Saturday, September 8, 2012

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 10

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 10

วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่โปรแกรมการท่องเที่ยวของผมเป็นแบบสบาย ๆ เพราะมีคนแก่คนนึงเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง -*- เริ่มต้นด้วยการไปเดินเล่นแถว Ginza เพื่อรอกินข้าวเที่ยงในย่านดังกล่าวต่อ ย่าน Ginza นี่หลาย ๆ คนคงทราบดีกันอยู่แล้วว่าเป็นย่านที่เป็นเหมือน Siam Square, Siam Paragon บ้านเรา คือมีร้านรวง, ห้างสรรพสินค้า หรู ๆ ตั้งอยู่กันดาษดื่นไปหมด ที่ดินในย่านกินซ่า ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของโตเกียวแห่งนี้ก็เลยว่ากันว่าเป็นที่ดินที่แพงที่สุดในโลกไปโดยปริยาย ผมเคยดูทีวีแชมเปี้ยน พิธีกรเคยพูดว่าที่ดินในย่านนี้ มีมูลค่าประมาณเอาแบงค์หมื่นเยนมาม้วนเป็นขนาดเท่ามวนบุหรี่ แล้วก็วาง ๆ กันไป  ซึ่งประโยคที่ว่านี่ผมเคยฟังมาเมื่อประมาณสัก 10 ปีก่อน ไม่รู้ตอนนี้ราคาเขยิบขึ้นไปหรือว่าถูกลงมากว่าเดิม เพราะว่าช่วง 10 กว่าปีก่อนเป็นช่วงที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นบูมมาก อะไร ๆ ก็แพงไปหมด อ้อ ติดกันกับย่าน Ginza นี่ก็จะเป็นพระราชวัง Imperial Palace อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเมืองโตเกียว ที่ผมเคยได้ยินหรืออ่านมาอีกแล้วว่าถ้าเอาพระราชวังนี้มาขายทอดตลาด จะสามารถซื้อที่ดินของรัฐแคลิฟอร์เนีย ในสหรัฐอเมริกาได้ทั้งรัฐเลยทีเดียว แพงขนาดนั้นเลยล่ะครับ ส่วนเป้าหมายในการมาเที่ยว Ginza ของผมก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่อยากไปดูตึก Sony หนึ่งในยี่ห้อขวัญใจของผมที่ออกแบบ hardware ได้โดนใจผมดี แต่ว่าช่วงหลัง ๆ ดูจะ down ลงไปจากการจับตลาดที่ผิด ๆ และความเชื่องช้าในการไล่ตามคู่แข่ง จนตอนนี้โดน apple , samsung แซงไปแบบไม่ค่อยจะเห็นฝุ่นแล้ว อย่างงบไตรมาศล่าสุดก็ขาดทุนย่อยยับ ก็ได้แต่หวังว่า CEO คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาจะช่วยพาองค์กรที่ผมชื่นชอบแห่งนี้ให้ไปรอดนะครับ


Ginza Tokyo - เป้าหมายแรกผมตึก Sony

แบ่งเป็นชั้น ๆ ครับ แต่ละชั้นโชว์สินค้าหมวดหมู่นึง ๆ

มีเด็กมาทัศนศึกษาด้วย

ชั้นนี้ผมชอบสุดล่ะ เลนส์กับกล้องอลังการมาก

เลนส์ 500 F4 ครับ อยากได้เหมือนกัน

ย่าน Ginza ในวันอากาศสบาย ๆ เดินชิลมากครับ

ห้าง อะไรสักอย่างสวยดีครับ ไม่ได้เข้าไป

แต่ละตึกจะสวยงามมากครับ เช่นตึก Yamaha ในรูปนี้เป็นต้น

รีวิวร้านที่ 19 Sushi Kyubey - Ginza, Tokyo

เดิน ๆ เล่นที่ Ginza เสร็จเป้าหมายในมื้อเที่ยงของผมก็คือร้าน Sushi Kyubey (http://www.kyubey.jp/index_e.html) ร้านนี้ก็เป็นร้าน Sushi ที่ค่อนข้างจะโด่งดังในหมู่คนญี่ปุ่นหรือคนต่างชาติพอสมควร ร้านเปิดมาได้ร่วม 80 ปีแล้ว เจ้าของร้านในตอนนี้ (ผมจำชื่อไม่ได้) ก็เป็นรุ่นที่ 2 สืบทอดจากกิจการของพ่อมา ร้านนี้คนดัง คนใหญ่คนโตเคยมากินหมดแล้ว (เท่าที่ผมจำได้ก็มี CEO Toyota, CEO Canon , Nicholas Cage ที่จะเป็นขาประจำ) และนอกจากตัว Main Restaurant ตรงแถบ Ginza นี้ ทางเจ้าของร้านรุ่นที่ 2 ก็ได้แผ่ขยายสาขาไปเปิดตามโรงแรมหรู ๆ ทั่วโตเกียวอีก 5 โรง โดยมีมาตรฐานและคุณภาพแบบเดียวกันกับตัวสาขาหลัก ตัวเจ้าของร้านซึ่งตอนนี้เป็นชายวัย 70 กว่าแล้ว ยังคงแข็งแรงและมาต้อนรับลูกค้าที่ทางเข้าชั้น 1 อยู่ทุกวัน

การตกแต่งร้านของร้าน Sushi Kyubey @ Ginza แห่งนี้ ก็ได้มีการดัดแปลงตึกขนาด 5 ชั้นให้เป็นห้องแบบต่าง ๆ ตามความชอบพอของเรา ไม่ว่าจะห้องจัดเลี้ยงส่วนตัว, ห้องนั่งแบบญี่ปุ่น หรือนั่งแบบธรรมดา คืออยากได้แบบไหน ทางร้านนี้มีรองรับครอบครันเลยล่ะครับ ส่วนตัวคนปั้นนั้น เจ้าของร้านได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าคนปั้น 1 คนจะดูแลลูกค้าพร้อมกันได้ไม่เกิน 4-5 คนเท่านั้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด และคนปั้นกว่าที่จะมายืนปั้นให้ลูกค้าได้นั้น ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ที่ 10 ปี ทางเจ้าของถึงจะมั่นใจว่ามีฝีมือพอที่จะมาเป็นตัวแทนแห่งรสชาติของร้าน Sushi Kyubey ได้

เมนูของร้านนี้ ก็จะเป็นอารมณ์ประมาณร้าน Sushi Hi-So ๆ ทั่ว ๆ ไปคือ เราจะเลือกเป็น course เอาว่าอยากได้ course ราคาเท่าไร ไม่สามารถเลือกหน้า Sushi หรือเลือกปลาได้ เพราะว่าทางร้านจะจัดเอาหน้าที่ดีที่สุดในฤดูกาลนั้น ๆ หรือปลาที่สด ๆ ในวันนั้นมาให้เราแทน เมนูในมื้อนี้ของผมเลือก เป็นแบบ Omakase Course 8400 Yen ส่วนของแม่ผมเลือกเป็น Oribe Course 5775 Yen ซึ่งแบบของผมจะประกอบด้วย Sushi และข้าวปั้นจำนวน 11 คำ ส่วนของแม่ผมจะมี 9 คำ ซึ่งตอนแรก ผมกับแม่ก็คิดกันเอาไว้ว่ามันจะไปอิ่มได้อย่างไร แต่พอกิน ๆ ไป มันก็อิ่มดีครับ คือทางร้านเค้าคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้วว่า มนุษย์คนนึงกินเท่าไรจึงจะพอดี เพราะนอกจากซูชิแล้ว ทางร้านก็จะมี Roll ที่เรียกได้ว่ากินเนื้อกระเพาะไปเยอะอยู่ และมี ของกินเล่นให้เติมอยู่เรื่อย ๆ อีกด้วย

การกิน Sushi แบบ Omakase หรือแบบปั้นมาทีละคำ ๆ แบบนี้ ผมก็ไม่ค่อยได้กินบ่อยนัก เคยกินที่ไทยมา 2 ครั้งที่ร้าน Joh Shit Su กับ Mugendai ที่ญี่ปุ่นเพิ่งจะเคยกินที่ร้าน Sushi Kyubei แห่งนี้เป็นครั้งแรก คือมันจะต่างจากร้าน Sushi ทั่วไปตรงที่ ตัวคนปั้นจะค่อย ๆ ปั้นซูชิมาให้เราทีละคำ ๆ คำนึงห่างกันประมาณ 2-3 นาที ระหว่างที่รอแต่ละคำนั้น เราก็จะได้ดูการโชว์ลวดลายการแล่ปลา, การเตรียมซูชิแต่ละคำ ๆ อย่างมืออาชีพไป และสำหรับร้านนี้ เราไม่ต้องจิ้มโชยุหรือ wasabi เพิ่มเพราะว่าตัวคนปั้น ทาโชยุและใส่วาซาบิมาให้เราแบบเหมาะสมต่อหน้าซูชินัน ๆ แล้ว (ตามประสาร้าน Sushi เทพ ๆ จะทำแบบนี้หมด)

Sushi ในมื้อนี้ แน่นนอนครับว่าอร่อยเมพขิง ๆ ตามประสาร้านดังและเก่าแก่ และราคาแพงขนาดนี้ หน้าที่ผมชอบเป็นพิเศษคือหน้า Anago หรือปลาไหลทะเล คือแบบมันเป็น Anago ที่อร่อยที่สุดในชีวิตผมที่เคยกินมาเลย ผมให้เกรด S ส่วนหน้าอื่น ๆ ก็จะได้ว่าอยู่ในเกรด A หมดครับ น่าจะมี Uni นี่น่าจะอยู่ในเกรด A+ คือนอกจากมันจะสวยงาม (ดูรูปประกอบ) แล้ว มันยังสดใหม่และหอมหวลจริง ๆ หลังจากที่ได้กินไปแล้ว คือผมเคยอ่านเจอ เค้าบอกกันว่า การกิน Sushi ขั้นสุดยอดนั้นไม่ใช่ว่าคือการไปกินที่ Tsukiji แต่จะเป็นการกินที่ Ginza หรือร้านดัง ๆ เก่าแก่แทน เพราะว่าร้านในย่านนี้ หรือร้านดัง ๆ จะทำการซื้อขายกับชาวประมงขาประจำอยู่เป็นประจำอยู่แล้วว่าให้จัดเอาของที่ดีที่สุดมาให้ร้าน และเนื่องจากร้านพวกนี้ให้ราคาดี (เพราะขายแพง) กว่าร้านที่ Tsukiji เค้าเลยว่ากันว่าวัตถุดิบของร้านแถบ Ginza คือทีสุดของความสดและความเทพแล้ว (ซึ่งจริง ๆ แล้ว Tsukiji Fish Market กับ Ginza นี่ก็ห่างกันประมาณขับรถแค่ 15 นาทีเท่านั้นแหละครับ)

มื้อเที่ยงของผมกับร้าน Sushi Kyubey มื้อนี้ก็เป็นอะไรที่ประทับใจมากครับ ซูชิรสชาติเยี่ยมตามประสาร้านหรู , แพง และเก่าแก่ ตัวคนปั้นก็ชวนคุยเป็นกันเองดี (ภาษาอังกฤษ) และการที่ได้เห็นตัวคนปั้นโชว์ทักษะการใช้มีด, การเตรียมซูชิอย่างเยี่ยมยุทธ์แล้ว มันก็ช่วยเพิ่มความอร่อยและความอยากอาหารไปอย่างไม่ยากเย็นเลยจริง ๆ อ้อ พูดถึงเรื่องการปั้นซูชินี่ก็จะขอพูดอีกเรื่องนึงคือ การปั้น Sushi แบบดั้งเดิมนั้นจะเรียกว่าแบบ Edo Style (คือซูชิเพิ่งมีมาได้ 100 กว่าปีเองครับ โดยพ่อค้าชาว Edo (หรือโตเกียวสมัยก่อน) เป็นคนคิดค้นคิดจากอะไรก็ไม่ทราบ ปลาจะหมด, ข้าวเหลือ อะไรประมาณนี้มั้ง) คือการปั้นแบบข้าวต่อเนื้อปลาเป็นอะไรที่พอดีคำ ๆ เพราะจะดึงความอร่อยของทั้ง 2 อย่างออกมาได้มากที่สุด แต่หลัง ๆ นี่ผมเห็นร้าน Sushi แบบ Premium ในไทยปั้นกันแบบสัดส่วนเนื้อปลามากกว่าเม็ดข้าวแบบเยอะ ผัดสัดส่วนกันแทบจะทุกร้าน คือโอเคมันก็ดีต่อผู้บริโภคที่ว่าได้เนื้อปลาเยอะขึ้น แต่การกินซูชิแบบได้สัดส่วนที่ลงตัวนั้น มันอร่อยกว่าจริง ๆ อย่างไม่ต้องคิดเลย ผมก็เลยคิดว่า แทนที่ร้านเมืองไทยจะปั้นแบบนี้ น่าจะลดราคาลง และปั้นคำเล็กลง มันน่าจะดูมีคุณค่ากว่า และแน่นอน อร่อยกว่านะ

ร้านเป็นตึก 5 ชั้นเล็ก ๆ

อุปกรณ์เตรียมพร้อม

คนปั้น 1 คนดูลูกค้าไม่เกิน 4-5 คน ส่วนแนวกระเบื้องสีดำด้านหน้าเรานั่นคือที่วาง Sushi เลยครับ ไม่มีจานให้

ชาเขียวบริการฟรี จะมีสาวญี่ปุ่นใส่ชุดกิโมโนรินให้เราอยู่เรื่อย ๆ 

วากาเมะกับหัวไชเท้า เติมได้ไม่อั้นครับ อร่อยดีครับ เอาไปคลุกกับซอส Ponzu มา

อันนี้มันปู แถมมากับ Omakase Course ของผม เอ๊ะแล้วทำไมมันไปโฟกัสตรงขอบถ้วยล่ะเนี่ย เพิ่งเห็น ฮ่า ๆ

เริ่มคำแรกที่ Chutoro (หรือ Otoro ไม่แน่ใจ) อร่อยแน่นอนครับ

คนปั้นจะค่อย ๆ เตรียมแต่ละคำให้เราแบบสด ๆ ครับ

คำที่สองไม่แน่ใจว่าปลาอะไรครับ เป็นปลาเนื้อขาวสักอย่างนึงแหละ อร่อยเช่นกัน


ปลาหมึก หรือ Ika ครับ อันนี้ของแม่ผม แม่ผมก็บอกว่าโอเค

เป็น Uni ที่สวยและอร่อยมาก ๆ คำนึงในชีวิตผมเลย

ฮามาจิก็ยอดเยี่ยม

ร้านนี้จะมีเมนูเด็ดอีกอย่างคือ Dancing Shrimp Sushi หรือกุ้งเต้น คือเจ้ากุ้งเนี่ย (ไม่รู้เหมือนกันว่ากุ้งอะไร) จะถูกนำมาอย่างสด ๆ แล้วทางคนปั้นจะปล่อยให้มันเด้งดึ๋งออกมาจากจานโชว์ความสดก่อน จากนั้นก็จะถึงค่อยลงมือเด็ดหัวและเตรียมออกมาเป็น Sushi ให้เรา

เนื้อกุ้งก็จะแบบสดจริง ๆ ตอนมาวางอยู่หน้าผมก็ยังมีอาการเนื้อเต้นอยู่เลย ก็เป็นอะไรที่เจ๋งดีครับ รสชาติก็อร่อยดี

จะกินแบบสดแบบรูปบนก็ได้ หรือเอาไปต้มก็ได้

อันนี้น่าจะ Otoro คำแรกน่าจะ Chutoro

มีซูปมิโสะใส่หอยตลับมาเต็มถ้วยให้กินดับความเลี่ยนสักหน่อย

ไม่รู้ปลาอะไรของแม่ผมครับ

Akagai หรือหอยแครงญี่ปุ่น ที่เมืองไทยแพงมาก ร้านนี้ทำอร่อยดีครับ

Maguro บ้าง อร่อยเยี่ยม

ผักกินดับเลี่ยน

เอาหัวกุ้งไปทอดมาให้เรากินด้วย ไม่น่าเชื่อว่าแค่หัวกุ้งทอดก็ยังอร่อยเว่อร์

ผมกับแม่เติมไปหลายชามเลยเจ้านี้

คนปั้นของผมพูดอังกฤษได้ดีพอตัว

Anago ที่อร่อยที่สุดในชีวิตผม

Negitoro , กับแตงกวา Roll (จำชื่อญี่ปุ่นไม่ได้) ช่วยเพิ่มความอิ่ม เห็นเป็น Roll กาก ๆ แบบนี้แต่อร่อยนะครับ

ไข่หวานตบท้าย

และวุ้นชาเขียวกับถั่วแดง อร่อยมากกกก อร่อยจริง ๆ อยากได้อีกสักก้อน


หลังจากที่ดื่มด่ำ และเปิดประสบการณ์การกิน Sushi แบบใหม่กันที่ Sushi Kyubei เสร็จแล้ว ผมกับแม่ก็พากันไปที่ Tokyo National Museum ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ JR Ueno กันต่อ บริเวณนี้ ตามที่เขียนไปเมื่อวันก่อน คือนอกจาก Museum แห่งนี้แล้วก็จะมี Ueno Zoo, National Science Museum, Tokyo Metropolitan Art Museum และ National Museum of Western Art อยู่ด้วย คือเอาแค่ทั้งหมดนี้ถ้าเอาจริง ๆ ก็จะใช้เวลา 2-3 วันแล้วกว่าจะเดินจนครบ เพราะว่าอย่างเจ้า Tokyo National Museum นี่ตอนแรกผมกะเอาไว้ว่าจะเดินประมาณสัก 2 ชั่วโมงแล้วจะไปต่อที่ Science Museum ต่อแต่ที่ไหนได้ครับ เดินอยู่ 3 ชั่วโมงกว่าเกือบ 4 ชั่วโมงแล้วก็ยังดูไม่คอ่ยจะครบ จนกระเพาะร้องเตือนว่าจะมื้อเย็นแล้วนั่นน่ะ ผมถึงออกมา คือที่พิพิทธภัณฑ์แห่งนี้ จะเป็นที่รวบรวมสมบัติ, งานประติมากรรม, เครื่องปั้นดินเผา, ดาบ, หอก หรืออะไรก็ตามที่คนญี่ปุ่นเค้าคิดว่าเป็นสมบัติประจำชาติเค้าเอาไว้ คือพิพิทธภัณฑ์แนวเดียวกันนี่ ผมเคยไปดูของที่ไต้หวันมา ที่เค้าโฆษณา ไว้ว่าเป็นสุดยอดพิพิทธภัณฑ์ด้านสมบัติ, ของล้ำค่าของโลก เนื่องจากว่า เจียง ไค แช็ค ตอนที่อพยพหนีมาไต้หวันนั้นได้หอบเอาสมบัติพวกนี้มาด้วย แต่แบบ ตอนไปที่นั่นไม่ค่อยประทับใจครับ คนเยอะมาก, จัดวางผังพิพิทธภัณฑ์ไม่ค่อยเป็นระบบ คือแบบเดินวน ๆ ไปมา ไม่มีรูปแบบการเดินที่แนะนำไว้ ส่วนตัวของที่นำมาโชว์ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะดีกว่าที่ Tokyo national Museum แห่งนี้สักเท่าไรเลย เผลอ ๆ ของที่นำมาโชว์ที่นี่จะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยก็คนน้อย ไม่ต้องไปเบียดแย่งดูกับคนอื่น และก็มีของหลากหลายแบบ ไม่ใช่แค่พวกเครื่องปั้นดินเผา, จานชาม แบบที่ไต้หวันครับ ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่ผมคิดว่ามาโตเกียวก็น่าจะแวะมาครับ เปิดหูเปิดตาดี

อาคาร Tokyo National Museum ตัวอาคารหลักครับ จริง ๆ มีอีกหลายอาคาร แต่แค่อาคารหลักก็เบียดเบียนเวลาผมไป 3-4 ชั่วโมงล่ะ

มีให้ทำอะไรกันไม่รู้ครับ ตรายางรึเปล่าไม่แน่ใจ

สมบัติสวย ๆ ทั้งนั้นเลยครับ

รูปภาพก็สวย

รูปปั้นก็งาม

จานชามก็เมพ




จริง ๆ ตัวของที่นำมาโชว์นั้นมีเยอะกว่าที่ผมถ่ายมาเยอะมาก ๆ ครับ และดูของจริง สวยกว่าที่เห็นในรูปอีกพอสมควรเช่นกัน ดังนั้น แนะนำให้ไปดูของจริงกันดีกว่า พอเสร็จจาก Tokyo national Museum แม่ผมอยากจะไปเดินซื้อของที่ Ameyoko สักหน่อย ผมก็เลยพาแม่ไป เพราะเป็นทางเดินไปยังร้านราเมน เป้าหมายมื้อเย็นในวันนี้ของผมด้วย ถนนแห่งนี้ ก็เหมือนเป็นประมาณถนน Shopping ของราคาถูกประจำย่าน Ueno เค้าล่ะครับ ของที่ขายก็จะมีตั้งแต่เสื้อผ้า, น้ำหอม, อาหารสด, ปลา และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่จะนำมาขายกันได้  ก็เรียกได้ว่าเป็นแหล่ง shopping ที่ลงตัวสำหรับคนที่เบี้ยน้อยหอยน้อยแบบผมกับแม่ แม่ผมได้เสื้อผู้หญิงราคาประหยัดมา 2 ตัว ซึ่งแบบทางร้านบอกว่าราคาเต็ม 8000 yen ลดเหลือ 2000 yen เป็นเสื้อของอิตาลี อะไรก็ว่าไป คือเจ้าถนนเส้นนี้นี่ถ้าผู้หญิงมาเดินน่าจะชอบครับ ส่วนผม ก็ไม่ได้ซื้ออะไร เดินดูไปเรื่อย ๆ เฉย ๆ

Ameyoko - Shopping Street

Ameyoko - Shopping Street

Ameyoko - Shopping Street

Ameyoko - Shopping Street

ของสดก็มีครับ ถูกดีด้วย แต่ผมไม่รู้จะซื้อไปประกอบอาหารยังไง

น้ำหอมนี่ไม่รู้ของเก๊เปล่า แต่ญี่ปุ่นน่าจะจริงหมด

ร้าน Chirashi Sushi ซึ่งดูราคาแล้วก็ไม่ค่อยแพงเลยนะครับ

ร้านเครื่องในปิ้งย่างก็มี

นอก Ameyoko ก็มีร้านรวงอีกมากมายครับ 


รีวิวร้านที่ 20 ราเมนโชยุเทพ Ueno - Ramen Tenjin shitateiki  (らーめんてんじんした だいき

ร้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่ผมใช้บริการข้อมูลจาก r.tabelog (http://r.tabelog.com/tokyo/A1311/A131101/13003617/) ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจาก Ueno เท่าไร แต่สถานีที่ใกล้สุดจริง ๆ จะคือ สถานี Okachimachi ผมไปถึงร้านตอนห้าโมงครึ่ง มีลูกค้ารออยู่หน้าร้าน 3 คนตามรูป ก็เริ่มอุ่นใจว่าจะต้องเป็นอะไรที่เด็ดจริงอะไรจริง พอ 17.30 เป๊ง พนักงานก็มาเปิดไฟหน้าร้านและต้อนรับให้ลูกค้าเข้าไปในร้าน แต่แน่นอน ก่อนเข้าไปก็ต้องกดเอาคูปองราเมนที่ตู้ก่อน ตอนจะสั่งผมก็อ่านไม่ค่อยออกหรอกครับ อ่านเป็นอยู่ไม่กี่คำ ก็เลยเลือกแบบแพงสุดของร้าน ที่มารู้ทีหลังเพราะถามเพื่อนว่าคือ โชยุราเมนแบบพิเศษ เพิ่มไข่และหมูชาชู 950 yen กับ ราเมนโชยุธรรมดา 700 yen ให้แม่ผม พร้อมกับเบียร์สด 1 แก้ว

ระหว่างที่นั่งรอราเมนของผม (ประมาณ 10 นาที) ลูกค้าก็ค่อย ๆ ทยอยเข้ามาในร้านกันจนเกือบเต็ม คือตามที่ผมเขียนไปในรีวิวร้านก่อน ๆ หน้านี้ว่า คะแนนของเว็บ r.tabelog นี่ค่อนข้างจะเชื่อถือได้ (พอสมควร สัก 90%) เพราะว่ามันคือคะแนนที่เกิดจากคนที่ไปกินจริง ๆ จำนวนหลายสิบคน หรือบางทีบางร้านถึงร้อยกว่ารีวิว คะแนนเฉลี่ยที่ออกมามันจริงเป็นคะแนนที่ผ่านการพิจารณาจากคนหมู่มากแล้วคือร้านไหนได้เกิน 3.5 นี่เชื่อขนมกินได้เลยว่าอร่อย ส่วนถ้าเกิน 4.0 นี่เรียกได้ว่าร้านเทพครับ เพราะมีแค่ไม่กี่ร้านจากหลายแสนร้านที่อยู่ในฐานข้อมูล ที่ได้คะแนนเกิน 4 สำหรับร้านนี้ที่ได้ 3.72 ก็เป็นอะไรที่การันตีว่าจะต้องอร่อยแน่นอนครับ

น้ำราเมนของที่นี่เป็นน้ำซุปแบบโชยุ ที่ค่อนข้าง กลมกล่อม และหอม อร่อยมาก เส้นบะหมี่ก็เป็นเส้นแบบเรียวเล็กสไตล์ฮากาตะของโปรดผม แต่ที่เด็ดที่สุดนั้นคงเป็นตัวหมูชาชูที่ให้มาแผ่นใหญ่ หนา และให้มาถึง 3 แผ่น ซึ่งเจ้าหมูชาชูนี่แบบอร่อยมากกก แม้ว่าชิ้นจะหนา แต่เนื้อนุ่มสุด ๆ และรสชาติเค็มนิด ๆ ถูกปากผมยิ่งนัก เส้นบะหมี่ร้านนี้ก็อร่อย ไม่รู้ว่าเป็นเส้นทำเองรึเปล่า จะมีที่ไม่ดีหน่อยก็คือเจ้าไข่ต้ม ที่ไม่ได้เป็น ออนเซ็นทามาโกะ หรือไข่ยางมะตูมนัก คือไข่จะมาแบบสุก ๆ แล้ว (ส่วนนึงอาจเพราะผ่าครึ่งซีกมาให้ด้วยทำให้เนื้อในเจอความร้อนจนสุกไปโดยปริยาย)

สรุป ราเมนร้าน らーめんてんじんした だいき ณ Ueno แห่งนี้จัดได้ว่าเยี่ยมครับ กับราคา 950 yen ที่จ่ายไปแต่ได้ราเมนที่ให้เครื่องมาเยอะจนแทบจะล้นชาม และรสชาติอร่อยเยี่ยมขนาดนี้ คงจะหาได้ยากจริง ๆ จนทำให้ร้านนี้มีลูกค้าแน่นร้านและคะแนนสูงขนาดนี้ ใครที่ไปแถว Ueno ลองแวะ ๆ เดิน ๆ ไปชิมกันหน่อยก็ดีครับ แล้วจะติดใจแบบผม

ไปถึงร้านตอนร้านเปิด มีคนรออยู่ 3 คน

เมนูร้านนี้เยอะดีครับ แต่หลัก ๆ ก็เป็นราเมนหมดเลย เพิ่มโน่นนี่นิดหน่อย

เบียร์สด อร่อยทุกร้านครับ

ของกินเล่นแถมฟรีกับเบียร์

ราเมนโชยุธรรมดาของแม่ผม 

อร่อยดีครับ ต่างจากผมแค่ให้เครื่องน้อยกว่าหน่อยแค่นั้น

เส้นเล็ก ๆ อร่อย ๆ ครับ

ของผมเพิ่มเกี๊ยว, เพิ่มไข่, เพิ่มชาชู, สาหร่าย เรียกได้ว่าจัดเต็มสุด ๆ อร่อยมาก

อ๊ากกก เห็นแล้วอยากกลับไปกินอีก

หมูชาชูถือว่าเป็นทีเด็ดของราเมนร้านนี้จริง ๆ ครับ

เกลี้ยง ไม่มีเหลือครับ

หน้าร้านอีกสักรูปเผื่อใครจะตามรอยครับ

วันนี้ก็ขอจบแต่เพียงแค่นี้ครับ วันเบา ๆ ที่แม้จะเที่ยวน้อย แต่ไปเน้นร้านอาหารเทพ ๆ แทนก็กลายเป็นวันที่สุดยอดไปอีกวันนึงโดยไม่ต้องเหนื่อยกายและเหนื่อยแรงด้วย วันพรุ่งนี้ผมก็จะพาไปเที่ยวไกลนิดหน่อย และตบท้ายด้วยร้านที่น่าจะเป็นร้านอันดับ 1 ในทริปนี้ของผมเลย จะเป็นยังไง อ่านต่อได้เลยครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment