Tudari Korean Restaurant Siam Paragon, Bangkok ทูดาริ ร้านอาหารเกาลี สยามพารากอน ปทุมวัน
Overall Score 6/10
Taste 3/5
Ambiance 3.5/5
Service 3/5
Value 3.5/5
Tudari Korean Restaurant on BuMRes.com
ร้าน Tudari เป็นร้านอาหารเกาหลี ที่เพิ่งจะมาเปิดตัวสาขาแรกในเมืองไทยที่ Seen Space ทองหล่อเมื่อช่วงต้น ๆ ปีที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าสาขาแรกนั้นขายดีรึเปล่า แต่ว่าสาขาที่(น่าจะเป็น) 2 ที่ผมไปกินและกำลังรีวิวนั้นอยู่ที่ Siam Paragon ชั้น 4 บริเวณ Zone Food Passage ที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานครับ โดยโซนนี้แต่เดิมรู้สึกจะเป็นโซนขายพวกของไทย ๆ สำหรับคนต่างชาติ แต่เหมือนจะขายไม่ค่อยดีรึเปล่าไม่ทราบก็เลยย่นพื้นที่ส่วนนั้นลงและเพิ่มส่วนร้านอาหารมากมายขึ้นมาแทนและร้าน ทูดาริ ก็เป็นหนึ่งในร้านเหล่านั้น
โดยส่วนตัวแล้ว ผมก็ไม่ใช่แฟนอาหารเกาหลีซักเท่าไร คือถ้ามีร้านให้เลือกหลาย ๆ ร้านผมก็มักจะไม่ค่อยเลือกอาหารเกาหลี เพราะจากที่กิน ๆ มาอาหารของชาตินี้ ไม่เคยทำให้ผมสบถคำว่าอร่อยออกมาอย่างเต็ม ๆ ปากได้สักครั้ง ร้านเกาหลีในกรุงเทพ ผมเคยกินอยู่อย่างมากก็ไม่เกิน 10 ร้าน (ไม่นับที่ต่างประเทศที่ไม่เคยกินเลย) ผมก็เลยไม่สามารถบอกได้ว่าร้านที่ผมกิน ๆ นั่นมันทำไม่ถูกปากผมหรือว่าอาหารเกาหลีเป็นอาหารที่ไม่อร่อยอยู่แล้วกันแน่ เนื่องจากจำนวนกลุ่มตัวอย่างมันน้อยเกินไปนั่นเองครับ
อาหารของร้าน Tudari @ Siam Paragon นั้นหลังจากที่ได้ดู ผมรู้สึกว่า รายการอาหารของร้านนี้ไม่ค่อยเหมือนเกาหลีแท้ ๆ ที่ผมกินมาเท่าไรนัก ออกแนวเป็นลูกผสมระหว่างเกาหลีกับตะวันตกและญี่ปุ่นยังไงก็ไม่ทราบ สนนราคาอาหารโดยเฉลี่ยของร้านนี้บอกตรง ๆ ว่าถูกกว่าที่ผมคิดเอาไว้เล็กน้อย แต่ก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสำหรับร้านอาหารสมัยนี้ล่ะมั้งครับ (150 - 250 บาท) รายละเอียดอาหารโดยละเอียดก็ดูได้ที่ tab menu เช่นเคยเลยนะครับ
มื้อนี้ผมไปกัน 2 คนกับแฟนก็เลยสั่งกันแค่ 3 อย่าง ไม่อยากกินเยอะเพราะมื้อเย็นมีนัดกินมื้อใหญ่กับเพื่อน ๆ แล้ว อย่างแรกที่ได้เป็น ชุดเสียบไม้ Signature Set (200 บาท) ประกอบด้วย เนื้อไก่ที่ผ่านกรรมวิธีแบบต่าง ๆ และเอาไปเสียบไม้ย่างมาครับ จานนี้ ถ้าไม่บอกก็คงนึกว่า นี่มันยากิโทริของญี่ปุ่นชัด ๆ ! ซึ่งรสชาติของจานนี้ผมอยากจะบอกว่าร้าน Tudari @ Siam Paragon ทำได้อร่อยดีทีเดียว เผลอ ๆ อร่อยกว่ายากิโทริของร้านญี่ปุ่นบางร้านซะอีกครับ ซอสเข้มข้น ย่างมาได้สุกกำลังดี และไม่มีเนื้อแบบไหนที่หมักมาจนเค็มไป (ผมชอบเจอร้านที่หมักมาเค็ม ๆ)
อาหารจานที่ 2 เป็น เต้าหู้กิมจิ (Tofu Kimchi 250 บาท) อาหารน่าตาแปลกประหลาดที่ไม่เคยกินมาก่อนในชีวิต เต้าหู้ที่วางโปะ ๆ มารอบ ๆ นั้นเป็นเต้าหู้เย็น ๆ ส่วนชั้นล่างที่ถูกทับอยู่นั้นเป็นกิมจิกับเนื้อหมูหมัก ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้จะเค็มเป็นพิเศษเหมือนทางร้านจะจงใจทำมาให้ตัดกับรสชาติจืด ๆ ของเต้าหู้ ซึ่งพอกินคำแรกแล้วรู้สึกแปลกประหลาด แต่พอกิน ๆ ไปก็เหมือนจะพอกินได้ ขึ้นมา แต่พอกินไปกินมา เต้าหู้หมด เหลือแต่กิมจิกับเนื้อหมู ก็เลยกลายเป็นกินต่อไม่ลงเพราะมันเค็ม! ส่วนจานสุดท้ายก็เป็นอาหารที่ค่อนข้างแปลกอีกแล้วกับ สตูว์โอเด้งและปู (Crab and Oden Stew 290 บาท) ซึ่งจานนี้ถือว่าค่อนข้างคุ้มครับเพราะให้มาเยอะมาก ๆ แต่ถ้าไม่บอกนี่ก็คงไม่รู้ว่าเป็นอาหารเกาหลีอีกเช่นกัน ผมนึกว่าอาหารญี่ปุ่นมาใส่น้ำต้มยำเฉย ๆ จานนี้ไม่มีอะไรเด่นเลยครับ นอกจากน้ำซุปที่ เผ็ดจัดจ้าน สะใจซะจนเหมือนกับว่ากำลังกินต้มยำแบบไทย ๆ อยู่ หอยตลับ, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์และโอเด้งให้มาค่อนข้างเยอะ แต่คุณภาพคอนข้างเฉย ๆ เหมือนเป็นของเก่าค้างเก็บ และโอเด้งก็ไม่มีรสชาติที่ผสมผสานถึงเนื้อในอย่างที่ควรจะเป็นครับ
สรุปมื้อเบา ๆ ของผมมื้อนี้ที่ร้าน Tudari @ Siam Paragon ทูดาริ สยามพารากอน ก็ ถือว่าจบแบบพาร์ ๆ ครับ อาหารรสชาติพอกินได้ ตื่นตาตื่นใจกับความ exotic ในตอนแรกที่ได้เห็นและได้ชิมเล็กน้อย พนักงานของร้านรู้สึกบริการแหม่ง ๆ ยังไงไม่รู้ มีพนักงานอยู่เต็มร้านแต่ไม่ค่อยดูลูกค้า ทิชชู่ก็ไม่เอามาวางไว้บนโต๊ะ ต้องเรียกเอามาให้ แล้วก็มีเหมือนจะเป็นเพื่อนพนักงานนั่งอยู่ในร้านเฉย ๆ 2-3 คน ซึ่งบอกตรง ๆ ว่ามันดูขัดลูกกะตายังไงไม่รู้ อืม ก็จบแบบห้วน ๆ เลยละกันครับกับรีวิวร้าน Tudari ร้านอาหารเกาหลี ที่ผมคงไม่น่าจะไปเหยียบอีกเป็นครั้งที่ 2 ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Bangkok is renowned for its gourmet food at reasonably low prices. This blog covers a wide range of restaurants in Bangkok and occasionally in other provinces (Chiang Mai, Pattaya, Phuket). From street vendors to luxurious restaurants - From mouthwatering dishes to eye widening meals, all can be found here. This blog will take you to experience the exotic food you rarely find in your area. Feel free to leave comments or suggestion. Please visit http://www.bumres.com for more information.
Saturday, December 31, 2011
Wednesday, December 28, 2011
Michelin Star Restaurants (ร้านอาหารดาวมิชลิน)
Michelin Star Restaurants (ร้านอาหารดาวมิชลิน)
For more yummy review of Bangkok restaurants please Click Here!
หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ร้านอาหารดาวมิชลิน" และรู้ว่าร้านที่ได้ดาวมิชลินนั้นคือร้านที่เทพ ระดับถ้าได้กินก็จะไม่เสียชาติเกิด อะไรประมาณนั้น วันนี้ผมจะมาเขียนวิเคราะห์เจาะลึกอย่างละเอียดถึงร้านดาวมิชลินให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงกันครับ
มิชลินก็อย่างที่ทุก ๆ ท่านรู้กันว่าเป็นบริษัทที่ทำยางรถยนต์ของฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว หรือปี 1900 ทางมิชลินมีไอเดียว่าถ้าตัวเองออกไกด์บุ๊คแนะนำสถานที่กิน สถานที่พัก หรือ สถานที่ท่องเที่ยวออกมาซักหน่อย ให้คนต้องขับรถไปกินกัน ยางก็จะสึกมากขึ้นตัวเองก็จะขายยางได้มากขึ้น จึงเป็นที่มาของไกด์เล่มแดงหรือมิชลินไกด์นั่นเอง (Michelin Guide) ซึ่งในหนังสือเล่มแดงนี้ก็จะเป็นการรวบรวมร้านอาหารเจ๋ง ๆ กับสถานที่พักที่แหล่ม ๆ มาอย่างค่อนข้างจะครบถ้วนสำหรับเมือง ๆ นึง และร้านอาหารแต่ละร้านก็จะมีการแบ่งระดับหรือแบ่งเกรดต่อนั่นเอง
เกรดของร้านอาหารมิชลินนั้นจะมี 4 ระดับคือ Rising Star หรือร้านดาวรุ่ง จะเป็นร้านที่กำลังจะมีดาวงอกออกมา ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าคงคุณภาพการมีดาวงอกไว้ได้ 2 ปี ก็มักจะได้ดาวมาประดับในท้ายที่สุด ซึ่งร้านระดับนี้จะมีอยู่ค่อนข้างเยอะในหนังสือไกด์บุ๊คของเค้าครับ ส่วนระดับที่ 2 คือ ร้าน 1 ดาว หรือ 1 star michelin restaurants ร้านนี้เค้านิยามไว้ว่าเป็นร้านที่เจ๋งมาก ๆ ในหมวดหมู่ของตัวร้านเอง (Very good cuisine in its category) ซึ่งในไกด์บุ๊คร้านพวกนี้ก็จะมีอยู่ค่อนข้างเยอะเช่นกัน แต่ก็ไม่เยอะมากเท่าแบบแรก ส่วนระดับที่ 3 ก็คือร้าน 2 ดาวหรือ 2 star Michelin restaurants โดยเค้าให้คำนิยามไว้ว่าเป็นร้านที่ยอดเยี่ยม คุ้มค่าที่จะหลุดออกนอกเส้นทางเพื่อจะไปกิน (Excellent cuisine worth a detour) ซึ่งในไกด์บุ๊คนึง ๆ ก็จะมีค่อนข้างน้อย ประมาณสัก 10% ในแต่ละปี ส่วนระดับสุดท้ายหรือระดับสูงสุด ก็คือร้าน 3 ดาว หรือ 3 star Michelin restaurants ครับ ร้านระดับนี้ก็คือเป็นร้านเทพ จะอยู่แห่งหนตำบลใด ก็ควรจะต้องดั้นด้นไปกินมันให้ได้ (Exceptional cuisine worth a special journey) ซึ่งในไกด์บุ๊คแต่ละเล่มก็มีร้านพวกนี้น้อยมาก ประมาณสัก 1-2% เท่านั้นเองในแต่ละปี
ร้านระดับ 3 ดาวนั้นในโลกนี้มีอยู่ประมาณสักร่วม ๆ 100 ร้านครับ และลองเดาดูสิครับว่าประเทศไหนที่มีร้าน 3 ดาวเยอะที่สุด? ติ๊กต่อก ๆ ๆ ๆ คำตอบก็คือประเทศญี่ปุ่นครับ โดยญี่ปุ่นนั้นมีร้านระดับ 3 ดาวร่วม ๆ 30 ร้านเลยทีเดียว ในขณะที่เมืองที่มีรองลงมาก็แน่นอนครับ Paris เมืองต้นตำรับนั่นเอง คิดดูครับจากร้านเป็นแสน ๆ ร้านในเมืองที่มีไกด์บุ๊ค มีร้านที่ได้ 3 ดาวอยู่ไม่ถึง 100 ร้าน ร้านพวกนี้ก็แสดงว่าต้องเทพน่าดูใช่มั้ยครับ? และหลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินคำว่าเชฟมิชลินสตาร์ คือคำ ๆ เนี่ยจะใช้เรียกกับเชฟที่เป็นเจ้าของร้านหรือเป็น Head Chef ในร้านที่ได้ดาวมิชลินครับ แต่ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ว่าพอเค้าไปเปิดร้านใหม่ ร้านใหม่ก็จะกลายเป็นมิชลินสตาร์เหมือนกันนะครับ ร้านใหม่ก็ต้องผ่านการตรวจสอบจาก Michelin ใหม่อีกครั้งเช่นกัน โดยเชฟที่มีดาวสะสมเยอะที่สุดในโลกตอนนี้คือ Mr. Joel Robuchon ซึ่งตาคนนี้มีดาวรวมกันถึง 26 ดวงเลยทีเดียว (มีทั้งร้านไม่มีดาว, 1 ดาว 2 ดาวและ 3 ดาวคละเคล้ากันไป)
หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ แล้วทำไมเมืองไทยไม่เห็นมีร้านที่ได้ดาวมิชลิน? ก็เพราะว่าเมืองไทยมิชลินไม่ได้ทำไกด์เล่มแดงขายนั่นเอง แล้วมันจะไปมีร้านได้ดาวมิชลินได้ยังไงล่ะใช่มั้ยครับ? แต่ร้านในไทยที่ตัวเชฟมีดาวอยู่ที่ประเทศอื่นแล้วมาเปิดร้านใหม่ในไทยก็มีอยู่ 2 ร้านครับที่ผมรู้จัก ร้านแรกคือ Nahm ที่โรงแรม Metropolitan ตรงสาทร (รู้สึกจะเจ๊งไปแล้ว) ส่วนร้านที่ 2 คือ Sra Bua ตรงโรงแรม Siam Kempinsky ครับ ซึ่งเจ้าไกด์บุ๊คเนี่ยในปัจจุบันจะมีอยู่ 9 เล่ม ประกอบด้วย Paris, San Francisco, New York, Chicago, London , Kanto Area (Tokyo, Yokohama & Kamakura) , Kansai Area (Kyoto, Osaka & Kobe) , Hong Kong & Macau และ เมืองใหญ่ ๆ ในยุโรป (Main Cities of Europe)
ซึ่งจากที่ผมซื้อไกด์ของมิชลินมา 2 เมือง แม้ว่าทางมิชลินจะเคลมว่า ให้คะแนนร้านจากรสชาติอาหารล้วน ๆ ! แต่ร้านที่ผมเห็นได้ 2 หรือ 3 ดาวนั้นมีแต่ร้านหรู ๆ ระดับราคาแพง ๆ ทั้งนั้น ผมก็เลยไม่ค่อยจะเชื่อว่าเค้าให้คะแนนจากรสชาติอาหารอย่างเดียวจริง ๆ และร้านที่ได้ดาวเยอะ ๆ ส่วนใหญ่ จะเป็นร้านสัญชาติยุโรป ครับ ที่เห็นเยอะสุดก็คงเป็นสไตล์ Contemporary หรือร่วมสมัย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอาหารร่วมสมัยคืออาหารแบบไหน! ทางมิชลินจะส่งกรรมการไปกินที่ร้านแบบนิรนามแล้วก็จะมีเกณฑ์การให้คะแนนที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก ก็เลยเชื่อขนมกินได้ว่าร้านในแต่ละเมืองที่ได้ดาวนั้น มาตรฐานเดียวกันหมด แต่ก็นะ เท่าที่ผมดู ๆ อาหารจากฝรั่งเศส และ ยุโรปนี่จะได้ดาวเยอะกว่าใครเพื่อน ให้เดาก็คงเป็นเพราะตัวมิชลินเองเป็นบริษัทฝรั่งเศสด้วยก็เป็นได้
ส่วนเมืองไทย แม้ว่าเราจะไม่มีหนังสือไกด์มิชลิน แต่เราก็มีกูรูที่เป็น Food Critics นามกระเดื่องกันอยู่หลายคน เช่น เชลล์ชวนชิมโดย ม.ร.ว. ถนัดศรี ซึ่งเหมือนตอนนี้จะส่งต่อให้หมึกแดงลูกชายไปแล้ว , แม่ช้อยนางรำ โดยคุณอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ หรือแม้แต่ กูรูร้านอาหารของ Citibank ที่ผมจำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน แต่ก็นะ ร้านที่ได้รับรางวัลการันตีพวกนี้ในเมืองไทย กลับไม่มีการทำหนังสือ หรือรายการร้านว่ามีร้านไหน อยู่ตรงไหนบ้าง เราก็ได้แต่เดิน ๆ หากันเอาเอง ว่าวันไหนจะโชคดีเจอร้านที่มีตราพวกนี้รึเปล่า (เอ๊ะหรือเค้ามีหนังสือขายครับ?) แต่ไม่ต้องห่วงแล้วครับเพราะตอนนี้เรามีเว็บ www.BumRes.com ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นเว็บสื่อกลางที่ทุก ๆ ท่านจะมาร่วมกันให้คะแนนร้านและจัดอันดับร้านมหาชนกัน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
For more yummy review of Bangkok restaurants please Click Here!
หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ร้านอาหารดาวมิชลิน" และรู้ว่าร้านที่ได้ดาวมิชลินนั้นคือร้านที่เทพ ระดับถ้าได้กินก็จะไม่เสียชาติเกิด อะไรประมาณนั้น วันนี้ผมจะมาเขียนวิเคราะห์เจาะลึกอย่างละเอียดถึงร้านดาวมิชลินให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงกันครับ
มิชลินก็อย่างที่ทุก ๆ ท่านรู้กันว่าเป็นบริษัทที่ทำยางรถยนต์ของฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว หรือปี 1900 ทางมิชลินมีไอเดียว่าถ้าตัวเองออกไกด์บุ๊คแนะนำสถานที่กิน สถานที่พัก หรือ สถานที่ท่องเที่ยวออกมาซักหน่อย ให้คนต้องขับรถไปกินกัน ยางก็จะสึกมากขึ้นตัวเองก็จะขายยางได้มากขึ้น จึงเป็นที่มาของไกด์เล่มแดงหรือมิชลินไกด์นั่นเอง (Michelin Guide) ซึ่งในหนังสือเล่มแดงนี้ก็จะเป็นการรวบรวมร้านอาหารเจ๋ง ๆ กับสถานที่พักที่แหล่ม ๆ มาอย่างค่อนข้างจะครบถ้วนสำหรับเมือง ๆ นึง และร้านอาหารแต่ละร้านก็จะมีการแบ่งระดับหรือแบ่งเกรดต่อนั่นเอง
เกรดของร้านอาหารมิชลินนั้นจะมี 4 ระดับคือ Rising Star หรือร้านดาวรุ่ง จะเป็นร้านที่กำลังจะมีดาวงอกออกมา ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าคงคุณภาพการมีดาวงอกไว้ได้ 2 ปี ก็มักจะได้ดาวมาประดับในท้ายที่สุด ซึ่งร้านระดับนี้จะมีอยู่ค่อนข้างเยอะในหนังสือไกด์บุ๊คของเค้าครับ ส่วนระดับที่ 2 คือ ร้าน 1 ดาว หรือ 1 star michelin restaurants ร้านนี้เค้านิยามไว้ว่าเป็นร้านที่เจ๋งมาก ๆ ในหมวดหมู่ของตัวร้านเอง (Very good cuisine in its category) ซึ่งในไกด์บุ๊คร้านพวกนี้ก็จะมีอยู่ค่อนข้างเยอะเช่นกัน แต่ก็ไม่เยอะมากเท่าแบบแรก ส่วนระดับที่ 3 ก็คือร้าน 2 ดาวหรือ 2 star Michelin restaurants โดยเค้าให้คำนิยามไว้ว่าเป็นร้านที่ยอดเยี่ยม คุ้มค่าที่จะหลุดออกนอกเส้นทางเพื่อจะไปกิน (Excellent cuisine worth a detour) ซึ่งในไกด์บุ๊คนึง ๆ ก็จะมีค่อนข้างน้อย ประมาณสัก 10% ในแต่ละปี ส่วนระดับสุดท้ายหรือระดับสูงสุด ก็คือร้าน 3 ดาว หรือ 3 star Michelin restaurants ครับ ร้านระดับนี้ก็คือเป็นร้านเทพ จะอยู่แห่งหนตำบลใด ก็ควรจะต้องดั้นด้นไปกินมันให้ได้ (Exceptional cuisine worth a special journey) ซึ่งในไกด์บุ๊คแต่ละเล่มก็มีร้านพวกนี้น้อยมาก ประมาณสัก 1-2% เท่านั้นเองในแต่ละปี
ร้านระดับ 3 ดาวนั้นในโลกนี้มีอยู่ประมาณสักร่วม ๆ 100 ร้านครับ และลองเดาดูสิครับว่าประเทศไหนที่มีร้าน 3 ดาวเยอะที่สุด? ติ๊กต่อก ๆ ๆ ๆ คำตอบก็คือประเทศญี่ปุ่นครับ โดยญี่ปุ่นนั้นมีร้านระดับ 3 ดาวร่วม ๆ 30 ร้านเลยทีเดียว ในขณะที่เมืองที่มีรองลงมาก็แน่นอนครับ Paris เมืองต้นตำรับนั่นเอง คิดดูครับจากร้านเป็นแสน ๆ ร้านในเมืองที่มีไกด์บุ๊ค มีร้านที่ได้ 3 ดาวอยู่ไม่ถึง 100 ร้าน ร้านพวกนี้ก็แสดงว่าต้องเทพน่าดูใช่มั้ยครับ? และหลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินคำว่าเชฟมิชลินสตาร์ คือคำ ๆ เนี่ยจะใช้เรียกกับเชฟที่เป็นเจ้าของร้านหรือเป็น Head Chef ในร้านที่ได้ดาวมิชลินครับ แต่ตำแหน่งนี้ไม่ใช่ว่าพอเค้าไปเปิดร้านใหม่ ร้านใหม่ก็จะกลายเป็นมิชลินสตาร์เหมือนกันนะครับ ร้านใหม่ก็ต้องผ่านการตรวจสอบจาก Michelin ใหม่อีกครั้งเช่นกัน โดยเชฟที่มีดาวสะสมเยอะที่สุดในโลกตอนนี้คือ Mr. Joel Robuchon ซึ่งตาคนนี้มีดาวรวมกันถึง 26 ดวงเลยทีเดียว (มีทั้งร้านไม่มีดาว, 1 ดาว 2 ดาวและ 3 ดาวคละเคล้ากันไป)
หลายท่านอาจจะสงสัยว่าเอ๊ะ แล้วทำไมเมืองไทยไม่เห็นมีร้านที่ได้ดาวมิชลิน? ก็เพราะว่าเมืองไทยมิชลินไม่ได้ทำไกด์เล่มแดงขายนั่นเอง แล้วมันจะไปมีร้านได้ดาวมิชลินได้ยังไงล่ะใช่มั้ยครับ? แต่ร้านในไทยที่ตัวเชฟมีดาวอยู่ที่ประเทศอื่นแล้วมาเปิดร้านใหม่ในไทยก็มีอยู่ 2 ร้านครับที่ผมรู้จัก ร้านแรกคือ Nahm ที่โรงแรม Metropolitan ตรงสาทร (รู้สึกจะเจ๊งไปแล้ว) ส่วนร้านที่ 2 คือ Sra Bua ตรงโรงแรม Siam Kempinsky ครับ ซึ่งเจ้าไกด์บุ๊คเนี่ยในปัจจุบันจะมีอยู่ 9 เล่ม ประกอบด้วย Paris, San Francisco, New York, Chicago, London , Kanto Area (Tokyo, Yokohama & Kamakura) , Kansai Area (Kyoto, Osaka & Kobe) , Hong Kong & Macau และ เมืองใหญ่ ๆ ในยุโรป (Main Cities of Europe)
ซึ่งจากที่ผมซื้อไกด์ของมิชลินมา 2 เมือง แม้ว่าทางมิชลินจะเคลมว่า ให้คะแนนร้านจากรสชาติอาหารล้วน ๆ ! แต่ร้านที่ผมเห็นได้ 2 หรือ 3 ดาวนั้นมีแต่ร้านหรู ๆ ระดับราคาแพง ๆ ทั้งนั้น ผมก็เลยไม่ค่อยจะเชื่อว่าเค้าให้คะแนนจากรสชาติอาหารอย่างเดียวจริง ๆ และร้านที่ได้ดาวเยอะ ๆ ส่วนใหญ่ จะเป็นร้านสัญชาติยุโรป ครับ ที่เห็นเยอะสุดก็คงเป็นสไตล์ Contemporary หรือร่วมสมัย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอาหารร่วมสมัยคืออาหารแบบไหน! ทางมิชลินจะส่งกรรมการไปกินที่ร้านแบบนิรนามแล้วก็จะมีเกณฑ์การให้คะแนนที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก ก็เลยเชื่อขนมกินได้ว่าร้านในแต่ละเมืองที่ได้ดาวนั้น มาตรฐานเดียวกันหมด แต่ก็นะ เท่าที่ผมดู ๆ อาหารจากฝรั่งเศส และ ยุโรปนี่จะได้ดาวเยอะกว่าใครเพื่อน ให้เดาก็คงเป็นเพราะตัวมิชลินเองเป็นบริษัทฝรั่งเศสด้วยก็เป็นได้
ส่วนเมืองไทย แม้ว่าเราจะไม่มีหนังสือไกด์มิชลิน แต่เราก็มีกูรูที่เป็น Food Critics นามกระเดื่องกันอยู่หลายคน เช่น เชลล์ชวนชิมโดย ม.ร.ว. ถนัดศรี ซึ่งเหมือนตอนนี้จะส่งต่อให้หมึกแดงลูกชายไปแล้ว , แม่ช้อยนางรำ โดยคุณอะไรสักอย่างจำชื่อไม่ได้ หรือแม้แต่ กูรูร้านอาหารของ Citibank ที่ผมจำชื่อไม่ได้อีกเช่นกัน แต่ก็นะ ร้านที่ได้รับรางวัลการันตีพวกนี้ในเมืองไทย กลับไม่มีการทำหนังสือ หรือรายการร้านว่ามีร้านไหน อยู่ตรงไหนบ้าง เราก็ได้แต่เดิน ๆ หากันเอาเอง ว่าวันไหนจะโชคดีเจอร้านที่มีตราพวกนี้รึเปล่า (เอ๊ะหรือเค้ามีหนังสือขายครับ?) แต่ไม่ต้องห่วงแล้วครับเพราะตอนนี้เรามีเว็บ www.BumRes.com ซึ่งผมหวังว่าจะเป็นเว็บสื่อกลางที่ทุก ๆ ท่านจะมาร่วมกันให้คะแนนร้านและจัดอันดับร้านมหาชนกัน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Tuesday, December 27, 2011
Sakura - Robinson Ratchada
Sakura Japanese Restaurant Bangkok ซากุระ ร้านอาหารญี่ปุ่น โรบินสัน รัชดา ราเมน ซูชิ บุฟเฟ่ต์ ชาบู สุกี้ (2nd Visit)
Overall Score 6/10
Taste 3/5
Ambiance 3/5
Service 3/5
Value 3/5
Sakura บุฟเฟ่ต์ชาบู ราเมน
ร้าน Sakura @ โรบินสัน รัชดา แห่งนี้ผมเคยรีวิวไว้แล้วแรก ๆ เลย ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีบุฟเฟ่ต์ ชาบู ๆ และ ราเมนยี่ห้อ Chikuhou Ichidai Ramen ซึ่งผมมาทีไรผมก็ไม่เคยกินบุฟเฟ่ต์ชาบูสักที เพราะว่าผมชอบราเมนของร้านนี้ครับ รสชาติเค้าตอนที่ผมกินเมื่อก่อนนั้นจัดได้ว่าอร่อยเยี่ยมกู๊ดกันเลยทีเดียว แต่ผมเห็นโต๊ะอื่นแทบจะไม่สั่งราเมนกันเลยครับ ส่วนใหญ่จะกินบุฟเฟ่ต์ชาบูกันหมด คนไทยกับบุฟเฟ่ต์นี่เป็นอะไรที่ถูกโฉลกกันจริง ๆ เลยว่ามั้ยครับ?
หลังจากที่ไม่ได้กินราเมนยี่ห้อ Chikuhou Ichidai Ramen มาปีกว่า วันนี้ก็เลยจัด 2 ชามเลยครับ ชามแรกคือ Ichidai Kokumiso Ramen 200 บาท มีหมูชาชู 2 แผ่นกับไข่ยางมะตูม และอีกจานเป็น Ichidai Tantan Ramen 180 บาท ไม่ีหมูชาชูแต่มีเป็นหมูสับพริกเผาแทนครับ ทั้ง 2 ชามวันนี้หลังจากที่ได้กินคำแรกไป ก็อึ้งครับเพราะรสชาติเปลี่ยนไปไม่อร่อยประทับใจเหมือนเดิม รสชาติน้ำซุปค่อนข้างเค็มอ่ะครับ แต่ทั้งเส้นและหมูชาชูและไข่ต้มยางมะตูมยังคงทำได้ดีอยู่นะครับ ผมว่าเรื่องน้ำซุปนี่มันไม่น่าจะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ เลยเพราะมันเป็นสิ่งที่แต่ละร้านมีสูตรลับเฉพาะและภูมิใจในน้ำซุปของตัวเองมาก ดังนั้นผมเดาว่าวันนี้น่าจะเกิดจากการ ทำน้ำซุปผิดแน่ ๆ (ว่าเข้าไปนั่น)
จากเดิมที่ร้าน Sakura @ โรบินสันรัชดา ที่จะเป็นร้านราเมนโปรดของผม วันนี้ก็พิสูจน์ตัวเองแล้วไม่สามารถเป็นร้านโปรดของผมได้ต่อไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะผมตระเวณกินราเมนมาทั่วทุกสารทิศแล้วรึเปล่าเลยทำให้รสชาติของร้านนี้ไม่เทพเหมือนเดิม แต่ก็นะ ความเค็ม นี่มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรจะทำให้ลิ้นผมเพี้ยนจากเมื่อปีกว่า ๆ กับตอนนี้ได้นะครับ อืมก็หวังว่า เจ้าของร้านมาอ่านเห็นแล้วจะกลับไปแก้ไข ดูเรื่อง QC หน่อยนะครับ เพราะผมเสียดายร้านราเมนอร่อย ๆ ที่หาไม่ค่อยจะได้ในกรุงเทพ ไม่อยากให้ต้องหายไปอีก 1 ร้าน!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Overall Score 6/10
Taste 3/5
Ambiance 3/5
Service 3/5
Value 3/5
Sakura บุฟเฟ่ต์ชาบู ราเมน
ร้าน Sakura @ โรบินสัน รัชดา แห่งนี้ผมเคยรีวิวไว้แล้วแรก ๆ เลย ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีบุฟเฟ่ต์ ชาบู ๆ และ ราเมนยี่ห้อ Chikuhou Ichidai Ramen ซึ่งผมมาทีไรผมก็ไม่เคยกินบุฟเฟ่ต์ชาบูสักที เพราะว่าผมชอบราเมนของร้านนี้ครับ รสชาติเค้าตอนที่ผมกินเมื่อก่อนนั้นจัดได้ว่าอร่อยเยี่ยมกู๊ดกันเลยทีเดียว แต่ผมเห็นโต๊ะอื่นแทบจะไม่สั่งราเมนกันเลยครับ ส่วนใหญ่จะกินบุฟเฟ่ต์ชาบูกันหมด คนไทยกับบุฟเฟ่ต์นี่เป็นอะไรที่ถูกโฉลกกันจริง ๆ เลยว่ามั้ยครับ?
หลังจากที่ไม่ได้กินราเมนยี่ห้อ Chikuhou Ichidai Ramen มาปีกว่า วันนี้ก็เลยจัด 2 ชามเลยครับ ชามแรกคือ Ichidai Kokumiso Ramen 200 บาท มีหมูชาชู 2 แผ่นกับไข่ยางมะตูม และอีกจานเป็น Ichidai Tantan Ramen 180 บาท ไม่ีหมูชาชูแต่มีเป็นหมูสับพริกเผาแทนครับ ทั้ง 2 ชามวันนี้หลังจากที่ได้กินคำแรกไป ก็อึ้งครับเพราะรสชาติเปลี่ยนไปไม่อร่อยประทับใจเหมือนเดิม รสชาติน้ำซุปค่อนข้างเค็มอ่ะครับ แต่ทั้งเส้นและหมูชาชูและไข่ต้มยางมะตูมยังคงทำได้ดีอยู่นะครับ ผมว่าเรื่องน้ำซุปนี่มันไม่น่าจะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ เลยเพราะมันเป็นสิ่งที่แต่ละร้านมีสูตรลับเฉพาะและภูมิใจในน้ำซุปของตัวเองมาก ดังนั้นผมเดาว่าวันนี้น่าจะเกิดจากการ ทำน้ำซุปผิดแน่ ๆ (ว่าเข้าไปนั่น)
จากเดิมที่ร้าน Sakura @ โรบินสันรัชดา ที่จะเป็นร้านราเมนโปรดของผม วันนี้ก็พิสูจน์ตัวเองแล้วไม่สามารถเป็นร้านโปรดของผมได้ต่อไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะผมตระเวณกินราเมนมาทั่วทุกสารทิศแล้วรึเปล่าเลยทำให้รสชาติของร้านนี้ไม่เทพเหมือนเดิม แต่ก็นะ ความเค็ม นี่มันก็ไม่น่าจะเป็นอะไรจะทำให้ลิ้นผมเพี้ยนจากเมื่อปีกว่า ๆ กับตอนนี้ได้นะครับ อืมก็หวังว่า เจ้าของร้านมาอ่านเห็นแล้วจะกลับไปแก้ไข ดูเรื่อง QC หน่อยนะครับ เพราะผมเสียดายร้านราเมนอร่อย ๆ ที่หาไม่ค่อยจะได้ในกรุงเทพ ไม่อยากให้ต้องหายไปอีก 1 ร้าน!
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Monday, December 26, 2011
Coco - Bar Karting & Restaurant - เลียบทางด่วน
Coco - Bar Karting & Restaurant Thai Restaurant ร้านอาหารไทย ร้านเหล้า คาราโอเกะ เลียบทางด่วนรามอินทรา
Overall Score 8/10
Taste -/5
Ambiance 4/5
Service 4/5
Value 5/5
CoCo - Bar - Thai Restaurant on BuMRes.com
ผมเคยเขียนรีวิวร้าน Coco Bar @ เลียบทางด่วนไว้เรียบร้อยแล้ว ร้านนี้เป็นร้านเหล้าที่ผมประทับใจมาก ๆ เนื่องจากอาหารอร่อยและถูก รวมถึงพนักงานก็บริการพอใช้ได้ครับ เดิมนั้นร้านตั้งอยู่ตรงซอยสหกรณ์ 1 ซอยถัดจากโลตัส รามอินทราถ้าวิ่งมาจากพระราม 9 แต่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ตรงใกล้ ๆ กับโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงเรียบร้อยแล้วครับ ร้านใหญ่ขึ้น สวยงามขึ้น (แต่ดันเป็น open air) แต่ที่จอดรถก็ยังคงหายากเช่นเคยครับ ตอนผมไป ผมต้องจอดริมถนนหน้าร้าน เสียว ๆ อยู่เหมือนกันนะครับเนี่ย
ผมก็ไม่รู้จะเขียนรีวิวอะไรได้เพราะวันที่ผม ผมแทบไม่ได้สั่งอาหารเลยสั่งแค่ เฟรนฟรายด์กับเม็ดมะม่วง ซึ่ง 2 อย่างนี้คงไม่สามารถเป็นดัชนีชี้วัดความอร่อยของร้าน ๆ นึงได้ใช่มั้ยครับ เอาเป็นว่าตัวรายการอาหารนั้น ยังคง concept เดิมเรื่องความถูกไว้ได้ครับ คือราคาจะอยู่ในช่วง 100 - 200 บาทเท่านั้น จนทำให้ผมคิดว่าร้านพวกที่อยู่ใกล้ ๆ กันที่เป็นร้านสไตล์เดียวกัน ไฉนถึงต้องตั้งราคากันมหาโหดขนาดนั้นด้วย! รายละเอียดรายการอาหารโดยรวม เชิญดูได้ที่ tab menu เช่นเคยครับ
ผมไม่แน่ใจร้านเดิมของ Coco - Bar @ เลียบทางด่วนนั้น เป็นมีห้องคาราโอเกะรึเปล่า แต่ร้านใหม่นี่มีห้องคาราโอเกะค่อนข้างเยอะเหมือนกันครับ (แต่ก็ยังไม่เยอะเท่าร้าน Waterside ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน) ค่าห้องถ้าเหมาทั้งคืนจะอยู่ที่ 1,500 บาทครับ ก็ตามที่บอกครับพวกผมไม่ได้มากินข้าวแต่มาร้องคาราโอเกะกันในวันนี้ ก็เลยขอรีวิวเครื่องดื่มแทนดีกว่าครับ เครื่องดื่มของร้าน Coco - Bar แน่นอนครับว่าถูกเช่นเดียวกันกับอาหาร ใครจะไปเชื่อครับว่า Red Label 1 litre 2 ขวดใหญ่จะราคาแค่ 1,600 บาท!! และ Mixer 30 บาทเท่านั้น ส่วนพวกเครื่องดื่มอื่น ๆ ผมดูราคามาคร่าว ๆ ก็อยู่ในขั้นถูกเช่นกันครับ
สรุปค่ำคืนของผมกับร้าน Coco - Bar @ เลียบทางด่วน ก็ประทับใจดีครับ น้อพนักงานบริการดีใช้ได้ เครื่องดื่มราคาก็ไม่แพง ห้องคาราโอเกะก็ดีพอตัวและราคาก็สมเหตุสมผล แต่มีที่เซ็งคือไม่ได้กินอาหารนี่แหละครับ คือจริง ๆ แล้วผมจะสั่งอยู่แล้วล่ะครับแต่พี่หุ้นส่วนร้านบอกว่าอย่าสั่งเลยเดี๋ยวจะมาหงุดหงิดพี่เปล่า ๆ เพราะว่าคิวอาหารเยอะมาก พวกผมก็เลยไม่สั่งกัน ซึ่งพอดีไปนั่งกินข้าวกันที่ Aston Beer Fest ตรง CDC มาแล้วก็เลย ไม่มีปัญหาอะไรมากครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Friday, December 23, 2011
Saffron Banyan Tree Hotel, Bangkok - Thai Restaurant
Saffron - Thai Contemporary Restaurant Banyan Tree Hotel Bangkok แซฟฟรอน ร้านอาหารไทย โรงแรม บันยันทรี สาทร
Overall Score 8/10
Taste 4/5
Ambiance 5/5
Service 5/5
Value 4/5
Saffron Thai Restaurant on BuMRes.com
Saffron เป็นชื่อเครื่องเทศชนิดนึงมาจากดอก saffron crocus flowers หรือชื่อไทย ๆ ว่าหญ้าฝรั่น ครับ ซึ่งเจ้าเครื่องเทศนี้มีราคาแพงมาก ๆ (ดอก 75,000 ดอกถึงจะได้เครื่องเทศ 1 ปอนด์) และก็ถ้าเป็นสารสกัดนี่ก็จะยิ่งแพงมโหฬารเข้าไปใหญ่ครับ (เหมือนจะใช้ย้อมสีพวก acid fast bacteria นะครับสารนี้) เนื่องจากความ premium ของเครื่องเทศนี้ จึงกลายเป็นมาเป็นชื่อร้านอาหารไทย flagship ของโรงแรม Banyan Tree สาทร นั่นเองครับ
ร้าน Saffron ตั้งอยู่ที่ชั้น 52 ของโรงแรมครับ ห้องอาหารของโรงแรม Banyan Tree นี้นอกจากห้องร่มไทรที่จะอยู่ชั้นใต้ดิน แล้ว ห้องอาหารอื่น ๆ นั้นจะอยู่ชั้น 50 กว่าหมดเลยครับ ไล่เรียงไปตั้งแต่ Saffron, Tei Hei, Bai Yun และ Vertigo (ดาดฟ้า) ตามลำดับครับ ซึ่งห้องอาหารทุกห้องของโรงแรมนี้ผมมากินหมดแล้วครับยกเว้น Vertigo ที่ผมรู้สึกว่ามันแพงไป ห้องอาหาร Saffron นี่จะคล้าย ๆ Tei Hei ครับคือมีขนาดเล็กหน่อย น่าจะจุคนได้อย่างมากก็สัก 40 - 50 คน แต่ตัวร้านตกแต่งสวยงามสมกับโรงแรม 5 ดาวครับ
หลังจากที่พนักงานพาผมและแฟนไปนั่งที่โต๊ะสักพัก ก็มีพนักงานเอาน้ำร้อนมาให้ล้างมือครับ ล้างแบบเทน้ำอุ่น ๆ ลงถ้วยชามแบบดูเป็นเจ้าขุนมูลนายมาก แล้ว complimentary 2 จานแรกก็ตามมาติด ๆ จานแรกเป็น ข้าวเกรียบ หรือแผ่นแป้งอะไรสักอย่างกับข้าวตัง กินคู่กับน้ำพริกหนุ่ม, หลน และก็น้ำพริกอ่องครับ ซึ่งคุณภาพและรสชาตินั้นถือว่าผ่านเกณฑ์ของอาหารกินเล่นแบบไทย ๆ สบาย ๆ ครับ ส่วนของกินเล่นอีกจานเป็น หอยเชลล์ใส่เครื่องพริกแกง ซึ่งอันนี้ค่อนข้าง fail หน่อยตรงที่หอยตัวเล็กและพริกแกงไม่มีความเผ็ดของพริกแกงเลยครับ
แล้ว Appetizer จริง ๆ ก็ตามมาครับ นั่นก็คือ ของว่างรวม (A Selection of Freshly Prepared Thai Appetizers for Two 770 บาท) ประกอบด้วย ไก่สะเต๊ะ, กุ้งพันข้าวเกรียบ, ปอเปี๊ยะกุ้งสด, กุ้งทอดกับใบพลูและก็ยำอะไรอีกสักอย่างครับผมไม่แน่ใจ ซึ่งทั้ง 5 อย่างนี้ มีไก่สะเต๊ะ กับกุ้งทอดห่อกับใบพลูและปอเปี๊ยะที่ผมพูดได้เต็มปากว่าอร่อย(มาก) ครับ ส่วนยำหัวปลีกุ้งมั้งกับเส้นข้าวเกรียบทอดพันกุ้ง ผมว่าค่อนข้างธรรมดาไปหน่อย แต่ก็จัดได้ว่าผ่านมาตรฐานอยู่ดี
พอกิน appetizer เสร็จ ทางร้านมี sorbet ฝรั่งรสชาติเยี่ยมมาให้กินลบกลิ่นและรสชาติเพื่อรอ Main Dish กันด้วย เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอร้านอาหารไทยที่ทำแบบนี้แหล่ะครับ (เอ๊ะจะว่าไป Sra Bua ก็ทำนะครับ) แล้ว Main 3 อย่างของพวกเราก็ตามมาครับประกอบด้วย แกงเผ็ดเป็ดย่าง, ปลาสามรส และข้าวผัด Saffron โดยอย่างแรกกับอย่างหลังจะเป็น Signature ของร้านครับ แกงเผ็ดเป็ดย่างของร้าน Saffron @ Banyan Tree, Bangkok นี่เป็นอะไรที่ผมประทับใจมาก ๆ ครับ คือนอกจากแกงจะปรุงมาได้อร่อยได้มาตรฐาน เผ็ดกำลังดี เนื้อเป็ดก็นำส่วนอกมาทำ ก็เลยนุ่ม ๆ แต่ก็มีหนังติดมาให้มัน ๆ เล็กน้อยแล้ว ทางร้านใส่ผลไม้ลงไปทั้งในแกงและทอดมาแบบเล็กน้อยให้กินเป็นเครื่องเคียงอีกต่างหาก โดยผลไม้มี สับปะรด, ลิ้นจี่, องุ่น 3 อย่างซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามันจะอร่อยเข้ากับแกงเผ็ดเป็ดย่างอย่างสุด ๆ !!
ส่วนอีก 2 อย่างปลาสามรสกับข้าวผัด Saffron นั้นผมถือว่าค่อนข้างธรรมดาไปนิดครับ สามารถหากินได้ตามร้านอาหารไทยทั่ว ๆ ไปได้สบาย เลยไม่มีอะไรจะต้องพูดถึงมาก นอกจากปริมาณของ ข้าวผัด (500 บาท) ที่ให้มาเยอะมาก ๆ ครับ พวกปลาหมึกกับกุ้งก็ให้มาค่อนข้างเยอะเช่นกัน อ้อ ข้าวก็ทำมาจากข้าวแซฟฟรอนนะครับ ซึ่งจากที่ผมกิน ๆ แล้วผมชอบข้าวหอมมะลิมากกว่า -*- หลังจากที่ประทับใจกับอาหาร (ส่วนใหญ่) ผมกับแฟนเลยตัดสินใจสั่งข้าวเหนียวมะม่วงซึ่งเป็น Signature ของทางร้านมาอีกอย่างครับ โดยทางร้านจะทำต่างจากร้านทั่วไปเล็กน้อยคือจะเอาข้าวเหนียวไปห่อเป็นปอเปี๊ยะแล้วเอาไปทอดพอให้กรอบ ๆ แล้วเสิร์ฟพร้อมมะม่วงกับไอศครีมกะทิสดครับ ซึ่ง.. ทั้ง 3 อย่างที่ยกมาในจาน ผมอยากจะบอกว่า อร่อยโฮกหมดเลย! โดยเฉพาะไอศครีมกะทิสด สด มัน หวาน อร่อยมาก ส่วนข้าวเหนียวแบบแหวกแนวนี้ก็เข้ากันดีกับมะม่วงสุก สด ๆ ของทางร้านครับ
สรุปมื้อโรแมนติคจัดหนักของผมที่ Saffron @ Banyan Tree Hotel, Bangkok แห่งนี้ก็ประทับใจดีครับ ได้เห็นอาหารไทยที่ถูกนำมาเสิร์ฟในแบบพิถีพิถันเหมือนอาหารยุโรป ได้รับการบริการในระดับเจ้าขุนมูลนายในวังสมัยก่อน และได้ลิ้มรสอาหารไทยในแบบประยุกต์ fusion ๆ เล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่ประทับใจดีทีเดียวเลยล่ะครับ ใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาโรแมนติคกับอาหารไทย หรืออยากพาคู่รักต่างชาติมาเดท ร้าน Saffron แห่งนี้ผมว่าเป็นทางเลือกที่น่าจะมัดใจเขาหรือเธอได้ดีเลยล่ะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Overall Score 8/10
Taste 4/5
Ambiance 5/5
Service 5/5
Value 4/5
Saffron Thai Restaurant on BuMRes.com
Saffron เป็นชื่อเครื่องเทศชนิดนึงมาจากดอก saffron crocus flowers หรือชื่อไทย ๆ ว่าหญ้าฝรั่น ครับ ซึ่งเจ้าเครื่องเทศนี้มีราคาแพงมาก ๆ (ดอก 75,000 ดอกถึงจะได้เครื่องเทศ 1 ปอนด์) และก็ถ้าเป็นสารสกัดนี่ก็จะยิ่งแพงมโหฬารเข้าไปใหญ่ครับ (เหมือนจะใช้ย้อมสีพวก acid fast bacteria นะครับสารนี้) เนื่องจากความ premium ของเครื่องเทศนี้ จึงกลายเป็นมาเป็นชื่อร้านอาหารไทย flagship ของโรงแรม Banyan Tree สาทร นั่นเองครับ
ร้าน Saffron ตั้งอยู่ที่ชั้น 52 ของโรงแรมครับ ห้องอาหารของโรงแรม Banyan Tree นี้นอกจากห้องร่มไทรที่จะอยู่ชั้นใต้ดิน แล้ว ห้องอาหารอื่น ๆ นั้นจะอยู่ชั้น 50 กว่าหมดเลยครับ ไล่เรียงไปตั้งแต่ Saffron, Tei Hei, Bai Yun และ Vertigo (ดาดฟ้า) ตามลำดับครับ ซึ่งห้องอาหารทุกห้องของโรงแรมนี้ผมมากินหมดแล้วครับยกเว้น Vertigo ที่ผมรู้สึกว่ามันแพงไป ห้องอาหาร Saffron นี่จะคล้าย ๆ Tei Hei ครับคือมีขนาดเล็กหน่อย น่าจะจุคนได้อย่างมากก็สัก 40 - 50 คน แต่ตัวร้านตกแต่งสวยงามสมกับโรงแรม 5 ดาวครับ
หลังจากที่พนักงานพาผมและแฟนไปนั่งที่โต๊ะสักพัก ก็มีพนักงานเอาน้ำร้อนมาให้ล้างมือครับ ล้างแบบเทน้ำอุ่น ๆ ลงถ้วยชามแบบดูเป็นเจ้าขุนมูลนายมาก แล้ว complimentary 2 จานแรกก็ตามมาติด ๆ จานแรกเป็น ข้าวเกรียบ หรือแผ่นแป้งอะไรสักอย่างกับข้าวตัง กินคู่กับน้ำพริกหนุ่ม, หลน และก็น้ำพริกอ่องครับ ซึ่งคุณภาพและรสชาตินั้นถือว่าผ่านเกณฑ์ของอาหารกินเล่นแบบไทย ๆ สบาย ๆ ครับ ส่วนของกินเล่นอีกจานเป็น หอยเชลล์ใส่เครื่องพริกแกง ซึ่งอันนี้ค่อนข้าง fail หน่อยตรงที่หอยตัวเล็กและพริกแกงไม่มีความเผ็ดของพริกแกงเลยครับ
แล้ว Appetizer จริง ๆ ก็ตามมาครับ นั่นก็คือ ของว่างรวม (A Selection of Freshly Prepared Thai Appetizers for Two 770 บาท) ประกอบด้วย ไก่สะเต๊ะ, กุ้งพันข้าวเกรียบ, ปอเปี๊ยะกุ้งสด, กุ้งทอดกับใบพลูและก็ยำอะไรอีกสักอย่างครับผมไม่แน่ใจ ซึ่งทั้ง 5 อย่างนี้ มีไก่สะเต๊ะ กับกุ้งทอดห่อกับใบพลูและปอเปี๊ยะที่ผมพูดได้เต็มปากว่าอร่อย(มาก) ครับ ส่วนยำหัวปลีกุ้งมั้งกับเส้นข้าวเกรียบทอดพันกุ้ง ผมว่าค่อนข้างธรรมดาไปหน่อย แต่ก็จัดได้ว่าผ่านมาตรฐานอยู่ดี
พอกิน appetizer เสร็จ ทางร้านมี sorbet ฝรั่งรสชาติเยี่ยมมาให้กินลบกลิ่นและรสชาติเพื่อรอ Main Dish กันด้วย เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอร้านอาหารไทยที่ทำแบบนี้แหล่ะครับ (เอ๊ะจะว่าไป Sra Bua ก็ทำนะครับ) แล้ว Main 3 อย่างของพวกเราก็ตามมาครับประกอบด้วย แกงเผ็ดเป็ดย่าง, ปลาสามรส และข้าวผัด Saffron โดยอย่างแรกกับอย่างหลังจะเป็น Signature ของร้านครับ แกงเผ็ดเป็ดย่างของร้าน Saffron @ Banyan Tree, Bangkok นี่เป็นอะไรที่ผมประทับใจมาก ๆ ครับ คือนอกจากแกงจะปรุงมาได้อร่อยได้มาตรฐาน เผ็ดกำลังดี เนื้อเป็ดก็นำส่วนอกมาทำ ก็เลยนุ่ม ๆ แต่ก็มีหนังติดมาให้มัน ๆ เล็กน้อยแล้ว ทางร้านใส่ผลไม้ลงไปทั้งในแกงและทอดมาแบบเล็กน้อยให้กินเป็นเครื่องเคียงอีกต่างหาก โดยผลไม้มี สับปะรด, ลิ้นจี่, องุ่น 3 อย่างซึ่งไม่น่าเชื่อว่ามันจะอร่อยเข้ากับแกงเผ็ดเป็ดย่างอย่างสุด ๆ !!
ส่วนอีก 2 อย่างปลาสามรสกับข้าวผัด Saffron นั้นผมถือว่าค่อนข้างธรรมดาไปนิดครับ สามารถหากินได้ตามร้านอาหารไทยทั่ว ๆ ไปได้สบาย เลยไม่มีอะไรจะต้องพูดถึงมาก นอกจากปริมาณของ ข้าวผัด (500 บาท) ที่ให้มาเยอะมาก ๆ ครับ พวกปลาหมึกกับกุ้งก็ให้มาค่อนข้างเยอะเช่นกัน อ้อ ข้าวก็ทำมาจากข้าวแซฟฟรอนนะครับ ซึ่งจากที่ผมกิน ๆ แล้วผมชอบข้าวหอมมะลิมากกว่า -*- หลังจากที่ประทับใจกับอาหาร (ส่วนใหญ่) ผมกับแฟนเลยตัดสินใจสั่งข้าวเหนียวมะม่วงซึ่งเป็น Signature ของทางร้านมาอีกอย่างครับ โดยทางร้านจะทำต่างจากร้านทั่วไปเล็กน้อยคือจะเอาข้าวเหนียวไปห่อเป็นปอเปี๊ยะแล้วเอาไปทอดพอให้กรอบ ๆ แล้วเสิร์ฟพร้อมมะม่วงกับไอศครีมกะทิสดครับ ซึ่ง.. ทั้ง 3 อย่างที่ยกมาในจาน ผมอยากจะบอกว่า อร่อยโฮกหมดเลย! โดยเฉพาะไอศครีมกะทิสด สด มัน หวาน อร่อยมาก ส่วนข้าวเหนียวแบบแหวกแนวนี้ก็เข้ากันดีกับมะม่วงสุก สด ๆ ของทางร้านครับ
สรุปมื้อโรแมนติคจัดหนักของผมที่ Saffron @ Banyan Tree Hotel, Bangkok แห่งนี้ก็ประทับใจดีครับ ได้เห็นอาหารไทยที่ถูกนำมาเสิร์ฟในแบบพิถีพิถันเหมือนอาหารยุโรป ได้รับการบริการในระดับเจ้าขุนมูลนายในวังสมัยก่อน และได้ลิ้มรสอาหารไทยในแบบประยุกต์ fusion ๆ เล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นมื้ออาหารที่ประทับใจดีทีเดียวเลยล่ะครับ ใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาโรแมนติคกับอาหารไทย หรืออยากพาคู่รักต่างชาติมาเดท ร้าน Saffron แห่งนี้ผมว่าเป็นทางเลือกที่น่าจะมัดใจเขาหรือเธอได้ดีเลยล่ะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Subscribe to:
Posts (Atom)