Saturday, September 8, 2012

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 9

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 9

หลังจากวันนี้เป็นต้นไป โปรแกรมการท่องเที่ยวของผมจะค่อนข้างชิล ๆ ลงมาหน่อยเนื่องจากว่ามีแม่ผมมาเป็นสหายร่วมเดินทางด้วยแล้วแบบคุณเธอแก่แล้วครับ เดินเยอะมากไม่ได้ วันนี้โปรแกรมแรกของผมก็คือไปที่ Edo-Tokyo Museum พิพิทธภัณฑ์ขนาดยักษ์ที่ผมว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว การเดินทางไปพิพิทธภัณฑ์นี้ก็ค่อนข้างง่ายครับ จากสถานี Akihabara ที่อยู่ใน Yamanote Line ไปเปลี่ยนเป็นสาย Chuo Line (สายสีเหลือง) แล้วก็นั่งต่อไปอีกสองป้ายก็จะถึงป้าย Ryokoku สถานีปลายทางของเราแล้ว ที่สถานีนี้ นอกจากจะมี Edo-Tokyo museum แล้วก็จะมีสนามกีฬา Ryogoku ซึ่งใช้เป็นที่แข่งกีฬาซูโม่ของชาวญี่ปุ่นเค้าด้วย พูดถึง Sumo นี่ผมก็ไม่ค่อยได้ดูกีฬานี้สักเท่าไรหรอกครับ แต่เคย ๆ อ่านการ์ตูนมาบ้าง กีฬานี้ก็ถือเป็นกีฬาประจำชาติของชาวญี่ปุ่นเค้า ปี ๆ นึงจะมีจัดแข่ง 6 Tournament แต่ละ Tourmanet ก็จะกินเวลา 1 เดือนและแข่งทุกวันอาทิตย์ สรุปก็คือเดือนนึงจะมีแข่ง 4 ครั้ง และเจ้า 6 Tournament เนี่ยก็จะแข่งที่สนาม Ryogoku ทั้งหมด 3 ครั้งส่วนอีก 3 ครั้งก็จะไปแข่งที่ Fukuoka, Osaka และก็ Nagoya วันก่อนที่ผมไปนอน Ryokan ที่แถว Fuji Five Lakes ผมมีโอกาสได้ดูซูโม่ถ่ายทอดสด เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งแบบ..เพิ่งเคยดูจริง ๆ จัง ๆ เจ้ากีฬานี้มันก็เป็นกีฬาที่น่าสนใจดีนะครับ ผมนั่งดูไปเรื่อย ๆ 3 ชั่วโมงได้อย่างไม่มีเบื่อเลย ก็เลยคิดเอาไว้ว่ามาคราวหน้าผมจะมาดูสด ๆ ที่สนามสักหน่อย เพราะราคาตั๋วก็ไม่ได้แพงมาก (ถ้าไม่ได้นั่ง ring side)

พอผมลงจากสถานี Ryokoku ผมก็เกิดอาการหลงทิศเล็กน้อยทำให้เดินผิดทาง แทนที่จะไปเดินไปทางทิศเหนือ ผมกลับเดินไปทางทิศใต้ ก็เลยทำให้เกิดอาการเดินอ้อม ประมาณครึ่งกิโลขึ้นมา ซึ่งไอ้อาการเดินออกผิดทิศที่สถานีรถไฟประเทศญี่ปุ่นของผมนี่ มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่พยายามตั้งสมาธิแล้วอะไรแล้ว แต่ก็มักจะมีให้ผิดทิศอยู่เรื่อยไปครับ ซึ่งพูดถึงเรื่องทิศทางแล้วเนี่ย เพื่อนผมเคยบอกว่าเพื่อนคนญี่ปุ่นของเค้าจะรู้ทิศทางดีมาก จะบอกเส้นทางกันเป็นทิศ ประมาณว่าเดินไปทางเหนือ 500 เมตรแล้วเลี้ยวซ้ายไปตะวันตกอีก 1 กิโลอะไรประมาณนี้ แต่สำหรับตัวผมเองและจากที่คุย ๆ ทางกับเพื่อนคนไทย คนไทยจะคุยกันแบบไปข้างหน้า เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวามากกว่า ซึ่งถ้าถามว่าบอกแบบไหนมันดีกว่ากัน บอกแบบคนไทยถ้าทางมันไม่ซับซ้อนก็น่าจะง่ายกว่า แต่ถ้าบอกทางแบบคนญี่ปุ่น ถ้าทางมันไกล ๆ ยาว ๆ ซับซ้อนมันก็น่าจะดีกว่า เพราะว่าทิศมันเป็นอะไรที่คงที่มากกว่าว่ามั้ยครับ

เดินผิดทางแต่ก็ได้เจอกับบรรยากาศแบบที่หาไม่ได้ที่ไทย

เดิน ๆ ไปเจอนักซูโม่ด้วยคนนึง ใส่ชุดยูกาตะ ปั่นจักรยานคันน้อย ๆ มาซื้อของที่ Convenient Store ครับ

ถึงแล้ว Edo-Tokyo Museum ใหญ่ยักษ์ดีนะครับ

ที่พิพิทธภัณฑ์ Edo-Tokyo นี่ตอนที่เห็นแว่บแรกก็แอบตกใจนิดนึงครับเพราะว่ามันใหญ่โตอลังการมาก ส่วนภายในก็จะมีส่วนจัดแสดงแบบถาวรกับส่วนจัดแสดงแบบพิเศษที่ต้องเสียตังค์เพิ่ม แน่นอนว่าผมเลือกแบบแรกอยู่แล้ว -*- ผมจำไม่ได้ว่าส่วนจัดแสดงถาวรนี่อยู่ที่ชั้นไหน แต่จะกินพื้นที่ 2 ชั้นน่าจะชั้น 5 กับชั้น 6 ซึ่งพิพิทธภัณฑ์นี้ก็จะแสดงถึงประวัติศาสตร์ของกรุงโตเกียวสมัยก่อน ที่มีนามว่า เอโดะ คือถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ พอ Tokukawa Ieayasu ได้ขึ้นเป็นโชกุน เขาได้ย้ายที่ทำการจากเกียวโตไปที่เอโดะ ซึ่งก็คือโตเกียวในปัจจุบัน เมืองเอโดะก็ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ และมาเปลี่ยนชื่อเป็นโตเกียวเอาสมัยเมย์จิมั้งครับ อันนี้ไม่แน่ใจ พิพิทธภัณฑ์ Edo-Tokyo นี่เห็นภายนอกยิ่งใหญ่อลังการ ภายในก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันครับ สิ่งจัดแสดงมีเยอะมาก และทำได้สวยงาม บางอันก็อลังการดี แต่ข้อมูลภาษาอังกฤษมีน้อยไปหน่อยจะมีเฉพาะอันที่เด่น ๆ ใหญ่ ๆ เท่านั้น อันเล็ก ๆ จะไม่มีเลยมีแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่โดยรวมแล้วพิพิทธภัณฑ์นี้ก็เจ๋งดีครับ เหมาะสำหรับการมาศึกษาดูกรุงโตเกียวในสมัยก่อน , ดูสถาปัตยกรรมทั้งแบบจำลอง หรือแบบขนาดเท่าของจริง สามารถฆ่าเวลาได้ 3-4 ชั่วโมงสบาย ๆ เพราะว่ามันใหญ่มากครับที่นี่

อันนี้ด ๆ เหมือนจะเป็นขนาดจำลองใช่มั้ยครับ? แต่เปล่าเลยครับ นี่คือโรงแสดงละครคาบูกิขนาดเท่าของจริงเลย สวยงามอลังการดี

บ้านพักสุดหรูหราของไดเมียว(ผู้ครองแคว้น)คนนึงสมัยก่อน

คนไม่ค่อยมีครับ

ไม่รู้คนนี้ใช้ โตกุกาว่า อิเอยาสึ รึเปล่า

มีแบบจำลองเมืองสมัยก่อนเยอะดีเหมือนกันครับ ทำสวยดีด้วย

อันนี้สะพาน Shimbashi รึเปล่าไม่แน่ใจ สะพานสำคัญที่เป็นประมาณสะพานเศรษฐกิจของกรุงเอโดะเลย


พวกประติมากรรมของเก่า ๆ ก็มีเยอะนะครับ

เมืองจำลองมีหลายอันมากครับ ไม่รู้แต่ละอันต่างกันไงบ้าง เพราะไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษบอก

ทรงผมของสาวสมัยก่อน สวยดีนะครับ

นักแสดงคาบูกิจำลอง

โรงละครด้านหน้า สวยดี

เกี้ยวแห่ตัวละครคาบูกิมั้งครับไม่แน่ใจ

อันนี้เริ่มเข้าสู่ยุค Post Edo Era เริ่มมีอาคารแบบตะวันตกมา

รู้สึกจะแบงค์แห่งแรกของญี่ปุ่นนะครับ

ดูเสร็จก็ลงบันไดเลื่อนที่ยาวมาก ๆ อันนึงจากชั้น 4 ไปชั้น 1 เลย

ด้านหน้าตึก ออกแบบได้แนวดีมั้ยครับ Edo-Tokyo Museum แห่งนี้

สนามกีฬา Ryogoku สังเวียนแข่งซูโม่อันศักดิ์สิทธิ์

ที่หน้าสถานี JR Ryokoku มีเจ้ารูปปั้นซูโม่น่ารักนี่ด้วยครับ

รีวิวร้านที่ 17 Burger Mania - Roppongi, Tokyo

พอเสร็จจากย่าย Ryokoku ผมกับแม่ก็นั่งรถไฟต่อไปยังร่าน Roppongi เพื่อกินข้าวเที่ยงกัน การเดินทางนี่ผมจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่ามีต่อรถไฟใต้ดินสายนึงแค่นั้นครับ เป้าหมายมื้อเที่ยงก็เป็นร้านเบอร์เกอร์ที่ได้คะแนนรีวิวดี ๆ ร้านนึงในย่านรปปงงิครับ (ข้อมูลร้านและแผนที่ร้านดูได้จาก http://r.tabelog.com/tokyo/A1307/A130703/13123717/) คือไม่ใช่ไรครับ ผมกินอาหารญี่ปุ่นมาทุกมื้อเลย 8 วันที่ผ่านมา มื้อนี้ก็เลยขอเปลี่ยนบรรยากาศสักนิด และพอดีร้าน Burger Mania นี่มาอยู่ในละแวกที่ผมจะไปเที่ยวต่อพอดี

ร้านนี้ก็เป็นร้าน Burger สไตล์ Homemade ที่น่าจะเป็นร้านดังร้านนึง เพราะตอนที่ผมไป ลูกค้าก็ค่อนข้างจะเต็มร้าน แม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบ ๆ บ่าย 2 แล้ว และอากาศก็ไม่น่าจะออกมากินข้าวข้างนอกบ้านเท่าไรด้วย เพราะว่าฝนตก เมนูอาหารของร้านนี้ก็จะเป็นเบอร์เกอร์แบบต่าง ๆ ใส่โน่นนี่ โปะนี่หน่อย แต่จะเด่นหน่อยก็ตรงที่จะใช้เนื้อของจริงไม่ใช่เนื้อบดผสมแป้งแบบร้าน fastfood ทั่ว ๆ ไป และที่ดีเหนือสิ่งอื่นใดคือ ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษอย่างดีให้อ่านให้เลือกได้อย่างไม่ต้องงง (เท่าที่ผมเคยเจอมา ร้าน burger แทบจะทุกร้านจะมีเมนูภาษาอังกฤษหมด คงกะเอาไว้ว่าพวกฝรั่งต้องมากินเยอะเลยทำเผื่อเอาไว้)

ผมกับแม่สั่งกันคนละเซ็ท คือถ้าไปตอนเที่ยงเนี่ย เบอร์เกอร์ทุกชิ้นจะแถม french fries กับ น้ำดื่มให้ด้วย Set ของผมเป็น เบอร์เกอร์เนื้อวากิวพรีเมียม ส่วนของแม่ผมเป็น เบอร์เกอร์เชอรี่อะไรสักอย่าง ไม่น่าประหลาดใจที่ร้านนี้จะได้คะแนนสูงครับ เพราะดูแค่ตัวรูปร่างอาหาร, วัตถุดิบ และการปรุงของพนักงาน ก่อนที่จะกัดคำแรกลงไป ก็เดาได้แล้วว่าเบอร์เกอร์จะต้องอร่อย พอกัดคำแรกลงไปก็เป็นไปตามคาดครับ เบอร์เกอร์อร่อยดีมาก แต่ให้มาชิ้นค่อนข้างใหญ่ก็เลยกัดลำบากหน่อยใช้มีดกับส้อมหั่น ๆ จะสะดวกกว่า ผมกับแม่ก็กินกันเพลินครับ แปบเดียวก็หมดและอิ่มพอดีมีแรงเดินเที่ยวต่อ

ร้าน Burger Mania @ Roppongi นี่ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่ผมแนะนำครับ ร้านบรรยากาศดี พนักงานบริการยอด เบอร์เกอร์อร่อย และมีเมนูภาษาอังกฤษด้วยอีกต่างหาก


หน้าร้านครับ อากาศกำลังเย็นสบายเลยเปิดประตูเป็น Open-air

สั่งเสร็จพนักงานก็ยกนี่มาวางให้ที่โต๊ะ ให้เยอะสะใจ ไม่ต้องไปเดินกดเองด้วย

Premium Wagyu Beef Burger ของผม หน้าตาน่ากินมาก

เนื้อมาเป็นเนื้อครับไม่ใช่เนื้อบดแบบร้าน Fastfood สั่งไปแบบ medium rare ก็ได้ medium rare จริง ๆ

กินกับ Ginger Ale สักหน่อยอร่อยดี

อันนี้เบอร์เกอร์เชอรี่อะไรสักอย่างของแม่ผม อร่อยเช่นกัน

อีกสักรูป

อีกสักรูป

ใครสนใจเข้าไปดูข้อมูลร้านนี้ได้ในเว็บครับ

เป้าหมายต่อไปคือการเดินผ่าน Roppongi Hills อีกหนึ่ง City within City ของเมือง Tokyo เค้าครับ ที่ Roppongi Hills นี่ก็คล้าย ๆ กับเมืองเล็กในเมืองใหญ่แห่งอื่นคือจะมีโรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, ร้านหนังสือ, ร้านหนัง, ฯลฯ คือประมาณว่าไม่ต้องไปไหนไกลอยู่ในละแวกนี้ก็ครบครันแล้ว คือผมไม่ได้ถ่ายรูปที่ Roppongi Hills นี่มาสักเท่าไร เพราะว่าตอนนั้นฝนตกพอดี แต่ที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่สวยดีนะครับ ไปเดิน ๆ เล่น Shopping ดูผู้คน ก็ถือว่าโอเคเลย และอยู่ใกล้กับสถานที่เที่ยวสำคัญจุดนึงของ Tokyo ด้วย นั่นก็คือ Tokyo Tower ซึ่งแบบอยู่ห่างไปไม่ถึง 15 นาทีถ้าเดินเอาครับ

Tokyo Tower นี่ ผมก็เพิ่งจะได้มาเป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนี้เจ้าหอคอยที่เคยสูงที่สุดในเอเชียเมื่อ 30 - 40 ปีก่อน และสร้างเลียนแบบ หอไอเฟิลแห่งนี้ ตอนนี้ก็เหมือนจะถูกลดค่าความสำคัญลงไปแล้ว เนื่องจากความสูงที่เตี้ยเกินไป เจอตึกที่สูงกว่าหลาย ๆ ตึกรอบข้างบดบังการกระจาญสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของหอคอยแห่งนี้ไป ทางเทศบาลโตเกียวเลยมีนโยบายสร้างหอคอยแห่งใหม่ที่สูงกว่าเดิมประมาณ 2 เท่า (Tokyo Tower สูง 333m ครับเลขสวยมาก) ตรงบริเวณด้านขวา ๆ ของโตเกียวนามว่า Tokyo Sky Tree ซึ่งตอนที่ผมไปนี่เจ้า Sky Tree กำลังอยู่ในช่วงกำลังจะเปิดให้ผู้คนขึ้นไปชมกัน (เปิดวันที่ 21 May 2012 ครับ) ตอนกลางคืนก็เลยมีการตกแต่งไฟนีออกสวยงาม เต็มหอคอย สวยงามดี ซึ่งหอคอยทั้ง 2 อันนี้ก็จะคล้าย ๆ กันครับ คือจะมีจุดชมวิวสวย ๆ ตรงบริเวณส่วนยอด ส่วนด้านล่างก็จะเป็นร้านค้า, ร้านอาหาร แต่ของ Tokyo Skytree นี่จะใหญ่โตอลังการกว่าพอสมควร เท่าที่ผมดูรูปมา ก็ไว้ผมไปโตเกียวคราวหน้าจะลองไปเก็บบรรยากาศของ Tokyo Skytree มาให้ดูนะครับ

ปล. ผมไม่ได้ขึ้นไปที่ Observation Area ของ Tokyo Tower ครับ เพราะค่าขึ้น 800 yen ผมไปดูฟรีที่ตึกเทศบาลเมืองโตเกียวมาแล้ว บวกกับวันนี้ฟ้าไม่ใสด้วย เลยไม่รู้จะขึ้นไปทำไม


ถึงแล้ว Tokyo Tower ของจริงก็สวยดีนะครับ

ด้านล่างตึกเป็นร้านค้า, ร้านอาหาร มีร้าน Kitty ด้วย

สูงดีเหมือนกัน แต่พอเทียบกับ Tokyo Skytree ที่สูง 634 เมตร หรือเกือบ ๆ 2 เท่าเจ้านี่ก็เหมือนเป็นเด็กไปเลย

มีฝูงหมาป่าจำลองอยู่ด้านหน้าด้วย ไม่รู้แปลว่าอะไรเหมือนกัน

ใกล้ ๆ กันจะมีสวนสาธารณะร่มรื่นย์ ๆ อยู่ครับ ไปนั่งพักดูวิวได้

ตอนผมไปมีคู่รักมาถ่ายรูป pre-wedding กันอยู่ น่ารักดี 

เดินไปอีกประมาณ 5 นาทีจาก Tokyo Tower เราก็จะเจอกับวัด Zojoji Temple วัดนิกายพุทธใหญ่โตเก่าแก่ กลางเมืองโตเกียว วัดนี่ถ้าใครมา Tokyo Tower ก็แวะ ๆ มาต่อสักหน่อยครับ วัดใหญ่โตอลังการ และสวยงามดี ผมกับแม่ก็ไปไหว้พระ ถ่ายรูปกันแปบนึง ก็เดิน ๆ กลับไปทางฝั่ง Daimon บริเวณโรงแรมที่พักของผม เพื่อไปหาข้าวเย็นกินกัน













รีวิวร้านที่ 18 Yakisakana กาก ๆ

หลังจากที่อาทิตย์ก่อนผมติดใจจากร้านแนว Yakisakana หรือร้าน Izakaya แบบเน้น ๆ อาหารทะเลย่าง วันนี้ผมก็เลยหา ๆ ข้อมูลมาและก็มาลงเอยกับร้านนี้ คือร้านนี้ผมหาข้อมูลจาก app gurunavi อีกหนึ่งเว็บและหนึ่ง app ชื่อดังของชาวญี่ปุ่น เว็บนี้จะมี 2 ภาษา ค่อนข้างจะ friendly ต่อชาวต่างชาติพอสมควร คือทุก ๆ ทีผมจะหาข้อมูลจากเว็บ r.tabelog เอาเพราะว่ามีข้อมูลรีวิวจากลูกค้าจริง ๆ แต่เว็บ gurunavi นี่จะเป็นแนว sponsored review คือตัวทีมงานเว็บจะไปรีวิวร้านอาหารต่าง ๆ กันเอาเอง ก็เลยทำให้บางร้านดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แล้วแต่ดวง ต้องดูรูป, ดูเมนู และหาข้อมูลเพิ่มเติมกันก่อนที่จะไปกินตามรอย (อันนี้เพื่อนคนไทยที่อยู่ญี่ปุ่นมาหลายปีบอกมาอีกที)

ร้านนี้ ผมหาข้อมูลใน app เจอ แต่พอกลับมาหาข้อมูลผ่านตัวเว็บโดยตรงดันหาไม่เจอ -*- ร้านนี้จะอยู่แถว ๆ ถนนสายหลักใกล้ ๆ กับสถานีรถไฟใต้ดิน Daimon อ่ะครับ หาไม่ยาก แต่ผมแนะนำว่าไม่ต้องหาหรอก เพราะว่าอะไรน่ะเหรอครับ? ไปร้านอื่นที่ดีกว่านี้จะดีกว่านะผมว่า -_-'

อาหารของร้านนี้คือบอกตรง ๆ คือผมอ่านไม่ออก เพราะทางร้านไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ ต้องอาศัยดูเมนูจากใน app แล้วก็คุย ๆ กับพนักงานเอา จิ้มกันไปจิ้มกันมา คุยกันไปคุยกันมาก็ได้มา 4 อย่างพอดี อย่างแรกที่ได้เป็นเต้าหู้อะไรไม่รู้ซึ่งพนักงานบอกว่าขายดีมาก ลูกค้าชอบกัน หน้าตาตอนยกมาก็แปลก ๆ ดีครับ แต่พอได้กินแล้ว ผมกับแม่ก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เฉย ๆ ส่วนอาหารจานที่ 2 ก็เป็น ของทอดสไตล์ Kushikatsu ซึ่งรสชาติก็ดีอยู่หรอกนะครับ ผมจำไม่ได้ว่าไส้ในคืออะไร รู้สึกจะเป็นปลาไข่ กับอะไรสักอย่าง ก็อร่อยดีนะครับ แต่แบบ.. ไม้ละ 480 yen ตอนแรกที่สั่งคิดเอาไว้ว่าจะได้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้ แต่นี่มัน..แพงไปมั้ย?

อาหารอย่างที่ 3 เป็น ชุดปลาดิบรวม 7 อย่าง แต่จะแปลกหน่อยตรงที่จะมีแต่ปลาเนื้อขาว ปลาบางชนิดผมเคยกินมาก่อน บางชนิดก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต โดยรวมจานนี้ก็พอไหวครับแต่แบบ ปลาดิบที่ญี่ปุ่นน่าจะทำได้ดีกว่านี้อ่ะ ตอนที่ผมกินผมคิดแบบนั้น ส่วนอาหารจานสุดท้ายเป็น ปลาลิ้นหมาญี่ปุ่นย่างกับซอสโชยุ คือปลาก็ตัวใหญ่ดี และพนักงานเชียร์ให้กินตัวนี้มาก ๆ แต่ก็นะราคา 2800 yen และทำมาได้รสชาติแค่นี้ ผมรู้สึกเสียดายตังค์มากเลยครับ ปลากระพงนึ่งซีอิ๊วจานละ 350 บาทบ้านเราทำได้ดีกว่าเยอะครับ เฮ้อ

สรุปร้านนี้ ไม่รู้อ่านว่า Baki รึเปล่า ก็เป็นร้านสไตล์ Yakisakana , Izakaya ที่ย่าน Daimon, Tokyo ที่ไม่ค่อย work สักเท่าไรครับ พนักงานคุยอังกฤษไม่ได้เลย , เมนูอังกฤษก็ไม่มี อาหารก็ไม่ค่อยอร่อย ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านที่ผม Miss ใน Trip นี้ครับ

หน้าร้าน แถวนี้มีร้านสไตล์นี้เยอะครับเพราะเป็นย่าน Office พนักงานเลิกงานเสร็จก็มากินกัน

ปลาสด ๆ ประจำวันจะใส่ไว้ในตู้ พนักงานจะเข็นไปให้ลูกค้าเลือกครับ

ผมเลือกเจ้าตัวขวากลาง ปลาลิ้นหมาญี่ปุ่น พนักงานเชียร์ว่าอร่อยมาก -*-

เบียร์สดกินเพิ่มความอยากอาหารสักแก้ว

ชาอูล่งของแม่ผม ตอนแรกนึกว่าจะฟรี คิดตังค์อีกต่างหาก

กับแกล้มบังคับสั่ง จานละ 400 yen! ไม่อร่อยอีกต่างหาก

เต้าหู้เย็นแบบแปลก ๆ จืด ๆ จิ้มเกลือก็เค็มไป ผมกับแม่ไม่ชอบครับ


Kushikatsu แนะนำของทางร้าน ก็อร่อยดีนะครับ แต่ไม้เล็ก ๆ แค่นี้ 480 yen ต่อไม้ -*-

ปลาดิบเนื้อขาวรวม ก็มีอร่อยบ้าง เฉย ๆ บ้างคละเคล้ากันไป

แต่ผมว่า มันน่าจะอร่อยกว่านี้นะ เฮ้อ

ปลาลิ้นหมานึ่งกับซอสโชยุ ไม่ค่อยอร่อยครับ แต่ตัวใหญ่ดี

ก็จบไปอีกหนึ่งวันสำหรับทริปโตเกียว พรุ่งนี้ ก็เที่ยวประมาณวันนี้ แต่ว่าอาหารเด็ดกว่าวันนี้เยอะครับ จะเป็นยังไง รบกวนติดตามอ่านกันต่อเลยครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment