Saturday, September 8, 2012

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 8

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 8



หลังจากที่เมื่อวานเหน็ดเหนื่อยกับการเที่ยวมาราธอนทั้งวัน วันนี้ผมก็ไม่ค่อยได้นอนอีกแล้วเพราะผมนัดกับเพื่อนเอาไว้ตอน ตี 5 ครึ่งว่าจะไปเจอกันที่สถานี Shimbashi เพื่อไปยังตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตลาดปลา Tsukiji กัน ผมต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่งโดยประมาณ เพราะว่ารถไฟมันจะไม่ค่อยมีเที่ยวสักเท่าไรตอนเช้า ๆ กลัวจะตกรถไฟ คราวนี้ผมเจอกับเพื่อนได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ ครับเนื่องจากสถานี Shimbashi นี่เป็นอะไรที่มีจุดนัดเจอที่เด่นชัดจริง ๆ กับเจ้าหัวรถไฟยักษ์ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของสถานี

แผนที่บริเวณ Tsukiji ครับ

ตลาดด้านนอกจะเป็นร้านขายของสดทั่ว ๆ ไป, ร้านอาหาร, ขาย seafood ปลีก





ผมดูการเดินทางไป Tsukiji Fish Market ผ่านเว็บ Hyperdia ก่อนจะมา ทางเว็บแนะนำให้ไปต่อ subway อะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้แล้ว แล้วจะโผล่ยังป้าย Tsukiji แล้วก็เดินต่ออีกนิดหน่อยก็จะถึงตลาด แต่จากที่ผมมาวันนี้ ผมคิดว่า ไอ้รถไฟใต้ดินเนี่ย เราไม่ต้องไปต่อมันหรอกครับ ลงสถานี Shimbashi แล้วก็เดิน ๆ ๆ สัก 15 นาทีก็จะถึงตลาดแล้วเพราะว่าจริง ๆ เจ้าตัวรถไฟใต้ดินเนี่ย มันจะเหมือนขับอ้อม ๆ ไป แล้วช่วยร่นระยะเวลาการเดินของเราลงแค่ 7-8 นาทีเท่านั้น พอรวมกับเวลาการเปลี่ยนรถไฟ การรอรถไฟ และต้องเสียเงินค่า subway ด้วยแล้ว แบบเดินตรง ๆ จากสถานีชิมบาชิ ดีกว่าและคุ้มกว่านะผมว่า


ร้าน Sushi มีเรียงรายกันอยู่ค่อนข้างเยอะ

ราคาส่วนใหญ่ก็ประมาณนี้แหละครับ

ร้านแถวนี้จะค่อนข้าง Foreign-friendly มีภาษาอังกฤษแทบทุกร้าน

มีศาลเจ้าหน้าตลาดด้วย แวะทำบุญสักหน่อยครับ

เข้าไปแล้วเริ่มวุ่นวาย กล่องโฟม, รถขนของ วิ่งกันให้วุ่นไปหมด

กล่องโฟมเยอะมากครับ แต่ญี่ปุ่นน่าจะมี Recycle



เจ้าตลาด Tsukiji Fish Market นี่ชื่ออาจจะฟังดูเหมือนว่าขายแต่ปลา แต่จริง ๆ แล้วมีทุกอย่างขายหมดเลยไม่ว่าจะผัก, ผลไม้, เนื้อสัตว์ แต่จะเด่นตรงที่จะมีสัตว์ทะเลเยอะกว่าอย่างอื่นเยอะมาก ๆ ก็แค่นั้น โดยตัวตลาดเท่าที่ผมเดิน ๆ ดูจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือส่วนด้านนอกกับส่วนด้านใน ส่วนด้านนอกจะเป็นส่วร้านรวงต่าง ๆ ที่ขายของที่ไม่ใช่สัตว์ทะเลบ้าง หรือใช่บ้าง และก็จะมีร้านอาหาร, ร้าน Sushi ตั้งอยู่บริเวณส่วนรอบนอกนี้ ส่วนบริเวณด้านในก็จะเป็นส่วนที่มีการประมูลปลาทูน่ากัน และก็มีส่วนที่ขายส่งสัตว์ทะเลอยู่ พวกผมวางแผนเอาไว้ว่าจะไปเดินดูด้านในกันก่อน เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารและรอให้หิวกันกว่านี้สักหน่อย ที่ด้านในของ Tsukiji Fish Market นี่ก็เป็นอะไรที่วุ่นวายมากครับ จะมีคนงานที่ขับเจ้ารถส่งของที่เป็นเอกลักษณ์เนี่ยขับสวนกันไปมาอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งว่าเชี่ยวชาญเส้นทางกันอย่างสุด ๆ , มีคนขายที่ตะโกนเชียร์ขายของกันแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน และก็ มีลูกค้าทั้งรายใหญ่, รายย่อย, ขาจร เดินกันให้ควั่กไปทั่ว และแน่นอนกลุ่มสุดท้าย นักท่องเที่ยวที่จะหิ้วกล้องเดินดู, ถ่ายรูปในตลาด (ส่วนใหญ่ผมจะเห็นเป็นฝรั่งนะไม่ค่อยเห็นคนไทย หรือคนเอเชีย) ซึ่งเมื่อรวม ๆ คนทุกหมวดหมู่พวกนี้เข้าด้วยกัน เจ้าตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ก็เลยวุ่นวายสุด ๆ อย่างไม่ยากเย็นเลย


ไม่รู้ปูอะไร แต่กินปูญี่ปุ่นมาไม่ค่อยประทับใจ ปูไทยอร่อยกว่าครับ

หอยอะไรไม่รู้น่าจะ Hotate เพิ่งเคยเห็นแบบมีกระดองนี่แหละครับ ตัวใหญ่มาก


ตัวใหญ่จริง ๆ

อันนี้มีเบคอนปลาวาฬและอื่น ๆ ที่ผมอ่านไม่ออก

หอยใหญ่จริง ๆ ครับ เทียบกับมือเพื่อนผม

ปลาอะไรไม่รู้เยอะไปหมด

ปลาทูน่าก็มีเยอะดี

ไม่รู้วันนึงจับมากี่ร้อยกี่พันตัวครับเจ้ามากุโร่นี่

อยากขโมยกลับไปซักตัวครับ


ไม่รู้กุ้งอะไรเหมือนกันครับ ผมมีโอกาสได้กินมื้อพรุ่งนีด้วย

กุ้งมังกรก็มี

ปลาอะไรไม่รู้สีขาวน่าเจี๊ยะจริง ๆ

อันนี้น่าจะ Anago หรือปลาไหลทะเลนะครับ เพิ่งเคยเห็นเป็นตัว ๆ แบบไม่ผ่าน Process


ปลาอะไรไม่รู้สีแดง ตาโตมากกกก ใครรู้บอกผมที

ไม่รู้ว่าทำไม Blue Fin Tuna นี่ต้องตัดหางออก

ปลาหมึกยักษ์ แบบยักษ์จริง ๆ ครับ

อลังการงานสร้าง

ทาโกะ ๆๆๆๆๆ


ยังกะตู้ขายเนื้อบ้านเรา อยากได้สักชิ้นครับ สวยมากกก

เดินไปรอบนอกที่เป็นร้านอาหารกันบ้าง

เมนูร้านนี้น่าสนมากครับ น่ากิน ๆ ๆ

ร้านนี้ลูกค้าต่อคิวเยอะสุดล่ะครับ


หลังจากที่ผมกับเพื่อนตื่นตะลึงไปกับสัตว์ทะเลที่แปลกประหลาด, ตัวใหญ่ยักษ์ และหลากหลายแบบสุด ๆ ในตลาดด้านในแล้ว พวกผมก็เดินมายังด้านนอกที่จะเป็นส่วนของร้านอาหารที่ค่อนข้างจะสงบกว่าหน่อย เพื่อหาร้านซูชิกินยามเช้ากัน หลังจากเดิน ๆ วนอยู่ประมาณรอบนึง ผมเห็นร้านที่มีคนต่อคิวกันยาว ๆ อยู่ประมาณ 3 ร้าน (ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งอีกแล้วที่ต่อคิว) แต่เนื่องจากว่าเพื่อนผมมีนัดเลี้ยงอาหารเช้าอำลาตอน 8 โมงครึ่ง กลัวว่าจะกลับไปไม่ทันถ้าจะไปต่อคิวกับคนอื่นด้วย พวกผมก็เลยเลือกร้านที่ไม่มีคิว แต่พอมีลูกค้านั่งอยู่บ้างแทน ซึ่งร้านประมาณนี้ (มีลูกค้าบ้างแต่ไม่มีคิว) ก็จะพอมีอยู่บ้างในวันนั้น และก็จะมีอีกพวกคือร้านที่ไม่มีลูกค้าเลย ร้านประเภทหลังสุดนี่จะมีเยอะหน่อย สงสัยจะขายได้เฉพาะวันที่คนมาเยอะ ๆ มั้งนะร้านพวกนี้


รีวิวร้านที่ 14 Umai Sushi Kan @ Tsukiji Fish Market - Tokyo พิกัด 35.663745,139.769874



ร้านนี้ผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนหรอกครับ แต่พอกลับมาไทย เพื่อนผมมาดูรูป เค้าบอกว่าร้านนี้ก็เป็นร้านดังร้านนึงเหมือนกันและกำลังจะมาเปิดสาขาที่เมืองไทยภายในปีนี้ปีหน้าแล้ว ตอนผมเข้าไปนั่งก็มีลูกค้านั่งกันอยู่ประมาณ 4-5 คน ไม่เยอะแต่ก็ไม่น้อย เป็นเครื่องการันตีให้อุ่นใจได้ว่าร้านนี้น่าจะพอมีดีอยู่ เท่าที่ผมเดิน ๆ ดูราคาของซูชิบริเวณตลาดนี่ ผมรู้สึกว่าซูชิของแต่ละเจ้าก็จะราคาเท่า ๆ กันนะครับคือ set แพงสุดจะอยู่ที่ประมาณ 3000 เยน และก็ไล่เรียงลงมาจนเหลือประมาณพันเยน ส่วนพวก chirashi sushi หรือข้าวโปะหน้าด้วยปลาดิบทั้งหลายก็เริ่มต้นที่พันเยนโดยประมาณ

Umai Sushi Kan @ Tsukiji Market ครับ

คนปั้นของผม ปั้นค่อนข้างละเมียดละไมดี

Salmon แบบต่าง ๆ และ Otoro, Botan Ebi, Akagai และปูครับ


ร้าน Umai Sushi Kan ที่ผมไปกินนี่ก็มีการจัด set ที่น่าสนใจไว้พอสมควร ผมจำไม่ได้ว่าเลือกเซ็ทอะไรแต่จำได้ว่าสั่งไป 4 เซ็ทโดยประมาณ เซ็ทแรกเป็นเซ็ทใหญ่สุดมีแซลมอนแบบต่าง ๆ (สด, เผา, โรลล์) หอยแครงญี่ปุ่นและก็กุ้ง, ปู เซ็ทที่ สองเป็นไข่หอยเม่น หรือ Uni สามคำ ไม่รู้เหมือนกันว่าแต่ละคำทำมาด้วยกรรมวิธีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง เพราะอ่านไม่ออก แต่ว่าแต่ละคำต่างกันเล็กน้อยครับ ส่วนเซ็ทสุดท้ายเป็นเซ็ทปลาทูน่าที่มาแบบ ดิบ, เซียร์ และโรลล์เช่นเดียวกับแซลมอน ซูชิทุกคำถือว่าคุณภาพดีกว่าร้านธรรมดา ๆ ทั่วไปที่ผมกินมา แต่ก็ไม่ได้ดีแบบ significant จนแบบสัมผัสได้และประทับใจแบบติดตราตรึงใจอะไรประมาณนั้น แต่ว่าแต่ละคำคือคุณภาพจริง ๆ แค่รู้สึกว่ามันน่าจะประทับใจมากกว่านี้เมื่อตั้งอยู่ที่ Tsukiji Fish Market ก็แค่นั้น แต่เพื่อนผมที่ไปด้วยกันชอบมากกก และบอกว่านี่สิซูชิของจริง

Uni 3 แบบ ไม่รู้ต่างกันที่ตรงไหน

อันนี้นึงจะเผา ๆ มาเล็กน้อย อร่อยหมดครับ Uni นี่ต้องกินที่ญี่ปุ่นจริง ๆ

ทูน่า ๆ ๆ ๆ ก็เยี่ยม


ถ้าถามผมว่าร้าน Umai Sushi Kan นี่คุ้มค่าที่ต้องถ่อไปกินถึงย่าน Tsukiji รึเปล่าก็คงตอบได้ง่าย ๆ ว่าไม่จำเป็นครับ เพราะว่าร้านซูชิตามย่านต่าง ๆ ในโตเกียวก็รสชาติไม่ได้หนีกับร้านนี้มากนักอยู่แล้ว แต่ถ้าคิดซะว่ามาเดิน Tsukiji แล้วก็จะหาซูชิกินยามเช้าด้วย ร้านนี้ก็ถือว่าเป็นร้านที่ดีร้านนึงล่ะครับ คราวหน้าถ้าผมมา ผมว่าจะมาลองร้านที่มีคนต่อคิวเยอะ ๆ กันสักหน่อย ดูสิว่ามันจะอร่อยสักแค่ไหนเชียวถึงต้องยอมมาต่อคิวกันแต่เช้า

พอเสร็จจาก Tsukiji พวกผมก็แยกย้ายกันกลับไปหอแล้วมาเจอกันอีกทีตอนเที่ยงที่ชินจูกุครับ

รีวิวร้านที่ 15 ราเมนจีน Shinjuku  


ป้ายร้านครับ ร้านอยู่ชั้น 2

ลูกค้าค่อนข้างเยอะ ระหว่างที่ผมกินก็มีมาเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ


ร้านนี้ผมหาเอาจาก app Ramen DB ของทางญี่ปุ่นเห็นว่าได้คะแนนเยอะดีแล้วก็อยู่ใกล้ ๆ กับสถานีชินจูกุ แต่ว่าผมจำไม่ได้แล้วว่าพิกัดของร้านแบบเป๊ะ ๆ อยู่ตรงไหน จำได้ว่าอยู่ตรงหัวมุมถนนสักเส้นนึงด้านตะวันออกของสถานีชินจูกุครับ ก็ถ้าใครสนใจจะตามรอยก็ดูรูปหน้าร้านเอาละกันนะครับ ต้องขอโทษจริง ๆ ครับ

บะหมี่เกี๊ยวน้ำครับ อร่อยดี

อันนี้แบบต้มยำ ก็อร่อยดี อร่อยแบบเผ็ด ๆ

เส้นบะหมี่ทำได้ดีมากครับ ชอบ


ร้านนี้ตอนก่อนเข้ามากินผมก็ไม่รู้หรอกว่าทางร้านเค้าขายราเมนแบบไหน แต่พอได้มาเห็นเมนูถึงได้รู้ว่าร้านนี้ขายก๋วยเตี๋ยวจีน คล้าย ๆ กับบะหมี่เกี๊ยวน้ำบ้านเรา พวกผมก็อ่านเมนูไม่ออกเช่นเคยเลือกเลยเมนูที่มีรูปและเหมือนกับที่โชว์อยู่ใน app Ramen DB ได้มาเป็นบะหมี่เกี๊ยวน้ำแบบรสจืดอันนึงกับแบบต้มยำอันนึง ร้านนี้ผมก็ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้คะแนนเยอะ (รู้สึกว่าจะได้เกือบ ๆ 90 คะแนนมั้ง) เพราะว่าบะหมี่ของเค้ารสชาติดีทีเดียว เส้นบะหมี่เป็นแบบเส้นเรียวเล็กมาก คล้าย ๆ บะหมี่ไข่บ้านเรา และก็ให้เส้นมาเยอะกินมันส์และสะใจ เข้าคู่กับน้ำซุปรสชาติออกจีน ๆ เค็มนิด ๆ หวานหน่อย ๆ เข้ากันเป็นอย่างดี แต่ทีเด็ดที่สุดคงเป็นตัวเกี๊ยวน้ำครับ ที่ทางร้านจะใช้เป็นเนื้อสับมายัดไส้เกี๊ยวน้ำแทนซึ่งแบบมันอร่อยมากกก กัดไปคำแรกนี่ผมกับเพื่อนตกใจกันเลยทีเดียวว่าทำไมอร่อยขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่ให้มาแค่ 2 ลูกต่อชามเท่านั้น T_T ร้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านบะหมี่ราคาประหยัดที่เดินทางไปได้สะดวกครับ การันตีจากลูกค้าที่มีอยู่ค่อนข้างจะเต็มร้านตอนที่ผมไป และคะแนนจาก app Ramen DB ที่ได้สูงพอตัว ใครสนใจไปลองกันได้เลยครับ

พอกินกันเสร็จเป้าหมายต่อไปก็คือการไปชมวิวสวย ๆ ของเมืองโตเกียวกันแบบฟรี ๆ ที่ตึกเทศบาลเมืองโตเกียว คือฟังชื่อดูแล้ว อาจจะฟังดูกิ๊กก๊อก "ตึกเทศบาล" แต่แบบลองคิดดูสิครับ โตเกียวเป็นเมืองที่มีประชากรอยู่เยอะที่สุดในโลก รวม ๆ แล้วประมาณ 30 ล้านคน แล้วเจ้าตึกเทศบาลเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้มันจะกิ๊กก๊อกได้อย่างไร? Tokyo Metropolitan Building หรือตึกเทศบาลเมืองโตเกียวนั้นจะเป็นตึกแฝด 2 ตึก ขนาดใหญ่โตมโหฬาร ด้วยความสูง 242 เมตรและจำนวนชั้นกว่า 48 ชั้น ทำให้ตึกแฝดนี้เป็นตึกที่จัดเป็นหนึ่งในตึกที่สูงที่สุดของโตเกียวเลย ส่วนจุดชมวิวที่เปิดให้ชมฟรีนั้นจะอยู่ที่ชั้น 45 สูงจากพื้น 202 เมตร โดยจะมีให้ชมทั้ง 2 ตึก แต่เหมือนผมจะอ่านเจอมาว่าตึกใต้จะให้วิวที่สวยกว่าพวกผมก็เลยไปตึกใต้กัน วิวที่เห็นในวันนี้ก็จัดได้ว่ายังไม่ค่อยสวยเต็มที่เพราะว่าเมฆค่อนข้างเยอะ คือทัศนวิสัยเห็นไม่ค่อยไกลเท่าไร ขนาดแค่ Tokyo Sky Tree พวกผมยังไม่เห็นกันเลย แต่ก็ถือได้ว่ายังดีกว่าการขึ้นไปดูวิวที่สูงของผมครั้งที่ผ่าน ๆ มาหลายครั้งที่มองไม่เห็นบ้าอะไรเลย จุดชมวิวที่นี่เค้าบอกว่าถ้าวันฟ้าโปร่งจริง ๆ จะมองเห็นไปไกลถึงภูเขาไฟฟูจิเลย (ผมมีโปสการ์ดรูปดังกล่าวอยู่) ก็ถ้าวันไหนฟ้าใสจริง ๆ ก็ลองขึ้นไปชมกันดูได้ครับสำหรับคนที่ได้ไปเที่ยวโตเกียว

Tokyo Metropolitan Goverment Building ครับ อลังการมาก

วิวก็สวยดีนะครับ แต่น่าจะสวยกว่านี้ได้ T_T

โตเกียวนี่มีสีเขียว ๆ เยอะกว่ากรุงเทพเยอะครับ


เพิ่งรู้ว่าจะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Olympics ปี 2020 ด้วย ใจนึงก็อยากให้ได้ ใจนึงก็ไม่อยากให้ได้นะครับ

น้ำตกแสนอลังการในสวนสาธารณะใกล้ ๆ ตึกเทศบาล

German Shepard น่ารักดีครับ

ศาลเจ้าใกล้ ๆ สวน มีคู่รักมาแต่งงานกันพอดีเลย


พอดูวิวกันเสร็จ ตอนที่ดูวิวกันอยู่ พวกผมเห็นสวนสาธารณะใกล้ ๆ กับตัวตึกเทศบาล ก็เลยชวนกันไปถ่ายรูป ไปเดินเล่นกันสักหน่อย ที่สวนนี้ก็มีศาลเจ้าและพื้นที่โล่ง ๆ ที่มีเด็กมาเล่น Skateboard มีคนพาหมามาเดินเล่นกันพอสมควร เหมาะกับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจใจกลางเมืองดีครับเผื่อใครสนใจจะไป พอเสร็จจากสวนนี้ ผมกับเพื่อนผมก็มีอันต้องแยกจากกันที่ญี่ปุ่นแห่งนี้แล้ว เนื่องจากเครื่องบินเพื่อนผมจะออกตอนประมาณ 4 ทุ่ม ส่วนผมจะอยู่ต่ออีก 1 อาทิตย์ เราก็นั่งรถไฟกลับไปที่หอ แล้วก็แยกทางกันบนรถไฟเลย ส่วนผมก็กลับไปที่ห้องเพื่อนผม ไปเก็บกระเป๋าเพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมที่ผมจะฝากชีวิตไปอีก 6 คืนซักหน่อย คือแบบ ไม่อยากนอนหอเพื่อนทุกวันน่ะครับ หอมันค่อนข้างซกมก แล้วก็แอบเกรงใจมันบ้าง เลยวางแผนเอาไว้แต่แรกว่าจะนอนหอเพื่อนผมครึ่งนึงนอนโรงแรมครึ่งนึง

ห้องเล็ก ๆ ครับ

แต่อัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องฟอกอากาศยังมีเลย

ชุดนอนแบบตะวันตก สบาย ๆ


ห้องน้ำก็ขนาดมาตรฐานของโรงแรมพี่ยุ่นเค้าครับ

อยากได้ส้วมแบบนี้ที่เมืองไทย

วิวก็เป็นตึกประมาณนี้ครับ


โรงแรมมี 13 ชั้นมั้งครับ ไม่ค่อยสูงเท่าไร แต่ห้องเยอะ

Fresa Inn ครับ


โรงแรมที่ผมเลือกพักคือ Sotetsu Fresa Inn - Hamamatsucho-Daimon โรงแรมแนว Business Hotel ที่มีทำเลที่ตั้งดีมาก ๆ คือเดินจากสถานี Hamamatsucho แค่ 8 นาทีเท่านั้น ทำให้การเดินทางเพื่อไปใช้ JR Yamanote Line หรือใช้ Tokyo Monorial นั่งไป Haneda Airport ค่อนข้างสะดวกมาก (เป็นสาเหตุหลักที่ผมเลือกที่นี่เลยก็ว่าได้ครับ เพราะว่าขี้เกียจลากกระเป๋าเดินทางใหญ่ ๆ ฝ่าผู้คน) ห้องพักในโรงแรมนี้ก็เหมือน ๆ กับโรงแรม Business Hotel ทั่ว ๆ ไปครับคือจะเป็นห้องเล็ก ๆ มีแค่เตียง, ทีวี, โต๊ะทำงาน แบบแค่ให้พอมีที่เฉย ๆ ผมเลือกห้องพักแบบถูกที่สุดคืนละ 10,000 yen โดยประมาณ ห้องพักมีขนาด 12 ตร.ม. ซึ่งเล็กมาก แค่วางกระเป๋าเดินทางผม ก็แทบจะไม่เหลือที่ให้วางอะไรเพิ่มแล้ว (ที่ปลายเตียง จริง ๆ ทางโรงแรมออกแบบมาให้เป็นที่วางกระเป๋าเดินทาง แต่กระเป๋าผมใหญ่กว่าปกติเลยยัดไม่ลง) แต่ว่า Amentities ของทางห้องพักนี่เรียกได้ว่ามีค่อนข้างจะครบครันมาก ๆ และเตียงก็นอนนุ่มสบายสุด ๆ เหมือนว่าผมจะไปอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ว่าทางโรงแรมจะโฆษณาว่าเตียงของพวกเค้านี่ใช้เตียงอย่างดีจากอเมริกา มั่นใจเรื่องการนอนหลับสบายได้เลย ซึ่งจากที่ผมนอนอยู่ 6 คืน คำโฆษณาดังกล่าวก็ไม่ได้เกินเลยความจริงไปแม้แต่น้อยเพราะว่า ผมนอนหลับสบายมากกกก หลับสนิทสุด ๆ คือเมื่อมององค์ประกอบรวม ๆ แบบกะเอาโรงแรมนี้เป็นแค่ที่นอน, ที่อาบน้ำ, เล่นเน็ทแล้ว ถือว่าโรงแรม Sotetsu Fresa Inn นี่ทำได้ดีมากจริง ๆ ครับ ที่นอนเยี่ยม, ห้องอาบน้ำยอด, เน็ทเร็วจี๋ ใครอยากหาที่ซุกหัวนอนดี ๆ ที่โตเกียว โรงแรมนี้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ผมแนะนำเลยล่ะครับ

รีวิวร้านที่ 16 Musashiya - Tonkatsu, Daimon | Tonkatsu เทพ

หลังจากที่ผมนอนหลับไปตื่นนึงจากที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเพราะต้องตื่นตี 4 ครึ่ง เป้าหมายในมื้อเย็นของผมก็เรียกได้ว่าค่อนข้างเป็นอะไรที่สะดวกดีมาก เพราะร้านที่ผมวางแผนเอาไว้นั้นอยู่ใกล้โรงแรมสุด ๆ เดินไปแค่ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแล้วกับร้าน Musashiya (http://r.tabelog.com/tokyo/A1314/A131401/13058820/ รายละเอียดร้านและพิกัดร้านตามลิงค์ไปเลยครับ) ร้านทงคัตสึระดับเทพ ที่ยังคงทำให้ผมติดตรึงใจในรสชาติมาจนถึงทุกวันนี้ (10 วันแล้วหลังจากที่ได้กินและกำลังเขียนอยู่นี่อ่ะครับ) คือเจ้า ทงคัตสึ หรือหมูชุบแป้งทอดเนี่ย ถือว่าเป็นอาหารที่ผมค่อนข้างชอบทีเดียว ถ้ามีโอกาสผมก็จะไปกินอยู่เรื่อย ๆ ส่วน Tonkatsu ที่ญี่ปุ่นนี่ผมก็เพิ่งจะได้กินมาไม่กี่ครั้งเนื่องจากว่ามันจัดได้ว่าเป็นอาหารที่แพง ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2000 yen โดยประมาณสำหรับเซ็ทเริ่มต้น และถ้าจะเอาหมูดี ๆ ขึ้นมาอีกก็จะราคาไต่ระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ ผมเคยเห็นร้านที่ได้คะแนนสูง ๆ นั้นจะขายกันอยู่ที่ 4000 yen ต่อเซ็ทโดยประมาณ ส่วนร้าน Musashiya ที่ผมมากินนี่ ราคาเซ็ทแนะนำจะอยู่ที่ 2600 yen ครับ กับเมนู Premium Rosu Cut (มั้ง) 特上ロースかつ定食

Musashiya @ Daimon ครับ ร้านที่ผมประทับใจมาก

เบียร์ Shiro อะไรสักอย่างแก้วละ 800 yen อร่อยมากกก เป็นเบียร์พรีเมียมของยี่ห้อ Sapporo

ไส้อ่อนหมูกินเล่น ๆ แกล้มเบียร์ รอจานหลักมา

หมูสีสวยมั้ยครับ?


เจ้าเซ็ทของผมนี่ ตอนก่อนจะสั่งก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเอาไว้มากนักครับ เนื่องจากเห็นร้าน Musashiya นี่ได้คะแนนรีวิวมื้อกลางคืนไม่ค่อยสูงเท่าไร (3.54 เท่านั้น) ผมเปิดประเดิมมื้อนี้ด้วยเบียร์สดขั้นเทพ Shiro อะไรสักอย่างซึ่งถือว่าเป็นเบียร์เกรดโคตรจะ premium ของ Sapporo Beer แก้วละ 800 yen คือแบบเจ้าเบียร์แก้วนี้เป็นอะไรที่อร่อยมากครับ หอมหวลกลิ่นข้าว, รสละมุนลิ้น แต่เสียดายที่แพงไปหน่อย ผมจึงค่อย ๆ จิบ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ รออาหารมา ไม่งั้นมันคงจะหมดซะก่อนที่จะได้กินเคล้าไปกับอาหาร อาหารจานแรกของผมเป็นของกินเล่น เป็นประมาณ ไส้อ่อนผัดซีอิ๊ว อะไรสักอย่าง ก็กินเพลิน ๆ อร่อยดีเข้าคู่กับเบียร์สดขั้นเทพได้เป็นอย่างดี

โอ้วววว น่ากินนนนน

เห็นภาพแล้วอยากบินกลับไปกินอีกรอบครับบบบ

สักชิ้นมั้ยครับบบบบ


พอพ่อครัวจะเริ่มทำ Premium Tonkatsu ให้ผม ทางพนักงานซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นภรรยาเจ้าของร้าน ก็เอาเนื้อหมูดิบ ๆ ที่จะนำไปทอดมาให้ผม เอามาให้ผมถ่ายรูป สารภาพตรง ๆ ว่าผมไม่เคยเห็นเนื้อหมูดิบ ๆ ที่มันสวยงามขนาดนี้มาก่อนในชีวิตเลย! คือเนื้อมันสวยเหมือนเป็นเนื้อวัวชั้นดีที่นำมาทำเสต็กประมาณนั้นเลย พอถ่ายรูปเนื้อหมูดิบ ๆ ขั้นเทพเสร็จ ผมก็นั่งรอที่จะได้สัมผัสรสชาติของมันอย่างใจจดใจจ่อ สักพักคุณภรรยาคนเดิมก็ยก Tonkatsu Set มาให้ผม หน้าตาก็ดูบ้าน ๆ ไม่มีอะไรแตกต่างจาก Tonkatsu ที่ผมเคย ๆ กินมาสักเท่าไร แต่แบบพอแค่ผมได้กัดเนื้อหมูเข้าไปคำแรกเท่านั้นล่ะครับ มันเหมือนกับผมได้เห็นสวรรค์อยู่รำไรเลย เนื้อหมูอร่อยมากกกกกกกก อร่อยจนแบบ...ไม่รู้จะบรรยายยังไงได้มากกว่านี้ดี คือเอาเป็นว่าผมประทับใจมาจนถึงวันนี้อ่ะครับ 10 วันผ่านมาแล้ว กลับมาเมืองไทยแล้ว

ร้าน Tonkatsu Musashiya @ Daimon แห่งนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่ผมแนะนำเลยสำหรับใครที่ไปโตเกียว Tonkatsu ราคาไม่ค่อยแพงเท่าไรแต่ได้รสชาติที่ยอดเยี่ยม ร้านก็เดินทางสะดวกอยู่ใกล้ ๆ รถไฟใต้ดิน กับ JR Line และที่สำคัญคือ คุณภรรยาเจ้าของร้าน พูดอังกฤษพอได้ครับ เลยทำให้สั่งอาหารกันได้อย่างไม่ลำบากยากเย็นเท่าไร แนะนำให้จัดครับร้านนี้

พอกิน Tonkatsu เทพเสร็จ ผมก็มีภารกิจต้องไปรับแม่ผมที่สนามบิน Haneda ต่อ ซึ่งผมวางแผนเอาไว้ว่าจะนั่ง Tokyo Monorail ไป ซึ่งเจ้า รถไฟรางเดียวอันนี้ก็เป็นอะไรที่สะดวกมากเพราะว่านั่งรวดเดียวถึง Haneda International Terminal เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนรถ ค่าโดยสารก็ 490 yen ไม่ถูกไม่แพงและใช้เวลาเดินทางแค่ 20 นาทีโดยประมาณเท่านั้น (ถ้านั่งสาย Rapid นะครับ) และที่สำคัญเหนืออื่นใดคือ สามารถใช้ JR Pass ได้ด้วย เพราะว่า JR เพิ่งซื้อกิจการไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาครับ ส่วนการขึ้นลง ก็ไปขึ้นได้ที่ตึกข้าง ๆ สถานี JR Hamamatsucho ครับ จะเป็นตึกของ Tokyo Monorail เค้าโดยเฉพาะ พอผมรับแม่เสร็จอะไรเสร็จ ก็กลับมานอนที่โรงแรมอย่างแทบจะล้มตายเลย เพราะว่าวันนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ค่อนข้างหนักสำหรับผม และนี่ผมยังมีโปรแกรมเที่ยวอีกร่วม 7 วัน เฮ้อ ถ้าไม่ฟิตนี่เที่ยวไม่ไหวนะครับเนี่ย




--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment