BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Tuesday, June 5, 2012

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9



วัน นี้สุกับเต้ขอถอนตัวไปจากการเที่ยว  เนื่องจาก 2 สาวมีภารกิจจะไป shopping ตามสไตล์สาว ๆ ซึงผมและม่ำไม่ขอไปร่วมวงโยธีด้วย เนื่องจากคราวที่แล้วที่มา ผมกับม่ำต่างพาแฟนมา และไม่น่าเชื่อว่า พวกคุณเธอจะสามารถช้อป ๆ ๆ ได้ตั้งแต่เช้ายันตะวันตกดิน ซึ่งตอนนั้นผมก็ตื่นตาตื่นใจกับของอัน มากมายละลานตาของญี่ปุ่นอยู่หรอก แต่พอวันหลัง ๆ มันก็เริ่มเบื่อ คราวนี้ก็เลยขอชิ่งแต่เนิ่น ๆ ดีกว่า ทำให้วันนี้ผมกับม่ำจะไปสวีทกับ 2 คนโดยมีแผนจะไปที่ Kawagoe หรือมีชื่อเล่นว่าย่าน เอโดะเก่า นั่นเองครับ


ย่าน Kawagoe นี้เป็นย่านของคนรวยในสมัยก่อน แต่เกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้ขึ้นก็เลย ทำให้คนส่วนใหญ่ ย้ายออกไปอยู่ในเอโดะหรือโตเกียวปัจจุบัน และไป ๆ มา ๆ จากที่ย่านนี้ไม่ค่อยมีคนเลยทำให้ตอนนี้ ย่านนี้เลยอนุรักษ์บ้านเรือน ตึกรามบ้านช่องให้เป็นแบบโบราณไปซะเลย เพื่อเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง อันนี้ผมฟังคร่าว ๆ มาจากที่ม่ำคุยกับคุณลุงที่เป็นคนแนะนำการท่องเที่ยวอยู่ที่ศูนย์ท่องเที่ยว นะครับ พอพวกผมได้คำชี้แนะและแผนที่แนะนำจุดต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุดคือให้ลุงแนะนำร้านปลาไหล (ย่านนี้เป็นย่านปลาไหลอันเลื่องชื่อครับ) ที่ลุงคิดว่าอร่อยที่สุดมาสัก 3 ร้านแล้ว พวกเราก็เดินจากสถานีไปเช่าจักรยานขับกันครับ 


ตาลุงคนนี้ ช่างเจรจามาก อธิบายลากยาวมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลของเมือง Kawagoe กันเลยทีเดียว

นักบวช เท่เป็นบ้า ไม่รู้มายืนทำอะไร บาตรก็ไม่มี มายืนเท่เฉย ๆ ก็คงไม่ใช่

อันนี้ลายแทงร้านข้าวหน้าปลาไหลต่าง ๆ ประจำเมือง คาวาโกเอะ เมืองไหนมีอะไรเด่นดัง เค้าก็จะมีแผนที่ลายแทงร้านอาหารประเภทนั้น ๆ ไว้แจกนักท่องเที่ยวครับ

อันนี้ร้านเช่าจักรยาน 

ได้มาแล้วจักรยานจ่ายตลาดแบบมีเกียร์

เจ๋งมาก แผนที่บนฟุตบาท สวยงามได้ประสิทธิภาพ เสียอย่างเดียว (กู) อ่านไม่ออก


     เดินไปนิดเดียว พวกเราก็เจอร้านจักรยานตั้งอยู่ข้าง ๆ รางรถไฟ ลุงเจ้าของร้านเช่าจักรยานก็ ถามอะไรโน่นนี่เยอะแยะไม่รู้ รวมถึงต้องกรอกข้อมูลด้วยว่าเราเป็นใครอะไรยังไง ทำประหนึ่งว่า ผมกำลังจะซื้อรถคันนึงอะไรประมาณนั้น ค่าเช่าจักรยาน ณ ญี่ปุ่นอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 500 เยนหรืออะไรเนี่ยแหละ ครับตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันแพงหรือถูกตอนนั้นกลับคิดว่าถูกด้วยซ้ำเพราะ ว่า 8 วันที่ผ่านมา เดินทางอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ 300 เยนหมดแล้ว แต่นี่ได้ตั้ง 4 ชั่วโมง! แต่ที่ไหนได้ครับ พอกลับมาจาก ทริปนี้ ผมเพิ่งมีโอกาสได้ไปเช่าจักรยานที่สวนรถไฟมาในราคา 1 วัน 20 บาท -_-’ แม้ว่าโอเคจักรยานญี่ปุ่น จะดีกว่าหน่อยมีกงมีเกียร์ แต่พอเทียบราคากันแล้ว นี่มัน .. แพงกว่ากันเป็น 10 เท่าเลยเหรอนี่เจ้านาย ๆๆๆ





    พวกเราปั่นจักรยานชมจุดต่าง ๆ ที่น่าสนใจในย่าน Kawagoe นี้ ไม่ว่าจะเป็นเจดีย์ 7 ชั้น, วัดต่าง ๆ และก็ย่านร้านค้าโบราณ ๆ มีย่านนึงผมไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องทำโมเดลสัตว์ตัวใหญ่ ๆ หลาย ๆ ชนิดมาวาง ๆ ไว้กระจายเป็นจุด ๆ มีหมดครับไม่ว่าจะฮิปโป, เพนกวิน, กบ, กระต่าย คือแบบงงครับ แต่ก็น่ารักดี แอบถ่ายรูปด้วยมาแทบทุกตัวเลย หลังจากปั่นกันจนพอเหนื่อย คือจริง ๆ ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากหรอกครับ แต่แบบว่าร้อนใช้ได้เลย ลุงร้านจักรยานให้ผ้าเย็นผืนใหญ่มาผืนนึง ซึ่งผมก็ต้องขอขอบคุณตาลุง แกจริง ๆ เพราะถ้าไม่มีผ้าผืนนี้ ผมอาจจะเป็นลมแดดไปแล้วก็ได้ (ฮา)


เมืองนี้ให้อารมณ์เป็นเมืองเก่า มีวัดและอะไรเก่า ๆ เต็มไปหมด

สุสานแบบญี่ปุ่น คล้าย ๆ ของคริสต์ผสมกับของจีน

พระพุทธเจ้าสักชาตินึงล่ะมั้งครับเนี่ย อดอาหารเทพเลย

ตามแหล่งท่องเที่ยวก็ต้องคู่กันกับรถเข็นแบบนี้ครับ ผมเคยคิดจะนั่งนะ แต่แบบมันแพงมาก เดินเอาเองก็ได้ (ฟะ)

เดินไปเรื่อย ๆ

อันนี้หอคอยประจำเมือง สมัยก่อนถือว่าสูงมาก

อันนี้ไม่รู้ว่าคืออะไร ป้ายขอพรรึเปล่า


    หลังจากปั่นกันจนเหนื่อยพอเป็นพิธี พวกเราก็ไปหาร้านปลาไหลตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ โดยเริ่มไล่เรียงกันไปตามลำดับที่คิดว่าจะกิน ไปร้านลำดับแรก.. ปิด ไปร้านลำดับสอง .. ปิด ไปร้านลำดับสาม ก็ยังคงปิด ผมกับม่ำก็เลยสรุปกันว่าวันพฤหัสที่ Kawagoe (หรืออาจะทั่วญี่ปุ่น) เป็นวันหยุดแห่งชาติของร้านปลาไหลเค้า อาจจะมีการเอาปลาไหลไปปล่อยเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศล อันนี้ผมก็ไม่ทราบได้จริง ๆ ครับ แล้วพวกเราก็ไปลงเอยเอาที่ร้านที่เปิดอยู่และขับผ่านไปหลายรอบ และแค่ไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าเป็นร้านปลาไหลเพราะกลิ่นปลาไหลช่างหอมหวลเหลือเกิน!





    ร้านข้าวหน้าปลาไหลที่ญี่ปุ่น จะค่อนข้างแตกต่างจากร้านที่เมืองไทยคือที่นี่ ร้านไหนที่ขายปลาไหล ก็ขายแต่ปลาไหลจริง ๆ ไม่มีอาหารอะไรอย่างอื่นเลย ส่วนร้านญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไปก็จะไม่ทะลึ่งมาขายปลาไหลอยู่ในเมนู เช่นไปร้านซูชิหรือร้านญี่ปุ่นทั่ว ๆ ไปการที่คุณจะสั่ง Unagi (ปลาไหลน้ำจืด) กับทางร้าน เค้าก็จะไม่มีให้ (ส่วนใหญ่นะครับ บางร้านก็พอมี) แต่ถ้าเป็นปลาไหลทะเล (Anago) อันนี้ร้านซูชิทุกร้านจะต้องมีครับ ในขณะที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เมืองไทยแทบทุกร้านจะมี ข้าวหน้าปลาไหลอยู่ในเมนู อ่านะ ผมก็เลยไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงต้องแยกกัน เด่นชัดขนาดนี้ ถ้าให้เดาก็คงเป็นเพราะ ร้านข้าวหน้าปลาไหลที่ญี่ปุ่น ราคาแพงมากกกก แพงแบบกระโดดจากอาหารอื่น ๆ เลย เผลอ ๆ จะแพงที่สุดเลยก็ว่าได้ในอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมนะครับ



หลังจากตระเวณหาร้านข้าวหน้าปลาไหลตามที่ตาลุงแกแนะนำมา ไปร้านอันดับ 1, 2, 3 มาปิด (แม่ง) หมดเลย ไม่รู้ว่าจะพร้อมใจปิดกันวันพฤหัสกันหรืออย่างไร เลยมาลงเอยร้านนี้ เพราะกลิ่นอันหอมหวล อบอวลไกลไปถึงสี่แยกถนนใหญ่

ชาเขียวร้อนเติมฟรี

ราคาหฤโหดครับ ข้าวหน้าปลาไหลที่ญี่ปุ่น เริ่มต้นที่ 1500 yen และลากยาวกันไปถึง 7000 yen เลยทีเดียว

มาแล้ว ๆ ปลาไหลชิ้นอวบอิ่มมาก

อร่อยโฮกสมราคา

ของผมแบบ 3000 yen มีเนื้อปลาไหล 2 ชั้น ของม่ำแบบธรรมดาปลาไหลชั้นเดียว

มีซุปกับผักดองให้กินด้วย เติมได้ไม่อั้นเช่นเคย ซุปใส่ไส้ปลาไหลมาอร่อยดี

เกลี้ยงครับเกลี้ยง จริง ๆ อยากสั่งอีกกล่อง แต่ราคามันหฤโหดเกินกว่าจะสั่งได้

    ผมกับม่ำสั่งกันคนละชุดเท่านั้นเนื่องจากว่าราคาอาหารนั้นค่อนข้างสูงคือชุด ละประมาณ 3,000 เยน ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าราคาสามารถไล่เรียงไปจนถึง 7000 เยนก็มี ไม่รู้ว่าไอ้ปลาไหลราคา 7000 เยนนี่มันมีดียังไง เนื้อปลาก็คงไม่ต่างกันน่าจะต่างกันที่กรรมวิธีการปรุง หรือถ้าเนื้อปลาต่าง มันจะต่างยังไงได้เน้อ ตกมาจากธรรมชาติ? เลี้ยง? หรือจับดูแล้วรู้ว่าตัวไหนเนื้อเทพไม่เทพ? อันนี้ก็คงต้องไปถามคนขายล่ะครับ ม่ำเลยว่า คนขายปลาไหลที่ญี่ปุ่นหลายคนจะเรียนจบมหาวิทยาลัย ด้านการประมงมา พอจบแล้วก็มาย่างปลาไหลครับ ผมฟังทีแรกก็อึ้ง ตกลงนี่การย่างปลาไหลมันเป็น ศาสตร์ชั้นสูงมากเลยเหรอเนี่ย!



    พอกินปลาไหลเสร็จผมกับม่ำก็ไปปั่นจักรยานเล่นต่ออีกเล็กน้อย ปั่นไปปั่นมา ก็ไปเจอเด็กมัธยมกำลังแข่งเบสบอลกันอย่างจริงจัง และเนื่องจากไม่เสียค่าเข้าชม ผมกับม่ำก็เลยลากตัวเองขึ้นไปนั่งดูกัน ตัวผมเองเป็นคนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเยอะ และมีการ์ตูนหลายเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับเบสบอล เนื่องจากกีฬานี้เป็นกีฬาที่ฮิตอันดับ 1 ของประเทศ (ช่วงหลัง ๆ ไม่รู้โดนฟุตบอลแซงไปรึยัง) ทีมเบสบอลม.ปลายประจำโรงเรียนที่ญี่ปุ่นนี่จะถือว่าเป็นชมรมที่ฮอตฮิต มากและการที่ทีมไหนได้ไปโคชิเอ็ง หรือสนามที่ใช้แข่งระดับประเทศ อำเภอหรือเขตที่โรงเรียนนั้นอยู่ ก็จะปิดเขตฉลองกันเลยล่ะครับ (ยิ่งใหญ่มาก) และคนที่เกี่ยวข้องกับทีมก็จะช่วยเหลือกันสุด ๆ ไม่ว่าจะ พ่อแม่หรือญาติจะเอาอาหารมาให้ ทำงานบ้านให้ หรืออะไรต่าง ๆ นา ๆ เพื่อให้นักเบสบอลของเขา มีสมาธิกับการฝึกซ้อนและการเล่นเบสบอลเท่านั้น! ซึ่งที่ว่ามาทั้งหมดนั่นผมอ่านและดูหนังมาครับ แต่วันนี้ผมได้สัมผัสของจริงแล้ว อยู่เมืองไทยจะไปหาดูที่ไหนก็คงไม่ได้ เพราะไม่มีใครเค้าเล่นกัน และพอได้เจอของจริง ผมว่ามันก็เป็นอะไรตามที่อ่านและเห็นมาจริง ๆ ครับ ญาติ ๆ ของนักกีฬามานั่งดู การแข่งกันเยอะมาก มีพวกปิ่นโตกับอาหารแบกมากันเต็มที่ สนามที่ใช้แข่งก็จริงจังมาก มีป้ายสกอร์สวยงาม มีโฆษกสนามประกาศคะแนนและการเปลี่ยนตัว สนามใหญ่โตจุคนได้หลายพันคน และพอเล่นจบไปกี่เกมก็ไม่ทราบ เด็กปี 1 หรือตัวสำรองก็จะมากวาดสนามกันให้เรียบร้อยเพื่อจะแข่งต่อ และระหว่างแข่งก็มีการเชียร์กันอย่าง เอาเป็นเอาตาย โอ้โห บรรยากาศแบบนี้บรรยากาศกีฬาอาชีพชัด ๆ เลยนะครับเนี่ย! คนญี่ปุ่นนี่พอทำอะไร พวกเค้าก็ทำกันจริงจังนะครับ ก็เลยทำให้ประเทศเค้าเจริญมาได้ขนาดนี้ ในขณะที่ประเทศไทยเรา ผมรู้สึกว่าทำอะไรก็ทำแบบสัก ๆ แต่ว่าทำส่ง ๆ ไปเท่านั้น เล่นฟุตบลอก็ต่อยกันยังกับมวยวัด กีฬาอย่างอื่นก็ไม่มีเงินทุนสนับสนุน สังเกตมั้ยครับว่ากีฬาแบบทีมเนี่ย ประเทศไทยจะไม่ค่อยรุ่งเท่าไรเพราะว่ากีฬาแบบทีมมันต้องใช้เงินทุนมาก ใช้อะไรต่อมิอะไรมากกว่าความสามารถของนักกีฬาอย่างเดียว ในขณะที่กีฬาแบบใช้ความสามารถอย่างเดียว เช่น ยกน้ำหนัก, ชกมวย, กอล์ฟ ประเทศไทยเราจะทำได้ดี 


รูปปั้นสิงสาราสัตว์เต็มเมือง

กบกับเหรียญ 5 เยน รู้สึกจะเป็นของคู่กัน เคยเห็นมาหลายทีแล้ว

รูปปั้นเค้าก็สวยแบบญี่ปุ่น ๆ ครับ ดูเก่าแก่มากเลย

ขนมากันทั้งสวนสัตว์ ผมเอาหัวไปให้เจ้าฮิปโปตัวนี้งาบมาทีนึง

กระต่ายกับกบก็ขอร่วมวงเต้นบีบอยด้วย

เมืองไม่ค่อยมีคนครับ

มีโอกาสได้ดูเบสบอลฟรีด้วยดีจัง

เหมือนจะเป็นซ้อมแข่งเฉย ๆ ไม่ค่อยมีคนดู

ช่วงเปลี่ยนเกม ตัวสำรอง, เด็กปี 1 ลงมาลากเส้น เกลี่ยพื้นสนามกันใหญ่

ผู้จัดการทีม (แบบในการ์ตูนเลย) คอยจดแต้ม วิเคราะห์การเล่นของผู้เล่นครับ

ตกลงมันคือป้ายขอพรรึเปล่า? หรือป้ายบริจาค? ถ้าป้ายขอพร ญี่ปุ่นนี่ก็เชื่อเรื่องดวงเหมือนกันนะเนี่ย แต่ยังไงก็คงไม่เยอะเท่าคนไทย


จักรยานคันเก่ง พาผมตะลอนทั่วเมืองคาวาโกเอะเลย


    ผมดูการแข่งเบสบอลจนจบ (สนุกมากมีโฮมรันนึงด้วย) ก็เอาจักรยานไปคืนลุงแล้วก็นั่งรถกลับ ไปที่ชินจูกุกันต่อ เพราะพวกเรามีนัดกินข้าวกันที่ร้าน 270 เยนอีกแล้ว (ร้าน Kinnokura Jr.)  ร้านนี้ผมติดใจตั้งแต่คืนแรกที่ได้ไปกิน พอรู้ว่าจะได้ไปอีกก็ดีใจมากเลยครับ และวันนี้กระเพาะผมว่างมากกว่าวันนั้นด้วยทำให้กินได้เยอะ และสั่งจนแทบจะหมดเมนูเลยล่ะครับ บอกตรง ๆ ว่าอาหารร้านนี้มันอร่อยจริง ๆ ครับ อร่อยและถูกจนทำให้หลังจากเปิดตัวมาได้แค่ 2 ปีร้านก็มีสาขาถึง 40 กว่าสาขา! (มีใครคิดจะซื้อเฟรนไชส์ไปเปิดที่ไทยบ้างมั้ยครับ?) แต่พอดีมื้อนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลย ยังไงก็ลองไปดูรูปอาหารได้ที่บันทึกการท่องเที่ยววันที่สองของผมนะครับ ตามลิงค์นี้

    พอกินกันจนอืดเสร็จพวกเราก็ไปถ่ายสติ๊กเกอร์กันครับ ถ้าพูดถึงตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์ ที่บ้านเราตอนนี้ ก็เลิกฮิตกันไปแล้ว มีหลงเหลืออยู่บ้างไม่ค่อยเยอะ แต่ไม่น่าเชื่อครับว่าที่ญี่ปุ่นถึงจะผ่านมาแล้วเป็นสิบปี ตอนนี้ร้านสติ๊กเกอร์ก็ยังฮิตอยู่ และตู้มีให้เลือกหลายแบบมาก ๆ และราคาก็ไม่แพง แถมมีการอัพเดท กันทุกฤดูอีกต่างหาก ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้การทำตู้สติ๊กเกอร์นี่มันได้ตังค์อะไรขนาดนั้น แต่เค้าก็คงได้แหละว่ามั้ยครับ ไม่งั้นก็คงไม่เปิดกันอย่างยั่งยืนและเยอะอยู่ขนาดนี้หรอก



    พอเราถ่ายสติ๊กเกอร์กันเสร็จก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนเข้าให้แล้ว พวกเราก็เลยรีบเดินทางไปขึ้นรถไฟ เพื่อแยกย้ายกันกลับบ้านครับ แต่พอดีสาวญี่ปุ่นในก๊วน (ชื่อยูโกะ) รู้สึกยังอิ่มไม่พอก็เลยชวนกันไปกินร้านข้าวหน้าเนื้อราคาประหยัด Yoshinoya กันอีกสักหน่อย ร้านข้าวหน้าเนื้อที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นร้านราคาถูกและเปิด 24 ชั่วโมง ราคาต่อจานก็ประมาณ 300 - 500 yen (ถูกมาก ราเมนประมาณ 700 yen) ที่ราคาถูกขนาดนี้ก็เพราะว่าทางร้านจะเอาเศษเนื้อมาทำ (เป็นเนื้อบาง ๆ เป็นเศษเนื้อจากส่วนอื่น ๆ เนื้อส่วนที่เหนียว ๆ กินเป็นคำโต ๆ ไม่ได้เช่น เนื้อหน้าแข้ง ) ในขณะที่เจ้าร้าน Yoshinoya หรือ Sukiya ที่ไปเปิดในเมืองไทย กลับกลายเป็นอาหารราคาเกือบแพงไปซะอย่างนั้น (ผมยังไม่ได้กิน แต่รู้สึกจะจานละ 150 บาท? ในขณะที่ฮะจิบังขาย 80 บาทได้? ค้ากำไรเกินควร?) แต่ร้านข้าวหน้าเนื้อราคาแพงในญี่ปุ่นก็มีนะครับ ม่ำเคยบอกผมว่ามีร้านนึงตรงแถว ๆ Ueno ได้รับโหวตเป็นอันดับ 2 ข้าวหน้าเนื้อประจำกรุงโตเกียว และขายชามละ 2000 yen! (ส่วนใหญ่ ร้านไหนดังหรือดี มักจะโก่งราคาขึ้นมาตาม demand and supply ครับ) 


จบไปอีก 1 วันที่ตะลอน ๆ ทั้งวันจริง ๆ ครับ ติดตามตอนต่อไปได้ตามลิงค์นี้เลยครับ


อร่อยมากครับ ร้าน Kinokura Jr. นี่ เบียร์ก็จัดไปหลายแก้วเช่นเคย

มื้อนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเลยกินกันไม่ค่อยเยอะเท่าไร

ร้านสติ๊กเกอร์เค้าอลังการมาก

มีเป็นสิบ ๆ ตู้เลย

เมนูร้าน Yoshinoya ครับ 490 yen นี่ถือว่าถูกมากสำหรับอาหารญี่ปุ่น ณ ญี่ปุ่น


รสชาติก็พอกินได้ครับ ไม่ถึงกับอร่อยอะไรมาก

ซุปนี่ก็พอแหลกล่ายเช่นกัน

ฮอลแลนด์เค้ามีเบียร์ดาวแดง ของญี่ปุ่นเค้าก็มีเบียร์ดาวเหลืองครับ อร่อยกว่าดาวแดงด้วย (แล้วทำไมไม่โฟกัสตรงยี่ห้อล่ะเนี่ย เฮ้ย)

    Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12



--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...