Bangkok is renowned for its gourmet food at reasonably low prices. This blog covers a wide range of restaurants in Bangkok and occasionally in other provinces (Chiang Mai, Pattaya, Phuket). From street vendors to luxurious restaurants - From mouthwatering dishes to eye widening meals, all can be found here. This blog will take you to experience the exotic food you rarely find in your area. Feel free to leave comments or suggestion. Please visit http://www.bumres.com for more information.
Saturday, October 27, 2012
Hong Kong Gourmet Trip 2012 - My 1st Trip Part 1
สวัสดีครับ ช่วง 3 อาทิตย์ที่ผมหาย ๆ ไปมานี่ไม่ใช่ว่าขี้เกียจหรือว่าเลิก update blog แล้วหรือว่าอะไรนะครับ พอดี ตลอด 3 อาทิตย์มานี่ผมเดินทางท่องเที่ยวมาตลอดเลย ตอนแรกว่าจะเขียน blog หลังเที่ยวเสร็จวันต่อวัน แต่จนแล้วจนรอด ความเหนื่อยบวกกับการต้องวางแผนการเที่ยวในวันต่อ ๆ ไปที่แบบมีมาอยู่ทุกวัน ก็เลยทำให้ไม่ได้เขียนสักที โปรแกรมท่องเที่ยวของผมก็เริ่มต้นที่ ฮ่องกง ไปต่อที่ญี่ปุ่น ต่อที่ Northwest USA แล้วก็มาจบลงที่ Midwest USA ครับ ซึ่งขณะที่เขียนอยู่นี่ผมยังอยู่ที่อเมริกาอยู่เลย แต่พอดีช่วงนี้เริ่มอยู่นิ่ง ๆ ที่หอเพื่อนแล้วก็เลยเพิ่งจะมีเวลาว่างมาเขียนครับ
เริ่มกันที่ทริปแรกเลย ฮ่องกง ดินแดนแห่งความเลิศรสทางด้านอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารจีนกวางตุ้ง (Cantonese) สำหรับเกาะเล็ก ๆ ที่แปลได้ว่า "อ่าวเป็นเศษ ๆ " แห่งนี้ผมเพิ่งจะเคยมาครั้งแรกแบบจำความได้ (เคยมาตอน 5 ขวบ แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย -*-) เห็นรีวิวไปตระเวณกินที่เกาะนี้มาก็เยอะ, อ่าน ๆ เจอร้านอาหารน่าสนใจที่เกาะนี้ก็เยอะ, เพื่อน ๆ ผมแทบจะทุกคนก็เคยไปเกาะฮ่องกงนี่กันมาแล้วแต่กว่าผมจะได้มาก็ซัดไปอายุจะเข้าเลข 3 แล้ว เชยชะมัด
ทริปมาฮ่องกงนี่จุดประสงค์หลักจริง ๆ คือมาตระเวณกินครับ เนื่องจากผมได้ซื้อ Michelin Guide เล่มแดงของ Hong Kong และ Macau ของปี 2012 เอาไว้ แล้วก็เล็ง ๆ ร้านที่จะมากินเอาไว้แล้วทำเป็น list เอาไว้ได้สัก 30 - 40 ร้านล่ะ มาทริปนี้ตอนแรกก็กะจะขีดฆ่าร้านใน list นี่ออกไปสัก 5-6 ร้าน แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ทำได้ไม่ถึงเป้าครับ เพราะอะไร? ลองอ่าน ๆ ที่ผมเขียนวิจารณ์ในตอนหลัง ๆ ดูละกันครับ คือบันทึกนักชิมฉบับมาเยือนฮ่องกงนี้ ผมคงไม่ขอเขียนอะไรเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวมานักละกัน เพราะว่าผมรู้สึกว่ามีคนรีวิวเอาไว้เยอะแล้ว รวมถึงแทบจะทุกทัวร์ที่จัดไปเที่ยวฮ่องกงก็พาไปที่ที่ผมไปในทริปนี้แล้วทั้งนั้นก็เลยไม่รู้จะเขียนทำไมกับสิ่งที่มีกันอยู่เกร่ออยู่แล้ว คือผมก็ไปเที่ยวเหมือนคนอื่น ๆ ล่ะครับ ไปพระใหญ่, ไปยอดเขาอะไรสักอย่างที่มีห้างอยู่บนภูเขาและชมวิวเมืองฮ่องกง, เดินเล่น Downtown ฝั่งฮ่องกงกับเกาลูน ไปแค่นี้ทริปสั้น ๆ 4 วัน 3 คืนของผมบนเกาะอันแสนจะแออัดไปด้วยตึกทรงสูงแห่งนี้ก็เหมาะลงแล้ว ซึ่งหลังจากที่ไปเที่ยวเสร็จ รู้สึกว่าจริง ๆ แล้วเกาะนี้ยังมีอะไรให้เที่ยวได้อีก 2-3 รอบนะเนี่ย (แบบรอบละ 3-4 วันแบบนี้นะครับ) แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากมากินอาหารที่ฮ่องกงนี่แล้ว ไม่รู้ว่าเพราะผมคาดหวังเอาไว้สูงว่า อาหารจีนของที่นี่มันจะต้องเทพ กินแล้วร้องว้าวในแทบทุกจานที่กินรึเปล่า ซึ่งความเป็นจริง มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ผมว่าอาหารจีนเมืองไทยเผลอ ๆ จะอร่อยกว่าซะด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังไม่อยากฟันธงเนื่องจากว่าไปกินมาไม่กี่ร้านดี คงต้องไปไล่เก็บสักหลักหลายสิบร้านขึ้นไปก่อนถึงจะมีหน้ามาฟันธงได้ครับผมว่า
ก่อนจะเข้ารีวิวร้านมาพูดกันถึงวิถีชีวิตการกินอาหารของชาวฮ่องกงกันก่อนดีกว่า คือผมก็ไม่ได้รู้ลึกรู้จริงอะไรมากสักเท่าไร แต่เท่าที่ไปสัมผัส ๆ มาบวกกับได้ฟังญาติผมที่เป็นคนฮ่องกง (แต่พูดไทยไม่ค่อยได้ เลยบางทีนึกศัพท์ไม่ออก คุยกันไม่รู้เรื่องก็มี) เขาเล่า ๆ ก็เลยพอจะมีอะไรให้เขียนถึงบ้างเล็กน้อย สิ่งนึงที่ชัดเจนเลยคือ คนฮ่องกง (และคนจีนแถว ๆ นี้) จะไม่กินน้ำเปล่ากัน พวกเขาจะกินน้ำชาร้อน ๆ หรือไม่ก็น้ำร้อน ๆ กัน (ใส่จอก) ซึ่งถ้าโชคดีบางร้านก็จะมีน้ำเปล่าเป็นขวด ๆ ขาย หรือถ้าซวย ๆ หน่อยเช่นร้านจีนแท้ ๆ จริง ๆ ก็จะไม่มีน้ำเปล่าเป็นขวดเลยด้วยซ้ำ และยิ่งถ้ากินน้ำเปล่ากับน้ำแข็งด้วยอีกนี่ยิ่งเพี้ยนหนักครับ ญาติผมตกใจทุกครั้งที่ผมกินแบบนี้ (มันน่าตกใจขนาดนั้น? -*-) ยังดีครับ ที่เบียร์ของที่นี่เสิร์ฟมาแบบเย็น ๆ และก็ไม่ได้ใส่น้ำแข็ง ถ้ามาเป็นเบียร์ร้อนนี่คงกรี๊ดแน่นอน
ส่วนเรื่องอาหาร เนื่องจากผมเข้าไปกินแต่ร้านอาหารจีนคงบอกอะไรมากไม่ได้ ร้านที่ผมไปกินเยอะสุดในทริปนี้ ญาติผมเรียกว่าเป็นร้านชาซึ่งก็ไม่รู้ทำไมถึงเรียกว่าร้านชา คือร้านพวกนี้ตอนเช้าก็จะขายอาหารเช้า มีเป็นติ่มซำ กับพวกข้าวจานเดียวกับก๋วยเตี๋ยว เปิดขายกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า และแม้ว่าร้านพวกนี้จะอยู่ในห้าง แต่ห้างก็เปิดประตูให้คนเข้าไปกินกันตั้งแต่ 6 โมง (แต่พวกร้านรวงอื่น ๆ ก็จะเปิดกัน 10 โมง) ส่วนตอนเที่ยงกับตอนเย็นก็จะผันตัวเองเป็นร้านเหลา เป็นภัตตาคารจีนแบบบ้านเรา เสิร์ฟทั้งอาหารจีนและอาหารชุดแบบโต๊ะจีน คือแบบ ใช้ร้านตัวเองได้คุ้มค่าสุด ๆ จริง ๆ ส่วนร้านประเภทอื่น ๆ นี่ผมก็ได้เข้าภัตตาคารอาหารจีนไปอีก 3 ร้าน ก็คล้าย ๆ บ้านเรา ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก ที่ฮ่องกงนี่ดีหน่อยตรงที่พนักงานจะพูดอังกฤษกันพอได้ ก็เลยไม่ค่อยมีสภาวะ lost in translation กันสักเท่าไร ซึ่งโดยรวมแล้ว ผมรู้สึกว่านอกจากวัฒนธรรมเรื่องการดื่มชาแทนน้ำเปล่าแล้ว การกินอาหารที่ร้านอาหารของชาวฮ่องกงนี่ก็เหมือน ๆ กับไทยเลยครับ ราคาอาหารก็พอ ๆ กัน (อาจจะแพงกว่าเล็กน้อยในร้านหรู ๆ) หน้าตาอาหารหลาย ๆ อย่างก็เหมือนกับร้านอาหารจีนในบ้านเรา กินไปกินมาบางทีก็แอบรู้ึกเหมือนกันว่าไม่รู้เหมือนจะถ่อมาทำไมถึงที่นี่ -_-?
ส่วนประเภทของร้านอาหาร ผมว่าฮ่องกงนี่ก็เหมือน ๆ กับที่กรุงเทพ หรือเมืองใหญ่ ๆ ในโลก (ที่ผมเคยไปมานะครับ) มีกระจาย ๆ กันแทบจะครบทุกสัญชาติ McDonald ก็พบเห็นได้ทุกที่, ร้านห้องแถว, ภัตตาคาร อาหารฝรั่ง, อาหารจีน, อาหารไทย มีหมด เดิน ๆ ดูแล้วไม่ได้ต่างอะไรจากบ้านเราสักเท่าไรเลย ป้ายร้านก็จะมีทั้งตัวอักษรจีนและตัวอังกฤษอ่านง่าย หาสะดวก
ส่วนเว็บไซต์ที่เป็นที่พึ่งของผมในการตามหาร้านอาหารในฮ่องกงนั้นจะเป็นเว็บไซต์ openrice hong kong ครับ search ร้านอะไรก็ตามเว็บนี้จะขึ้นมาอันดับ 1 ใน search result แทบจะทุกครั้ง และข้อมูลแน่น รีวิวเยอะ แบบสุดยอดจริง ๆ ก็ดีครับ ไปญี่ปุ่นก็มี tabelog, gurunavi มา hong kong มี openrice ไปอเมริกาก็มี yelp กับ zagat เหลือประเทศไทยนี่แหละครับ ที่ยังไม่ค่อยจะเป๊ะเหมือนชาติอื่นเขาสักที ผมก็จะพยายามพัฒนาเว็บไซต์ bumres ให้ฉลาด ๆ เหมือนเว็บเมืองนอกให้ได้นะครับ
ร้านอาหารในทริปนี้ที่ผมไปกินก็จะมีทั้งหมด 7 ร้านเป็นร้าน Michelin Star อยู่ 3 ร้าน และก็ร้านอาหารจีนอีก 4 ร้าน (คือกินแต่จีนจริง ๆ ทริปนี้) มาเริ่มกันเลยละกันนะครับ
ผมเดินทางไปฮ่องกงด้วยสายการบิน Cathay Pacific สายการบินที่ได้รับรางวัลมามากมาย และมีแต่คนที่เคย ๆ นั่งชมกันว่าดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ ตัวผมเองก็เพิ่งจะเคยได้นั่งเป็นครั้งแรก อีกแล้วครับ แม้ว่าจะนั่งชั้น economy แต่ก็คาดหวังเอาไว้สูง พอนั่ง ๆ ไป รู้สึกสายการบินไทยโดยรวมจะดีกว่านะของ Cathay Pacific นี่อาหารก็อร่อยน้อยกว่า, แอร์ก็ดูแข็ง ๆ กระด้าง ๆ , จอทีวีก็ไม่ใหญ่เท่าของไทย คือแทบทุกอย่างสู้การบินไทยบ้านเราไม่ได้เลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นั่งแค่ 3 ชั่วโมง ก็ไม่ได้อะไรมากครับ กินข้าว, ดื่มเบียร์ แปบ ๆ ก็ถึงฮ่องกงแล้ว
สิ่งที่ประทับใจอย่างแรกที่ฮ่องกงคือตัวสนามบินครับ ตัวสนามบินทันสมัย ใหญ่โต และมี wi-fi ให้ใช้ฟรี สูสีกับสนามบินเทพ ๆ ที่เคยไปมา (เช่น incheon airport ของเกาหลี) สนามบินฮ่องกงนี่เป็นสนามบินที่เพิ่งสร้างเสร็จมาได้ไม่กี่ปี แต่เดิมตัวสนามบินจะอยู่ในเมืองหน่อย และสนามบินเล็กมาก flight บินขึ้นลงมีน้อย และเป็นสนามปราบเซียนเหล่านักบินเป็นอย่างมากเนื่องจาก runway จะสั้น แต่พอย้ายมาที่แห่งใหม่ ที่อยู่ในเกาะที่ถมขึ้นมาเองตรงด้านซ้ายของเกาะลันเตา สนามบินเล็ก ๆ เก่า ๆ ก็เลยแปรสภาพเป็นสนามบินเทพไปโดยปริยาย แต่ก็ต้องแลกกับการที่ต้องเสียเวลาเดินทางเข้าเมืองประมาณ 30 นาที ไม่ว่าจะเดินทางด้วยทางไหนแทนครับ
พอผมไปถึงเพื่อนญาติที่ขับรถมารับ (สบายดีแท้ ตอนแรกนึกว่าจะต้องนั่งรถไฟเข้าเมือง) ก็พาไปกินร้าน ห่านย่างชื่อดังที่เปิดมาร่วม ๆ 70 ปีแล้วในทันที หมายเหตุ ตัวพิกัดร้านหรือข้อมูลปลีกย่อยของร้านในรีวิวในบันทึกนี้คงไม่มีมากนะครับ เพราะว่าเอาชื่อร้านไป search ใน google ข้อมูลก็พรั่งพรูมาแทบจะครบทุกอย่างล่ะครับ ใครสนใจจะตามรอยก็ลองไป search เพิ่มเติมกันเองจะดีกว่า
1st Shop
ชื่อร้าน Yue Kee Roasted Goose Restaurant
URL http://www.yuekee.com.hk/en/index.htm
ประเภท อาหารจีนทั่วไป เน้นห่านย่าง
ราคา คนละ 500 บาทโดยประมาณ
ดีกรี 2012 Michelin Guide (Maybe Rising Star)
ร้านนี้สารภาพว่าตอนก่อนจะกินนี่ไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นร้านที่เกี่ยวอะไรกับ Michelin มารู้เอาตอนกินเสร็จแล้วมาดูสติ๊กเกอร์หน้าร้านเห็นมีสติ๊กเกอร์มิชลินแปะอยู่และเป็นปี 2012 ด้วย มาลอง search เพิ่มเติมดูก็เหมือนจะไม่ชัวร์ว่าเป็นร้านกี่ดาว ตัวหนังสือไกด์บุ๊คของ Michelin ของผมก็อยู่ที่กรุงเทพไม่ได้เอามา แต่เอาเป็นว่าร้าน Yue Kee Roasted Goose Restaurant นี่ก็น่าจะเป็นร้านดัง มีดีกรีพอสมควรล่ะครับ เพราะนอกจากจะมีสติ๊กเกอร์มิชลินแล้ว ร้านเองก็เปิดมาร่วม 70 ปี และญาติผมกับเพื่อนญาติบอกว่า คนมาฮ่องกง ถ้าอยากจะมากินเป็ดย่าง, ห่านย่าง ก็ต้องมาที่ร้านนี้กันทั้งนั้น! อืม ขนาดนั้นเชียว
อาหารของร้าน Yue Kee Roasted Goose Restaurant นี่ ผมอ่านเมนูแล้ว มันนึกภาพไม่ค่อยออกครับ เนื่องจากว่ามันเป็นแบบภาษาอังกฤษแปลมาห้วน ๆ ทื่อ ๆ จากภาษาจีน (อารมณ์เหมือน เมนูอาหารไทยแปลเป็นภาษาฝรั่งเช่น หมึกผัดไข่เค็ม - Stir-fried squid with salted egg อะไรแบบนี้ คือถ้าไม่ใช่ภาษาต้นฉบับมันก็คงงง ๆ ป่าวครับ?) เรื่องรายการอาหารก็เลยปล่อยให้ญาติผมสั่งไป (เพราะคุยกับพนักงานรู้เรื่องด้วยอีกเรื่องนึง) เท่าที่สังเกต ราคาอาหารของร้านนี้ก็พอ ๆ กับไทยนะครับ คือที่ฮ่องกงนี่เท่าที่กินมา นี่ถ้าร้านไม่หรูมากก็มักจะไม่มีมา + vat + service charge เพิ่มเติมให้เสียอารมณ์เหมือนบ้านเรา ไป ๆ มา ๆ อาหารอาจจะราคาเท่ากันก็ได้
อาหารจานแรกในมื้อนี้ แน่นอนครับมันคือ "ห่านย่าง" Roasted goose พวกผมสั่งกันไปแค่ 1 ใน 4 ตัวเนื่องจากว่ายังอิ่ม ๆ จากอาหารบนเครื่องบินอยู่ บวกกับญาติกับเพื่อนญาติก็กินข้าวเย็นกันมาแล้ว (มื้อนี้กินตอน 3 ทุ่มโดยประมาณ) หน้าตาของห่านย่างมันก็คล้าย ๆ เป็ดย่างหนังแดง ๆ บ้านเราครับ แค่ตัวหนังมันจะไม่แดงเท่าก็แค่นั้น ส่วนเรื่องรสชาติ ผมกินแล้วยังไม่ค่อยประทับใจจอร์จสักเท่าไร คือมันก็ดีครับ แต่ทำไมไม่รู้ เป็ดย่างร้านเทพ ๆ บ้านเรา เช่น Mandarin เป็ดย่างทองหล่อ หรือ Crystal Jade พร้อมพงษ์ มันอร่อยกว่าแบบชัดเจนไม่ต้องสืบยังไงก็ไม่ทราบ ตัวน้ำจิ้มที่ให้จิ้มด้วยกันก็เหมือนจะยังไม่ค่อยโดน อืม แต่ก็ถือว่าดีอยู่ครับ แต่กินเสร็จก็มีคำถาม นี่คือห่านย่างที่ดีที่สุดในฮ่องกงจริงหรือ?
จานที่ 2 เป็นเครื่องในหมูต้ม/ผัดกับซีอิ๊วแล้วเอามาโปะลงบนถั่วงอกครับ จานนี้รสชาติก็กลาง ๆ อีกแล้ว ไม่ได้มีอะไรเด่น ตัวถั่วงอกที่วางอยู่ข้างล่างก็ไม่ได้ปรุงอะไรมาเลยเป็นถั่วงอก plain ๆ ไม่รู้จงใจอยากให้ตัวพวกเครื่องในหมูมันเด่นรึเปล่า เพราะกินแต่ละคำแล้วมันจะได้รสชาติจากหมูอย่างเดียว แต่แบบตัวรสชาติหมูกับซอสที่ปรุงมามันก็ยังไม่เทพขนาดต้องไม่มีรสชาติถั่วงอกขนาดนั้นครับ -*-
จานที่ 3 เป็นตีนเป็ด, ตีนไก่ ต้ม จานนี้เป็นอาหารฮอทฮิทของคนฮ่องกงเค้าครับ เพราะว่าไปที่ไหนก็จะเห็นคนสั่ง ตัวผมเองก็ได้กินเจ้าจานนี้ในอีก 3 มื้อหลังจากนี้ด้วย จานนี้มันจะคล้าย ๆ ซุปเปอร์ขาไก่ของบ้านเรา แต่ อีกแล้ว แต่ ๆ ๆ ๆ บ้านเราทำได้ดีกว่าครับ ตีนไก่บ้านเรามันจะนุ่มกว่า ร่อนกว่า ไม่ต้องออกแรงขยับขากรรไกรมาฉีกเนื้อออกจากกันเท่าของฮ่องกง และตัวน้ำซุปของที่นี่มันก็จะมาแบบจืด ๆ มีรสเค็มเล็ก ๆ ไม่แบบเข้มข้น ๆ น้ำข้นคลั่ก ๆ เผ็ด ๆ แบบบ้านเรา แต่มันก็คงเป็นรสชาติของชาวฮ่องกงเค้าล่ะครับ เพราะอีก 3 มื้อที่เหลือที่ผมได้กินเจ้าชามนี้ มันก็รสชาติแบบนี้หมดเลย!
ส่วนจานสุดท้ายในมื้อเป็นบร็อคโคลี่ราดมันปูกับไข่มา ก็อร่อยดีครับ แต่ (แต่อีกแล้ว ฮ่า ๆ) ผมเคยกินเจ้าอาหารแนว ๆ นี้ที่ร้าน Crystal Jade - Siam Paragon มาเหมือนกับว่าตัวซอสมันปูกับไข่ที่นั่นจะทำมาได้ดีกว่านะครับ แต่ว่าตัวบร็อคโคลี่ของที่ฮ่องกงนี่จะดีกว่ามันจะนุ่ม ๆ เคี้ยวง่าย ๆ และก็เหมือนจะแอบหวาน ๆ กว่าด้วย จานนี้น่าจะอร่อยที่สุดในมื้อนี้แล้วล่ะครับ
สรุปมื้อเบา ๆ เป็นมื้อ Supper ของผมที่ร้าน Yue Kee Roasted Goose Restaurant นี่ก็ถือว่าค่อนข้างเฉย ๆ ครับ ไม่ได้ประทับใจอะไรมาก อาหารไม่ได้มีความน่าตื่นตาตื่นใจ, รสชาติก็สู้บ้านเราไม่ได้ ห่านที่ขึ้นชื่อลือชาก็งั้น ๆ เอาไปสัก 7 เต็ม 10 ละกันครับร้านนี้
หลังจากกินมื้อนี้เสร็จพวกผมก็ตรงดิ่งกลับไปนอนที่ apartment ของญาติผมต่อในทันทีเนื่องจากมันจะห้าทุ่มล่ะ ที่ฮ่องกงนี่ สิ่งนี้ที่แบบโดดเด่นกว่าอะไรที่ผมเคยไปมาคือ Apartment ของที่นี่มีเยอะมากและแต่ละตึกนี่แบบ 30 ชั้นอัพ และเรียงติด ๆ กันเป็น complex ขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งมาลองคิดดูมันก็ดูเหมาะสมดีเพราะว่าคนหลายล้านคนมากระจุกรวมกันอยู่ในเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้แต่ไม่ได้เป็นเกาะกาก ๆ ไม่มีระเบียบไม่มีผังเมืองแบบกรุงเทพบ้านเรา แต่เป็นเกาะที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี มีสนามกีฬา, มีสวนสาธารณะกระจายตัวอยุ่ในเมืองอย่างเหมาะสม ซึ่งการที่จะทำให้เกาะฮ่องกนี้เป็นเกาะที่เพียบพร้อมแบบนี้ได้ คนฮ่องกงก็เลยต้องอยู่กันใน Apartment นี่แทบจะทุกคนล่ะครับ คือเพื่อนญาติผมที่แบบรวย ๆ มีรถขับ (คนฮ่องกงส่วนใหญ่ไม่มีรถ) นี่เค้าก็ยังอยู่ Apartment เลยครับ แต่จะแบบห้องใหญ่, หรูมากหรูน้อยต่างกันไปแค่นั้น ญาติผมบอกว่าคนที่จะมีบ้านแบบเป็นบ้านจริง ๆ เลยนั้นมีน้อยแบบนับนิ้วได้เลย
2nd Shop
ชื่อร้าน Horonary Family
URL http://www.honoraryfamily.com/index.php
ประเภท ร้านชา, อาหารจีนทั่วไป, อาหารเช้า, ติ่มซำ
ราคา คนละ 400 บาทโดยประมาณ
ดีกรี เหล่าคนสูงอายุชาวฮ่องกงเต็มร้าน
ร้านที่ไปกินร้านที่ 2 นี้ก็ตามที่เกริ่น ๆ ไว้ตอนต้นครับเป็นร้านที่ญาติผมเรียกว่า "ร้านชา" กับร้านที่มีนามว่า Horonary Family ร้านตั้งอยู่ในห้าง tsz wan shan shopping centre ใกล้ ๆ กับ Apartment ของญาติผม ผมไปถึงร้านประมาณ 9 โมง พอเข้าไปในร้านก็ตกใจครับ เพราะว่าคนนั่งกันแน่นขนัดแทบจะเต็มทุกโต๊ะเลย ซึ่งถ้าร้านมันเล็ก ๆ ก็ว่าไปอย่างครับ แต่แบบร้านนี้นี่มีโต๊ะกลม 6 และ 10 ที่นั่งสัก 50 โต๊ะขึ้นไปได้ เป็นร้านที่ลูกค้าเยอะครึกครื้นดีแท้ครับ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่นั้นจะเป็นคนแก่ ๆ นะครับผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทฤษฎีที่คิดได้ก็คือ คนแก่ไม่ต้องทำงานเลยมากินข้าวกันชิล ๆ เวลา 9 โมงวันธรรมดาแบบนี้ได้ รวมถึง คนฮ่องกงส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่เป็นครอบครัวใหญ่กัน พอลูก ๆ หลาย ๆ ของตา ๆ ยาย ๆ แกไปทำงาน แกก็เลยออกมากินข้าวนอกบ้านกันซะอะไรประมาณนี้
อาหารของร้านนี้เนื่องจากผมไปกินตอนเช้า ก็เลยจะเป็นพวกติ่มซำ ๆ กับพวกอาหารจานเดียวแบบข้าวกับก๋วยเตี๋ยวครับ วิธีการสั่งก็ไม่ยาก ดู ๆ จากในเมนูแล้วก็ติ๊ก ๆ จำนวนเอาตามใบรายการอาหารเลย (มีหลาย ๆ ร้านที่บ้านเราก็ทำแบบนี้) ร้าน Horonary Family นี่สั่งง่ายหน่อยเนื่องจากในเมนูจะมีเลขกำกับก็เลยไม่ต้องมานั่งแปล นั่งหากันให้งงเต๊กแบบบางร้าน หลัง ๆ จากนี้ ตัวราคาติ่มซำของที่นี่ผมว่ามันก็เท่า ๆ กับไทยเลยครับ เข่งละ 60 - 100 บาทโดยประมาณ แต่ที่เด่นหน่อยนั้นผมว่าคงเป็นที่ความหลากหลาย ตัวรายการติ่มซำเค้ามีให้เลือกเยอะมาก ๆ เยอะกว่าร้านติ่มซำในไทยส่วนใหญ่ที่กินมาเลย (การมากินติ่มซำนี่คนจีนจะเรียกว่า Yum Cha (แปลว่าไปดื่มชา เพราะจะดื่มคู่กับติ่มซำ) ไม่รู้ว่าเพราะแบบนี้ญาติผมเลยเรียกร้านแนว ๆ นี้ว่าร้านชารึเปล่า?)
มื้อนี้สั่งไปค่อนข้างเยอะครับ เป็นติ่มซำซะทุกอย่างมียกเว้นอยู่อย่างเดียวคือคะน้าฮ่องกงน้ำมันหอย ตัวติ่มซำที่สั่งก็มี ขนมจีบ, ฮะเก่า, กุยช่าย, ก๋วยเตี๋ยวหลอด, ซี่โครงหมู ฯลฯ เยอะแยะไปหมด ส่วนนึงที่สั่งเยอะเพราะผมได้ยินมานานแล้วว่าติ่มซำที่ฮ่องกงอร่อยอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งพอได้กินแล้วก็อืม ก็อร่อยดี แต่ถามว่าอร่อยกว่าเมืองไทยมั้ย? ก็ไม่อีกล่ะ ติ่มซำของห้องอาหารในโรงแรมเราแทบจะทุกโรง ทำได้ดีกว่าร้าน Horonary Family แห่งนี้หมดก็ว่าได้ครับ แต่ถ้าเทียบแบบนี้มันก็คงจะสุดโต่งเกินไป อ่ะ ถ้าเทียบกับร้านบ้าน ๆ ในบ้านเราหน่อยเช่น Canton House หรือ Hongmin อะไรพวกนี้ แน่นอนครับ ร้าน Horonary Family @ Hong Kong ชนะอย่างไม่ต้องสืบ แต่ราคาก็จะแพงกว่ากันเกือบเท่า เพราะราคาของที่นี่ประมาณเท่า ๆ กับกินโรงแรมบ้านเรา ซึ่งไป ๆ มา ๆ ก็คือกินโรงแรมบ้านเราก็น่าจะดีกว่า -_-"
ส่วนจาน คะน้าฮ่องกงน้ำมันหอย นั้น ตอนก่อนจะมาฮ่องกง เพื่อนผมที่เคยมาได้กำชับกับผมไว้ว่าให้สั่ง เพราะว่ามัน "โคตร" อร่อย คนละเรื่องกับคะน้าน้ำมันหอยบ้านเรา พอผมเห็นเมนูนี้ในเมนูปุ๊บก็เลยรีบสั่งทันที ซึ่งพอได้กินมันก็ยอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ ผักนุ่มมาก ๆ นุ่มแบบคนละเรื่องกับก้านคะน้าบ้านเรา กินแล้วเหมือนกิน..แป้ง, เยลลี่ อะไรนุ่ม ๆ พวกนั้นมากกว่า ตัวซอสน้ำมันหอยก็ใส่มาพอดี ๆ เสริมรสชาติตัวผักที่เทพอยู่แล้วได้เป็นอย่างดี คือก่อนหน้าจะมากินเนี่ย ผมได้ไปเดินตลาดสดใกล้ ๆ มา ผมเห็นร้านผักแทบทุกร้านจะมีก้านคะน้าสด ๆ เนี่ยวางอยู่ และแบบแต่ละก้านนี่มันสวยจริง ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจถ้าวัตถุดิบดีแล้วเอามาปรุงต่อมันจะอร่อย
สรุป ร้าน Horonary Family สาขา tsz wan shan shopping centre นี่ประทับใจครับ อาหารราคาไม่แพง อาหารมาเร็ว ร้านบรรยากาศครึกครื้นให้ความรู้สึกเหมือนมาร้านอาหารจีนแท้ ๆ ร้านนึง รสชาติอาหารก็ดี ไม่ถึงกับเทพ แต่กับราคาที่จ่ายไปนี่เรียกได้ว่าคุ้มมาก ๆ ใครเจอร้านนี้ที่สาขานี้ หรือสาขาอื่นก็ลองดูกันได้ครับ แต่ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ามื้อเที่ยงกับมื้อเย็นจะเป็นยังไง
3rd Shop
ชื่อร้าน Chilli Fagara
URL http://www.chillifagara.com/
ประเภท อาหารจีนเสฉวน
ราคา คนละ 1100 บาทโดยประมาณ
ดีกรี Michelin 1 Star
หลังจากไปเดินเที่ยววัดดอกบัวมา พวกผมก็มายังฝั่งฮ่องกงเพื่อมากินร้าน Michelin 1 ดาวที่เล็ง ๆ เอาไว้กันต่อกับร้านที่มีนามว่า Chilli Fagara ร้านอาหารจีนเสฉวนไม่กี่ร้านที่ได้ดาวมิชลินในไกด์บุ๊คของเกาะฮ่องกง คืออาหารจีนเสฉวนนี่บอกตรง ๆ ว่าผมไม่รู้จักร้านไหนในกรุงเทพหรือในไทยเลยที่แบบประกาศตัวเองอย่างชัดเจนว่า "ข้าคือร้านอาหารจีนเสฉวน" แต่ถ้าแบบมีอาหารเสฉวนแซม ๆ อยู่ในร้านจีนที่ไทยมั้ยก็พอมีบ้างนะผมว่า ด้วยสาเหตุนี้พอผมเห็นร้านนี้ใน Michelin Guide ก็เลยกะไว้ว่าจะมาร้านแรก ๆ เลยเพราะอยากกินมานานล่ะไอ้อาหารจีนที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเผ็ดแบบนี้
ก่อนจะมาที่ร้านผมก็สังหรณ์ใจอยู่ล่ะว่าควรจะโทรมาจองดีมั้ยเพราะว่า ร้านนี้ก็น่าจะดังอยู่ ซึ่งลางสังหรณ์ก็ตรงเผงครับ เพราะแม้จะไปถึงร้านตอนบ่าย 2 แล้ว แต่ว่า ลูกค้าก็ยังเต็มร้านอยู่ พวกผมก็เลยต้องรอโต๊ะกันแปบนึง (ประมาณครึ่งชั่วโมง) ถึงได้กิน ก็ถ้าใครจะไปตามรอยก็จองไว้ก่อนก็ดีนะครับ เพราะร้านนี้นอกจาก (น่า) จะเป็นร้านดังแล้ว ร้านยังมีขนาดเล็กอีกต่างหาก เป็นห้องแถวแค่คูหาเดียว มีโต๊ะอยู่แค่ 5-6 โต๊ะแค่นั้น
อาหารของร้านนี้หลังจากที่ดูเมนูแล้ว มื้อก่อนหน้านี้ 2 มื้องงเต๊กนึกภาพไม่ออกแค่ไหน มื้อนี้ยิ่งนึกภาพไม่ออกมากกว่าครับ หรือพูดง่าย ๆ คือ ไม่มี clue เลยสักนิดว่าอาหารมันจะหน้าตาออกมาเป็นยังไง! ราคาอาหารก็ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับ 2 ร้านที่กินมา หรือร้านที่ไทยก็ตาม (จานละเกือบ ๆ พัน) ก็เลยต้องตั้งใจสั่งกันสักเล็กน้อย หลังจากที่เลือกอาหารอยู่นานโดยดูจากชื่อวัตถุดิบหลักเอา พวกผมก็ได้อาหารมา 5 อย่าง (รวมข้าวผัด) อาหารที่สั่งไปแต่ละจานนี่ผมจำชื่อเมนูกับราคาไม่ได้นะครับ แต่จำรสชาติและอะไรต่าง ๆ นา ๆ ในจานได้ ก็เลยจะขอเขียนบรรยายแบบไร้ชื่อเมนูอ้างอิงละกันนะครับ
จานแรกที่ได้เป็น ประมาณเนื้อไก่ผัดพริกมากับใบกระเพรา/โหระพากรอบ หน้าตาที่เห็นตอนแรกนี่แบบ มัน เสฉวน ได้ใจจริง ๆ แดงจ๋า พริกเม็ดโต ๆ โอวอา เพิ่งเคยเห็นอาหารที่มันเร่าร้อนโดนใจขนาดนี้ก็วันนี้แหล่ะครับ ตัวรสชาติ ก็โอเคนะครับ อาจจะดูเผ็ดจนกินไม่ได้แต่พอกินเข้าไป ส้มตำเผ็ด ๆ บ้านเราเผ็ดกว่าอีก ไม่รู้เพราะว่ามันมีความมันจากน้ำมันที่ติดตัวอาหารมาเยอะมาช่วยด้วย หรือว่าพริกที่ทางร้าน Chill Fagara ใช้มันไม่ใช่พริกที่มีค่าดัชนีความเผ็ดสูง
ส่วนจานที่ 2 ไม่สิ ต้องเรียกว่าชามที่สอง เป็นแกงเนื้อปลา จริง ๆ ผมเรียกว่าชามนี่ก็น่าจะผิดอีกต้องเป็นกะละมัง เพราะเจ้ากะละมังที่ยกมานี่มันใหญ่จริง ๆ ครับ ใหญ่เต็มโต๊ะจนผมแทบจะไม่เหลือที่วางอะไรอย่างอื่นแล้วนอกจากจานของตัวเอง จานก่อนหน้านี้ที่ว่าดูเผ็ด ดูแดงฉาน ดูน่ากลัวแล้ว เจ้ากะละมังนี้น่ากลัวยิ่งกว่าครับ เพราะว่าพริกเม็ดโต ๆ แดง ๆ มันลอยละล่องอยู่แทบจะเต็มพื้นที่ผิวของน้ำแกงเลย แต่ก็อีกเช่นกัน แม้ว่ามันจะดูเผ็ด แต่พอกินแล้วมันก็ไม่ได้เผ็ดอะไรขนาดนั้น อาหารจานนี้ เนื้อปลาอร่อยดีครับ ไม่แน่ใจว่าปลาอะไรน่าจะเป็นปลากระพง กินแต่ละคำก็กินแบบซดกับน้ำซุปเผ็ด ๆ ของมัน อืม น้ำซุปมันไม่ค่อยมีรสชาติเเท่าไรครับ ไม่ค่อยชอบ จานนี้เน้นความอลังการและความแปลกเฉย ๆ
จานที่ 3 เป็นจานที่ดูธรรมดาหน่อย กับเนื้อวัวผัดกับต้นหอมและกะหล่ำปลี จานนี้คล้าย ๆ เนื้อผัดน้ำมันหอยบ้านเราครับ ต่างกันที่น้ำมันจะไม่เยิ้มเท่า แล้วก็รสจะออกเผ็ด ๆ หน่อยตามสไตล์เสฉวน ไม่มีอะไรมาก จานที่ 4 เป็น มะเขือม่วง (Eggplant) ผัดกับน้ำมันหอยและพริก จานนี้ก็คล้าย ๆ จานที่ 3 ไม่มีอะไรมากเช่นกันครับ กินเพลิน ๆ ดับความเผ็ดจากจานแรกและจานที่ 2 ได้บ้างอะไรบ้าง ส่วนอาหารอย่างที่ 5 เป็นข้าวผัดสไตล์อะไรไม่รู้ ข้าวผัดบ้าน ๆ ที่ตอนจะสั่งข้าวมากินกับอาหาร พนักงานแนะนำว่าให้สั่งข้าวผัดจะดีกว่า แต่แบบ ข้าวผัดมาซะตอนกินกับข้าวไปเกินครึ่งแล้ว ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงทำมาช้าแบบนี้ แต่ก็อาจจะเป็นอะไรที่ดีไปอีกแบบครับ เพราะได้กินอาหารแบบ 2 แบบ กินเปล่า ๆ กับกินกับข้าว ซึ่งสำหรับผมแล้ว กินแบบไหนมันก็เหมือน ๆ กันนะในมื้อนี้
สรุป ร้านอาหารจีนสไตล์เสฉวน หน้าตาร้อนแรง รสชาติจัดจ้าน ที่ร้าน Chilli Fagara - Hong Kong มื้อนี้ บอกตรง ๆ ว่าไม่ค่อยประทับใจเท่าไรครับ อาหารมันไม่มีอะไรเลยนอกจากความเผ็ดและความมัน ไม่ได้มีการผสมผสานรสชาติด้านอื่น ๆ ลงไปในอาหาร ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่านี่มันคือสไตล์ของอาหารเสฉวนเขารึเปล่า เพราะเกิดมาก็เพิ่งจะเคยกินอาหารเสฉวนเฉพาะทางแบบนี้ ถ้าถามว่าอยากจะมากินอีกรอบมั้ยก็คงตอบได้แบบไม่ต้องคิดว่าไม่ครับ แต่ถ้าแบบอยากจะมาลองอาหารจีนแบบแปลก ๆ ที่บ้านเราไม่มี ก็น่าจะมาลองเหมือนกันนะครับ
พอเสร็จจากการกินที่ร้าน Chilli Fagara ผมก็ไปขึ้นยอดเขาอะไรสักอย่างดูวิวเกาะฮ่องกง แล้วก็กลับลงมาไปกินร้านดาวมิชลินอีกร้านนึงครับ ส่วนจะเป็นร้านไหน ติดตามได้ในตอนต่อไปครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment