเรา, ตัวน้ำซุปโชยุรสชาติไม่เข้มข้นแต่ก็อร่อยพอใช้ได้ เนียน ๆ เบา ๆ น้ำใส ๆ แล้วก็ให้ผักกะหล่ำปลีมาเยอะ(มาก) ทั้ง 2 ชาม ตัวหมูชาชูในมื้อนี้ก็ยังไม่ค่อยประทับใจเท่าไรครับ รวม ๆ แล้วเจ้าราเมนของร้าน うとんぼり神座 関西国際空港店 ร้านปิดท้ายประจำทริปนี้ก็เป็นราเมนมาตรฐานในแดนญี่ปุ่นเค้าอีกร้านนึงครับ มากินอีกรอบก็ได้ แต่ถ้าถามว่าต้องขวนขวายมามั้ยก็คงตอบว่าไม่ (แต่แน่นอนครับดีกว่าร้าน Kin Ramen ที่สนามบินบ้านเราแบบชัดเจน ฮ่า ๆ)
ทริปมาเที่ยวญี่ปุ่นงวดนี้ของผมก็จบลงอย่างเรียบง่าย ๆ ที่เที่ยอาจจะไปน้อยไปหน่อยเพราะไม่ได้กะมาเที่ยวอะไรมากอยู่แล้ว ส่วนร้านที่เล็ง ๆ เอาไว้ก็ถือว่าสอยได้ประมาณ 80% โดยประมาณ (ที่ไม่ได้สอยคือ หาไม่เจอ กับ ไม่มีโต๊ะ กับแพงไป -*-) ทริปนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจในประเทศที่ค่าครองชีพแสนจะแพงแต่อาหารอร่อย อากาศดี บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน ผู้คนมารยาทดีแห่งนี้ครับ ผมจะมาญี่ปุ่นอีกทีเดือนพฤศจิกายน และมางวดหน้านี่กะจะมาเป็น Gourmet Trip จริงจังเลย เพราะว่าพาเพื่อนนักกินมากันถึง 4 คน ก็ไว้มางวดหน้าก็จะมาเขียนรีวิวให้ใหม่นะครับ ส่วนในวันนี้ขอลาไปก่อน แต่ทริปโดยรวมของผมยังไม่จบครับ ยังมีปลายทางลำดับที่ 3 ลำดับต่อไปอยู่ที่เมือง Seattle อีก จะเป็นอย่างไร โปรดคอยติดตามครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร