Overall Score 8.5/10
Taste 4/5
Ambiance 4.5/5
Service 4.5/5
Value 3.5/5
Grease Bangkok - Pub & Restaurant on BumRes.com (For more pictures, menu and info)
บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกที่ผมรู้ข้อมูลเกี่ยวกับร้าน Grease Bangkok (หรือที่ชื่อใน Facebook ว่า Grease Mon-Sat ที่เป็นการเล่นคำว่า กริ๊ดดดด มันสัด จากการที่ร้านเปิดทำการวันจันทร์ - เสาร์) แห่งนี้ ผมนึกว่าร้านนี้เป็นร้านแนว ผับ แนว เธค เที่ยวกลางคืนแห่งใหม่ ในกรุงเทพก็แค่นั้น แต่หลังจากศึกษาดี ๆ และได้ไปรีวิวมา ก็พบว่าจริง ๆ แล้วร้านนี้นี่เป็นร้านที่เรียกได้ว่าเป็น Multi-floor Entertainment Hub แบบที่เค้านิยามตัวเองเอาไว้จริง ๆ เลย คือตัวร้านนั้นจะมีทั้งหมด 4 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมี theme, มี concept แตกต่างกันไป แต่ก็จะคงไว้ซึ่ง core concept ที่คล้าย ๆ กันอยู่ คือแบบเจอร้านอาหารมาก็เยอะ บอกตรง ๆ ว่าร้าน Grease Bangkok นี่เป็นร้านที่เรียกได้ว่า set ร้านมาได้เจ๋งที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยล่ะ
ร้านนี้ตั้งอยู่ใน community mall ที่ไม่เหมือน community mall สักเท่าไรนามว่า พิมาน 49 (เหมือนจะเป็นเวิ้งให้คนมาเช่าตึกเฉย ๆ) โดยชั้นต่าง ๆ ของทางร้าน 4 ชั้นนั้น ผมก็ขอไล่เรียงไปทีละชั้นเลยละกัน
ชั้นล่างสุด ANY WINEHOUSE : จะเป็นส่วนร้านอาหาร หรือเป็นส่วนที่เหมาะที่สุดต่อการมานั่งกินอาหารสั่งอาหารมากที่สุดแล้ว เพราะว่ามีโต๊ะเป็นกิจลักษณะ และตัวบรรยากาศในชั้นนี้ก็จะตกแต่งเป็นแนว ไวน์เฮาส์แห่งอนาคต ไม่ได้เหมือนพวกร้านอิตาเลียนที่เราพบเจอทั่วไป และเนื่องจากเจ้าของร้านนี้คือคุณ แดน เหตระกูล ผู้ซึ่งมีไร่ไวน์อยู่ที่ฝรั่งเศสอยู่แล้ว ร้านนี้ก็เลยจะมีไวน์จากไร่องุ่นของคุณแดนให้ได้ชิมลิ้มลองกันอีกด้วย
ชั้นที่ 2 คือชั้น LSD CLUB : จะเป็นชั้นที่เหมาะสำหรับการมา dance มามันส์มากที่สุด ชั้นนี้จะเป็น floor โล่ง ๆ มีที่นั่งให้นั่งพักเล็กน้อย และก็จะมีบาร์ใหญ่ ๆ ให้ไปสั่งเครื่องดื่มมาดื่มกันเอง จะเป็นแนวเหมือน pub ตามต่างประเทศยังไงอย่างนั้นเลย และที่เจ๋งที่สุดคือ ผนังและเพดานของห้องนี้จะมีการยิง LED ไว้ทั่ว ช่วยเพิ่มความมันส์ ความหลอนได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ
ชั้น 3 คือชั้น CASE 49 : ชั้นนี้ก็เหมือนเป็นชั้นเอาไว้นั่งพักผ่อนสำหรับผู้ที่เหนื่อยจากการแดนซ์จากชั้น LSD ครับ จะเป็นชั้นที่จะมีเก้าอี้แนวนั่งสบาย ๆ และโต๊ะเตี้ย ๆ ไว้สำหรับวางเครื่องดื่มและ snack และก็เหมาะแก่การนั่งคุย นั่งชิลกัน และชั้นนี้ก็เป็นชั้นที่สามารถสูบบุหรี่ได้ด้วย ช่วยเพิ่มความขิลเข้าไปใหญ่ นอกเหนือจากนั้นแล้ว ชั้นนี้จะมีการเอารูปของจิตรกรชาวไทย มาจัดแสดงหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และถ้าใครสนใจภาพไหนก็สามารถติดต่อขอซื้อได้เลย
ชั้น 4 คือ ชั้น EYWA : ชั้นนี้ก็จะเป็นชั้นที่อยู่บนดาดฟ้า อยู่บน roof-top ของตึกเลย ชั้นนี้จะตกแต่งร้านเป็นแนวโลก Avatar ไฟระยิบระยับ ชวนฝัน ๆ และเป็นบรรยากาศแบบ outdoor พร้อมเก้าอี้ถั่ว และหญ้าเทียม ให้ทิ้งตัวลงนอนได้สบาย ๆ ชั้นนี้ทางร้านบอกว่าเป็นชั้นที่ขายดีที่สุด เนื่องจากลูกค้าชอบบรรยากาศของชั้นนี้มาก ๆ รวมถึงทางร้านก็มี Shisha (บารากุ) ให้สั่งมาดูดเล่นเพิ่มความเคลิบเคลิ้มกันเพิ่มเติมอีกด้วย เจ๋งจริง ๆ ชั้นนี้
กลับเข้าสู่การรีวิวอาหารต่อ อาหารของร้าน Grease Bangkok - สุขุมวิท 49 นี้ก็จะเป็นอาหารแนวยุโรป, fusion เล็ก ๆ น้อย ๆ มีให้เลือกพอประมาณสันฐาน ครบทุกหมวดหมู่ของอาหารยุโรปที่ควรจะเป็น appetizer, salad, soup, pasta, main course และ dessert ประมาณนั้น ตัวราคาอาหารของร้านนี้บอกตรง ๆ ว่าถูกกว่าที่ผมคิดไว้ค่อนข้างมากคืออยู่ที่ประมาณ 200 - 300 บาทเท่านั้น (คือเมื่อเทียบกับ ร้านแนว ๆ นี้ร้านอื่นที่เคยเจอมาอ่ะครับ) ส่วนเครื่องดื่มของร้านนี้ แน่นอนว่ามีเพียบพร้อมให้เลือกเมากันได้อย่างสะใจอยู่แล้ว เริ่มกันตั้งแต่ตัว Signature Cocktail ค็อคเทลสูตรเฉพาะของทางร้าน , whiskey, vodka, tequila, classic cocktail คือแบบมีครบหมด ที่ไม่มี และผมรู้สึกแปลกใจก็คือพวก เบียร์สด premium ๆ จากยุโรปที่กำลังเป็นที่นิยมกันทั่วบ้านทั่วเมืองนี่แหละที่ทางร้าน Grease Bangkok แห่งนี้ไม่มี (แต่ก็นะ เบียร์แก้วใหญ่ ๆ แบบนั้นคงไม่เหมาะกับร้านแนว pub ฝรั่งแบบนี้หรอก ร้านแนวนี้มันต้องเบียร์ขวด)
ก็ประมาณนี้ล่ะครับ ก็ขอเข้ารีวิวตัว Signature cocktail ก่อนเลยละกันนะครับ มื้อนี้ได้มาทั้งหมด 3 แก้ว คือเท่าที่กิน ๆ cocktail ที่แบบแต่ละร้านคิดกันขึ้นมาเองและยิ่งเป็นร้านแนว ๆ pub & restaurant แบบนี้แล้ว บอกตรง ๆ ว่ากินมากี่ร้านก็ไม่เคยผิดหวังครับ คือเหมือนกับว่าถ้ามันไม่ดีจริง เค้าก็คงไม่กล้าปล่อยออกมาให้เสียชื่อร้านเล่น ๆ แน่นอน เอาเป็นว่า 3 แก้วนี้ไม่ขอบรรยายรสชาติอะไรมากละกัน เอาเป็นว่าผมและเพื่อน 2 คนที่ไป ทุกคนชอบทุกแก้วที่ได้ดื่มนี่หมดเลย เผลอ ๆ อร่อยกว่าหลาย ๆ ร้านด้วย ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะใช้ตัวเครื่องดื่มที่ค่อนข้าง premium ด้วย บวกกับสูตรที่ดูใส่อะไรต่ออะไรเยอะจนออกมาได้ดั่งใจ ประมาณนั้นเลย
- Gold Member : JW Gold Reserve, Peachsnapp, Lemon tea, Lemon Juice, Ginger Ale, Absinth - 340 บาท
- Candle in The Wine : Ciroc vodka, Cointreau, peach juice, passion fruit, rosemary, limejuice, Absinth - 340 บาท
- B&B (Biscuit and Butter) : Pamparo Rum, butter scotch liqueur, Malibu, Pine apple juice, lemon, vanilla syrub - 340 บาท
ส่วนอาหารในมื้อนี้ก็ไล่เรียงกันไปตามนี้เลย
Egg Plant Italian Sausage (Layered of eggplant, Italian sausage, mushroom - 195 บาท) : จานนี้เป็นจากที่เจ๋งดีครับ เป็น appetizer ที่หน้าตาสวยงามและตกแต่งมาให้กินง่ายดี ก็เป็นมะเขือยาวที่เอาไปรวมกับไส้กรอก และก็เห็ดทอด และก็ออกแบบมาให้กินคำเดียวพอดีคำ ซึ่งพอกินเข้าไปแล้วก็ได้รสชาติอะไรต่าง ๆ นา ๆ มาครบครัน ทั้งความนุ่มของมะเขือ ความมัน อร่อยของไส้กรอก และความกรอบของเห็ด
Mango Tuna Tartar - 290 บาท : อันนี้เป็นแนวอาหารร่วมสมัย อาหารยอดนิยมในสมัยนี้ครับ กับการเอาเนื้ออะไรก็ได้เอามาทำเป็นทาร์ทาร์ ซึ่งร้าน Grease Bangkok แห่งนี้ก็เลือกเอาเนื้อทูน่า ที่น่าจะเป็น Yellowfin Tuna มาทำ และก็เติมความเผ็ด ความเปรี้ยว และใส่มะม่วงดิบ มาให้ออกเป็นแนวไทย ๆ หน่อย จานนี้ก็อร่อยพอใช้ได้ครับ แต่เหมือนกับขาดโดดเด่นของรสชาติโดยรวมไปนิด และตัวเนื้อทูน่าก็คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
BBQ Pork Rib (Roasted red pork rib seasoning served with Gorgonzola dip - 350 บาท) : จานนี้ตัวซี่โครงหมูอบมาได้ค่อนข้างดีครับ เนื้อเปื่อย ๆ ยุ่ย ๆ หลุดออกจากซี่โครงดี ตัวเฟรนช์ฟรายที่ให้มาก็อร่อยและมากับน้ำจิ้มแปลก ๆ คือเป็นชีส gorgonzola ผสมกับอะไรมาก็ไม่รู้ ก็อร่อยดี แต่ว่าที่น่าจะปรับปรุงหน่อยก็คงเป็นเรื่องซอสที่ทาตัว ribs มาครับ เหมือนแบบซอสมันก็รสชาติดีอยู่หรอก แต่ก็ยังไม่เข้มข้นมาก และก็ไม่ได้เข้าเนื้อนัก น่าจะมีน้ำจิ้มมาให้จิ้มเพิ่มด้วยน่าจะลงตัวกว่านี้
Spaghetti Tom Yum Kung (Spaghetti, prawn, chili paste, milk, lime juice - 295 บาท) : จานนี้พวกผมเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า อร่อยที่สุดในมื้อนี้และจัดได้ว่าเป็นพาสต้า fusion ไทยที่น่าจะอยู่ในลำดับต้น ๆ ของความอร่อยที่ผมเคยกินมาเลย เส้นเหนียวนุ่ม ยังกะจะเด้งได้ ตัวซอสต้มยำกุ้งที่ให้มาก็แบบเป็นต้มยำกุ้งที่เผ็ดแบบผู้ดี ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันแต่มันไม่ได้เผ็ดบ้าน ๆ เหมือนกับที่เคยกินมาจากหลาย ๆ ร้าน ส่วนที่เด็ดที่สุดก็คือกุ้งแชบ๊วยตัวใหญ่ 3 ตัวที่จัดจานมาอย่างสวยงาม และตัวใหญ่ เนื้อสดเด้ง สมกับเป็นที่สปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้งจริง ๆ
ของหวานในมื้อนี้ก็จะเป็น Panna Cotta - 120 บาท ที่ทำหน้าตามาไม่เหมือนร้านอื่นสักเท่าไรคือใส่มาในแก้ว cocktail และก็ตกแต่งมาด้วยผลไม้เมืองนอกที่คุ้มค่าเกินราคาไปมาก ส่วนรสชาติ ก็อร่อยดีครับ ไม่ได้เนื้อเป็นแบบ panna cotta เทพมาก แต่ก็จัดได้ว่าทำได้ดี
Fruit Flambe - 195 บาท อันนี้ไม่มีอะไรมากครับ เป็นแค่ พีชสุกที่ราดซอสคาราเมลมา กับไอศครีมวานิลลา อันนี้อร่อยดีครับ โดดเด่นที่ตัวซอสที่ทำมาได้หวาน เปรี้ยว กลมกล่อมกำลังดี ตัวไอศครีมก็แบบเป็น ice cream premium ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายี่ห้ออะไรแต่แบบอร่อยมากเลย
สรุปแล้วร้าน Grease Bangkok : Grease Mon - Sat ร้านนี้ ก็เป็นร้านที่แบบเจ๋งจริง ๆ ผมและเพื่อนชอบกันมาก ๆ ไล่เรียงกันไปตั้งแต่บรรยากาศร้านที่มีครบครันทุกรูปแบบ, การบริการดี ๆ จากพนักงานที่ได้รับการเทรนมาเป็นอย่างดี และตัวอาหารที่ราคาไม่แพงเลย และถ้ายิ่งเทียบกับคุณภาพ วัตถุดิบ , ปริมาณที่ได้รับแล้วก็ยิ่งคุ้มเข้าไปใหญ่ ใครที่อยากจะมาเพลิดเพลินกับร้านที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้แล้วล่ะก็ มากันได้เลย Mon - Sat มาให้มันส์สาด สมกับ concept ของร้านกันเลยย
ปล. ไม่ต้องห่วงว่าจะเดินกันเหนื่อย 4-5 ชั้นนะครับ ร้านนี้เค้ามีลิฟท์ส่วนตัวไว้พาเราไปชั้นต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกโยธิน
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment