The Never Ending Summer - ร้านอาหารไทย ชิค ๆ กับอาหารไทยโบราณที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวในย่านคลองสาน
Overall Score 7.5/10
Taste 4/5
Ambiance 4.5/5
Service 4/5
Value 3/5
The Never Ending Summer - Thai Restaurant on BumRes.com (For more pictures, menu and info)
ใครจะไปคิดใช่มั้ยครับว่าชื่อร้านอาหารเก๋ ๆ นามว่า Never Ending Summer นั้นจะเป็นชื่อร้านอาหารน้องใหม่ ณ ท่าเรือคลองสาน ย่านฝั่งธน ที่ขายอาหารไทยแท้ ๆ แบบไร้การ fusion อะไรโดยสิ้นเชิงเลย ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยที่ได้ยินชื่อนี้ก็คงต้องคิดเหมือนกันว่าร้านนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งร้านคาเฟ่ในกรุงเทพฯ เราที่เปิดกันแบบค่อนข้างจะเกร่อเหลือเกิน ที่มาของชื่อร้านนี้นั้นเกิดจากการที่เมืองไทยเราเป็นเมืองร้อนมีฤดูอยู่ฤดูเดียวคือฤดูร้อน อาจจะร้อนมาก ร้อนน้อย ฝนตกมากหน่อย แต่สุดท้ายแล้วอากาศบ้านเรามันก็เป็นอากาศแบบ tropical เป็นหลัก (savanna climate ด้วยบางส่วน - ภาคอีสานบางท้องที่) ซึ่งเมื่อเขียนวลีซักวลีนึงที่จะบ่งบอกความเป็นไทยก็คือเมืองที่ฤดูร้อนไม่มีวันหมด - อกาลิโกเหมันตฤดู นั่นเอง
ร้าน Never Ending Summer แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ท่าเรือคลองสานสำหรับคนที่บ้านอยู่รามคำแหงแบบผมแล้วการเดินทางมายังร้านนี้บอกตรง ๆ ว่า "งงเป็นไก่ตาแตก" ไม่รู้เลยว่าจะมายังไง แต่สำหรับคนที่มาด้วยกันกับผมและมีบ้านอยู่ฝั่งธนนั้นกลับบอกว่าร้านนี้หาง่ายมากจะขับรถมาก็มีที่จอดสะดวกสบาย หรือว่าจะนั่งเรือมาก็ลงท่าเรือคลองสานแล้วก็เดินมาอีกเล็กน้อยก็จะเจอร้านแล้ว ก็คงต้องเชื่อคนบ้านอยู่ฝั่งธนเค้าล่ะครับว่าร้านนี้เดินทางมาง่ายจริง ๆ
ร้านนี้ได้ทำการดัดแปลงโรงน้ำแข็งเก่า ๆ ริมท่าเรือให้กลายมาเป็นร้านอาหารสุด chic แบบเปิดโล่ง เพดานสูง ออกแนวดิบ ๆ retro ๆ ไม่ค่อยมีความเป็นร้านอาหารไทยเลยสักนิดเดียว (บอกตรง ๆ ว่าผมเดินเข้าไปในร้านผมยังเดาไม่ถูกเลยว่าร้านนี้เค้าขายอาหาร ฮ่า ๆ รู้เอาตอนที่ดูเมนูนุ่นเลย) จุดเด่นของร้านนี้ก็คงเป็น open kitchen ขนาดใหญ่ที่ไม่ค่อยจะมีร้านอาหารไหนทำกัน ทำอย่างมากก็ open กันเล็กน้อยแต่ของที่นี่นี่คือเปิดโล่ง เห็นกันเต็ม ๆ เลย (ซึ่งผมว่าดีนะทำให้ครัวสะอาดด้วย, เห็นพ่อครัว/เชฟ ทำงานกันอย่างเพลิน ๆ ด้วยระหว่างที่รออาหาร) ผมเชื่อว่าใครที่มาร้านนี้น่าจะชอบบรรยากาศ/การตกแต่งของร้านนี้กันหมด เพราะผมกับคนที่ไปด้วยนี่ก็แบบนั่งมอง นั่งซึมซับบรรยากาศกันเพลินมากเลยล่ะครับ
ร้าน Never Ending Summer แห่งนี้เพิ่งเปิดทำการมาได้ประมาณเดือนเดียว (เขียนเมื่อกลางเดือนกุมภาษพันธ์ 2557) อะไรต่าง ๆ ของร้านก็เลยยังไม่ลงตัวนัก เช่น บัตรเครดิตก็ยังไม่รับ, ที่นั่งส่วน terrace ริมน้ำก็ยังไม่เสร็จดี, ระบบการจัดการออเดอร์อาหารก็ดูยังไม่ค่อยลงตัว แต่ถ้าถามว่าโอเคมั้ยสำหรับร้านที่เปิดมา 1 เดือน? ก็ตอบได้ง่าย ๆ เลยว่าโอเคมากเลยล่ะครับ
อาหารของร้านนี้ก็ตามที่เกริ่น ๆ ไปตอนแรกว่าจะเป็นอาหารไทยแบบแท้ ๆ ไทยโบราณ ไร้ซึ่งการ fusion เลยสักนิดเดียว อาหารบางอย่าง, วัตถุดิบบางชนิด บอกตรง ๆ ว่าผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย อาหารของร้านนี้ ณ วันที่ผมไปก็จะมีให้เลือกยังไม่ค่อยเยอะนัก อันนี้ไผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพอร้านเปิดไปเรื่อย ๆ แล้วจะมีอาหารเพิ่มขึ้นอีกรึเปล่า และนอกเหนือจากเมนูอาหารปกติแล้วที่ร้านนี้เค้าก็จะมีอาหารพิเศษประจำวันไว้คอยบริการด้วยเช่นกัน ราคาอาหารของร้านนี้ก็สาารถมองได้ 2 มุมมองล่ะครับ ถ้าคิดว่าเป็นอาหารไทยราคาก็อาจจะดูแพงไปนิดนึงเพราะเฉลี่ยอยู่ที 250 - 350 บาทต่อจานโดยประมาณ แต่ถ้ามองว่าร้านนี้เค้าก็เป็นร้านเก๋ไก่ บรรยากาศดี บริการดี คล้าย ๆ กับร้านอาหารฝรั่งทั่ว ๆ ไปที่มักตั้งราคาอาหารกันประมาณนี้ ราคาของร้านนี้ก็หาได้แพงแต่อย่างใดเลยล่ะครับ (แต่บอกตรง ๆ ว่ามันยากจริง ๆ ที่จะลบความรู้สึกเรื่องอาหารไทยราคาสูงออกไปจากหัวคนไทยได้ ผมเองก็คนนึงล่ะ)
มื้อนี้ก็มีอาหารทั้งหมด 4 อย่างครับมาไล่เรียงกันไปเลยดีกว่า
น้ำพริกลงเรือ-หมูวานไข่เค็ม 280 บาท: จัดจานมาได้อย่างเรียบง่ายตามสไตล์น้ำพริก แต่ก็มีความสวยงามแบบไทย ๆ แฝงอยู่ ผักที่ให้มาในจานนี้ก็เป็นผักที่พบเจอได้ในจานน้ำพริกทั่ว ๆ ไป มะเขือเปาะ, ถั่วฝักยาว, แตงกวา, ใบบัวบก, ถั่วพู แต่มีผักอยู่อย่างนึงซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน - ผักปลัง ที่หน้าตาดูน่ากินมากเพราะเป็นเหมือนกับดอกของต้นไม้ ส่วนตัวน้ำพริกก็ให้มาไม่ค่อยเยอะนัก ตัวหมูหวานที่ให้มาก็เข้าคู่กันดีกับผักและน้ำพริกดี จานนี้โดยรวมโอเคเลยครับเป็น appetizer แบบไทย ๆ ที่ลงตัวมากติดอยู่เล็กน้อยก็ตรงที่ผักผมว่าน่าจะฉ่ำกว่านี้สดกว่านี้ได้, ตัวน้ำพริกก็น่าจะให้มาเยอะกว่านี้หน่อย คือแบบน้ำพริกหมดตั้งแต่ตอนที่ผักเพิ่งหมดไปครึ่งจานเองครับ (ไม่รู้ขอเพิ่มได้รึเปล่า)
ต้มยำปลาทู 320 บาท: จานนี้บอกตรง ๆ ว่าแอบราคาแรงไปหน่อย ปลาทู 2 ตัว 320 บาท! จานนี้เสิร์ฟมาอย่างเก๋ไก๋ด้วยจานแก้วแบบสี่เหลี่ยมแบน ๆ ทำให้น้ำซุปนั้นท่วมตัวปลาอยู่แทบจะตลอดเวลา (ถ้าไม่ได้ซดน้ำซุปจนพร่องไปซะเยอะก่อนนะครับ) น้ำซุปรสชาติเป็นต้มยำแบบกลมกล่อมดี เปรี้ยว เค็ม เผ็ด มากันแบบลงตัว ไม่เหมือนกับต้มยำของร้านส่วนใหญ่ที่ช่วงหลัง ๆ ผมกินมานี่เจอแต่แบบเปรี้ยวจี๊ดอยู่ร่ำไป ปลาทูตัวใหญ่และสดดีครับ รวม ๆ แล้วจานนี้รสชาติดีมากครับ
ไข่เจียวดอกโสน 110 บาท: เป็นไข่เจียวที่ทอดมาแบบกรอบ ๆ ไม่ได้ใส่พวกเนื้อสัตว์สับมาเหมือนกับร้านอื่น ๆ แต่จะเน้นให้กินความกรอบ ความฟูของตัวไข่เจียวเป็นหลัก ส่วนดอกโสนก็เป็นอะไรที่ช่วยให้จานนี้หน้าตาสวยงามกว่าไข่เจียวปกติ ส่วนดอกโสนที่แทรก ๆ มาอยู่ในไข่เจียวก็ช่วยเพิ่มผิวสัมผัสแบบนุ่ม ๆ เล็กน้อยเข้าไปกับความกรอบของไข่เจียวได้อย่างลงตัวดี
แกงส้มดอกแคกุ้งสด 250 บาท: แกงส้มแบบใส่ดอกแคมาเยอะแบบนี้บอกตรง ๆ ว่าผมไม่เคยกินมาก่อนเลยล่ะครับ ตัวน้ำแกงส้มรสชาติดี เข้มข้น ๆ มาแบบเกือบจะข้นคลั่ก ๆ เลย ซึ่งน่าจะเป็นน้ำแกงส้มแบบแท้ ๆ แบบที่ควรจะเป็นกัน (แต่ช่วงหลังนี่ผมเจอแบบใส ๆ ลื่น ๆ ซะเยอะ ฮ่วย) น้ำแบบนี้กินกับข้าวสวยอร่อยดีมากครับชอบ ส่วนดอกแคนี่ก็ดูจะเข้ากับน้ำส้มดีเพราะมีพื้นที่ว่างข้างในด้วย และก็ดอกค่อนข้างใหญ่ด้วยแต่ละคำที่กินเข้าไปก็เลยดูดซับน้ำแกงไปเป็นอย่างดี กุ้งขาวที่ทางร้านให้มาในถ้วยด้วยก็ไม่ได้มีอะไรเด่นมากล่ะครับ ดอกแคกับน้ำแกงเด่นกว่า
สรุป ร้าน "ฤดูร้อนที่ไม่มีวันจบสิ้น - Never Ending Summer" แห่งนี้ก็เป็นร้านอาหารไทยแท้ ๆ ที่ทำหลายอย่างมาได้เหนือการคาดหวังของผมอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะบรรยากาศร้านอันแสนจะ ดิบและไฉไล เหลือเกิน, อาหารของร้านที่ไทยแท้ ๆ และมีวัตถุดิบแปลก ๆ exotic ๆ หลายอย่าง ใครที่อยากจะลองอาหารไทยแท้-ไทยโบราณ ในบรรยากาศร้าน chic ๆ contrast กับอาหาร ก็มาลองกันดูได้ครับร้านนี้
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Bangkok is renowned for its gourmet food at reasonably low prices. This blog covers a wide range of restaurants in Bangkok and occasionally in other provinces (Chiang Mai, Pattaya, Phuket). From street vendors to luxurious restaurants - From mouthwatering dishes to eye widening meals, all can be found here. This blog will take you to experience the exotic food you rarely find in your area. Feel free to leave comments or suggestion. Please visit http://www.bumres.com for more information.
Friday, February 21, 2014
Thursday, February 20, 2014
Feast - Sunday Brunch Buffet at Royal Orchid Sheraton Bangkok Review
ดื่มด่ำกำซาบกับ Sunday Brunch ราคาคุ้ม ๆ ณ Feast - Royal Orchid Sheraton
Overall Score 8.5/10
Taste 4/5
Ambiance 4/5
Service 4/5
Value 4.5/5
Feast - International Buffet Restaurant on BumRes.com (For more pictures, menu and info)
ห้องอาหาร Feast ณ โรงแรม Royal Orchid Sheraton แห่งนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะไม่คุ้นหูกันแต่ถ้าพูดว่าห้องอาหาร ETC by the River หลาย ๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินกันเพราะว่าห้องอาหารบุฟเฟ่ต์แห่งนี้เปิดกันมาเนิ่นนานแล้ว เปิดมาพร้อม ๆ กับโรงแรมที่มีอายุรวม 30 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ห้องอาหารนี้เปลี่ยนชื่อเมื่อประมาณกลาง ๆ ปี 2013 ที่ผ่านมาก็เพราะว่าทาง Sheraton สำนักงานใหญ่มีคำสั่งลงมาว่าห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ของทางโรงแรมต้องใช้ชื่อว่า Feast (แปลว่างานเฉลิมฉลอง ซึ่งก็เหมาะกับชื่อห้องบุฟเฟ่ต์ดีนะครับ) ทั้งหมด ก็เลยทำให้ที่นี่ต้องเปลี่ยชื่ออันแสนจะคลาสสิคและคุ้นหูผู้คนให้กลายเป็นชื่อ Feast เหมือนในปัจจุบัน
ห้องอาหารแห่งนี้ก็คล้าย ๆ กับห้องบุฟเฟ่ต์ตามโรงแรม 4-5 ดาวที่อื่น ๆ ล่ะครับ โดยตัวบุฟเฟ่ต์ก็จะมีทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นและถ้าใครไม่อยากกินบุฟเฟ่ต์ก็สามารถมาสั่งอาหารแบบ a la carte ได้เช่นเดียวกันเพราะว่าที่นี่ก็เป็นเหมือน all-day-dining ของทางโรงแรมอยู่แล้ว ซึ่งมื้อที่เราจะมารีวิกันในครั้งนี้ก็จะเป็นมื้อที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดของที่นี่กันกับมื้อเที่ยงวันอาทิตย์หรือ Sunday Brunch ที่จะมีจัดกันทุกวันอาทิตย์ (แหงสิ) ตั้งแต่เวลา 11.30 น. – 15.00 น. (ถือว่าให้เวลาค่อนข้างเยอะนะครับ) และราคาจะอยู่ที่ 1,780 บาทสุทธิ รวมเครื่องดื่มผลไม้ ส่วนถ้าใครที่ขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับมื้อดี ๆ มื้อพิเศษไม่ได้ก็เพิ่มเงินกันไป 800 บาทก็จะได้เบียร์สด, sparkling wine และ house wines มาดื่มเคียงคู่อาหารกันไปด้วยได้อย่างไม่อั้น
ก่อนจะเข้าถึงตัวอาหารก็ขอพูดถึงบรรยากาศของร้าน Feast – Royal Orchid Sheraton Bangkok แห่งนี้กันก่อนละกัน ห้องอาหารนี้เป็นห้องที่ค่อนข้างใหญ่ โดยที่นั่งหลัก ๆ นั้นจะอยู่ด้านในอาคารและเป็นห้องแอร์มีทั้งแบบโต๊ะใหญ่ ๆ สำหรับครอบครัวใหญ่ และโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งสำหรับคนมาเป็นคู่หรือว่าครอบครัวเล็ก ๆ ส่วนถ้าใครที่ไม่อยากนั่งในห้องแอร์แต่อยากจะไปนั่งรับลมริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยที่นั่งส่วน al fresco dining ที่จะอยู่ตรง terrace ของโรงแรมนี้ก็จะมีโต๊ะให้นั่งอยู่อีกประมาณ 10 โต๊ะได้ แต่แน่นอนว่าตอนที่ผมไป – เที่ยงวันอาทิตย์ แดดเปรี้ยง ๆ ไม่มีใครนั่งตรงที่นั่งส่วนนี้แน่นอน -*- ที่นี่มีสิ่งที่พิเศษกว่า Sunday Brunch ของหลาย ๆ ที่คือจะมีสนามเด็กเล่นย่อม ๆ (kid’s playground) ที่จะมีคุณพี่ตัวตลกมาค่อย entertain หนู ๆ มีปั้นลูกโป่งให้ อะไรแบบนี้ ส่วนผู้ใหญ่ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันครับ จะมีนักมายากลหล่อตี๋ผู้นึงคอยเดินเล่นกลกับลูกค้าอยู่เรื่อย ๆ สร้างความเพลิดเพลิน, พักให้กระเพาะย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี
ตัว Sunday Brunch ของที่นี่เค้าเคลมตัวเองเอาไว้ว่า Sunday Brunch featuring the best seafood selection in Bangkok เรามาดูกันว่ามันเป็นตามที่เค้าเคลมมั้ย ก็ขอแบ่งรีวิวเป็นไปตามซุ้มต่าง ๆ ตามแบบที่ผมเคยเขียน ๆ มาละกันนะครับเพราะเข้าใจง่ายดี และก็ถ้ามาตามกินก็จะได้หาอาหารเจอกันได้ง่าย ๆ โดยขอเริ่มตั้งแต่ทางเข้าห้องอาหารก่อนเลยละกัน
ซุ้มอาหารฝรั่งและอาหารเย็น ๆ : ก็จะมีไลน์อาหารที่ค่อนข้างมาตรฐาน มีซีซาร์สลัดให้เราทำเอง, มีพวก cold cut แบบต่าง ๆ, ham แบบต่าง ๆ, ชีสแบบต่าง ๆ และก็พวกอาหารอิตาเลียนแบบเย็น ๆ เช่น caprese salad, แซลมอนรมควัน, สลัดปูอัด อะไรประมาณนี้ ซุ้มนี้มีของอย่างนึงที่น่าตกใจคือตัวโถที่เอาไว้ใช้คลุก caesar salad ทางร้านใช้เป็นชีสก้อนใหญ่มากเอามาทำเป็นโถให้เราคลุกกัน ซึ่งจากที่ดูแล้วเจ้าโถนี้นี่น่าจะใช้กันมาหลายปีมาก ๆ แล้วดูขลังและเท่มากเลยล่ะครับ ข้าง ๆ ซู้มอาหารฝรั่งเย็นนี้ก็จะมีซุ้มน้ำผลไม้หลากหลายชนิดให้เราเลือกสั่งกัน โดยจะมีทั้งน้ำที่วางเอาไว้เรียบร้อย เช่น น้ำส้ม, น้ำแอปเปิ้ล, น้ำแคนตาลูป หรือเราสามารถสั่งให้ bartender เค้าผสมน้ำให้เราแบบตามใจฉันได้ด้วยเช่นกัน
ซุ้มอาหารนานาชาติแบบครัวร้อน : อาหารในซุ้มนี้ก็จะเน้นหนักไปที่อาหารทะเลเป็นหลัก อาหารที่โดดเด่นที่สุดเลยก็คงเป็นตัว lobster thermidor ที่มีวางไว้ให้เราหยิบกันได้แบบไม่อั้น ซึ่งอันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นมากเพราะว่าที่อื่นส่วนใหญ่ในราคาระดับนี้ (หรือแพงกว่านี้ด้วย) มักจะมีโควต้าให้แค่คนละครึ่งตัวเท่านั้นเอง , ในซุ้มนี้จะมีซุ้มย่อยอยู่ซุ้มนึงติด ๆ กันนั่นก็คือซุ้มอาหารอินเดียที่จะมีอาหารอินเดียแบบมาตรฐาน ๆ 4-5 อย่างให้เราตักกัน (ผมจำชื่อเรียกไม่ได้ว่าแต่ละอันคืออะไร) ซึ่งอาหารอินเดียนี่ผมได้ลองครบหมดที่ทางร้านมีให้ รสชาติดีนะครับ กินแล้วแบบหอม ๆ เครื่องเทศ รสชาติจัดจ้านดีแท้ และแน่นอนว่าซุ้มครัวร้อนจะไม่มีพวกอาหารย่าง (roast) แบบชิ้นใหญ่ ๆ ก็คงไม่ได้ อาหารพวกนี้จะเตรียมไว้แล้วเราแค่ไปสั่งให้เค้าแล่เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้นก็จะมี roast beef, ซี่โครงแกะ, หมูย่างอบน้ำผึ้ง, ปลากะพงตัวเขื่อง ๆ ซุ้มนี้ดูแล้วเป็นซุ้มที่ลูกค้าค่อนข้างให้ความสนใจกันมากครับ
ซุ้มของหวาน: ซุ้มของหวานของที่ Feast - Royal Orchid Sheraton แห่งนี้ที่โดดเด่นที่สุดเลยก็คงเป็นไอศครีมที่เป็นตู้ไอศครีมแบบจริงจังกันเลย (เป็นหนึ่งใน Sunday Brunch ไม่กี่ที่ที่มีตู้ไอศครีมจริงจัง) ไอศครีมของที่นี่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นแบบทำเองรึเปล่า (homemade ice-cream) เพราะเห็นเป็นป้ายชื่อร้านผูกไว้กับรสไอศครีม 12 รส ที่ไม่ค่อยจะพบเจอรสเหล่านี้สักเท่าไร ไอศครีมของที่ Feast แห่งนี้เค้าอร่อยดีครับ พวกผมจัดกันไปหลายถ้วยเลย ส่วนของหวานอย่างอื่น ๆ ก็ค่อนข้างจะมาตรฐานครับ มี chocolate fondue ทั้งแบบ dark chocolate และ white chocolate , มีเค้กแบบต่าง ๆ และผลไม้ local หลากหลายชนิด (สับปะรด, ชมพู่, แตงโม, มะม่วง)
ซุ้มอาหารญี่ปุ่น: เป็นอีกหนึ่งซุ้มที่ค่อนข้างจะฮอตฮิตสำหรับ Sunday Brunch ณ Feast - Royal Orchid Sheraton แห่งนี้ อาหารสัญชาติซามูไรของที่นี่ก็จะมี ซูชิ, ซาซิมิ และเทมปุระ โดยตัว sushi นั้นมีหน้าหอยแครงญี่ปุ่นที่ผมไม่เคยพบเจอใน Sunday Brunch ที่ไหนเอามาทำเป็นซูชิเลย (เพราะว่ามันแพง) หอยปีกนก, ทูน่า, กุ้งต้ม ส่วน Sashimi ก็จะมี แซลมอน (อร่อย เนื้อนุ่ม มันดีมาก) , ทูน่า, ฮามาจิ, ปลาหมึกยักษ์และปูอัด ส่วนเทมปุระก็จะมีปลาไข่กับกุ้งครับ (เทมปุระทอดมาอร่อยดี ร้อน ๆ เติมอยู่เรื่อย ๆ ด้วย)
ซุ้ม Seafood: 3 ซุ้มถัดจากนี้จะเป็นซุ้มที่ตั้งอยู่ด้านนอก รับลมธรรมชาติกันเลย เดินออกมาปุ๊บก็จะเจอกับซุ้มอาหารทะเลขนาดใหญ่มีประติมากรรมน้ำแข็งแกะสลักที่มี seafood วางรายล้อมอยู่ มีหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวใหญ่, กุ้ง, กุ้งมังกร, ปูม้า, หอยเชลล์, กั้งกระดานให้เราเลือกหยิบกัน และที่วางอยู่ติดกันก็จะมีซุ้มหอยนางรมขนาดใหญ่มีหอยนางรมหลายสิบตัววางไว้ให้เราหยิบพร้อมกับมีซอสให้เลือกกินเข้าคู่กันหลายชนิดด้วย อาหารทะเลของที่นี่ถึงแม้ว่าจะขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ว่าทุกอย่างสดอร่อยดีครับ
ซุ้ม อาหารตามสั่ง: มีให้เราเลือกสั่งค่อนข้างเยอะมากครับมี foie gras, pasta, เนื้อแบบต่าง ๆ ให้สั่งทำแบบ steak ตามที่เราต้องการ มีเนื้อวัวสันนอก, สันใน, เนื้อไก่, ซี่โครงแกะ, แซลมอน, กุ้งแม่น้ำ, ปลาหิมะ เยอะแยะมากมาย ซุ้มนี้เสียดายที่ผมมาเจอตอนหลัง ก็เลยพลาดไปหลายอย่างเหมือนกัน (กินไม่ไหว)
ซุ้ม อาหารจีน: ซุ้มสุดท้ายในรีวิวนี้ที่ปิดฉากไลน์บุฟเฟ่ต์ของที่นี่ได้อย่างอลังการงานสร้าง กับอาหารจีนที่มีให้เลือกอย่างมากมายทั้งพวกของนึ่ง-ติ่มซำ (มีซาลาเปาไส้ต่าง ๆ , ขนมจีบ, ฮะเก๋า) , เป็ดย่าง-หมูกรอบ-หมูแดง, , เป็ดปักกิ่ง-หมูหัน เรียกได้ว่ายกครัวจีนของห้องอาหารจีนแบบเหลา ๆ มาให้เรากินกันอย่างไม่ยั้งกันเลยล่ะครับ
ถ้าถามผมว่า Sunday Brunch ของที่ Feast – Royal Orchid Sheraton แห่งนี้โดดเด่นตรงไหน สิ่งแรกที่แว่บเข้ามาในหัวผมเลยก็คงเป็นเรื่องราคากับราคา 1,780 บาทสุทธิแต่มีอาหารให้เลือกเยอะขนาดนี้ มีของดี ๆ ให้เลือกตักได้แบบไม่อั้นและก็มาเติมเรื่อย ๆ แบบไม่มีวันหมดจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น lobster thermidor (ที่หลาย ๆ ที่จำกัดแค่คนละครึ่งตัวเท่านั้น) , ซี่โครงแกะ, ตับห่าน หรือ เนื้อสเต็กอย่างดี และอาหารที่มีให้เลือกชิมนั้นก็มีเยอะจริง ๆ เยอะจนแบบน้อยคนที่จะได้ชิมครบทุกอย่างได้ ครับ ถ้าใครตั้งงบประมาณสำหรับมื้อ Sunday Brunch เอาไว้ประมาณนี้ อยูในช่วง 2,000 บาทหรือต่ำกว่า แต่อยากจะได้ความคุ้มค่า, ความหลากหลายของอาหาร และรสชาติอาหารที่โดยรวมทำได้ดีเกินราคาแล้วล่ะก็ Feast แห่งนี้น่าจะเป็นอะไรที่ตรงโจทย์นะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Overall Score 8.5/10
Taste 4/5
Ambiance 4/5
Service 4/5
Value 4.5/5
Feast - International Buffet Restaurant on BumRes.com (For more pictures, menu and info)
ห้องอาหาร Feast ณ โรงแรม Royal Orchid Sheraton แห่งนี้หลาย ๆ ท่านอาจจะไม่คุ้นหูกันแต่ถ้าพูดว่าห้องอาหาร ETC by the River หลาย ๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินกันเพราะว่าห้องอาหารบุฟเฟ่ต์แห่งนี้เปิดกันมาเนิ่นนานแล้ว เปิดมาพร้อม ๆ กับโรงแรมที่มีอายุรวม 30 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งสาเหตุที่ห้องอาหารนี้เปลี่ยนชื่อเมื่อประมาณกลาง ๆ ปี 2013 ที่ผ่านมาก็เพราะว่าทาง Sheraton สำนักงานใหญ่มีคำสั่งลงมาว่าห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ของทางโรงแรมต้องใช้ชื่อว่า Feast (แปลว่างานเฉลิมฉลอง ซึ่งก็เหมาะกับชื่อห้องบุฟเฟ่ต์ดีนะครับ) ทั้งหมด ก็เลยทำให้ที่นี่ต้องเปลี่ยชื่ออันแสนจะคลาสสิคและคุ้นหูผู้คนให้กลายเป็นชื่อ Feast เหมือนในปัจจุบัน
ห้องอาหารแห่งนี้ก็คล้าย ๆ กับห้องบุฟเฟ่ต์ตามโรงแรม 4-5 ดาวที่อื่น ๆ ล่ะครับ โดยตัวบุฟเฟ่ต์ก็จะมีทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นและถ้าใครไม่อยากกินบุฟเฟ่ต์ก็สามารถมาสั่งอาหารแบบ a la carte ได้เช่นเดียวกันเพราะว่าที่นี่ก็เป็นเหมือน all-day-dining ของทางโรงแรมอยู่แล้ว ซึ่งมื้อที่เราจะมารีวิกันในครั้งนี้ก็จะเป็นมื้อที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดของที่นี่กันกับมื้อเที่ยงวันอาทิตย์หรือ Sunday Brunch ที่จะมีจัดกันทุกวันอาทิตย์ (แหงสิ) ตั้งแต่เวลา 11.30 น. – 15.00 น. (ถือว่าให้เวลาค่อนข้างเยอะนะครับ) และราคาจะอยู่ที่ 1,780 บาทสุทธิ รวมเครื่องดื่มผลไม้ ส่วนถ้าใครที่ขาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับมื้อดี ๆ มื้อพิเศษไม่ได้ก็เพิ่มเงินกันไป 800 บาทก็จะได้เบียร์สด, sparkling wine และ house wines มาดื่มเคียงคู่อาหารกันไปด้วยได้อย่างไม่อั้น
ก่อนจะเข้าถึงตัวอาหารก็ขอพูดถึงบรรยากาศของร้าน Feast – Royal Orchid Sheraton Bangkok แห่งนี้กันก่อนละกัน ห้องอาหารนี้เป็นห้องที่ค่อนข้างใหญ่ โดยที่นั่งหลัก ๆ นั้นจะอยู่ด้านในอาคารและเป็นห้องแอร์มีทั้งแบบโต๊ะใหญ่ ๆ สำหรับครอบครัวใหญ่ และโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งสำหรับคนมาเป็นคู่หรือว่าครอบครัวเล็ก ๆ ส่วนถ้าใครที่ไม่อยากนั่งในห้องแอร์แต่อยากจะไปนั่งรับลมริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยที่นั่งส่วน al fresco dining ที่จะอยู่ตรง terrace ของโรงแรมนี้ก็จะมีโต๊ะให้นั่งอยู่อีกประมาณ 10 โต๊ะได้ แต่แน่นอนว่าตอนที่ผมไป – เที่ยงวันอาทิตย์ แดดเปรี้ยง ๆ ไม่มีใครนั่งตรงที่นั่งส่วนนี้แน่นอน -*- ที่นี่มีสิ่งที่พิเศษกว่า Sunday Brunch ของหลาย ๆ ที่คือจะมีสนามเด็กเล่นย่อม ๆ (kid’s playground) ที่จะมีคุณพี่ตัวตลกมาค่อย entertain หนู ๆ มีปั้นลูกโป่งให้ อะไรแบบนี้ ส่วนผู้ใหญ่ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันครับ จะมีนักมายากลหล่อตี๋ผู้นึงคอยเดินเล่นกลกับลูกค้าอยู่เรื่อย ๆ สร้างความเพลิดเพลิน, พักให้กระเพาะย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี
ตัว Sunday Brunch ของที่นี่เค้าเคลมตัวเองเอาไว้ว่า Sunday Brunch featuring the best seafood selection in Bangkok เรามาดูกันว่ามันเป็นตามที่เค้าเคลมมั้ย ก็ขอแบ่งรีวิวเป็นไปตามซุ้มต่าง ๆ ตามแบบที่ผมเคยเขียน ๆ มาละกันนะครับเพราะเข้าใจง่ายดี และก็ถ้ามาตามกินก็จะได้หาอาหารเจอกันได้ง่าย ๆ โดยขอเริ่มตั้งแต่ทางเข้าห้องอาหารก่อนเลยละกัน
ซุ้มอาหารฝรั่งและอาหารเย็น ๆ : ก็จะมีไลน์อาหารที่ค่อนข้างมาตรฐาน มีซีซาร์สลัดให้เราทำเอง, มีพวก cold cut แบบต่าง ๆ, ham แบบต่าง ๆ, ชีสแบบต่าง ๆ และก็พวกอาหารอิตาเลียนแบบเย็น ๆ เช่น caprese salad, แซลมอนรมควัน, สลัดปูอัด อะไรประมาณนี้ ซุ้มนี้มีของอย่างนึงที่น่าตกใจคือตัวโถที่เอาไว้ใช้คลุก caesar salad ทางร้านใช้เป็นชีสก้อนใหญ่มากเอามาทำเป็นโถให้เราคลุกกัน ซึ่งจากที่ดูแล้วเจ้าโถนี้นี่น่าจะใช้กันมาหลายปีมาก ๆ แล้วดูขลังและเท่มากเลยล่ะครับ ข้าง ๆ ซู้มอาหารฝรั่งเย็นนี้ก็จะมีซุ้มน้ำผลไม้หลากหลายชนิดให้เราเลือกสั่งกัน โดยจะมีทั้งน้ำที่วางเอาไว้เรียบร้อย เช่น น้ำส้ม, น้ำแอปเปิ้ล, น้ำแคนตาลูป หรือเราสามารถสั่งให้ bartender เค้าผสมน้ำให้เราแบบตามใจฉันได้ด้วยเช่นกัน
ซุ้มอาหารนานาชาติแบบครัวร้อน : อาหารในซุ้มนี้ก็จะเน้นหนักไปที่อาหารทะเลเป็นหลัก อาหารที่โดดเด่นที่สุดเลยก็คงเป็นตัว lobster thermidor ที่มีวางไว้ให้เราหยิบกันได้แบบไม่อั้น ซึ่งอันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นมากเพราะว่าที่อื่นส่วนใหญ่ในราคาระดับนี้ (หรือแพงกว่านี้ด้วย) มักจะมีโควต้าให้แค่คนละครึ่งตัวเท่านั้นเอง , ในซุ้มนี้จะมีซุ้มย่อยอยู่ซุ้มนึงติด ๆ กันนั่นก็คือซุ้มอาหารอินเดียที่จะมีอาหารอินเดียแบบมาตรฐาน ๆ 4-5 อย่างให้เราตักกัน (ผมจำชื่อเรียกไม่ได้ว่าแต่ละอันคืออะไร) ซึ่งอาหารอินเดียนี่ผมได้ลองครบหมดที่ทางร้านมีให้ รสชาติดีนะครับ กินแล้วแบบหอม ๆ เครื่องเทศ รสชาติจัดจ้านดีแท้ และแน่นอนว่าซุ้มครัวร้อนจะไม่มีพวกอาหารย่าง (roast) แบบชิ้นใหญ่ ๆ ก็คงไม่ได้ อาหารพวกนี้จะเตรียมไว้แล้วเราแค่ไปสั่งให้เค้าแล่เป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้นก็จะมี roast beef, ซี่โครงแกะ, หมูย่างอบน้ำผึ้ง, ปลากะพงตัวเขื่อง ๆ ซุ้มนี้ดูแล้วเป็นซุ้มที่ลูกค้าค่อนข้างให้ความสนใจกันมากครับ
ซุ้มของหวาน: ซุ้มของหวานของที่ Feast - Royal Orchid Sheraton แห่งนี้ที่โดดเด่นที่สุดเลยก็คงเป็นไอศครีมที่เป็นตู้ไอศครีมแบบจริงจังกันเลย (เป็นหนึ่งใน Sunday Brunch ไม่กี่ที่ที่มีตู้ไอศครีมจริงจัง) ไอศครีมของที่นี่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นแบบทำเองรึเปล่า (homemade ice-cream) เพราะเห็นเป็นป้ายชื่อร้านผูกไว้กับรสไอศครีม 12 รส ที่ไม่ค่อยจะพบเจอรสเหล่านี้สักเท่าไร ไอศครีมของที่ Feast แห่งนี้เค้าอร่อยดีครับ พวกผมจัดกันไปหลายถ้วยเลย ส่วนของหวานอย่างอื่น ๆ ก็ค่อนข้างจะมาตรฐานครับ มี chocolate fondue ทั้งแบบ dark chocolate และ white chocolate , มีเค้กแบบต่าง ๆ และผลไม้ local หลากหลายชนิด (สับปะรด, ชมพู่, แตงโม, มะม่วง)
ซุ้มอาหารญี่ปุ่น: เป็นอีกหนึ่งซุ้มที่ค่อนข้างจะฮอตฮิตสำหรับ Sunday Brunch ณ Feast - Royal Orchid Sheraton แห่งนี้ อาหารสัญชาติซามูไรของที่นี่ก็จะมี ซูชิ, ซาซิมิ และเทมปุระ โดยตัว sushi นั้นมีหน้าหอยแครงญี่ปุ่นที่ผมไม่เคยพบเจอใน Sunday Brunch ที่ไหนเอามาทำเป็นซูชิเลย (เพราะว่ามันแพง) หอยปีกนก, ทูน่า, กุ้งต้ม ส่วน Sashimi ก็จะมี แซลมอน (อร่อย เนื้อนุ่ม มันดีมาก) , ทูน่า, ฮามาจิ, ปลาหมึกยักษ์และปูอัด ส่วนเทมปุระก็จะมีปลาไข่กับกุ้งครับ (เทมปุระทอดมาอร่อยดี ร้อน ๆ เติมอยู่เรื่อย ๆ ด้วย)
ซุ้ม Seafood: 3 ซุ้มถัดจากนี้จะเป็นซุ้มที่ตั้งอยู่ด้านนอก รับลมธรรมชาติกันเลย เดินออกมาปุ๊บก็จะเจอกับซุ้มอาหารทะเลขนาดใหญ่มีประติมากรรมน้ำแข็งแกะสลักที่มี seafood วางรายล้อมอยู่ มีหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ตัวใหญ่, กุ้ง, กุ้งมังกร, ปูม้า, หอยเชลล์, กั้งกระดานให้เราเลือกหยิบกัน และที่วางอยู่ติดกันก็จะมีซุ้มหอยนางรมขนาดใหญ่มีหอยนางรมหลายสิบตัววางไว้ให้เราหยิบพร้อมกับมีซอสให้เลือกกินเข้าคู่กันหลายชนิดด้วย อาหารทะเลของที่นี่ถึงแม้ว่าจะขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ว่าทุกอย่างสดอร่อยดีครับ
ซุ้ม อาหารตามสั่ง: มีให้เราเลือกสั่งค่อนข้างเยอะมากครับมี foie gras, pasta, เนื้อแบบต่าง ๆ ให้สั่งทำแบบ steak ตามที่เราต้องการ มีเนื้อวัวสันนอก, สันใน, เนื้อไก่, ซี่โครงแกะ, แซลมอน, กุ้งแม่น้ำ, ปลาหิมะ เยอะแยะมากมาย ซุ้มนี้เสียดายที่ผมมาเจอตอนหลัง ก็เลยพลาดไปหลายอย่างเหมือนกัน (กินไม่ไหว)
ซุ้ม อาหารจีน: ซุ้มสุดท้ายในรีวิวนี้ที่ปิดฉากไลน์บุฟเฟ่ต์ของที่นี่ได้อย่างอลังการงานสร้าง กับอาหารจีนที่มีให้เลือกอย่างมากมายทั้งพวกของนึ่ง-ติ่มซำ (มีซาลาเปาไส้ต่าง ๆ , ขนมจีบ, ฮะเก๋า) , เป็ดย่าง-หมูกรอบ-หมูแดง, , เป็ดปักกิ่ง-หมูหัน เรียกได้ว่ายกครัวจีนของห้องอาหารจีนแบบเหลา ๆ มาให้เรากินกันอย่างไม่ยั้งกันเลยล่ะครับ
ถ้าถามผมว่า Sunday Brunch ของที่ Feast – Royal Orchid Sheraton แห่งนี้โดดเด่นตรงไหน สิ่งแรกที่แว่บเข้ามาในหัวผมเลยก็คงเป็นเรื่องราคากับราคา 1,780 บาทสุทธิแต่มีอาหารให้เลือกเยอะขนาดนี้ มีของดี ๆ ให้เลือกตักได้แบบไม่อั้นและก็มาเติมเรื่อย ๆ แบบไม่มีวันหมดจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น lobster thermidor (ที่หลาย ๆ ที่จำกัดแค่คนละครึ่งตัวเท่านั้น) , ซี่โครงแกะ, ตับห่าน หรือ เนื้อสเต็กอย่างดี และอาหารที่มีให้เลือกชิมนั้นก็มีเยอะจริง ๆ เยอะจนแบบน้อยคนที่จะได้ชิมครบทุกอย่างได้ ครับ ถ้าใครตั้งงบประมาณสำหรับมื้อ Sunday Brunch เอาไว้ประมาณนี้ อยูในช่วง 2,000 บาทหรือต่ำกว่า แต่อยากจะได้ความคุ้มค่า, ความหลากหลายของอาหาร และรสชาติอาหารที่โดยรวมทำได้ดีเกินราคาแล้วล่ะก็ Feast แห่งนี้น่าจะเป็นอะไรที่ตรงโจทย์นะครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Subscribe to:
Posts (Atom)