UCC Oriental Store - ร้านาอาหารญี่ปุ่น อาหารตะวันตก Gateway Ekamai BTS เอกมัย ร้านกาแฟ กาแฟสด
Overall Score 7/10
Taste 3.5/5
Ambiance 3.5/5
Service 4/5
Value 4/5
The UCC Oriental Store - Japanese-Western Restaurant on BumRes.com (For more pictures menu and info)
แบรนด์ UCC ในบ้านเรานี่ก็เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างจะเก่าแก่ และคนรุ่น ๆ ผม (เกือบ ๆ 30) ก็น่าจะคุ้นเคยกันพอสมควร ซึ่งแบรนด์นี้ถ้าเอาจริง ๆ ไปที่ญี่ปุ่นก็จะเจอกาแฟของเขาวางขายกันอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมบ้านเรา กาแฟชนิดนี้ถึงไม่ทำการตลาด ไม่มีวางขายเป็นกระป๋อง ๆ หรือขายเป็นเมล็ดกาแฟสักเท่าไรเลย แต่จะมีตัวร้านอาหารแบบเป็นล่ำเป็นสันที่เคยตั้งอยู่ที่ Siam Center (แต่ปิดไปแล้วหลังจากห้างปรับโฉมใหม่) และก็มีร้านกาแฟเล็ก ๆ ตรง Kinokuniya อีกที่นึงที่ผมรู้จัก สำหรับร้านในรีวิวฉบับนี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านของเครือ UCC ซึ่งตัว concept ของอาหารและบรรยกาศของทางร้านนั้นก็แตกต่างกับ 2 ร้านที่ว่ามาพอสมควร กับร้าน The UCC Oriental @ ชัน M ห้าง Gateway Ekamai แห่งนี้
ร้านนี้เป็นร้านที่ค่อนข้างจะเด่นคืออยู่ตรงทางเข้าจากรถไฟฟ้า BTS เลย คือเอาจริง ๆ มันอาจจะเด่นเกินไปด้วยซ้ำ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่ผมเดินเข้ามาทางนี้ ผมก็จะเดินผ่านร้านนี้ไป แล้วไปเลือก ๆ เอาร้านที่อยู่ด้านในแทน ซึ่งผมเชื่อว่าก็น่าจะมีหลายคนที่เป็นแบบผมแบบเดินผ่านไปเสร็จ เดินวน ๆ ดูร้านอื่น ๆ แล้วก็เลือกร้านอื่นกินแทน ไม่ได้เดินมาข้างนอกใหม่ ร้านตกแต่งแบบโปร่งโล่งสบาย ด้วยสไตล์ประมาณ Europe ยุคเก่าเล็กน้อย (แต่ไม่ถึงกับเป็น หลุยส์ ๆ อะไรแบบนั้น) วันที่ผมไป ลูกค้าค่อนข้างเยอะ โต๊ะแทบจะเต็มหมดทุกโต๊ะ และเป็นลูกค้าญี่ปุ่นซะครึ่งนึงเลยด้วย อืม แปลกดี หรือไม่แปลกดี เพราะคนญี่ปุ่นก็ดูชอบกินอะไรที่เป็นแบรนด์ประเทศตัวเองอยู่ล่ะ
อาหารของร้าน The UCC Oriental @ Gateway Ekamai แห่งนี้ก็จะเป็นอาหารญี่ปุ่นแนวลูกครึ่ง ลูกผสมระหว่างอาหารญี่ปุ่นกับอาหารตะวันตก แบบทุกรายการทุกเมนูเลย (แม้กระทั่งตัวของหวาน) คือเอาจริง ๆ อาหารญี่ปุ่นหลาย ๆ อย่างในยุคปัจจุบันก็ได้รับวัฒนธรรมของตะวันตกมาผสมค่อนข้างเยอะ แต่แค่แบบพวกเรา (หรือคนญี่ปุ่นเอง) ก็คุ้นเคยกับอาหารพวกนี้ไปจนคิดว่ามันเป็นอาหารญี่ปุ่นไปแล้ว เช่น ข้าวห่อไข่, หมูชุบแป้งทอด (tonkatsu), Hamburg หรือ ข้าวแกงกะหรี่ อะไรพวกนี้ (คนญี่ปุ่นเรียกว่า Yoshoku) ซึ่งก็เป็นอาหารสไตล์ที่มีขายตามบ้านเราหรือที่ญี่ปุ่นกันอย่างดาษดื่น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่แค่ร้านนี้พยายามจะรวบรวมอาหารเหล่านี้มาไว้ในเมนูเพื่อเป็น concept ของทางร้านก็แค่นั้น
จุดเด่นอีกอย่างของร้านนี้ก็คือตัวกาแฟ ที่เหมือนทางร้านจะ promote ไว้มากว่าเป็นกาแฟปรุงสด, คั่วสด มีการ siphon โน่นนี่ ซึ่งพอดีผมเองก็ไม่ได้ลองเลยสักแก้ว ก็เลยไม่รู้ว่ามันดีสมกับคำโฆษณารึเปล่า (แต่เคยกินที่ UCC - Kinokuniya @ Siam Paragon ก็อร่อยในระดับนึง ไม่ได้มากมายอะไร ร้านนี้ก็อาจจะดีกว่าเล็กน้อย เพราะเห็นเครื่องไม้เครื่องมือเห็นเมล็ดกาแฟเยอะแยะ (ล่ะมั้ง) )
มื้อนี้เริ่มต้นด้วย Omurice & Salad Set (เซ็ตโอมูไรซ์พร้อมสลัด - เซ็ตโอมูไรซ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองโกเบ เสิร์ฟพร้อมสลัดและซุป เลือกเมนูโอมูไรซ์ที่ท่านชื่นชอบได้ (ไก่ หมู หรือ เห็ด) - 230 บาท) ก็เป็นข้าวห่อไข่ที่ราดซอส demi-glace มา ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากความใหญ่โตของมัน (ดูรูปประกอบเทียบกับ iPhone นะครับ) รสชาติกลาง ๆ ธรรมดา ๆ ร้าน Omu ที่อยู่ที่ Parklane เอกมัยที่ผมเคยกินมาอร่อยกว่าแบบไม่ต้องสงสัย คือเจ้า Omurice ของร้านนี้ ไข่มันยังไม่ได้เนียน ไม่ได้แบบกึ่งดิบกึ่งสุกพอ , ซอสก็ยังไม่ค่อยโดน และข้าวก็ยังไม่โดนอีกเช่นกัน อาหารใน set นี้ก็มีตัวซุปแถมมาให้ด้วย พวกผมก็เลือกเป็นซุปข้าวโพดไป ก็อร่อยกลาง ๆ ดีกว่าพวกซุปข้าวโพดกระป๋องนิดนึง ตามนั้น
อาหารอย่างที่ 2 คือตัว Macaroni Minestrone Soup (ซุปมักกะโรนีเห็ด - ซุปเพื่อสุขภาพทำจากผักนานาชนิดและเพิ่มความอร่อยด้วยมักกะโรนี - 70 บาท) ก็เป็นซุปผักซอสมะเขือเทศที่ค่อนข้างจะมาตรฐาน ดูไม่ได้มีความเป็นญี่ปุ่นสอดแทรกแต่อย่างใด รสชาติก็ธรรมดา ๆ ครับ กินแล้วไม่มีรสชาติอะไรโดดเด่นออกมาสักเท่าไร
อาหารอย่างที่ 3 เป็น Beef Lasagna (ลาซันย่าเนื้อ - ลาซันย่าของร้านเราประกอบด้วยซอส 3 ชนิดทั้ง brown sauce, white sauce , tomato sauce ทำให้ท่านได้เพลิดเพลินกับความอร่อยที่ลงตัว -180 บาท) อันนี้ค่อนข้างอร่อยเลยล่ะครับ ตัวลาซานญ่าอบมาได้แบบดีมาก ๆ ผิวด้านนอกแบบแข็ง ๆ เกรียม ๆ กำลังดี และด้านในก็แบบชีสเยิ้ม ๆ เละ ๆ และให้เนื้อมาเยอะดี ทีเด็ดของจานนี้คงเป็นตัวซอสที่แบบเป็นซอสผสม 3 ชนิด ซึ่งมันเป็นรสชาติที่ให้ความเป็นญี่ปุ่นดี ไม่เคยกินในลาซานญ่าที่ไหนมาก่อน และจานนี้ให้เยอะดีด้วยครับ เด็ดดวงเลยทีเด็ด
แต่ทีเด็ดที่สุดในมื้อนี้นั้นกลับกลายเป็นตัวของหวานครับ กับ Claire Berry (แคลร์ เบอรี่ - เบอรี่รสเปรี้ยวและครีมเหนียวนุ่มทำให้แคลร์มีรสชาติด้วยคลึงเค้ก - 130 บาท) เจ้าจานนี้เป็นลูกผสมระหว่าง เครป กับ waffle ออกมาเป็น Claire (!?) จานนี้หน้าตาน่ากิน และรสชาติก็ดีมาก ๆ เจ้าแป้งที่ทำมานี่มันแบบได้ความเป็นเครฟและวัฟเฟิลอย่างละครึ่งจริง ๆ นุ่ม ๆ แต่ก็แอบมีความกรอบเล็กน้อย อร่อยดีมาก ส่วนตัวไอศครีมและผลไม้ที่วาง ๆ มาก็รสชาติดี ช่วยเพิ่มรสชาติตัวแป้งเป็นอย่างดี ราคาไม่แพง หน้าตางดงาม และรสชาติดีแบบนี้ น่าสนมากินเรื่อย ๆ เลยล่ะ
สรุป ร้าน The UCC Oriental Store @ Gateway Ekamai นี่ก็เป็นร้านอาหารสไตล์ที่หากินไม่ค่อยได้ในประเทศไทยสักเท่าไร เมื่อคิดว่ามันเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ถ้าคิดว่าเป็นร้านอาหารตะวันตก อาหารยุโรปแล้ว ร้านนี้ก็อาจจะธรรมดา ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย ร้านนี้จุดเด่นสำหรับผมนั้นคงเป็นเรื่องราคาที่เป็นมิตรต่อกระเป๋าตังค์มาก (ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าเป็นร้านในห้าง) และตัวพนักงานที่บริการดีเกินกว่าจะเป็นร้านในห้าง ส่วนตัวรสชาติอาหาร ผมกับแฟนยังไม่ค่อยโดนสักเท่าไร โอเค อร่อย ในระดับเอามาเปิดร้านขายได้ แต่ก็นะ ร้านเฉพาะทาง ๆ ที่ขายมีเจ้าเมนูลูกผสมพวกนี้ขาย (หรือร้านอิตาเลียนแท้ ๆ, omurice แท้ ๆ) ล้วนทำได้ดีกว่าร้านนี้แทบทั้งสิ้น ก็ถ้าใครแบบเดินทางรสไฟฟ้าบ่อย และเบื่อ ๆ กับอาหารญี่ปุ่นและอาหารตะวันตกแบบธรรมดา ๆ แล้วอยากมาลองกินอาหารลูกครึ่งของร้านนี้ ก็เป็นอะไรที่น่ามาลองเหมือนกันนะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Bangkok is renowned for its gourmet food at reasonably low prices. This blog covers a wide range of restaurants in Bangkok and occasionally in other provinces (Chiang Mai, Pattaya, Phuket). From street vendors to luxurious restaurants - From mouthwatering dishes to eye widening meals, all can be found here. This blog will take you to experience the exotic food you rarely find in your area. Feel free to leave comments or suggestion. Please visit http://www.bumres.com for more information.
Tuesday, April 30, 2013
Monday, April 29, 2013
Lord Jim's Bangkok Review
Lord Jim's - Western Seafood Specialize Restaurant at Mandarin Oriental, Bangkok
ลอร์ด จิม - ร้านอาหารตะวันตก อาหารทะเล โรแมนติค แมนดาริน โอเร็นเทล กรุงเทพ
Overall Score 9/10
Taste 4.5/5
Ambiance 5/5
Service 5/5
Value 3/5
Lord Jim's - Modern Seafood Restaurant on BumRes.com (For more pictures menu and info)
ร้าน Lord Jim ณ โรงแรม Mandarin Oriental Bangkok ในรีวิวฉบับนี้ ผมจำได้ว่ามีช่วงนึงร้านนี้อยู่ในกระแสมาก ๆ คือเหมือนจะมีรีวิวในเว็บพันทิบ แล้วก็เกิดกระแสการไปกินตามกัน แต่เหมือนช่วงหลัง ๆ กระแสของร้านนี้ก็จะซา ๆ ลงไป เพราะเริ่มมีคนไปบ่นเรื่องคุณภาพของอาหารและการบริการ และช่วงหลัง ๆ นี้ บุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติดี ๆ ตามโรงแรม 5 ดาวก็มีกันเยอะมากจนเหมือนกับไม่ต้องมากินแต่ Lord Jim นี่เหมือนแต่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม รีวิวในฉบับนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมื้อเที่ยงที่เป็น บุฟเฟ่ต์นานาชาติแต่อย่างใด เพราะร้าน Lord Jim แห่งนี้ มื้อเที่ยงกับมื้อเย็นจะเสิร์ฟอาหารแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลย โดยตอนเย็น ทางร้านจะผันตัวเองเป็น European (emphasis on) Seafood Restaurant และเสิร์ฟแบบ a la carte แทน ซึ่งเจ้ารีวิวมื้อเย็นของร้าน Lord Jim นี่ผมก็ไม่ค่อยเห็นสักเท่าไร ไม่รู้ว่าเพราะอะไร (กลับเห็นของร้าน Le Normandie ที่แพงกว่า หรูกว่า เยอะกว่าแทน -*-)
ร้าน Lord Jim - Mandarin Oriental Bangkok แห่งนี้ ก็เป็น 1 ในกี่ห้องอาหารก็ไม่รู้ของทางโรงแรม (รู้สึกจะ 6 ห้องอาหารนะ) ที่อยู่คู่ฟ้าเมืองไทยมานานแล้ว ร้านนั้นจะตกแต่งแนว .. แนวอะไรดีหว่า แนว Contemporary ละกัน สวยงาม ๆ และร้านมีขนาดไม่ค่อยใหญ่สักเท่าไร แต่ถึงกระนั้นถ้าไปมื้อเย็นก็เหมือนจะไม่ต้องจองโต๊ะก็น่าจะโอเค เพราะอย่างตอนที่ผมไปก็มีแขก occupy กันอยู่แค่สัก 50% เท่านั้นเอง ร้านนี้สิ่งแรกที่สะดุดเลยก็คือทางเดินเข้าร้านครับ อลังการงานสร้างมาก ทำเป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ ยาว ๆ แล้วก็จะเดินผ่านส่วนครัวที่เป็นครัวเปิดเล็กน้อย ให้เราเห็นการทำงานบางส่วนของครัว แล้วถึงจะไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนที่โต๊ะก็จะมีโต๊ะที่ติดกระจก มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบ Panorama กับโต๊ะไม่ติดกระจกที่ได้บรรยากาสโก้ ๆ หรู ๆ ของทางร้านไปแทน
การบริการของพนักงานโรงแรม Mandarin Oriental นี่ก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือชากันอยู่แล้วว่า สุดยอดในสามโลกขนาดไหน ซึ่งตัวผมเองก็เคยได้รับการบริการดี ๆ มาจากห้อง Le Normandie อยู่ครั้งนึง มางวดนี้ก็แอบคาดหวังในการบริการไว้พอสมควร ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดมากครับ ดีเลิศประเสิรฐศรีสุด ๆ คือแบบพนักงานเค้าจะไม่ได้เคร่ง ๆ เครียด ๆ ขรึม ๆ เหมือนโรงแรมอื่น ๆ แต่จะมีพูดจาแบบเป็นกันเอง ประหนึ่งว่าเราเป็นเพื่อนด้วยเล็กน้อย (แต่ไม่ถึงกับมาเล่นหัวกัน) คือแบบเป็น การบริการที่ไม่ค่อยพบเจอจากโรงแรมหรู ๆ อื่น ๆ น่ะครับ ส่วนการบริการอื่น ๆ ของพนักงานนั้นก็ไม่มีที่ติอยู่แล้ว รู้เรื่องอาหารเป็นอย่างดี บรรยายอาหารแต่ละจานเป็นฉาก ๆ , เปลี่ยนจานให้เราแบบผมกลัวน้ำจะหมดโลกมาก (เปลืองจากและช้อนส้อมมาก) และคอยดูอาหารว่าเรากินถึงไหนและนำอาหาร course ต่อไปมาเสิร์ฟให้อย่างลงตัวทางด้านเวลา อืม ไร้ที่ติครับ
อาหารของร้าน Lord Jim ในมื้อเย็นนี้ก็จะเน้นเป็น Modern (contemporary) Seafood European Dish ตามที่ว่าไปครับจะเป็นพวกอาหารจากทะเลเอามาทำโน่นทำนี่ตามสไตล์ยุโรป มีทั้งแบบที่ล้ำ ๆ ตกแต่งจานสวยงาม และแบบธรรมดา ๆ ดิบ ๆ แค่เอาไปย่าง ไปลวก หรือเอาไปเผาเกลือ แล้วก็เอามาขายก็มี (ไอ้แบบดิบ ๆ นี่แหละครับที่แพงมาก คือแบบพวกฝรั่ง คนต่างชาติคงไม่ค่อยได้กินกัน แต่พี่ไทยเรา ถ้าจะให้เสียตังค์ 3,900++ กินอาหารทะเลเผา ไปกินตามชายทะเล อาจจะเหมาได้ทั้งกระชังครับ ฮ่า ๆ) ราคาอาหารก็แพงตามประสาห้องอาหารหรู ๆ ทั่วไป ถ้ามากินกันจริงจังก็คงคนละประมาณ 2,000 - 3,000 โดยประมาณครับ (ถ้าสั่งไวน์และเครื่องดื่มไม่แพงด้วยนะ) สิ่งที่แปลกใจสำหรับผมคือ ทางห้องอาหาร Lord Jim แห่งนี้มีบริการ อาหารญี่ปุ่นพวก Sushi, Sashimi ด้วย ซึ่งแฟนผมที่ไปด้วยกันบอกว่าเจ้า ปลาดิบของร้านนี้ ในไลน์บุฟเฟ่ต์ตอนเที่ยงนั้นค่อนข้างดีเลย ก็เลยกลายเป็นว่าผมก็เลยสั่ง Sushi มาลอง set นึงด้วย อืม
มื้อนี้จริง ๆ อยากจะเขียนถึง cocktail ก่อนละกันครับ เพราะมื้อนี้ จริง ๆ แล้วมี cocktail แถมฟรีหลายแก้ว และก็มีอาหารแถมฟรี 2-3 จาน เนื่องจากว่าแฟนผมเค้ารู้จักกับแม่ครัวฝ่าย Pantry ของที่นี่อยู่ก็เลยได้จัดของฟรีมาพอสมควร cocktail ในมื้อนี้พวกผมได้กันไปประมาณ 7 อย่าง ส่วนอาหารก็จะมีประมาณ 8 อย่างครับ ค่อนข้างจัดหนักกันเลยทีเดียวมื้อนี้
เครื่องดื่ม
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
ลอร์ด จิม - ร้านอาหารตะวันตก อาหารทะเล โรแมนติค แมนดาริน โอเร็นเทล กรุงเทพ
Overall Score 9/10
Taste 4.5/5
Ambiance 5/5
Service 5/5
Value 3/5
Lord Jim's - Modern Seafood Restaurant on BumRes.com (For more pictures menu and info)
ร้าน Lord Jim ณ โรงแรม Mandarin Oriental Bangkok ในรีวิวฉบับนี้ ผมจำได้ว่ามีช่วงนึงร้านนี้อยู่ในกระแสมาก ๆ คือเหมือนจะมีรีวิวในเว็บพันทิบ แล้วก็เกิดกระแสการไปกินตามกัน แต่เหมือนช่วงหลัง ๆ กระแสของร้านนี้ก็จะซา ๆ ลงไป เพราะเริ่มมีคนไปบ่นเรื่องคุณภาพของอาหารและการบริการ และช่วงหลัง ๆ นี้ บุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติดี ๆ ตามโรงแรม 5 ดาวก็มีกันเยอะมากจนเหมือนกับไม่ต้องมากินแต่ Lord Jim นี่เหมือนแต่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม รีวิวในฉบับนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมื้อเที่ยงที่เป็น บุฟเฟ่ต์นานาชาติแต่อย่างใด เพราะร้าน Lord Jim แห่งนี้ มื้อเที่ยงกับมื้อเย็นจะเสิร์ฟอาหารแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลย โดยตอนเย็น ทางร้านจะผันตัวเองเป็น European (emphasis on) Seafood Restaurant และเสิร์ฟแบบ a la carte แทน ซึ่งเจ้ารีวิวมื้อเย็นของร้าน Lord Jim นี่ผมก็ไม่ค่อยเห็นสักเท่าไร ไม่รู้ว่าเพราะอะไร (กลับเห็นของร้าน Le Normandie ที่แพงกว่า หรูกว่า เยอะกว่าแทน -*-)
ร้าน Lord Jim - Mandarin Oriental Bangkok แห่งนี้ ก็เป็น 1 ในกี่ห้องอาหารก็ไม่รู้ของทางโรงแรม (รู้สึกจะ 6 ห้องอาหารนะ) ที่อยู่คู่ฟ้าเมืองไทยมานานแล้ว ร้านนั้นจะตกแต่งแนว .. แนวอะไรดีหว่า แนว Contemporary ละกัน สวยงาม ๆ และร้านมีขนาดไม่ค่อยใหญ่สักเท่าไร แต่ถึงกระนั้นถ้าไปมื้อเย็นก็เหมือนจะไม่ต้องจองโต๊ะก็น่าจะโอเค เพราะอย่างตอนที่ผมไปก็มีแขก occupy กันอยู่แค่สัก 50% เท่านั้นเอง ร้านนี้สิ่งแรกที่สะดุดเลยก็คือทางเดินเข้าร้านครับ อลังการงานสร้างมาก ทำเป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ ยาว ๆ แล้วก็จะเดินผ่านส่วนครัวที่เป็นครัวเปิดเล็กน้อย ให้เราเห็นการทำงานบางส่วนของครัว แล้วถึงจะไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนที่โต๊ะก็จะมีโต๊ะที่ติดกระจก มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบ Panorama กับโต๊ะไม่ติดกระจกที่ได้บรรยากาสโก้ ๆ หรู ๆ ของทางร้านไปแทน
การบริการของพนักงานโรงแรม Mandarin Oriental นี่ก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือชากันอยู่แล้วว่า สุดยอดในสามโลกขนาดไหน ซึ่งตัวผมเองก็เคยได้รับการบริการดี ๆ มาจากห้อง Le Normandie อยู่ครั้งนึง มางวดนี้ก็แอบคาดหวังในการบริการไว้พอสมควร ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดมากครับ ดีเลิศประเสิรฐศรีสุด ๆ คือแบบพนักงานเค้าจะไม่ได้เคร่ง ๆ เครียด ๆ ขรึม ๆ เหมือนโรงแรมอื่น ๆ แต่จะมีพูดจาแบบเป็นกันเอง ประหนึ่งว่าเราเป็นเพื่อนด้วยเล็กน้อย (แต่ไม่ถึงกับมาเล่นหัวกัน) คือแบบเป็น การบริการที่ไม่ค่อยพบเจอจากโรงแรมหรู ๆ อื่น ๆ น่ะครับ ส่วนการบริการอื่น ๆ ของพนักงานนั้นก็ไม่มีที่ติอยู่แล้ว รู้เรื่องอาหารเป็นอย่างดี บรรยายอาหารแต่ละจานเป็นฉาก ๆ , เปลี่ยนจานให้เราแบบผมกลัวน้ำจะหมดโลกมาก (เปลืองจากและช้อนส้อมมาก) และคอยดูอาหารว่าเรากินถึงไหนและนำอาหาร course ต่อไปมาเสิร์ฟให้อย่างลงตัวทางด้านเวลา อืม ไร้ที่ติครับ
อาหารของร้าน Lord Jim ในมื้อเย็นนี้ก็จะเน้นเป็น Modern (contemporary) Seafood European Dish ตามที่ว่าไปครับจะเป็นพวกอาหารจากทะเลเอามาทำโน่นทำนี่ตามสไตล์ยุโรป มีทั้งแบบที่ล้ำ ๆ ตกแต่งจานสวยงาม และแบบธรรมดา ๆ ดิบ ๆ แค่เอาไปย่าง ไปลวก หรือเอาไปเผาเกลือ แล้วก็เอามาขายก็มี (ไอ้แบบดิบ ๆ นี่แหละครับที่แพงมาก คือแบบพวกฝรั่ง คนต่างชาติคงไม่ค่อยได้กินกัน แต่พี่ไทยเรา ถ้าจะให้เสียตังค์ 3,900++ กินอาหารทะเลเผา ไปกินตามชายทะเล อาจจะเหมาได้ทั้งกระชังครับ ฮ่า ๆ) ราคาอาหารก็แพงตามประสาห้องอาหารหรู ๆ ทั่วไป ถ้ามากินกันจริงจังก็คงคนละประมาณ 2,000 - 3,000 โดยประมาณครับ (ถ้าสั่งไวน์และเครื่องดื่มไม่แพงด้วยนะ) สิ่งที่แปลกใจสำหรับผมคือ ทางห้องอาหาร Lord Jim แห่งนี้มีบริการ อาหารญี่ปุ่นพวก Sushi, Sashimi ด้วย ซึ่งแฟนผมที่ไปด้วยกันบอกว่าเจ้า ปลาดิบของร้านนี้ ในไลน์บุฟเฟ่ต์ตอนเที่ยงนั้นค่อนข้างดีเลย ก็เลยกลายเป็นว่าผมก็เลยสั่ง Sushi มาลอง set นึงด้วย อืม
มื้อนี้จริง ๆ อยากจะเขียนถึง cocktail ก่อนละกันครับ เพราะมื้อนี้ จริง ๆ แล้วมี cocktail แถมฟรีหลายแก้ว และก็มีอาหารแถมฟรี 2-3 จาน เนื่องจากว่าแฟนผมเค้ารู้จักกับแม่ครัวฝ่าย Pantry ของที่นี่อยู่ก็เลยได้จัดของฟรีมาพอสมควร cocktail ในมื้อนี้พวกผมได้กันไปประมาณ 7 อย่าง ส่วนอาหารก็จะมีประมาณ 8 อย่างครับ ค่อนข้างจัดหนักกันเลยทีเดียวมื้อนี้
เครื่องดื่ม
- Ginger Cosmopolitan (Take a classic cosmopolitan and add home-made ginger vodka with a lovely touch of finely shredded fresh ginger - 300 บาท) : อร่อยมากครับ เป็น cosmopolitan ที่มีการเติมขิงลงไปเพิ่มเติมทำให้ได้ความเผ็ด ความร้อนเพิ่มเติมขึ้นมา อร่อยดี
- Summer Time (Take an aged rum and apricot brandy, shake it with orange and lemon juice for refreshing drinking pleasure - 300 บาท) : อันนี้ก็กินแล้วสดชื่น ๆ เช่นกัน ผู้หญิงทุกนางน่าจะชอบ
- B52 (Kahlua + Bailey's + Orange Cognac) : อันนี้แฟนผมชอบมากครับ หน้าตาดูดี อร่อยดี
- Vodka + Tequila : อันนี้ Bartender เอามาให้ตอนท้าย ๆ ประมาณกินปิดท้ายอาหารก่อนเข้าของหวาน อืม ก็แรงดี อร่อยดี ผมก็ไม่ชัวร์นะว่าใช่ vodka + tequila รึเปล่า เอาเป็นว่าแรงมาก กินแล้วตื่นเลย ฮ่า ๆ
- อะไรไม่รู้อีก 3 อย่าง : รบกวนดูรูปประกอบละกันนะครับ ตัว bartender ที่ชงมาให้เองยังจำไม่ได้เลย ผมซึ่งค่อนข้างกรึ่มก็อย่าไปหวังเลยว่าจะจำอะไรได้ครับ เอาเป็นว่า 3 แก้วที่ว่านี่ก็สวยงาม อร่อย และอลังการเช่นเดียวกับแก้วอื่น ๆ ครับ
- Cappuccino สุดอร่อย 1 แก้ว ปิดท้ายมื้ออาหารอันแสนจะยอดเยี่ยมมื้อนี้
ตัวอาหารนั้นขอไล่ไปตามลำดับที่ได้รับละกันนะครับ
- Chef complimentary (Amuse Buse) : ไม่แน่ใจว่าคืออะไรครับ เป็นเบคอน/แฮม พันอะไรมาสักอย่าง (น่าจะเป็น celery)ก็อร่อยดีครับ
- Rare grilled black eye tuna loin (marinated and sauteed vegetables, sesame sauce - 950 บาท) : จานนี้เป็นปลาทูน่าหั่นมาเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ เอาไป sear/ย่าง มาพอให้ผิวด้านนอกสุกแล้วก็เสิร์ฟมาพร้อมกับผักที่ผัด ๆ มาเล็กน้อยและราดซอสงา หน้าตาดูดี รสชาติเลิศครับ เนื้อปลานุ่มอร่อยมาก ส่วนผักและซอสก็แบบส่งเสริมรสชาติเนื้อปลาได้เป็นอย่างดี
- Lord Jim's Fish Tartar (Red snapper, yellow fin tuna and Atlantic salmon, boiled quail egg, herring caviar, crispy potatoes, Melba toast -710 บาท) : จานนี้เชฟเป็นคนแนะนำมา ก็เป็น tartar ที่เอาปลา 3 อย่างมาผสมกัน ผมเองก็ไม่เคยกิน fish tartar มาก่อนนะครับเคยกินแต่ beef tartar มา อร่อยมากครับจานนี้ เนื้อปลามาแบบ แอบมีส่วนติดมัน ๆ มาด้วย และก็แต่ละชิ้นนี่เย็น ๆ นุ่ม ๆ อร่อยมาก รสชาติการยำก็ยำมาแบบกะให้ถูกปากคนไทยพอสมควร ค่อนข้างจะจัดจ้านเลย แหล่มครับ
- Seared Hand-Dived Scallops and Sun-dried Tomato Raviolo (Flat parsley and white wine beurre blanc, orange scented carrots - 850 บาท) : ก็เป็น Scallop ที่ตัวไม่ค่อยใหญ่มาก แต่ก็เนื้อนุ่ม เด้ง อร่อย ทั้งจากตัวหอยเองและตัวซอสที่ราดมา ส่วนตัว Ravioli ที่ให้มาด้วยกันก็แบบอร่อยครับ มะเขือเทศที่เป็นไส้ในก็เนื้อฉ่ำ ๆ น้ำชุ่ม ๆ โอย ฟิน
- Bouillabaisse consomme (Prawns and scallops in saffron aspic, served with rouille sauce and crispy garlic baguette - 420 บาท) : ผมกิน consomme มาก็หลายที ส่วนใหญ่จะเป็นซุปผักกับเนื้อน้ำใสมากกว่า แต่แน่นอนครับ ร้าน Lord Jim ทุกอย่างต้องเป็นอาหารทะเล (ตัว fish tartar ก็เช่นกัน) อันนี้ก็เลยมาเป็นซุปผสม seafood บ้าง หน้าตาจานนี้ก็เป็นซุปธรรมดา ๆ ครับแต่รสชาตินี่โอ้โห ไม่ธรรมดาเลย เข้มข้น จัดจ้านมากกก ประหนึ่งเหมือนไม่ใช่ consomme แต่เป็นซุปน้ำข้นมากกว่า ผมก็งงเหมือนกันว่าทำไมถึงทำซุปน้ำใสมาให้ได้รสชาติเข้มข้นขนาดนี้
- ก่อนจะเข้าตัวอาหารคาวก็มีการคั่นด้วย sorbet เล็กน้อยครับ ทางร้านก็ไม่ได้เสิร์ฟ sorbet มาแบบธรรมดา ๆ เหมือนร้านอื่น แต่มีการใส่บนจานแก้วที่ใส่โคมไฟมาด้านล่างด้วย สวยงาม จนแอบงงเหมือนกันว่าตอนแรกมันคืออะไร กินแล้วแบบเปรี้ยวจี๊ดดด ครับ ล้างรสในปากออกไปได้เกลี้ยงเลย
- Roasted Center Cut of Atlantic Salmon (Green pea puree, crispy filo cylinder filled with confit salmon threads, orange and beetroot relish, light horseradish sauce - 810 บาท) : เนื้อปลาแซลมอนมาแบบชิ้นอวบอิ่ม เต่งตึง น่ากินมาก ๆ คือแบบ เป็น cut ที่ไม่ค่อยเจอตามร้านอาหารส่วนใหญ่เท่าไร ไม่รู้ว่าทางโรงแรม Mandarin Oriental สั่งมาพิเศษรึเปล่า ตัวเนื้อปลานั้นปิ้งมาได้ดีมาก ๆ ผิวด้านนอกเกรียม ๆ กรอบ ๆ เนื้อด้านในสุกแบบเลย medium rare มานิด ๆ และก็มีการเสิร์ฟเอาพวกผัก, ผลไม้ หน้าตาสวย ๆ เคียงคู่มาด้วยกัน และราดซอสมา จานนี้ ประทับใจมากครับ รูปสวย รสชาติเยี่ยม โอวววววว
- Sushi Moriawase - Matsu (Toro, Akami, Shake, Uni, Ikura, Amaebi, Akagai, Unagi, Hamachi and spicy Tuna maki - 1,500 บาท) : จานนี้บอกตรง ๆ ว่าผมสั่งเพราะแฟนบอกว่า Sushi ของที่นี่เค้าดี เท่านั้นจริง ๆ ซึ่งตอนแรกไม่คิดจะสั่งอยู่แล้ว คือไม่คิดว่า Sushi ของร้านที่เน้นอาหารตะวันตกแบบนี้มันจะดีเด่อะไร แต่เห็นแบบ ราคาไม่ค่อยแพง (เมื่อเทียบกับอาหารจานอื่น) มีของแพง ๆ อย่างหอยเม่น, หอยแครงญี่ปุ่น , โทโร่ มาให้ด้วย ก็เลยสั่ง ๆ ไป หน้าตา Sushi ที่ได้มามันก็ดีอยู่หรอกครับ ปั้นมาได้สวยงามดี แต่รสชาตินั้นบอกตรง ๆ ว่า Fail มาก เนื้อปลาไม่ค่อยสดเท่าไร ปั้นข้าวมาก็ไม่ค่อยดี ไม่ค่อยผสานเป็นเนื้อเดียวกัน พวกของแพง ๆ อย่างโทโร่, หอยเม่น, หอยแครงญี่ปุ่น ก็ไม่อร่อยเลย และหน้าตาไม่เหมือนของเกรด A ที่เคยกินมาด้วย ก็เลยแอบงงเหมือนกันว่าร้าน Lord Jim นี่เค้าใช้ของเกรด B มาทำ Sushi เหรอ?
ของหวาน
- Mille Feuille of Chocolate Cake and Mousse (Refreshing pomegranate sorbet and caramel crisp - 450 บาท) : จานนี้จริง ๆ ไม่ใช่ Mille Feuille จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงตั้งชื่อแบบนี้มา ตัวมูสสามรสที่ให้มาอร่อยดี ส่วนตัวแป้งด้านบนที่เสียบมาก็เป็นรสช็อคโกแลต อร่อยดีอีกเช่นกัน ส่วนเค้กช็อคโกแลตด้านหลังรู้สึกยังทำมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไร
- Valrhona Chocolate Fondant (Vanilla ice cream with berry compote - 450 บาท) : จานนี้สิ่งที่โดดเด่นเลยก็คือเจ้าลายพาดกลาง หรือ strip นี่แหละครับ ทำมาได้สวยมาก งดงามและอลังการ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ส่วนตัว fondant นี่ก็อร่อยดีครับ ช็อคโกแลตรสชาติเข้มข้นสมกับเป็น Valrhona Chocolate ส่วน berry compote ที่ให้มาก็เปรี้ยว ๆ ให้มาตัดเลี่ยนได้ดี กินสลับไปสลับมากับช็อคโกแลตก็ลงตัวดี วานิลลาไอศครีมที่ให้มาก็ไม่หวานมาก เหมือนเป็นรสกลาง ๆ ระหว่าง 2 อันนี้ ให้กินสลับไปสลับมาเวลาอยากจะเปลี่ยนรสอะไร
- Macaron Tower (อันนี้ผมตั้งชื่อเอง เป็น chef complimentary) อันนี้หลาย ๆ ท่านที่เคยกิน Macaron ของ Mandarin Oriental มาก็คงรุ้อยู่แล้วว่าของเค้าอร่อยได้มาตรฐาน จานนี้ก็ตามนั้นเลยครับ มีมาการอง รสแปลก ๆ มาด้วย คือรสตะไคร้ กับ กล้วยตาก ซึ่งแบบ ไม่รู้คิดได้ยังไง ซึ่งก็อร่อยดีอีกเช่นกัน โอวววว
สรุป มื้ออันสุดแสนจะจัดหนักของผมกับแฟน ณ Lord Jim - Mandarin Oriental มื้อนี้นี่ก็เรียกได้ว่าประทับใจสุด ๆ ครับ แน่นอน สิ่งที่ประทับใจอย่างแรกที่สุดก็คือ อาหารและเครื่องดื่มที่ได้ฟรีเยอะมาก เอ๊ย ไม่ใช่ ก็คือ .. ไม่สิ ทุก ๆ อย่างเลย บรรยากาศ, การบริการ, รสชาติอาหาร, ความสวยงามของอาหาร(และเครื่องดื่ม) ก็สมกับเป็นห้องอาหารอันมีชื่อเสียงของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้ล่ะครับ แน่นอนครับสิ่งเดียวที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไรก็คือเรื่องราคานี่แหละ แอบแพงไปนิด แต่ก็นะ มันก็แลกมาด้วยความสุดยอดในทุก ๆ ด้านนี่แหละ ใครกำลังมองหาร้านไว้เป็นมื้อพิเศษกับคนรัก, กับครอบครัว ร้าน Lord Jim แห่งนี้ผมว่าใช่เลยล่ะครับ ประทับใจกันทุกผู้ทุกนางแน่ หลังจบมื้อ ตามนั้น
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Subscribe to:
Posts (Atom)