BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Wednesday, January 23, 2013

Peter's Pan Milli Malle Review

Peter's Pan - Modern American Restaurant and Steakhouse at Milli Malle Sukhumvit 20, Bangkok

ปีเตอร์ แพน ร้านอาหารอเมริกัน สเต็กเฮาส์ สเต็ก มิลลิมอลลี่ สุขุมวิท 20




Overall Score  7/10
Taste   3.5/5
Ambiance  4.5/5
Service  4/5
Value   2/5

Peter's Pan - Steakhouse and American Restaurant on BumRes.com (For more pictures and menu)




มื้อนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมื้อ "กินตามดีล" สำหรับผมล่ะครับ กับร้าน Peter's Pan ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวละครในเทพนิยายตะวันตก แต่เป็นชื่อเจ้าของร้าน และจากที่ร้านเน้นพวกอาหาร grill ๆ , ทอด ๆ ก็เลยนำมาซึ่งชื่อร้านที่เป็นว่ากระทะของปีเตอร์นั่นเอง ร้านนี้ตอนแรกผมก็นึกว่าเป็นร้านใหม่ แต่เปล่าเลยครับ ร้านนี้เปิดทำการมาได้ 20 ปีแล้ว (ตั้งแต่ปี 1993) โดยตอนแรกสุดนั้นอยู่ที่แจ้งวัฒนะ แล้วก็ย้ายไปที่อุดมสุข แล้วสุดท้ายก็มาจบลงที่ตำแหน่ง ณ ปัจจุบัน ที่ชั้น 2 ของห้างเปิดใหม่ (รึเปล่า หลายเดือนล่ะ) นามว่า Milli Malle กลางซอยสุขุมวิท 20 แห่งนี้นี่เอง

ร้านนี้เพียงแว่บแรกที่เข้าไปบอกตรง ๆ ว่าผมประทับใจในความสวยงามของการตกแต่งร้านมาก ๆ ครับ ร้านขนาดไม่ใหญ่เท่าไร ขนาดกำลังดี จุลูกค้าได้สัก 60 - 80 คน แต่แบบรายละเอียดทุกอย่างพิถีพิถันมาก ไม่รู้จะว่ายังไงดี ลองดูรูปบรรยากาศร้านประกอบครับ ร้านเค้าสวยจริง ๆ ร้านที่สวยพอ ๆ กันในช่วงหลังที่ได้ไปกินมาก็คงเป็นร้าน In The Mood For Love One ร้านเดียวล่ะครับ และยิ่งตอนผมไปนั้นเป็นเที่ยงวันอาทิตย์ ไม่มีลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ มาเลยสักโต๊ะก็เลยยิ่งทำให้มื้อนี้ยิ่งมีความเป็น private ความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นไปอีก ชอบมาก ๆ ครับบรรยากาศร้านนี้ ส่วนพนักงานของทางร้าน ไม่รู้ว่าเพราะร้านนี้ไม่ค่อยมีลูกค้าอยู่แล้วรึเปล่าก็ไม่ทราบ พนักงานก็เลยมีกันอยู่แค่ 2 คน แต่แค่ 2 คนก็เรียกได้ว่าเกินพอสำหรับลูกค้าโต๊ะเดียวครับ มื้อนี้ก็เลยได้การบริการที่ค่อนข้างดีมาก ตามติดมาพร้อมกับบรรยากาศดี ๆ อีกเช่นกัน






อาหารของร้านนี้นั้นบอกตรง ๆ ผมคงนิยามแบบเป๊ะ ๆ ไม่ได้ แต่เอาเป็นว่าคร่าว ๆ คือจะเป็นอาหารอเมริกันครับ จะเน้นพวก Steak กับ Main dish แบบเนื้อ ๆ และ seafood เป็นหลัก แต่ก็มีพวก appetizer, salad และ soup ให้เลือกกินเคียงคู่กับ Main Course ตามไป แต่ที่บอกว่าไม่รู้จะนิยามแบบไหนนั้นสาเหตุเป็นเพราะอาหารของร้านนี้บางอย่างมันก็เป็นอาหารยุโรป บางอย่างมันก็เป็นอาหารไทย fusion ก็ถ้าจะให้นิยามก็เป็น American - European Restaurant ละกัน สิ่งนึงที่ตกใจเมื่อเห็นเมนูของทางร้านก็คือตัวราคาอาหารครับ ราคาอาหารทุกอย่างนั้นแพงมาก แพงระดับเดียวกับโรงแรม 5 ดาว หรือร้านอาหารยุโรปหรู ๆ ชื่อดังในกรุงเทพเลย Main Course 1000++ , Appetizer 300++, Soup 200 ++ อะไรแบบนี้ คือถ้ามากินแบบไม่มีดีลนี่คงโดนกันไปคนละประมาณ 2000 ครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าราคาอาหารของร้านนี้เป็นราคาเท่านี้มาตั้งแต่ร้านในทำเลก่อนหน้าแล้วรึเปล่า หรือว่ามาตั้งราคาเอาใหม่ เอาตอนที่ย้ายร้านมาอยู่ที่สุขุมวิท 20 นี้ คือกับร้านที่ผมไม่เคยรู้จัก, ร้านที่ชื่อไม่ดัง มันก็ดูเป็นราคาที่แพงโอเว่อร์ไปนะครับ แต่เมื่อพิจารณาถึง ตัววัตถุดิบของเมนู (ที่ทางร้านถึงกับเขียนโฆษณาไว้เลยว่าใช้ของดีจริง) , บรรยากาศ และการบริการของทางร้านแล้ว ก็พอจะถือว่าสมน้ำสมเนื้อขึ้นมาหน่อย แต่ก็นั่นแหละครับ ขาดชื่อเสียงกับเกียรติยศมาเติมเต็มราคาให้มันแพงขนาดนี้ก็แค่นั้น

รายละเอียดของดีลที่พวกผมซื้อมากันนั้นคือเป็น Set Menu สำหรับ 4 คน มูลค่า 9720 บาท แต่ซื้อมาในราคา 3,299 บาท ประกอบด้วย Appetizer 4 อย่าง, Soup 4 อย่าง, Salad 2 อย่าง และ Main Course 4 อย่างครับ อาหารในมื้อนี้ก็มีเพิ่มเติมจากในดีลไปอีกอย่างนั่นก็คือ Steak จานนึง เนื่องจากว่าอยากจะลอง Steak ของร้านที่ประกาศตัวเองว่าเป็น Steakhouse จ๋าขนาดนี้ดูสักหน่อยครับว่ามันเด็ดจริงอะไรจริงรึเปล่า ก็มาไล่เรียงอาหารกันไปเลยละกัน

Appetizer

Baked Escargot 1/2 Dozen  (400 บาท)  จานนี้เห็นแว่บแรกผมนึกว่าเป็นหอยหวาน ซึ่งเอาจริง ๆ ผมก็ไม่ค่อยเห็นร้านไหนเสิร์ฟหอยทากมาแบบมาทั้งเปลือกแบบนี้เหมือนกัน ก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วหอยทากฝรั่งเศส, หอยทากอเมริกัน นั้นตัวเปลือกมันเป็นอย่างไร แต่จากที่ google ดูตะกี้ ตัวรูปร่างเปลือกได้ครับ แต่ลวดลายมันไม่ใช่ หรือว่านี่มันจะคือหอยหวานจริง ๆ แล้วแบบขอแค่ให้เป็นหอยเปลือกรูปทรงอย่างนี้ เราก็สามารถเหมาว่าเป็น Escargot ได้หมด? จานนี้ก็โอเคครับ อร่อยพอประมาณ อบหอยมาสุกดี และเนย กับซอสก็เข้าไปในตัวหอยดี กินเพลิน ๆ เปิดประเดิมกระเพาะ






Foie Gras, Pan-fried with mango (350 บาท) จานนี้ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็น Foie Gras ชิ้นเล็ก ๆ ครับ แต่เปล่าเลย ฟัวกราส์ชิ้นใหญ่มาก เลยทำให้จานนี้น่าจะเป็นจานเดียวในมื้อนี้ที่ผมรู้สึกว่าคุ้มค่าคุ้มราคาดี เพราะส่วนใหญ่ ฟัวกราส์ 350++ บาทตามร้านอื่น ๆ นั้นจะได้มาเป็นชิ้นเล็ก ๆ ง่อย ๆ ซะมากกว่า จานนี้ก็ทำได้ดีอีกเช่นกันครับ เพิ่งเคยกินเหมือนกันกับการเอา ตับห่านมากินกับมะม่วงสุก ๆ ซึ่งตับห่านมันก็เข้ากันได้ดีกับผลไม้ เปรี้ยวหวาน ๆ อยู่แล้ว ก็เลยไม่มีปัญหาอะไร ทางร้านยังมีแถม red cabbage ที่ผมชื่นชอบเพิ่มเติมมาให้อีกด้วย ก็เป็นการกินตัดรส ล้างลิ้นในแต่ละคำที่กินตับห่านเข้าไปได้เป็นอย่างดีครับ จานนี้เสียดายที่ตับห่านยังใช้ของไม่ค่อยดีเท่าไร และก็ทางร้าน Overcook ไปนิดนึงด้วย ตับเลยแข็งไปนิด และก็มันไม่ค่อยเยิ้มเท่าไร

Baked Imported Scallops with Cheese (390 บาท) - เป็นหอย Scallop จากอเมริกาแน่นอน เพราะว่าตัวใหญ่ผิดหอยนุษย์หอยนาแถวเอเชียนี้ (พยายามเล่นคำว่ามนุษย์มนาครับ) จานนี้ ทำมาได้ค่อนข้างดีเลย ทางร้านเอาหอยไปอบกับชีสจนแบบแข็งปั๋ง ชีสยึดหอยมาติดกับจานเลย พอเอามีดค่อย ๆ แล่เอาเนื้อหอยที่อวบอูม เป่งปั่ง ออกมากินก็ ว้าว อร่อยดีครับ ชีสกับหอยเข้ากันดี เพิ่งจะเคยกินอะไรแบบนี้เหมือนกัน






Smoked Norwegian Salmon (320 บาท) จานนี้ชอบที่สุดใน Appetizer ล่ะครับ ไม่รู้ว่าเจ้าแซลมอนรมควันนี้เป็นการซื้อแบบสำเร็จรูปมารึเปล่า ซึ่งถ้าใช่ก็อยากจะไปถามเชฟจริง ๆ ว่าซื้อมาจากเจ้าไหนเหรอ? อยากซื้อบ้าง แต่ถ้าทางร้านทำเองก็ต้องขอปรบมือให้เพราะว่ามันอร่อยจริง ๆ ตัวแซลมอนกินเปล่า ๆ ก็อร่อยอยู่แล้ว แต่ทางเชฟมีใส่ซอสที่คล้าย ๆ มายองเนส บวกกับเม็ด caper เข้าไปอีก ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะไม่เข้ากัน แต่เข้ากันดีครับ รสชาติเค็มจากปลา , หวาน ๆ ขม ๆ จากซอส , และ texture แข็ง ๆ จากเม็ดนี้ พอม้วนกินแต่ละคำแล้ว โอย ฟิน แฟง ฟัง เลยครับ

Soup






New England Clam Chowder (250 บาท) ซุปจานนี้อร่อยครับ ผมเองไม่ค่อยได้กินเท่าไร หรือว่ากันจริง ๆ ก็คือไม่เคยกินตามร้านอาหารด้วยซ้ำ เคยซื้อแต่แบบเป็นกระป๋อง ๆ ของ Campbell มากิน อร่อยครับ รสชาติกลมกล่อมดีมาก

Mediterranean Lobster Bisque (280 บาท) จานนี้ไม่ผ่านครับรสชาติ lame ๆ แปลก ๆ พิกลพิการ ได้ว่าเป็น Lobster Bisque อย่างเดียวก็ตรงหน้าตาแค่นั้นครับ

French Onion soup (220 บาท) จานนี้ทำมาได้ค่อนข้างดี ซุปไม่เค็มปี๋ไปแบบหลาย ๆ ร้านที่กินช่วงหลัง, ชีสก็ไม่ได้อบมาจนแข็งโป๊ก แต่จะแบบนุ่ม ๆ ยืด ๆ น่ากิน และก็ตัวน้ำซุปก็ไม่ได้ทำมาจนข้นคลักจนไม่ใช่ซุปแต่น่าจะเรียกว่าสตูว์มากกว่าแบบบางร้าน ถือว่าทำได้ดีครับ ใช้ได้เลย

Cream of Crabmeat (270 บาท) ซุปจานนี้เป็นอีกอันที่ lame ๆ นิดหน่อย ทางร้าน Peter's Pan ให้เนื้อปูมาพอสมควรสมกับราคาที่ตั้งไว้แสนแพง แต่รสชาตินั้นมัน เปรี้ยว ๆ ปะแล่ม ๆ แปลก ๆ ยังไงไม่รู้ครับ ผมและเพื่อน ๆ ไม่ค่อยชอบกันสักเท่าไร

Salad






Spicy Beef Salad (210 บาท) จานนี้ เห็นหน้าตาแว่บแรก มันคือยำเนื้อลายของไทยชัด ๆ ครับ! ทั้งสะระแหน่, แตงกวา, พริก และเนื้อ แต่มีสตรอเบอรี่มาเพิ่มความเป็นฝรั่งเล็กน้อย จานนี้ไม่อร่อยครับ เหมือนกับเชฟพยายามจะทำให้ยำแบบไทย ๆ นั้นมันมีความเป็นอเมริกัน ความเป็นตะวันตก รสชาติที่กินมันเลยประหลาด ๆ จะยำก็ไม่ใช่ จะสลัดก็ไม่เชิง เสียดายเนื้อดี ๆ นุ่ม ๆ ที่ให้มาค่อนข้างเยอะในจานครับ

Spicy Crabmeat Salad (210 บาท) เป็นสลัดจานที่ 2 จานนี้ก็ไม่ค่อยอร่อยอีกเช่นกันครับ รสชาติจะออกเปรี้ยวนำมากไป และแบบ lettuce ที่ให้มา ผมไม่รู้สึกว่ามันเข้ากับเนื้อปูตรงไหนเลย (ควรจะเป็นเนื้อประเภทอื่นมากกว่า) จานนี้ไม่ค่อยผ่านครับ แต่ก็กิน ๆ ไป เพราะจะได้มี fiber เข้ากระเพาะบ้าง

Main Course

Maryland Crab Cake (served with tarragon and butter sauce - 900 บาท) - Main Course จานแรกเป็นอะไรที่เรียกว่าทอดมันปูสไตล์ฝรั่งก็ไม่ผิดนักครับ จานนี้บอกตรง ๆ ว่าเห็นราคาแล้วแอบงง เอาจริงดิ? Crab Cake 900 บาท ตอนก่อนจะเห็นจานก็แอบคิดว่ามันจะก้อนใหญ่แค่ไหนให้เยอะแค่ไหน เพราะว่า 900 บาทนี่ถ้าเอาเนื้อปูม้ามาทำก็ได้ร่วม ๆ 2 กิโลแบบมีเปลือกเลยนะเนี่ย แต่พอพนักงานยกมาก็ต้องผิดหวังกับปริมาณครับ เพราะมันเป็นทอดมันปูชิ้นไม่ใหญ่นัก 2 ชิ้นนัก และยิ่งได้กินคำแรกแล้ว ก็ยิ่งเซ็งเพราะไม่ค่อยเจอความเป็นเนื้อปูซักเท่าไร เป็นแป้งกับเนื้อปูซักครึ่งนึง (แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นส่วนผสมที่เหมาะสม) แต่ก็นะ ตั้งราคาแพงไป ยังดีครับ ที่รสชาติทำออกมาได้ดี ใช่ครับ อร่อยแบบประมาณทอดมันกุ้งร้านดี ๆ แบบไทย ๆ ในบ้านเรา แต่อันนี้เป็นทอดมันปูไม่ชุบเกล็ดขนมปังแค่นั้น period






Fillet of Lamb (Imported fillet of lamb from Australia. served with sauteed mushroom and zucchini - 900 บาท) จานนี้เป็นอีกจานที่จะตั้งราคาแพงไปไหน 900 บาทได้เนื้อแกะเล็ก ๆ มา 2 ชิ้น หลาย ๆ ร้านนี่ 900 บาทได้เนื้อแกะมาทั้งขา หรือถ้าเป็นซี่โครงก็ได้มา 3-4 อัน เฮ้อ แต่ก็อีกแล้วครับ รสชาติถือว่าทำได้ค่อนข้างดี แต่เนื้อมัน Overcook ไปหน่อย หรืออาจจะไม่หน่อยเพราะมัน Well-done ไปแล้ว เพราะจริง ๆ ถ้าทำมาแบบ medium-rare กำลังดี มันก็จะอร่อยกว่านี้มากเลย เพราะซอสที่ราดมา, ผิวที่หมักเนื้อมา และ garnish ที่ให้มาในจาน ทุกอย่างทำมาได้ดีหมดเลย

Lamb Curry (Frenched rack ribs cooked in mild curry sauce with sweet potato served with brown rice - 950 บาท) จานนี้เป็นจานแรกใน Main Course ที่ผมรู้สึกว่า เออค่อยคุ้มราคาหน่อย เพราะทางร้านให้ซี่โครงแกะอันใหญ่มาถึง 3 ซีก และก็ให้ข้าวเปล่ามากินด้วยอีก 1 จาน จานนี้นอกจากจะคุ้มแล้วรสชาติก็ยังทำได้ดีมากอีกด้วยครับ ตัวรสแกงกะหรี่นั้นจะเป็นแนวไทย ๆ ไม่ใช่แนวอินเดีย แบบที่ตอนแรกที่คิดว่าจะเป็น คือกลิ่นเครื่องเทศมันไม่แรงเท่า แล้วก็มาหวานนิด ๆ และก็มีแอบเผ็ดหน่อย ๆ และกินแต่ละคำกับเนื้อแกะที่ตุ๋นมาจนเปื่อยยุ่ยนุ่ม ๆ แล้วแบบ โอเคเลยครับ เป็นจานที่ทั้งคุ้มและอร่อยเลย






Pan-fried US Cod Loin in Rich Cream (Cheese sauce served with white asparagus - 800 บาท) เป็น Main Course ในดีลจานสุดท้าย จานนี้ไม่ไหวครับ ปลาค็อด ไม่รู้ว่าไม่สด หรือว่าปรุงรสมาไม่ดี กินเข้าไปคำแรกนี่แหยะมาก และก็ไม่รู้ว่าทางร้านต้องการจะทอดให้ออกมากรอบนอก นุ่มใน หรือว่าจะทอดให้พอสุกหรือว่าอะไร เพราะว่า texture มันไม่ชัดเจนมาก ๆ คนละเรื่องกับหลาย ๆ ร้านที่ช่วงหลังกินมา และมีเมนูปลาค็อด ซึ่งแบบแทบทุกร้านจะทำอร่อยหมดเลย และตัว sidedish ที่ให้มาด้วยกัน - White Asparagus ก็แบบต้นใหญ่ดีนะครับ แต่กินไปแล้วก็แหยะอีกเช่นกัน รสชาติประหลาดมาก fail มากครับจานนี้

New York Steak (Grain - fed imported steak from the US Black Angus Choice Grade 180 Days weight 330 gram served over a charcoal grill - 1300 บาท) เป็นอาหารที่สั่งเพิ่มเติมไปจากในดีล หน้าตาตอนยกมานั้นน่ากินมาก ๆ ครับ grill มาแบบผิวนอกดูสวยงามหมดจดจริง ๆ แต่พอแล่ไปดูความสุกข้างในแค่นั้นล่ะครับ OMG มัน Well-done ไปแล้วครับ พวกผมก็เลยบอกให้พนักงานไปทำมาใหม่ ซึ่งร้านนี้ก็ดีครับ เอาเนื้อชิ้นใหม่ทอดมาให้เลย ซึ่งชิ้นที่ 2 มันก็ไม่ Medium-rare สักเท่าไรอีกเช่นกันแต่เป็น medium ซะมากกว่า แต่ก็แบบขี้เกียจรอ + สงสัยทางร้านแล้วก็เอาวะ กิน ๆ ก็ได้ ตัวเสต็กรสชาติดีครับ คือเป็นรสชาติแบบที่ควรจะคาดหวังกับเสต็กที่ไปกินตามร้านอาหารอ่ะครับ แต่ถ้าถามว่าดีขนาดแบบจะเอาไปโม้ว่านี่คือเสต็กจากร้าน Steakhouse มั้ยก็คงตอบได้ง่าย ๆ ว่าไม่ครับ ตัวผมเองเพิ่งไปไล่ล่ากินเสต็กที่อเมริกามาเยอะ ร้านที่นุ่นทุกร้านทำได้ดีกว่าเนื้อชิ้นนี้ที่วัตถุดิบใช้อย่างเดียวกันหมด ตัวซอส, การปรุงเนื้อนั้นดูไม่ใช่ปัญหาเท่าไร น่าจะเป็นปัญหาที่การ grill ที่เทคนิคอาจจะยังไม่เทพพอแค่นั้นล่ะมั้งครับ (ร้าน Steakhouse แพง ๆ ในไทยชื่อดังทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนครับ) ส่วนตัว Garnish ที่ให้มาด้วยกัน ผมว่ามันดูไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไรนะ เมล็ดข้าวโพด กับมันฝรั่งทอดเนี่ย ฮ่า ๆ แต่ก็โอเคครับ แปลกดี






มื้อนี้ ไปกัน 5 คนหาร ๆ กันแล้วก็ตกอยู่ที่คนละ 900 บาทครับ ก็ถ้าไม่ได้ดีลมาช่วยลด มื้อนี้ก็คงโดนกันสัก 2000 บาทได้ ซึ่ง 900 บาทผมโอเค พร้อมที่จะจ่าย แต่ถ้า 2000 บาทแน่นอนว่าผมไม่ยอมจ่ายแน่ ร้าน Peter's Pan นี้องค์ประกอบทุกอย่างของร้านอาหารดี ๆ นั้นผมว่าก็ทำมาได้ดีหมด จะขาดก็แต่เรื่องรสชาติอาหารนี่แหละครับ ที่แบบ ตัวเองกล้าตั้งราคาแพงขนาดนี้แล้ว รสชาติมันก็ควรจะ stellar ตามราคาที่ตั้งไว้ด้วย ไม่มีใครหรอกครับจะมายอมจ่ายเงินแพง ๆ แล้วได้อาหารที่รสชาติแบบหากินได้ตามร้านที่จ่ายได้ถูกกว่าครึ่งนึงแบบนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะร้านย้ายมาใหม่ เชฟอาจจะมาใหม่ ฝีมือยังไม่นิ่ง ยังเรียนรู้สูตรของคุณ Peter ได้ไม่ดีพอรึเปล่า อันนี้ก็ต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ล่ะครับ

ปล. ร้าน Steakhouse ที่ไม่ค่อยชื่อดังเท่าไรในไทยนี่รู้สึกจะชอบ Overcook ตัว steak กันเหลือเกินนะครับ ไม่รู้ว่าเพราะคนไทยติดชอบกินอะไรสุก ๆ รึเปล่าจนพ่อครัวชาชินกับการทำเนื้อสุก ๆ ไปแล้ว ผมล่ะอยากวิงวอนคนที่เป็น Beef Lover แต่ยังสั่ง well-done มากินจริง ๆ ว่าเลิกเหอะครับ มาลอง Medium Rare เถอะ มันคือความสุกแบบที่เชฟทั่วโลก, นักชิมทั่วโลกพิสูจน์มาหมดแล้วว่ามันอร่อยที่สุด เพราะถ้าคนไทยสั่งแบบนี้กันเยอะ ๆ เค้า เดี๋ยวพ่อครัวเสต็กบ้านเราก็จะได้ทำ medium rare ออกมาได้ดีตาม

ปล. 2 ผมอ่าน Kitchen Confidential ที่เป็นหนังสือของเชฟชื่อดัง เค้าบอกว่าเวลาลูกค้าสั่งเนื้อแบบ well-done นี่เค้าจะดีใจมาก เพราะจะได้กำจัดเนื้อเน่า ๆ เนื้อไม่ดีใน stock ทิ้ง เพราะมันเป็นการย่าง, การปรุงในแบบที่จะไปทำลาย protein ของเนื้อจนหมด จนกินแล้วไม่รู้เลยว่าเนื้อดีกับเนื้อไม่ดีมันแตกต่างกันยังไง อืม เค้าบอกว่าไม่เชื่อก็ลองดูก็ได้ เอาเนื้อห่วย ๆ กับเนื้อเทพ ๆ มาทำ well-done แล้วลอง blind test กินดู นี่ล่ะครับ อีกหนึ่งเหตุผลของการหยุดกิน well-done

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

Kacha Kacha - Asiatique Review

Kacha Kacha - Japanese Izakaya Restaurant at Asiatique, Bangkok

คะฉะ คะฉะ - ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านเหล้าญี่ปุ่น อิซากาย่า เอเชียติค เบียร์สด




Overall Score  9.5/10
Taste   5/5
Ambiance  4/5
Service  4/5
Value   4/5

Kacha Kacha - Izakaya at Asiatique on BumRes.com (For more pictures and menu)



ร้าน Izakaya ในบ้านเราก็เป็นร้านที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ พอ ๆ กับกระแสร้านอาหารญี่ปุ่น, ร้าน Sushi ในกรุงเทพมหานครของเรา ซึ่งเมื่อผมลองมานั่งนับ ๆ ดูแล้ว เผลอ ๆ ร้าน Izakaya ที่เปิดตัวขึ้นมาใหม่นี่จะมีเยอะกว่าร้าน Sushi อีกนะเนี่ยจะว่าไป ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่น่าจะถูกต้องล่ะ เพราะที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าเมืองไหน ๆ หัวมุมถนนไหน, ย่านใด ก็จะมีร้าน Izakaya ประจำอยู่อย่างน้อย ๆ 1 ร้านเสมอ คือถ้าเปรียบร้าน Izakaya กับร้านอาหารในบ้านเรา ก็คงเป็นประมาณร้านอาหารอีสานก็ว่าได้ครับ เป็นร้านที่คนทำงาน, เด็กนักเรียน หรือคนกลุ่มใดก็ได้จะไปกินกันตอนเย็น หลังเลิกงาน, หลังเลิกเรียน หรือ ไปกินกันวันหยุด เสาร์อาทิตย์ประมาณนี้ เป็นร้านอาหารราคาถูก ร้านอาหารสามัญประจำบ้านอะไรเทือกนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าร้านอาหารอีสานทุกร้านจะถูก ร้านอาหารอีสานราคาแพง, ติดแอร์, สวยงาม หรูหรา อยู่ในห้าง กินทีนึงหลายร้อยบาทก็มี ก็เฉกเช่นเดียวกันกับร้าน Izakaya ที่มีทั้งราคาแพงและราคาถูกไปตาม position ของทางร้านเช่นกัน

กับร้านในรีวิวฉบับนี้ก็เป็นร้าน Izakaya ที่น่าจะเรียกได้ว่าตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเดี่ยวจากร้าน Izakaya อื่น ๆ แต่รายล้อมไปด้วยผู้คนและร้านอาหารต่าง ๆ มากมาย กับร้าน Kacha Kacha - Izakaya @ Asiatique นั่นเอง (เพื่อนผมบอกว่า Kacha Kacha เป็นเสียงเหรียญหมุนออกมาจากเครื่อง แต่ก็อาจจะมีความหมายอื่นแต่เค้านึกไม่ออก) ร้านนี้รู้สึกว่าจะเป็นร้านในเครือของร้าน Fujiyama Go Go - ร้านราเมนสุดโปรดของผม (ที่เหมือนหลัง ๆ จะ down ลงไป) และชั้น 2 ของร้านตอนนี้ก็มีร้านที่คล้าย ๆ กันกับ Fujiyama ชื่อ Matsuri De Go Go เปิดอยู่เช่นเดียวกัน (ขายราเมนเหมือนกัน) ซึ่งจากลูกค้าที่เนืองแน่นร้านนี้แทบจะตลอดเวลาที่ผมมาที่ Asiatique, ความเป็นเจ้าของเดียวกันกับร้านราเมนที่ผมชอบ และเพื่อนผมที่เคยมากินกันแล้วบอกว่าร้านนี้ยอดเยี่ยมแล้ว บอกตรง ๆ ว่า วันนี้ที่มากิน ผมจงใจถ่อมาจากรามคำแหง มายัง Asiatique เพื่อมากินร้านนี้โดยเฉพาะเลยล่ะครับ!





ร้านนี้ก็เหมือน ๆ กับร้าน Izakaya ทั่ว ๆ ไป เน้นการตกแต่งด้วยไม้ และขวดสาเก มีทั้งโต๊ะแบบโต๊ะธรรมดา, โต๊ะนั่งแบบญี่ปุ่น และ counter bar แต่สิ่งนึงที่แตกต่างจากร้าน Izakaya อื่น ๆ ที่ผมเจอมาคือ จะไม่ค่อยกั้น ๆ คอก ให้ความเป็นส่วนตัวของแต่ละโต๊ะซักเท่าไร (ซึ่งก็มีบางร้านที่เป็นแบบนี้เช่นกัน แต่ร้านที่กั้น ๆ จะมีมากกว่า) ส่วนอาหารของทางร้านนี้ก็จะเป็นอาหารที่เน้นพวก Yakitori กับ Teppanyaki มากกว่าร้านอื่นเล็กน้อย เพราะทางร้านใช้ชื่อพ่วงว่า Yakitori & Teppanyaki ไว้หลังชื่อร้านด้วย ซึ่งตัว Yakitori อาจจะไม่ได้อะไรมาก หลาย ๆ ก็มีกัน (แต่แค่อาจจะไม่ได้โชว์, โฆษณาอะไรเท่า) แต่ตัว Teppanyaki หรือกระทะร้อนนี่ผมว่าเด่นกว่าร้านอื่นจริง ๆ เพราะมีเมนูให้เลือกค่อนข้างเยอะ และก็มีคนทำโชว์ให้ลูกค้าเห็นกันจะ ๆ เลยตรงบริเวณ counter bar ส่วนราคาอาหารนั้นก็ตามมาตรฐานร้าน Izakaya ทั่ว ๆ ไป จานละ 100 - 300 บาทโดยประมาณสำหรับอาหารทั่วไปและพวกกระทะร้อน ส่วนพวก Yakitori ก็ไม้ละ 40 - 60 บาทเช่นกัน ราคาต่อหัวสำหรับร้านนี้ อย่างมื้อนี้ที่พวกผมมากิน ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มอะไรกันจริงจังมาก ก็ตกอยู่ที่คนละประมาณ 900 บาท ก็อยู่ในระดับร้าน Izakaya ขึ้นห้าง, Izakaya เกือบ ๆ จะชั้นดีทั่วไปล่ะครับ

มื้อนี้ขอแบ่งอาหารเป็น 2 หมวดละกันนะครับ หมวดแรกเป็นอาหารทั่วไปที่ไม่ใช่ Yakitori ส่วนอีกหมวดก็เป็น Yakitori เพราะแต่ละหมวดก็สั่งกันไปค่อนข้างเยอะพอตัวเหมือนกัน

อาหารอย่างแรกที่ได้นั้นเป็น สลัดหัวไชเท้า (Refreshing mizuna and crunchy daikon radish sald -Daikon Mizuna Salad - 150 บาท) จานนี้ผมเพิ่งได้กินครั้งแรกที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสักร้านที่โตเกียวที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นของผมพาไปกิน หลังจากที่กินครั้งนั้นแล้วติดอกติดใจเหลือเกิน หลังจากนั้นกลับมาไทยก็มีโอกาสได้ไปกินที่ร้าน Katana - Eighth Thonglor แล้วก็ชอบ มางวดนี้เห็นในเมนูปุ๊บก็รีบสั่งทันที ซึ่งก็ไม่ผิดหวังครับ ของร้านนี้ก็อร่อยเฉกเช่นเดียวกัน มันอร่อยแบบบรรยายไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าเพื่อนที่ไปด้วยกัน 3 คนและมีโอกาสได้กินครั้งแรกก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "อร่อยมาก"






อย่างที่ 2 นั้นเป็น Kacha Kacha Yaki (Mixed okonomiyaki (Kimchi/Cheese/Japanese leeks/Pork/Garlic) - 300 บาท โอโคโนมิยากิที่อุตส่าห์เอาชื่อร้านไปใส่มีเหรอที่จะผิดหวังครับ รสชาติจานนี้ก็อร่อยเยี่ยมเช่นกัน มีทีเด็ดแหวกแนวกว่าชาวบ้านเล็กน้อยตรงใส่กิมจิโรยหน้าด้านบนมาด้วย ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะไม่เข้ากัน แต่ก็เข้ากันเป็นอย่างดีกับ แป้ง + กะหล่ำปลี + ซอยมายองเนส และปลาโอแห้งที่โรย ๆ มา ทุกอย่างผสมผสานเข้ากันจนกลายเป็นรสชาติอันสุดแสนจะอร่อยในทุกคำที่กินไป ยอดเยี่ยมอีกเช่นกันครับจานนี้

อย่างที่ 3 เป็น ผัดเอ็นเนื้อกะหล่ำปลี (Stir-fried beef tendon with cabbage - Gyusuji shio kyabets - 150 บาท) จานนี้ก็เป็น จานที่ในเมนูทำเป็นรูปใหญ่เชื้อเชิญให้สั่งซะเหลือเกิน ซึ่งก็สมควรอีกเช่นกันที่ทำเป็นรูปใหญ่เพราะว่ามันอร่อยอีกแล้วครับท่าน เอ็นเนื้อมาแบบเค็ม ๆ นุ่ม ๆ เข้ากันกับผักกะหล่ำปลีที่ผัดมาแบบพอให้สุก พอให้ได้ผัด ไม่ได้ผัดมาจนไหม้แบบบางร้าน และมีปลาโอแห้งที่โรยมาจนเยอะ จนแทบจะเรียกว่าสลัดปลาโอแห้งก็ไม่ผิดนักอีกแล้ว ทุกอย่าง ผสมผสานลงตัวกันจนกลายมาเป็นรสชาติ อูมามิ ขั้นเทพอีกเช่นกัน อร่อยอีกแล้วครับจานนี้







อย่างที่ 4 เป็น Caesar Salad - 220 บาท จานนี้ค่อนข้างธรรมดา ๆ  เป็น Caesar Salad สไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นซีซาร์สลัดตรงไหน ไม่ว่าจะตัวน้ำสลัดที่ก็ไม่ใช่ล่ะ เป็นครีม ๆ น้ำใส  , ตัวผักที่ใส่มาทั้งกิมจิและมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ จะมีก็แค่ผัก Romaine เท่านั้นล่ะมั้งที่เหมือน Caesar Salad จริง ๆ จานนี้ทำมาได้ดีกว่า ซีซาร์สลัดของร้านยุโรปหลาย ๆ ร้าน แต่เมื่อเอาไปเทียบกับเจ้าสลัด Daikon จานก่อนหน้าแล้ว จานนี้ก็เลยหมองลงไปจนกลายเป็นธรรมดา ๆ ไปเลย (ถ้าสั่งไปเทียบกับร้านอื่นคงชนะแบบไม่ต้องสงสัย)

อย่างที่ 5 เป็น เอ็นเนื้อตุ๋นมิโซะ (Braised beef tendons with miso - Gyusuji dote ni - 130 บาท) จานนี้ก็อร่อยอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่มากมายเท่าไร กินแล้วโอเค แต่ยังไม่ถึงกับชอบมากมายอะไร






อย่างที่ 6 เป็น ยากิโซบะเอ็นเนื้อ (Yakisoba noodles with beef tendon simple salt flavor - Gyusuji shio yakisoba - 200 บาท) จานนี้ผมไม่ค่อยได้กินล่ะเพราะว่าเริ่มอิ่มแล้ว แต่ก็มีแอบชิม ๆ ไปบ้างก็ทำได้ดีอีกเช่นกัน เส้นยากิโซบะมาแบบเส้นใหญ่จนเกือบเป็นอุด้ง + เอ็นเนื้อที่เหมือนร้าน Kacha Kacha แห่งนี้จะใช้กับเมนูหลายจานเหลือเกิน + ปลาโอแห้ง และผักกะหล่ำปลี (เหมือนกับว่าวัตถุดิบของร้านนี้จะคล้าย ๆ กันไปหมด เปลี่ยนโน่นนิดเปลี่ยนนี่หน่อยก็ออกมาเป็นอาหารจานใหม่ อะไรงี้) ทกอย่างก็ทำมาได้ดีครับ น่าจะมาจากฝีมือพ่อครัวคนเดียวกันที่ทำเจ้าตัว Kacha Kacha Yaki ซึ่งหลังจากกินพวกาอาหารกระทะร้อนของร้านนี้แล้ว อยากจะดึงตัวพ่อครัวคนนี้มาเป็นพ่อครัวส่วนตัวชะมัด

อาหารที่ไม่ใช่ Yakitori อย่างสุดท้ายนั้นเป็น มะเขือผัดซอสมิโซะ (Fried eggplant with chinese chilli sauce - Mobo Nasu - 180 บาท) จานนี้คือที่สุดของแจ้ครับ ที่สุดจริง ๆ ในมื้อนี้ โดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบมะเขือม่วงอยู่แล้ว และกินมาหลายร้านมาก ๆ ไม่เคยเจอร้านไหนที่ผมอยากจะสะกดคำว่าอร่อยให้สักเท่าไร แต่กับจานนี้ กับร้านนี้ คนละเรื่องครับ เอาคำว่า "โคตรอร่อย" ไปแทนคำว่าอร่อยน่าจะเหมาะสมกว่า เพื่อนผมอีก 3 คนที่ไปด้วยกัน เห็นพ้องต้องกันว่า จานนี้ มันคือที่สุดจริง ๆ







อาหารหมวดที่ 2 Yakitori ก็สั่งไปเยอะแยะตาแป๊ะไก่อีกเช่นกัน ประกอบด้วย

สะโพกไก่ (Chicken thigh - 40 บาท) | 
ไก่ย่างต้นหอม (Chicken thigh and Japanese leek - 40 บาท) | 
หนังไก่ (Chicken skin - 40 บาท) | 
กึ๋นไก่ (Chicken gizzards - 40 บาท) | 
ไก่บด + ไข่แดงสด (Tsukune, Ground chicken balls with egg yok - 60 บาท) | 
หมูย่างต้นหอม (Pork and Japanese leek - 40 บาท) | 
ไก่บดชีส (Ground chicken balls with cheese - 60 บาท) | 
กระเจี๊ยบ (Okura - 30 บาท) | 
กระเทียม (Ninniku - Garlic - 30 บาท)








ทั้งหมดนี้ ราคาไม่แพงเลย (บางร้านในเมืองขายกันไม้ละ 120++ ก็มีครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าร้านพวกนั้นนี่เอาอะไรมาตั้งราคา -*-) และแต่ละอันก็ทำมาได้แบบ อร่อยเยี่ยม บางไม้นี่จัดได้ว่าเป็น One of the best ของชนิดนั้น ๆ ที่เคยกินในกรุงเทพเลย โอย สมแล้วครับที่ร้านนี้เอาคำว่า Yakitori, และ Tappanyaki มาพ่วงท้ายชื่อร้าน เพราะอาหารหมวดหมู่เหล่านี้มัน..อร่อยเว่อร์ไปหมดเลย

มื้อนี้ปิดท้ายด้วยของหวาน 2 อย่าง ไอศครีมชาเขียว (Green Tea Ice Cream - Macha Icecream - 130 บาท) และ Pudding (Flan in kacha kacha style - 120 บาท) ไม่รู้ว่าเพราะของคาวของร้านนี้เทพ หรือ เพราะว่าพวกผมอิ่มกันมากแล้ว หรือเพราะว่าของหวาน 2 อย่างนี้มันธรรมดาจริง ๆ เจ้า 2 อย่างนี้แบบรสชาติธรรมด๊า ธรรมดา ครับ ถือว่าโอเคถ้าเอาไปอยู่ที่ร้านอื่น หรือได้กินในมื้ออื่น แต่กับมื้อนี้หลังจากที่ได้กินอาหารคาวเทพ ๆ มาร่วม 10 อย่าง ของหวาน 2 อย่างนี้ก็เลยหมองไปโดยถนัดตา







สรุป มื้อจัดหนักที่ร้าน Kacha Kacha แห่งนี้ ผมและผองเพื่อนชอบกันมากครับ ชอบกันจนพูดเป็นเสียงเดียวว่า ไอ้ร้าน Izakaya ทั้งหลายแหล่ที่ผมพาไปกินช่วงหลัง ๆ แทบกันไม่ได้กับร้านนี้เลยแม้แต่น้อย ร้านนี้แบบทำอาหารมาอร่อยทุกอย่างจริง ๆ และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบอื่น ไม่ว่าจะการบริการ (ที่อาจจะยังไม่เทพแต่ก็โอเคในระดับยอมรับได้, บรรยากาศร้าน (ที่อาจจะไม่เป็นส่วนตัวนักแต่พวกเราคนไทยก็ไม่ได้ต้องการ Privacy อะไรมากมายแบบคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว) เข้าไปแล้ว ผมจึงขอมอบคะแนน 9 กว่า ๆ ที่ช่วงหลัง ๆ นี้ไม่ค่อยมีร้านไหนได้เลยให้ร้านนี้ละกัน โอย เสียดายอย่างเดียวครับที่ร้านนี้อยู่ไกลบ้านผมเหลือเกิน แต่ถ้าแบบให้ฝ่ารถติดไปกินร้านนี้, ขับไปสิบกว่ากิโลเมตรเพื่อกินร้านนี้ บางทีมันก็อาจจะคุ้มกว่าไปกินร้าน Izakaya ที่ทองหล่อที่แพงโดยใช่ที่และอร่อยไม่เทียบเท่าก็ได้นะครับเนี่ย




--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...