Peter's Pan - Modern American Restaurant and Steakhouse at Milli Malle Sukhumvit 20, Bangkok
ปีเตอร์ แพน ร้านอาหารอเมริกัน สเต็กเฮาส์ สเต็ก มิลลิมอลลี่ สุขุมวิท 20
Overall Score 7/10
Taste 3.5/5
Ambiance 4.5/5
Service 4/5
Value 2/5
Peter's Pan - Steakhouse and American Restaurant on BumRes.com (For more pictures and menu)
มื้อนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมื้อ "กินตามดีล" สำหรับผมล่ะครับ กับร้าน Peter's Pan ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวละครในเทพนิยายตะวันตก แต่เป็นชื่อเจ้าของร้าน และจากที่ร้านเน้นพวกอาหาร grill ๆ , ทอด ๆ ก็เลยนำมาซึ่งชื่อร้านที่เป็นว่ากระทะของปีเตอร์นั่นเอง ร้านนี้ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นร้านใหม่ แต่เปล่าเลยครับ ร้านนี้เปิดทำการมาได้ 20 ปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 1993) โดยตอนแรกสุดนั้นอยู่ที่แจ้งวัฒนะ แล้วก็ย้ายไปที่อุดมสุข แล้วสุดท้ายก็มาจบลงที่ตำแหน่ง ณ ปัจจุบัน ที่ชั้น 2 ของห้างเปิดใหม่ (รึเปล่า หลายเดือนล่ะ) นามว่า Milli Malle กลางซอยสุขุมวิท 20 แห่งนี้นี่เอง
ร้านนี้เพียงแว่บแรกที่เข้าไปบอกตรง ๆ ว่าผมประทับใจในความสวยงามของการตกแต่งร้านมาก ๆ ครับ ร้านขนาดไม่ใหญ่เท่าไร ขนาดกำลังดี จุลูกค้าได้สัก 60 - 80 คน แต่แบบรายละเอียดทุกอย่างพิถีพิถันมาก ไม่รู้จะว่ายังไงดี ลองดูรูปบรรยากาศร้านประกอบครับ ร้านเค้าสวยจริง ๆ ร้านที่สวยพอ ๆ กันในช่วงหลังที่ได้ไปกินมาก็คงเป็นร้าน In The Mood For Love One ร้านเดียวล่ะครับ และยิ่งตอนผมไปนั้นเป็นเที่ยงวันอาทิตย์ ไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ มาเลยสักโต๊ะก็เลยยิ่งทำให้มื้อนี้ยิ่งมีความเป็น private ความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นไปอีก ชอบมาก ๆ ครับบรรยากาศร้านนี้ ส่วนพนักงานของทางร้าน ไม่รู้ว่าเพราะร้านนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าอยู่แล้วรึเปล่าก็ไม่ทราบ พนักงานก็เลยมีกันอยู่แค่ 2 คน แต่แค่ 2 คนก็เรียกได้ว่าเกินพอสำหรับลูกค้าโต๊ะเดียวครับ มื้อนี้ก็เลยได้การบริการที่ค่อนข้างดีมาก ตามติดมาพร้อมกับบรรยากาศดี ๆ อีกเช่นกัน
อาหารของร้านนี้นั้นบอกตรง ๆ ผมคงนิยามแบบเป๊ะ ๆ ไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าคร่าว ๆ คือจะเป็นอาหารอเมริกันครับ จะเน้นพวก Steak กับ Main dish แบบเนื้อ ๆ และ seafood เป็นหลัก แต่ก็มีพวก appetizer, salad และ soup ให้เลือกกินเคียงคู่กับ Main Course ตามไป แต่ที่บอกว่าไม่รู้จะนิยามแบบไหนนั้นสาเหตุเป็นเพราะอาหารของร้านนี้บางอย่างมันก็เป็นอาหารยุโรป บางอย่างมันก็เป็นอาหารไทย fusion ก็ถ้าจะให้นิยามก็เป็น American - European Restaurant ละกัน สิ่งนึงที่ตกใจเมื่อเห็นเมนูของทางร้านก็คือตัวราคาอาหารครับ ราคาอาหารทุกอย่างนั้นแพงมาก แพงระดับเดียวกับโรงแรม 5 ดาว หรือร้านอาหารยุโรปหรู ๆ ชื่อดังในกรุงเทพเลย Main Course 1000++ , Appetizer 300++, Soup 200 ++ อะไรแบบนี้ คือถ้ามากินแบบไม่มีดีลนี่คงโดนกันไปคนละประมาณ 2000 ครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าราคาอาหารของร้านนี้เป็นราคาเท่านี้มาตั้งแต่ร้านในทำเลก่อนหน้าแล้วรึเปล่า หรือว่ามาตั้งราคาเอาใหม่ เอาตอนที่ย้ายร้านมาอยู่ที่สุขุมวิท 20 นี้ คือกับร้านที่ผมไม่เคยรู้จัก, ร้านที่ชื่อไม่ดัง มันก็ดูเป็นราคาที่แพงโอเว่อร์ไปนะครับ แต่เมื่อพิจารณาถึง ตัววัตถุดิบของเมนู (ที่ทางร้านถึงกับเขียนโฆษณาไว้เลยว่าใช้ของดีจริง) , บรรยากาศ และการบริการของทางร้านแล้ว ก็พอจะถือว่าสมน้ำสมเนื้อขึ้นมาหน่อย แต่ก็นั่นแหละครับ ขาดชื่อเสียงกับเกียรติยศมาเติมเต็มราคาให้มันแพงขนาดนี้ก็แค่นั้น
รายละเอียดของดีลที่พวกผมซื้อมากันนั้นคือเป็น Set Menu สำหรับ 4 คน มูลค่า 9720 บาท แต่ซื้อมาในราคา 3,299 บาท ประกอบด้วย Appetizer 4 อย่าง, Soup 4 อย่าง, Salad 2 อย่าง และ Main Course 4 อย่างครับ อาหารในมื้อนี้ก็มีเพิ่มเติมจากในดีลไปอีกอย่างนั่นก็คือ Steak จานนึง เนื่องจากว่าอยากจะลอง Steak ของร้านที่ประกาศตัวเองว่าเป็น Steakhouse จ๋าขนาดนี้ดูสักหน่อยครับว่ามันเด็ดจริงอะไรจริงรึเปล่า ก็มาไล่เรียงอาหารกันไปเลยละกัน
Appetizer
Baked Escargot 1/2 Dozen (400 บาท) จานนี้เห็นแว่บแรกผมนึกว่าเป็นหอยหวาน ซึ่งเอาจริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยเห็นร้านไหนเสิร์ฟหอยทากมาแบบมาทั้งเปลือกแบบนี้เหมือนกัน ก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วหอยทากฝรั่งเศส, หอยทากอเมริกัน นั้นตัวเปลือกมันเป็นอย่างไร แต่จากที่ google ดูตะกี้ ตัวรูปร่างเปลือกได้ครับ แต่ลวดลายมันไม่ใช่ หรือว่านี่มันจะคือหอยหวานจริง ๆ แล้วแบบขอแค่ให้เป็นหอยเปลือกรูปทรงอย่างนี้ เราก็สามารถเหมาว่าเป็น Escargot ได้หมด? จานนี้ก็โอเคครับ อร่อยพอประมาณ อบหอยมาสุกดี และเนย กับซอสก็เข้าไปในตัวหอยดี กินเพลิน ๆ เปิดประเดิมกระเพาะ
Foie Gras, Pan-fried with mango (350 บาท) จานนี้ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็น Foie Gras ชิ้นเล็ก ๆ ครับ แต่เปล่าเลย ฟัวกราส์ชิ้นใหญ่มาก เลยทำให้จานนี้น่าจะเป็นจานเดียวในมื้อนี้ที่ผมรู้สึกว่าคุ้มค่าคุ้มราคาดี เพราะส่วนใหญ่ ฟัวกราส์ 350++ บาทตามร้านอื่น ๆ นั้นจะได้มาเป็นชิ้นเล็ก ๆ ง่อย ๆ ซะมากกว่า จานนี้ก็ทำได้ดีอีกเช่นกันครับ เพิ่งเคยกินเหมือนกันกับการเอา ตับห่านมากินกับมะม่วงสุก ๆ ซึ่งตับห่านมันก็เข้ากันได้ดีกับผลไม้ เปรี้ยวหวาน ๆ อยู่แล้ว ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร ทางร้านยังมีแถม red cabbage ที่ผมชื่นชอบเพิ่มเติมมาให้อีกด้วย ก็เป็นการกินตัดรส ล้างลิ้นในแต่ละคำที่กินตับห่านเข้าไปได้เป็นอย่างดีครับ จานนี้เสียดายที่ตับห่านยังใช้ของไม่ค่อยดีเท่าไร และก็ทางร้าน Overcook ไปนิดนึงด้วย ตับเลยแข็งไปนิด และก็มันไม่ค่อยเยิ้มเท่าไร
Baked Imported Scallops with Cheese (390 บาท) - เป็นหอย Scallop จากอเมริกาแน่นอน เพราะว่าตัวใหญ่ผิดหอยนุษย์หอยนาแถวเอเชียนี้ (พยายามเล่นคำว่ามนุษย์มนาครับ) จานนี้ ทำมาได้ค่อนข้างดีเลย ทางร้านเอาหอยไปอบกับชีสจนแบบแข็งปั๋ง ชีสยึดหอยมาติดกับจานเลย พอเอามีดค่อย ๆ แล่เอาเนื้อหอยที่อวบอูม เป่งปั่ง ออกมากินก็ ว้าว อร่อยดีครับ ชีสกับหอยเข้ากันดี เพิ่งจะเคยกินอะไรแบบนี้เหมือนกัน
Smoked Norwegian Salmon (320 บาท) จานนี้ชอบที่สุดใน Appetizer ล่ะครับ ไม่รู้ว่าเจ้าแซลมอนรมควันนี้เป็นการซื้อแบบสำเร็จรูปมารึเปล่า ซึ่งถ้าใช่ก็อยากจะไปถามเชฟจริง ๆ ว่าซื้อมาจากเจ้าไหนเหรอ? อยากซื้อบ้าง แต่ถ้าทางร้านทำเองก็ต้องขอปรบมือให้เพราะว่ามันอร่อยจริง ๆ ตัวแซลมอนกินเปล่า ๆ ก็อร่อยอยู่แล้ว แต่ทางเชฟมีใส่ซอสที่คล้าย ๆ มายองเนส บวกกับเม็ด caper เข้าไปอีก ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะไม่เข้ากัน แต่เข้ากันดีครับ รสชาติเค็มจากปลา , หวาน ๆ ขม ๆ จากซอส , และ texture แข็ง ๆ จากเม็ดนี้ พอม้วนกินแต่ละคำแล้ว โอย ฟิน แฟง ฟัง เลยครับ
Soup
New England Clam Chowder (250 บาท) ซุปจานนี้อร่อยครับ ผมเองไม่ค่อยได้กินเท่าไร หรือว่ากันจริง ๆ ก็คือไม่เคยกินตามร้านอาหารด้วยซ้ำ เคยซื้อแต่แบบเป็นกระป๋อง ๆ ของ Campbell มากิน อร่อยครับ รสชาติกลมกล่อมดีมาก
Mediterranean Lobster Bisque (280 บาท) จานนี้ไม่ผ่านครับรสชาติ lame ๆ แปลก ๆ พิกลพิการ ได้ว่าเป็น Lobster Bisque อย่างเดียวก็ตรงหน้าตาแค่นั้นครับ
French Onion soup (220 บาท) จานนี้ทำมาได้ค่อนข้างดี ซุปไม่เค็มปี๋ไปแบบหลาย ๆ ร้านที่กินช่วงหลัง, ชีสก็ไม่ได้อบมาจนแข็งโป๊ก แต่จะแบบนุ่ม ๆ ยืด ๆ น่ากิน และก็ตัวน้ำซุปก็ไม่ได้ทำมาจนข้นคลักจนไม่ใช่ซุปแต่น่าจะเรียกว่าสตูว์มากกว่าแบบบางร้าน ถือว่าทำได้ดีครับ ใช้ได้เลย
Cream of Crabmeat (270 บาท) ซุปจานนี้เป็นอีกอันที่ lame ๆ นิดหน่อย ทางร้าน Peter's Pan ให้เนื้อปูมาพอสมควรสมกับราคาที่ตั้งไว้แสนแพง แต่รสชาตินั้นมัน เปรี้ยว ๆ ปะแล่ม ๆ แปลก ๆ ยังไงไม่รู้ครับ ผมและเพื่อน ๆ ไม่ค่อยชอบกันสักเท่าไร
Salad
Spicy Beef Salad (210 บาท) จานนี้ เห็นหน้าตาแว่บแรก มันคือยำเนื้อลายของไทยชัด ๆ ครับ! ทั้งสะระแหน่, แตงกวา, พริก และเนื้อ แต่มีสตรอเบอรี่มาเพิ่มความเป็นฝรั่งเล็กน้อย จานนี้ไม่อร่อยครับ เหมือนกับเชฟพยายามจะทำให้ยำแบบไทย ๆ นั้นมันมีความเป็นอเมริกัน ความเป็นตะวันตก รสชาติที่กินมันเลยประหลาด ๆ จะยำก็ไม่ใช่ จะสลัดก็ไม่เชิง เสียดายเนื้อดี ๆ นุ่ม ๆ ที่ให้มาค่อนข้างเยอะในจานครับ
Spicy Crabmeat Salad (210 บาท) เป็นสลัดจานที่ 2 จานนี้ก็ไม่ค่อยอร่อยอีกเช่นกันครับ รสชาติจะออกเปรี้ยวนำมากไป และแบบ lettuce ที่ให้มา ผมไม่รู้สึกว่ามันเข้ากับเนื้อปูตรงไหนเลย (ควรจะเป็นเนื้อประเภทอื่นมากกว่า) จานนี้ไม่ค่อยผ่านครับ แต่ก็กิน ๆ ไป เพราะจะได้มี fiber เข้ากระเพาะบ้าง
Main Course
Maryland Crab Cake (served with tarragon and butter sauce - 900 บาท) - Main Course จานแรกเป็นอะไรที่เรียกว่าทอดมันปูสไตล์ฝรั่งก็ไม่ผิดนักครับ จานนี้บอกตรง ๆ ว่าเห็นราคาแล้วแอบงง เอาจริงดิ? Crab Cake 900 บาท ตอนก่อนจะเห็นจานก็แอบคิดว่ามันจะก้อนใหญ่แค่ไหนให้เยอะแค่ไหน เพราะว่า 900 บาทนี่ถ้าเอาเนื้อปูม้ามาทำก็ได้ร่วม ๆ 2 กิโลแบบมีเปลือกเลยนะเนี่ย แต่พอพนักงานยกมาก็ต้องผิดหวังกับปริมาณครับ เพราะมันเป็นทอดมันปูชิ้นไม่ใหญ่นัก 2 ชิ้นนัก และยิ่งได้กินคำแรกแล้ว ก็ยิ่งเซ็งเพราะไม่ค่อยเจอความเป็นเนื้อปูซักเท่าไร เป็นแป้งกับเนื้อปูซักครึ่งนึง (แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นส่วนผสมที่เหมาะสม) แต่ก็นะ ตั้งราคาแพงไป ยังดีครับ ที่รสชาติทำออกมาได้ดี ใช่ครับ อร่อยแบบประมาณทอดมันกุ้งร้านดี ๆ แบบไทย ๆ ในบ้านเรา แต่อันนี้เป็นทอดมันปูไม่ชุบเกล็ดขนมปังแค่นั้น period
Fillet of Lamb (Imported fillet of lamb from Australia. served with sauteed mushroom and zucchini - 900 บาท) จานนี้เป็นอีกจานที่จะตั้งราคาแพงไปไหน 900 บาทได้เนื้อแกะเล็ก ๆ มา 2 ชิ้น หลาย ๆ ร้านนี่ 900 บาทได้เนื้อแกะมาทั้งขา หรือถ้าเป็นซี่โครงก็ได้มา 3-4 อัน เฮ้อ แต่ก็อีกแล้วครับ รสชาติถือว่าทำได้ค่อนข้างดี แต่เนื้อมัน Overcook ไปหน่อย หรืออาจจะไม่หน่อยเพราะมัน Well-done ไปแล้ว เพราะจริง ๆ ถ้าทำมาแบบ medium-rare กำลังดี มันก็จะอร่อยกว่านี้มากเลย เพราะซอสที่ราดมา, ผิวที่หมักเนื้อมา และ garnish ที่ให้มาในจาน ทุกอย่างทำมาได้ดีหมดเลย
Lamb Curry (Frenched rack ribs cooked in mild curry sauce with sweet potato served with brown rice - 950 บาท) จานนี้เป็นจานแรกใน Main Course ที่ผมรู้สึกว่า เออค่อยคุ้มราคาหน่อย เพราะทางร้านให้ซี่โครงแกะอันใหญ่มาถึง 3 ซีก และก็ให้ข้าวเปล่ามากินด้วยอีก 1 จาน จานนี้นอกจากจะคุ้มแล้วรสชาติก็ยังทำได้ดีมากอีกด้วยครับ ตัวรสแกงกะหรี่นั้นจะเป็นแนวไทย ๆ ไม่ใช่แนวอินเดีย แบบที่ตอนแรกที่คิดว่าจะเป็น คือกลิ่นเครื่องเทศมันไม่แรงเท่า แล้วก็มาหวานนิด ๆ และก็มีแอบเผ็ดหน่อย ๆ และกินแต่ละคำกับเนื้อแกะที่ตุ๋นมาจนเปื่อยยุ่ยนุ่ม ๆ แล้วแบบ โอเคเลยครับ เป็นจานที่ทั้งคุ้มและอร่อยเลย
Pan-fried US Cod Loin in Rich Cream (Cheese sauce served with white asparagus - 800 บาท) เป็น Main Course ในดีลจานสุดท้าย จานนี้ไม่ไหวครับ ปลาค็อด ไม่รู้ว่าไม่สด หรือว่าปรุงรสมาไม่ดี กินเข้าไปคำแรกนี่แหยะมาก และก็ไม่รู้ว่าทางร้านต้องการจะทอดให้ออกมากรอบนอก นุ่มใน หรือว่าจะทอดให้พอสุกหรือว่าอะไร เพราะว่า texture มันไม่ชัดเจนมาก ๆ คนละเรื่องกับหลาย ๆ ร้านที่ช่วงหลังกินมา และมีเมนูปลาค็อด ซึ่งแบบแทบทุกร้านจะทำอร่อยหมดเลย และตัว sidedish ที่ให้มาด้วยกัน - White Asparagus ก็แบบต้นใหญ่ดีนะครับ แต่กินไปแล้วก็แหยะอีกเช่นกัน รสชาติประหลาดมาก fail มากครับจานนี้
New York Steak (Grain - fed imported steak from the US Black Angus Choice Grade 180 Days weight 330 gram served over a charcoal grill - 1300 บาท) เป็นอาหารที่สั่งเพิ่มเติมไปจากในดีล หน้าตาตอนยกมานั้นน่ากินมาก ๆ ครับ grill มาแบบผิวนอกดูสวยงามหมดจดจริง ๆ แต่พอแล่ไปดูความสุกข้างในแค่นั้นล่ะครับ OMG มัน Well-done ไปแล้วครับ พวกผมก็เลยบอกให้พนักงานไปทำมาใหม่ ซึ่งร้านนี้ก็ดีครับ เอาเนื้อชิ้นใหม่ทอดมาให้เลย ซึ่งชิ้นที่ 2 มันก็ไม่ Medium-rare สักเท่าไรอีกเช่นกันแต่เป็น medium ซะมากกว่า แต่ก็แบบขี้เกียจรอ + สงสัยทางร้านแล้วก็เอาวะ กิน ๆ ก็ได้ ตัวเสต็กรสชาติดีครับ คือเป็นรสชาติแบบที่ควรจะคาดหวังกับเสต็กที่ไปกินตามร้านอาหารอ่ะครับ แต่ถ้าถามว่าดีขนาดแบบจะเอาไปโม้ว่านี่คือเสต็กจากร้าน Steakhouse มั้ยก็คงตอบได้ง่าย ๆ ว่าไม่ครับ ตัวผมเองเพิ่งไปไล่ล่ากินเสต็กที่อเมริกามาเยอะ ร้านที่นุ่นทุกร้านทำได้ดีกว่าเนื้อชิ้นนี้ที่วัตถุดิบใช้อย่างเดียวกันหมด ตัวซอส, การปรุงเนื้อนั้นดูไม่ใช่ปัญหาเท่าไร น่าจะเป็นปัญหาที่การ grill ที่เทคนิคอาจจะยังไม่เทพพอแค่นั้นล่ะมั้งครับ (ร้าน Steakhouse แพง ๆ ในไทยชื่อดังทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนครับ) ส่วนตัว Garnish ที่ให้มาด้วยกัน ผมว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไรนะ เมล็ดข้าวโพด กับมันฝรั่งทอดเนี่ย ฮ่า ๆ แต่ก็โอเคครับ แปลกดี
มื้อนี้ ไปกัน 5 คนหาร ๆ กันแล้วก็ตกอยู่ที่คนละ 900 บาทครับ ก็ถ้าไม่ได้ดีลมาช่วยลด มื้อนี้ก็คงโดนกันสัก 2000 บาทได้ ซึ่ง 900 บาทผมโอเค พร้อมที่จะจ่าย แต่ถ้า 2000 บาทแน่นอนว่าผมไม่ยอมจ่ายแน่ ร้าน Peter's Pan นี้องค์ประกอบทุกอย่างของร้านอาหารดี ๆ นั้นผมว่าก็ทำมาได้ดีหมด จะขาดก็แต่เรื่องรสชาติอาหารนี่แหละครับ ที่แบบ ตัวเองกล้าตั้งราคาแพงขนาดนี้แล้ว รสชาติมันก็ควรจะ stellar ตามราคาที่ตั้งไว้ด้วย ไม่มีใครหรอกครับจะมายอมจ่ายเงินแพง ๆ แล้วได้อาหารที่รสชาติแบบหากินได้ตามร้านที่จ่ายได้ถูกกว่าครึ่งนึงแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะร้านย้ายมาใหม่ เชฟอาจจะมาใหม่ ฝีมือยังไม่นิ่ง ยังเรียนรู้สูตรของคุณ Peter ได้ไม่ดีพอรึเปล่า อันนี้ก็ต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ล่ะครับ
ปล. ร้าน Steakhouse ที่ไม่ค่อยชื่อดังเท่าไรในไทยนี่รู้สึกจะชอบ Overcook ตัว steak กันเหลือเกินนะครับ ไม่รู้ว่าเพราะคนไทยติดชอบกินอะไรสุก ๆ รึเปล่าจนพ่อครัวชาชินกับการทำเนื้อสุก ๆ ไปแล้ว ผมล่ะอยากวิงวอนคนที่เป็น Beef Lover แต่ยังสั่ง well-done มากินจริง ๆ ว่าเลิกเหอะครับ มาลอง Medium Rare เถอะ มันคือความสุกแบบที่เชฟทั่วโลก, นักชิมทั่วโลกพิสูจน์มาหมดแล้วว่ามันอร่อยที่สุด เพราะถ้าคนไทยสั่งแบบนี้กันเยอะ ๆ เค้า เดี๋ยวพ่อครัวเสต็กบ้านเราก็จะได้ทำ medium rare ออกมาได้ดีตาม
ปล. 2 ผมอ่าน Kitchen Confidential ที่เป็นหนังสือของเชฟชื่อดัง เค้าบอกว่าเวลาลูกค้าสั่งเนื้อแบบ well-done นี่เค้าจะดีใจมาก เพราะจะได้กำจัดเนื้อเน่า ๆ เนื้อไม่ดีใน stock ทิ้ง เพราะมันเป็นการย่าง, การปรุงในแบบที่จะไปทำลาย protein ของเนื้อจนหมด จนกินแล้วไม่รู้เลยว่าเนื้อดีกับเนื้อไม่ดีมันแตกต่างกันยังไง อืม เค้าบอกว่าไม่เชื่อก็ลองดูก็ได้ เอาเนื้อห่วย ๆ กับเนื้อเทพ ๆ มาทำ well-done แล้วลอง blind test กินดู นี่ล่ะครับ อีกหนึ่งเหตุผลของการหยุดกิน well-done
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Bangkok is renowned for its gourmet food at reasonably low prices. This blog covers a wide range of restaurants in Bangkok and occasionally in other provinces (Chiang Mai, Pattaya, Phuket). From street vendors to luxurious restaurants - From mouthwatering dishes to eye widening meals, all can be found here. This blog will take you to experience the exotic food you rarely find in your area. Feel free to leave comments or suggestion. Please visit http://www.bumres.com for more information.
Wednesday, January 23, 2013
Kacha Kacha - Asiatique Review
Kacha Kacha - Japanese Izakaya Restaurant at Asiatique, Bangkok
คะฉะ คะฉะ - ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเหล้าญี่ปุ่น อิซากาย่า เอเชียติค เบียร์สด
Overall Score 9.5/10
Taste 5/5
Ambiance 4/5
Service 4/5
Value 4/5
Kacha Kacha - Izakaya at Asiatique on BumRes.com (For more pictures and menu)
ร้าน Izakaya ในบ้านเราก็เป็นร้านที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับกระแสร้านอาหารญี่ปุ่น, ร้าน Sushi ในกรุงเทพมหานครของเรา ซึ่งเมื่อผมลองมานั่งนับ ๆ ดูแล้ว เผลอ ๆ ร้าน Izakaya ที่เปิดตัวขึ้นมาใหม่นี่จะมีเยอะกว่าร้าน Sushi อีกนะเนี่ยจะว่าไป ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่น่าจะถูกต้องล่ะ เพราะที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าเมืองไหน ๆ หัวมุมถนนไหน, ย่านใด ก็จะมีร้าน Izakaya ประจำอยู่อย่างน้อย ๆ 1 ร้านเสมอ คือถ้าเปรียบร้าน Izakaya กับร้านอาหารในบ้านเรา ก็คงเป็นประมาณร้านอาหารอีสานก็ว่าได้ครับ เป็นร้านที่คนทำงาน, เด็กนักเรียน หรือคนกลุ่มใดก็ได้จะไปกินกันตอนเย็น หลังเลิกงาน, หลังเลิกเรียน หรือ ไปกินกันวันหยุด เสาร์อาทิตย์ประมาณนี้ เป็นร้านอาหารราคาถูก ร้านอาหารสามัญประจำบ้านอะไรเทือกนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าร้านอาหารอีสานทุกร้านจะถูก ร้านอาหารอีสานราคาแพง, ติดแอร์, สวยงาม หรูหรา อยู่ในห้าง กินทีนึงหลายร้อยบาทก็มี ก็เฉกเช่นเดียวกันกับร้าน Izakaya ที่มีทั้งราคาแพงและราคาถูกไปตาม position ของทางร้านเช่นกัน
กับร้านในรีวิวฉบับนี้ก็เป็นร้าน Izakaya ที่น่าจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเดี่ยวจากร้าน Izakaya อื่น ๆ แต่รายล้อมไปด้วยผู้คนและร้านอาหารต่าง ๆ มากมาย กับร้าน Kacha Kacha - Izakaya @ Asiatique นั่นเอง (เพื่อนผมบอกว่า Kacha Kacha เป็นเสียงเหรียญหมุนออกมาจากเครื่อง แต่ก็อาจจะมีความหมายอื่นแต่เค้านึกไม่ออก) ร้านนี้รู้สึกว่าจะเป็นร้านในเครือของร้าน Fujiyama Go Go - ร้านราเมนสุดโปรดของผม (ที่เหมือนหลัง ๆ จะ down ลงไป) และชั้น 2 ของร้านตอนนี้ก็มีร้านที่คล้าย ๆ กันกับ Fujiyama ชื่อ Matsuri De Go Go เปิดอยู่เช่นเดียวกัน (ขายราเมนเหมือนกัน) ซึ่งจากลูกค้าที่เนืองแน่นร้านนี้แทบจะตลอดเวลาที่ผมมาที่ Asiatique, ความเป็นเจ้าของเดียวกันกับร้านราเมนที่ผมชอบ และเพื่อนผมที่เคยมากินกันแล้วบอกว่าร้านนี้ยอดเยี่ยมแล้ว บอกตรง ๆ ว่า วันนี้ที่มากิน ผมจงใจถ่อมาจากรามคำแหง มายัง Asiatique เพื่อมากินร้านนี้โดยเฉพาะเลยล่ะครับ!
ร้านนี้ก็เหมือน ๆ กับร้าน Izakaya ทั่ว ๆ ไป เน้นการตกแต่งด้วยไม้ และขวดสาเก มีทั้งโต๊ะแบบโต๊ะธรรมดา, โต๊ะนั่งแบบญี่ปุ่น และ counter bar แต่สิ่งนึงที่แตกต่างจากร้าน Izakaya อื่น ๆ ที่ผมเจอมาคือ จะไม่ค่อยกั้น ๆ คอก ให้ความเป็นส่วนตัวของแต่ละโต๊ะซักเท่าไร (ซึ่งก็มีบางร้านที่เป็นแบบนี้เช่นกัน แต่ร้านที่กั้น ๆ จะมีมากกว่า) ส่วนอาหารของทางร้านนี้ก็จะเป็นอาหารที่เน้นพวก Yakitori กับ Teppanyaki มากกว่าร้านอื่นเล็กน้อย เพราะทางร้านใช้ชื่อพ่วงว่า Yakitori & Teppanyaki ไว้หลังชื่อร้านด้วย ซึ่งตัว Yakitori อาจจะไม่ได้อะไรมาก หลาย ๆ ก็มีกัน (แต่แค่อาจจะไม่ได้โชว์, โฆษณาอะไรเท่า) แต่ตัว Teppanyaki หรือกระทะร้อนนี่ผมว่าเด่นกว่าร้านอื่นจริง ๆ เพราะมีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะ และก็มีคนทำโชว์ให้ลูกค้าเห็นกันจะ ๆ เลยตรงบริเวณ counter bar ส่วนราคาอาหารนั้นก็ตามมาตรฐานร้าน Izakaya ทั่ว ๆ ไป จานละ 100 - 300 บาทโดยประมาณสำหรับอาหารทั่วไปและพวกกระทะร้อน ส่วนพวก Yakitori ก็ไม้ละ 40 - 60 บาทเช่นกัน ราคาต่อหัวสำหรับร้านนี้ อย่างมื้อนี้ที่พวกผมมากิน ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มอะไรกันจริงจังมาก ก็ตกอยู่ที่คนละประมาณ 900 บาท ก็อยู่ในระดับร้าน Izakaya ขึ้นห้าง, Izakaya เกือบ ๆ จะชั้นดีทั่วไปล่ะครับ
มื้อนี้ขอแบ่งอาหารเป็น 2 หมวดละกันนะครับ หมวดแรกเป็นอาหารทั่วไปที่ไม่ใช่ Yakitori ส่วนอีกหมวดก็เป็น Yakitori เพราะแต่ละหมวดก็สั่งกันไปค่อนข้างเยอะพอตัวเหมือนกัน
อาหารอย่างแรกที่ได้นั้นเป็น สลัดหัวไชเท้า (Refreshing mizuna and crunchy daikon radish sald -Daikon Mizuna Salad - 150 บาท) จานนี้ผมเพิ่งได้กินครั้งแรกที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสักร้านที่โตเกียวที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของผมพาไปกิน หลังจากที่กินครั้งนั้นแล้วติดอกติดใจเหลือเกิน หลังจากนั้นกลับมาไทยก็มีโอกาสได้ไปกินที่ร้าน Katana - Eighth Thonglor แล้วก็ชอบ มางวดนี้เห็นในเมนูปุ๊บก็รีบสั่งทันที ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ ของร้านนี้ก็อร่อยเฉกเช่นเดียวกัน มันอร่อยแบบบรรยายไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าเพื่อนที่ไปด้วยกัน 3 คนและมีโอกาสได้กินครั้งแรกก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "อร่อยมาก"
อย่างที่ 2 นั้นเป็น Kacha Kacha Yaki (Mixed okonomiyaki (Kimchi/Cheese/Japanese leeks/Pork/Garlic) - 300 บาท โอโคโนมิยากิที่อุตส่าห์เอาชื่อร้านไปใส่มีเหรอที่จะผิดหวังครับ รสชาติจานนี้ก็อร่อยเยี่ยมเช่นกัน มีทีเด็ดแหวกแนวกว่าชาวบ้านเล็กน้อยตรงใส่กิมจิโรยหน้าด้านบนมาด้วย ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะไม่เข้ากัน แต่ก็เข้ากันเป็นอย่างดีกับ แป้ง + กะหล่ำปลี + ซอยมายองเนส และปลาโอแห้งที่โรย ๆ มา ทุกอย่างผสมผสานเข้ากันจนกลายเป็นรสชาติอันสุดแสนจะอร่อยในทุกคำที่กินไป ยอดเยี่ยมอีกเช่นกันครับจานนี้
อย่างที่ 3 เป็น ผัดเอ็นเนื้อกะหล่ำปลี (Stir-fried beef tendon with cabbage - Gyusuji shio kyabets - 150 บาท) จานนี้ก็เป็น จานที่ในเมนูทำเป็นรูปใหญ่เชื้อเชิญให้สั่งซะเหลือเกิน ซึ่งก็สมควรอีกเช่นกันที่ทำเป็นรูปใหญ่เพราะว่ามันอร่อยอีกแล้วครับท่าน เอ็นเนื้อมาแบบเค็ม ๆ นุ่ม ๆ เข้ากันกับผักกะหล่ำปลีที่ผัดมาแบบพอให้สุก พอให้ได้ผัด ไม่ได้ผัดมาจนไหม้แบบบางร้าน และมีปลาโอแห้งที่โรยมาจนเยอะ จนแทบจะเรียกว่าสลัดปลาโอแห้งก็ไม่ผิดนักอีกแล้ว ทุกอย่าง ผสมผสานลงตัวกันจนกลายมาเป็นรสชาติ อูมามิ ขั้นเทพอีกเช่นกัน อร่อยอีกแล้วครับจานนี้
อย่างที่ 4 เป็น Caesar Salad - 220 บาท จานนี้ค่อนข้างธรรมดา ๆ เป็น Caesar Salad สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นซีซาร์สลัดตรงไหน ไม่ว่าจะตัวน้ำสลัดที่ก็ไม่ใช่ล่ะ เป็นครีม ๆ น้ำใส , ตัวผักที่ใส่มาทั้งกิมจิและมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ จะมีก็แค่ผัก Romaine เท่านั้นล่ะมั้งที่เหมือน Caesar Salad จริง ๆ จานนี้ทำมาได้ดีกว่า ซีซาร์สลัดของร้านยุโรปหลาย ๆ ร้าน แต่เมื่อเอาไปเทียบกับเจ้าสลัด Daikon จานก่อนหน้าแล้ว จานนี้ก็เลยหมองลงไปจนกลายเป็นธรรมดา ๆ ไปเลย (ถ้าสั่งไปเทียบกับร้านอื่นคงชนะแบบไม่ต้องสงสัย)
อย่างที่ 5 เป็น เอ็นเนื้อตุ๋นมิโซะ (Braised beef tendons with miso - Gyusuji dote ni - 130 บาท) จานนี้ก็อร่อยอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่มากมายเท่าไร กินแล้วโอเค แต่ยังไม่ถึงกับชอบมากมายอะไร
อย่างที่ 6 เป็น ยากิโซบะเอ็นเนื้อ (Yakisoba noodles with beef tendon simple salt flavor - Gyusuji shio yakisoba - 200 บาท) จานนี้ผมไม่ค่อยได้กินล่ะเพราะว่าเริ่มอิ่มแล้ว แต่ก็มีแอบชิม ๆ ไปบ้างก็ทำได้ดีอีกเช่นกัน เส้นยากิโซบะมาแบบเส้นใหญ่จนเกือบเป็นอุด้ง + เอ็นเนื้อที่เหมือนร้าน Kacha Kacha แห่งนี้จะใช้กับเมนูหลายจานเหลือเกิน + ปลาโอแห้ง และผักกะหล่ำปลี (เหมือนกับว่าวัตถุดิบของร้านนี้จะคล้าย ๆ กันไปหมด เปลี่ยนโน่นนิดเปลี่ยนนี่หน่อยก็ออกมาเป็นอาหารจานใหม่ อะไรงี้) ทกอย่างก็ทำมาได้ดีครับ น่าจะมาจากฝีมือพ่อครัวคนเดียวกันที่ทำเจ้าตัว Kacha Kacha Yaki ซึ่งหลังจากกินพวกาอาหารกระทะร้อนของร้านนี้แล้ว อยากจะดึงตัวพ่อครัวคนนี้มาเป็นพ่อครัวส่วนตัวชะมัด
อาหารที่ไม่ใช่ Yakitori อย่างสุดท้ายนั้นเป็น มะเขือผัดซอสมิโซะ (Fried eggplant with chinese chilli sauce - Mobo Nasu - 180 บาท) จานนี้คือที่สุดของแจ้ครับ ที่สุดจริง ๆ ในมื้อนี้ โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบมะเขือม่วงอยู่แล้ว และกินมาหลายร้านมาก ๆ ไม่เคยเจอร้านไหนที่ผมอยากจะสะกดคำว่าอร่อยให้สักเท่าไร แต่กับจานนี้ กับร้านนี้ คนละเรื่องครับ เอาคำว่า "โคตรอร่อย" ไปแทนคำว่าอร่อยน่าจะเหมาะสมกว่า เพื่อนผมอีก 3 คนที่ไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกันว่า จานนี้ มันคือที่สุดจริง ๆ
อาหารหมวดที่ 2 Yakitori ก็สั่งไปเยอะแยะตาแป๊ะไก่อีกเช่นกัน ประกอบด้วย
สะโพกไก่ (Chicken thigh - 40 บาท) |
ไก่ย่างต้นหอม (Chicken thigh and Japanese leek - 40 บาท) |
หนังไก่ (Chicken skin - 40 บาท) |
กึ๋นไก่ (Chicken gizzards - 40 บาท) |
ไก่บด + ไข่แดงสด (Tsukune, Ground chicken balls with egg yok - 60 บาท) |
หมูย่างต้นหอม (Pork and Japanese leek - 40 บาท) |
ไก่บดชีส (Ground chicken balls with cheese - 60 บาท) |
กระเจี๊ยบ (Okura - 30 บาท) |
กระเทียม (Ninniku - Garlic - 30 บาท)
ทั้งหมดนี้ ราคาไม่แพงเลย (บางร้านในเมืองขายกันไม้ละ 120++ ก็มีครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าร้านพวกนั้นนี่เอาอะไรมาตั้งราคา -*-) และแต่ละอันก็ทำมาได้แบบ อร่อยเยี่ยม บางไม้นี่จัดได้ว่าเป็น One of the best ของชนิดนั้น ๆ ที่เคยกินในกรุงเทพเลย โอย สมแล้วครับที่ร้านนี้เอาคำว่า Yakitori, และ Tappanyaki มาพ่วงท้ายชื่อร้าน เพราะอาหารหมวดหมู่เหล่านี้มัน..อร่อยเว่อร์ไปหมดเลย
มื้อนี้ปิดท้ายด้วยของหวาน 2 อย่าง ไอศครีมชาเขียว (Green Tea Ice Cream - Macha Icecream - 130 บาท) และ Pudding (Flan in kacha kacha style - 120 บาท) ไม่รู้ว่าเพราะของคาวของร้านนี้เทพ หรือ เพราะว่าพวกผมอิ่มกันมากแล้ว หรือเพราะว่าของหวาน 2 อย่างนี้มันธรรมดาจริง ๆ เจ้า 2 อย่างนี้แบบรสชาติธรรมด๊า ธรรมดา ครับ ถือว่าโอเคถ้าเอาไปอยู่ที่ร้านอื่น หรือได้กินในมื้ออื่น แต่กับมื้อนี้หลังจากที่ได้กินอาหารคาวเทพ ๆ มาร่วม 10 อย่าง ของหวาน 2 อย่างนี้ก็เลยหมองไปโดยถนัดตา
สรุป มื้อจัดหนักที่ร้าน Kacha Kacha แห่งนี้ ผมและผองเพื่อนชอบกันมากครับ ชอบกันจนพูดเป็นเสียงเดียวว่า ไอ้ร้าน Izakaya ทั้งหลายแหล่ที่ผมพาไปกินช่วงหลัง ๆ แทบกันไม่ได้กับร้านนี้เลยแม้แต่น้อย ร้านนี้แบบทำอาหารมาอร่อยทุกอย่างจริง ๆ และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่น ไม่ว่าจะการบริการ (ที่อาจจะยังไม่เทพแต่ก็โอเคในระดับยอมรับได้, บรรยากาศร้าน (ที่อาจจะไม่เป็นส่วนตัวนักแต่พวกเราคนไทยก็ไม่ได้ต้องการ Privacy อะไรมากมายแบบคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว) เข้าไปแล้ว ผมจึงขอมอบคะแนน 9 กว่า ๆ ที่ช่วงหลัง ๆ นี้ไม่ค่อยมีร้านไหนได้เลยให้ร้านนี้ละกัน โอย เสียดายอย่างเดียวครับที่ร้านนี้อยู่ไกลบ้านผมเหลือเกิน แต่ถ้าแบบให้ฝ่ารถติดไปกินร้านนี้, ขับไปสิบกว่ากิโลเมตรเพื่อกินร้านนี้ บางทีมันก็อาจจะคุ้มกว่าไปกินร้าน Izakaya ที่ทองหล่อที่แพงโดยใช่ที่และอร่อยไม่เทียบเท่าก็ได้นะครับเนี่ย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
คะฉะ คะฉะ - ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเหล้าญี่ปุ่น อิซากาย่า เอเชียติค เบียร์สด
Overall Score 9.5/10
Taste 5/5
Ambiance 4/5
Service 4/5
Value 4/5
Kacha Kacha - Izakaya at Asiatique on BumRes.com (For more pictures and menu)
ร้าน Izakaya ในบ้านเราก็เป็นร้านที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับกระแสร้านอาหารญี่ปุ่น, ร้าน Sushi ในกรุงเทพมหานครของเรา ซึ่งเมื่อผมลองมานั่งนับ ๆ ดูแล้ว เผลอ ๆ ร้าน Izakaya ที่เปิดตัวขึ้นมาใหม่นี่จะมีเยอะกว่าร้าน Sushi อีกนะเนี่ยจะว่าไป ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่น่าจะถูกต้องล่ะ เพราะที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าเมืองไหน ๆ หัวมุมถนนไหน, ย่านใด ก็จะมีร้าน Izakaya ประจำอยู่อย่างน้อย ๆ 1 ร้านเสมอ คือถ้าเปรียบร้าน Izakaya กับร้านอาหารในบ้านเรา ก็คงเป็นประมาณร้านอาหารอีสานก็ว่าได้ครับ เป็นร้านที่คนทำงาน, เด็กนักเรียน หรือคนกลุ่มใดก็ได้จะไปกินกันตอนเย็น หลังเลิกงาน, หลังเลิกเรียน หรือ ไปกินกันวันหยุด เสาร์อาทิตย์ประมาณนี้ เป็นร้านอาหารราคาถูก ร้านอาหารสามัญประจำบ้านอะไรเทือกนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าร้านอาหารอีสานทุกร้านจะถูก ร้านอาหารอีสานราคาแพง, ติดแอร์, สวยงาม หรูหรา อยู่ในห้าง กินทีนึงหลายร้อยบาทก็มี ก็เฉกเช่นเดียวกันกับร้าน Izakaya ที่มีทั้งราคาแพงและราคาถูกไปตาม position ของทางร้านเช่นกัน
กับร้านในรีวิวฉบับนี้ก็เป็นร้าน Izakaya ที่น่าจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเดี่ยวจากร้าน Izakaya อื่น ๆ แต่รายล้อมไปด้วยผู้คนและร้านอาหารต่าง ๆ มากมาย กับร้าน Kacha Kacha - Izakaya @ Asiatique นั่นเอง (เพื่อนผมบอกว่า Kacha Kacha เป็นเสียงเหรียญหมุนออกมาจากเครื่อง แต่ก็อาจจะมีความหมายอื่นแต่เค้านึกไม่ออก) ร้านนี้รู้สึกว่าจะเป็นร้านในเครือของร้าน Fujiyama Go Go - ร้านราเมนสุดโปรดของผม (ที่เหมือนหลัง ๆ จะ down ลงไป) และชั้น 2 ของร้านตอนนี้ก็มีร้านที่คล้าย ๆ กันกับ Fujiyama ชื่อ Matsuri De Go Go เปิดอยู่เช่นเดียวกัน (ขายราเมนเหมือนกัน) ซึ่งจากลูกค้าที่เนืองแน่นร้านนี้แทบจะตลอดเวลาที่ผมมาที่ Asiatique, ความเป็นเจ้าของเดียวกันกับร้านราเมนที่ผมชอบ และเพื่อนผมที่เคยมากินกันแล้วบอกว่าร้านนี้ยอดเยี่ยมแล้ว บอกตรง ๆ ว่า วันนี้ที่มากิน ผมจงใจถ่อมาจากรามคำแหง มายัง Asiatique เพื่อมากินร้านนี้โดยเฉพาะเลยล่ะครับ!
ร้านนี้ก็เหมือน ๆ กับร้าน Izakaya ทั่ว ๆ ไป เน้นการตกแต่งด้วยไม้ และขวดสาเก มีทั้งโต๊ะแบบโต๊ะธรรมดา, โต๊ะนั่งแบบญี่ปุ่น และ counter bar แต่สิ่งนึงที่แตกต่างจากร้าน Izakaya อื่น ๆ ที่ผมเจอมาคือ จะไม่ค่อยกั้น ๆ คอก ให้ความเป็นส่วนตัวของแต่ละโต๊ะซักเท่าไร (ซึ่งก็มีบางร้านที่เป็นแบบนี้เช่นกัน แต่ร้านที่กั้น ๆ จะมีมากกว่า) ส่วนอาหารของทางร้านนี้ก็จะเป็นอาหารที่เน้นพวก Yakitori กับ Teppanyaki มากกว่าร้านอื่นเล็กน้อย เพราะทางร้านใช้ชื่อพ่วงว่า Yakitori & Teppanyaki ไว้หลังชื่อร้านด้วย ซึ่งตัว Yakitori อาจจะไม่ได้อะไรมาก หลาย ๆ ก็มีกัน (แต่แค่อาจจะไม่ได้โชว์, โฆษณาอะไรเท่า) แต่ตัว Teppanyaki หรือกระทะร้อนนี่ผมว่าเด่นกว่าร้านอื่นจริง ๆ เพราะมีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะ และก็มีคนทำโชว์ให้ลูกค้าเห็นกันจะ ๆ เลยตรงบริเวณ counter bar ส่วนราคาอาหารนั้นก็ตามมาตรฐานร้าน Izakaya ทั่ว ๆ ไป จานละ 100 - 300 บาทโดยประมาณสำหรับอาหารทั่วไปและพวกกระทะร้อน ส่วนพวก Yakitori ก็ไม้ละ 40 - 60 บาทเช่นกัน ราคาต่อหัวสำหรับร้านนี้ อย่างมื้อนี้ที่พวกผมมากิน ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มอะไรกันจริงจังมาก ก็ตกอยู่ที่คนละประมาณ 900 บาท ก็อยู่ในระดับร้าน Izakaya ขึ้นห้าง, Izakaya เกือบ ๆ จะชั้นดีทั่วไปล่ะครับ
มื้อนี้ขอแบ่งอาหารเป็น 2 หมวดละกันนะครับ หมวดแรกเป็นอาหารทั่วไปที่ไม่ใช่ Yakitori ส่วนอีกหมวดก็เป็น Yakitori เพราะแต่ละหมวดก็สั่งกันไปค่อนข้างเยอะพอตัวเหมือนกัน
อาหารอย่างแรกที่ได้นั้นเป็น สลัดหัวไชเท้า (Refreshing mizuna and crunchy daikon radish sald -Daikon Mizuna Salad - 150 บาท) จานนี้ผมเพิ่งได้กินครั้งแรกที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสักร้านที่โตเกียวที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของผมพาไปกิน หลังจากที่กินครั้งนั้นแล้วติดอกติดใจเหลือเกิน หลังจากนั้นกลับมาไทยก็มีโอกาสได้ไปกินที่ร้าน Katana - Eighth Thonglor แล้วก็ชอบ มางวดนี้เห็นในเมนูปุ๊บก็รีบสั่งทันที ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ ของร้านนี้ก็อร่อยเฉกเช่นเดียวกัน มันอร่อยแบบบรรยายไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าเพื่อนที่ไปด้วยกัน 3 คนและมีโอกาสได้กินครั้งแรกก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "อร่อยมาก"
อย่างที่ 2 นั้นเป็น Kacha Kacha Yaki (Mixed okonomiyaki (Kimchi/Cheese/Japanese leeks/Pork/Garlic) - 300 บาท โอโคโนมิยากิที่อุตส่าห์เอาชื่อร้านไปใส่มีเหรอที่จะผิดหวังครับ รสชาติจานนี้ก็อร่อยเยี่ยมเช่นกัน มีทีเด็ดแหวกแนวกว่าชาวบ้านเล็กน้อยตรงใส่กิมจิโรยหน้าด้านบนมาด้วย ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะไม่เข้ากัน แต่ก็เข้ากันเป็นอย่างดีกับ แป้ง + กะหล่ำปลี + ซอยมายองเนส และปลาโอแห้งที่โรย ๆ มา ทุกอย่างผสมผสานเข้ากันจนกลายเป็นรสชาติอันสุดแสนจะอร่อยในทุกคำที่กินไป ยอดเยี่ยมอีกเช่นกันครับจานนี้
อย่างที่ 3 เป็น ผัดเอ็นเนื้อกะหล่ำปลี (Stir-fried beef tendon with cabbage - Gyusuji shio kyabets - 150 บาท) จานนี้ก็เป็น จานที่ในเมนูทำเป็นรูปใหญ่เชื้อเชิญให้สั่งซะเหลือเกิน ซึ่งก็สมควรอีกเช่นกันที่ทำเป็นรูปใหญ่เพราะว่ามันอร่อยอีกแล้วครับท่าน เอ็นเนื้อมาแบบเค็ม ๆ นุ่ม ๆ เข้ากันกับผักกะหล่ำปลีที่ผัดมาแบบพอให้สุก พอให้ได้ผัด ไม่ได้ผัดมาจนไหม้แบบบางร้าน และมีปลาโอแห้งที่โรยมาจนเยอะ จนแทบจะเรียกว่าสลัดปลาโอแห้งก็ไม่ผิดนักอีกแล้ว ทุกอย่าง ผสมผสานลงตัวกันจนกลายมาเป็นรสชาติ อูมามิ ขั้นเทพอีกเช่นกัน อร่อยอีกแล้วครับจานนี้
อย่างที่ 4 เป็น Caesar Salad - 220 บาท จานนี้ค่อนข้างธรรมดา ๆ เป็น Caesar Salad สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นซีซาร์สลัดตรงไหน ไม่ว่าจะตัวน้ำสลัดที่ก็ไม่ใช่ล่ะ เป็นครีม ๆ น้ำใส , ตัวผักที่ใส่มาทั้งกิมจิและมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ จะมีก็แค่ผัก Romaine เท่านั้นล่ะมั้งที่เหมือน Caesar Salad จริง ๆ จานนี้ทำมาได้ดีกว่า ซีซาร์สลัดของร้านยุโรปหลาย ๆ ร้าน แต่เมื่อเอาไปเทียบกับเจ้าสลัด Daikon จานก่อนหน้าแล้ว จานนี้ก็เลยหมองลงไปจนกลายเป็นธรรมดา ๆ ไปเลย (ถ้าสั่งไปเทียบกับร้านอื่นคงชนะแบบไม่ต้องสงสัย)
อย่างที่ 5 เป็น เอ็นเนื้อตุ๋นมิโซะ (Braised beef tendons with miso - Gyusuji dote ni - 130 บาท) จานนี้ก็อร่อยอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่มากมายเท่าไร กินแล้วโอเค แต่ยังไม่ถึงกับชอบมากมายอะไร
อย่างที่ 6 เป็น ยากิโซบะเอ็นเนื้อ (Yakisoba noodles with beef tendon simple salt flavor - Gyusuji shio yakisoba - 200 บาท) จานนี้ผมไม่ค่อยได้กินล่ะเพราะว่าเริ่มอิ่มแล้ว แต่ก็มีแอบชิม ๆ ไปบ้างก็ทำได้ดีอีกเช่นกัน เส้นยากิโซบะมาแบบเส้นใหญ่จนเกือบเป็นอุด้ง + เอ็นเนื้อที่เหมือนร้าน Kacha Kacha แห่งนี้จะใช้กับเมนูหลายจานเหลือเกิน + ปลาโอแห้ง และผักกะหล่ำปลี (เหมือนกับว่าวัตถุดิบของร้านนี้จะคล้าย ๆ กันไปหมด เปลี่ยนโน่นนิดเปลี่ยนนี่หน่อยก็ออกมาเป็นอาหารจานใหม่ อะไรงี้) ทกอย่างก็ทำมาได้ดีครับ น่าจะมาจากฝีมือพ่อครัวคนเดียวกันที่ทำเจ้าตัว Kacha Kacha Yaki ซึ่งหลังจากกินพวกาอาหารกระทะร้อนของร้านนี้แล้ว อยากจะดึงตัวพ่อครัวคนนี้มาเป็นพ่อครัวส่วนตัวชะมัด
อาหารที่ไม่ใช่ Yakitori อย่างสุดท้ายนั้นเป็น มะเขือผัดซอสมิโซะ (Fried eggplant with chinese chilli sauce - Mobo Nasu - 180 บาท) จานนี้คือที่สุดของแจ้ครับ ที่สุดจริง ๆ ในมื้อนี้ โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบมะเขือม่วงอยู่แล้ว และกินมาหลายร้านมาก ๆ ไม่เคยเจอร้านไหนที่ผมอยากจะสะกดคำว่าอร่อยให้สักเท่าไร แต่กับจานนี้ กับร้านนี้ คนละเรื่องครับ เอาคำว่า "โคตรอร่อย" ไปแทนคำว่าอร่อยน่าจะเหมาะสมกว่า เพื่อนผมอีก 3 คนที่ไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกันว่า จานนี้ มันคือที่สุดจริง ๆ
อาหารหมวดที่ 2 Yakitori ก็สั่งไปเยอะแยะตาแป๊ะไก่อีกเช่นกัน ประกอบด้วย
สะโพกไก่ (Chicken thigh - 40 บาท) |
ไก่ย่างต้นหอม (Chicken thigh and Japanese leek - 40 บาท) |
หนังไก่ (Chicken skin - 40 บาท) |
กึ๋นไก่ (Chicken gizzards - 40 บาท) |
ไก่บด + ไข่แดงสด (Tsukune, Ground chicken balls with egg yok - 60 บาท) |
หมูย่างต้นหอม (Pork and Japanese leek - 40 บาท) |
ไก่บดชีส (Ground chicken balls with cheese - 60 บาท) |
กระเจี๊ยบ (Okura - 30 บาท) |
กระเทียม (Ninniku - Garlic - 30 บาท)
ทั้งหมดนี้ ราคาไม่แพงเลย (บางร้านในเมืองขายกันไม้ละ 120++ ก็มีครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าร้านพวกนั้นนี่เอาอะไรมาตั้งราคา -*-) และแต่ละอันก็ทำมาได้แบบ อร่อยเยี่ยม บางไม้นี่จัดได้ว่าเป็น One of the best ของชนิดนั้น ๆ ที่เคยกินในกรุงเทพเลย โอย สมแล้วครับที่ร้านนี้เอาคำว่า Yakitori, และ Tappanyaki มาพ่วงท้ายชื่อร้าน เพราะอาหารหมวดหมู่เหล่านี้มัน..อร่อยเว่อร์ไปหมดเลย
มื้อนี้ปิดท้ายด้วยของหวาน 2 อย่าง ไอศครีมชาเขียว (Green Tea Ice Cream - Macha Icecream - 130 บาท) และ Pudding (Flan in kacha kacha style - 120 บาท) ไม่รู้ว่าเพราะของคาวของร้านนี้เทพ หรือ เพราะว่าพวกผมอิ่มกันมากแล้ว หรือเพราะว่าของหวาน 2 อย่างนี้มันธรรมดาจริง ๆ เจ้า 2 อย่างนี้แบบรสชาติธรรมด๊า ธรรมดา ครับ ถือว่าโอเคถ้าเอาไปอยู่ที่ร้านอื่น หรือได้กินในมื้ออื่น แต่กับมื้อนี้หลังจากที่ได้กินอาหารคาวเทพ ๆ มาร่วม 10 อย่าง ของหวาน 2 อย่างนี้ก็เลยหมองไปโดยถนัดตา
สรุป มื้อจัดหนักที่ร้าน Kacha Kacha แห่งนี้ ผมและผองเพื่อนชอบกันมากครับ ชอบกันจนพูดเป็นเสียงเดียวว่า ไอ้ร้าน Izakaya ทั้งหลายแหล่ที่ผมพาไปกินช่วงหลัง ๆ แทบกันไม่ได้กับร้านนี้เลยแม้แต่น้อย ร้านนี้แบบทำอาหารมาอร่อยทุกอย่างจริง ๆ และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่น ไม่ว่าจะการบริการ (ที่อาจจะยังไม่เทพแต่ก็โอเคในระดับยอมรับได้, บรรยากาศร้าน (ที่อาจจะไม่เป็นส่วนตัวนักแต่พวกเราคนไทยก็ไม่ได้ต้องการ Privacy อะไรมากมายแบบคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว) เข้าไปแล้ว ผมจึงขอมอบคะแนน 9 กว่า ๆ ที่ช่วงหลัง ๆ นี้ไม่ค่อยมีร้านไหนได้เลยให้ร้านนี้ละกัน โอย เสียดายอย่างเดียวครับที่ร้านนี้อยู่ไกลบ้านผมเหลือเกิน แต่ถ้าแบบให้ฝ่ารถติดไปกินร้านนี้, ขับไปสิบกว่ากิโลเมตรเพื่อกินร้านนี้ บางทีมันก็อาจจะคุ้มกว่าไปกินร้าน Izakaya ที่ทองหล่อที่แพงโดยใช่ที่และอร่อยไม่เทียบเท่าก็ได้นะครับเนี่ย
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Subscribe to:
Posts (Atom)