Saturday, September 8, 2012

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 11

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 11

วันนี้ผมจะพาไปเที่ยว Kamakura เมืองเก่าแก่ บ้านนอกนิด ๆ ที่อยู่ห่างจากโตเกียวไปไม่ไกลมาก นั่งรถไฟประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมงก็ถึงแล้ว การเดินทางไป Kamakura จากโตเกียวก็ค่อนข้างสะดวกครับมีรถไฟพาไปถึงเมืองริมทะเลแห่งนี้หลายสายเลยทีเดียว ประกอบด้วย JR Yokosuka Line, JR Shonan Shinjuku Line หรือ Odakyu Railways ส่วนตัวผมเลือกใช้ JR Yokosuka Line เนื่องจากผ่านสถานี Shinagawa และเป็นรถแบบ rapid จอดน้อยป้ายหน่อยและใช้เวลาเดินทางจาก Shinagawa ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น ที่เมืองนี้ก้จะมีสถานที่ท่องเที่ยว (อ่านว่าวัด, ศาลเจ้า) กระจายตัวอยู่ค่อนข้างจะเต็มเมือง โดยเราสามารถลงที่สถานี Kamakura เองเลยก็ได้ หรือลง Kita-kamakura ก็ได้ ส่วนตัวผมเลือกลงที่สถานี Kita-Kamakura เพราะจะได้แวะวัด Engakuji และก็เดินไปอีกนิดเพื่อแวะวัด Kenchoji ต่อ ตามด้วยเดินไปอีกหน่อยถึงศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu และก็ไปเดินหาข้าวกินตรงบริเวณด้านหน้าศาลเจ้าพร้อมกับเดินดูของที่ shopping street ด้านหน้าศาลเจ้าและใกล้ ๆ กับ Kamakura Station หลังจากนั้นก็เดินขึ้นเขาไปตามเส้นทาง Genjiyama Park เพื่อไปยังศาลเจ้า Zeniarai Benten ที่อยู่บนยอดเขา แล้วก็เดินลัดเลาะ ๆ ๆ ลงมาเพื่อไปปิดท้ายยังวัดที่มี Daibutsu หรือพระใหญ่อยู่ และขึ้นรถไฟท้องถิ่นที่ป้าย Hase กลับไปยังสถานี Kamakura และนั่งรถไฟสาย JR Yokosuka Line กลับไปยัง Tokyo ต่อ เส้นทางนี้ผมดู ๆ เอาจากแผนที่เมืองที่ทาง Japan-guide วางเอาไว้ ซึ่งผมว่าก็ค่อนข้างจะลงตัวดีนะครับ เพราะผมออกจากโตเกียว 8 โมง กลับจาก Kamakura ห้าโมง เป็นเวลาเที่ยวที่กำลังดีเลยทีเดียว เผื่อใครจะตามรอยก็จัดได้เลยครับ

ผมคงไม่ขอเขียนอธิบายถึงวัดแต่ละวัด, ศาลเจ้าแต่ละศาลเจ้าที่ผมไปมาสักเท่าไร เพราะว่ามันก็คล้าย ๆ กับวัดอื่น ๆ , ศาลเจ้าอื่น ๆ ที่ผมเคยไปมาเยอะแยะทั่วญี่ปุ่นแล้ว แต่สิ่งที่เป็นจุดเด่นสำหรับเมือง Kamakura คือ เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ บ้านนอก ๆ ที่ค่อนข้างจะมีเสน่ห์ในตัวมันเอง คือแบบ มีวัดวาอารามอยู่แทบจะทุก block ถนน เมืองก็เป็นภูเขา ๆ มีเนินมีทางลาดให้เดินไปมาอยู่ตลอด ผู้คนก็ดูเป็นคนต่างจังหวัดอารมณ์ดี คือเมืองนี้ก็เป็นเมืองที่น่าแวะมาอีกเช่นกันครับถ้าใครมาเที่ยวแถว Tokyo เพียงแต่ว่า ถ้าคาดหวังว่าจะมีอะไรอย่างอื่นในเมืองนี้ก็คงจะไม่ใช่ล่ะครับ เพราะเมืองนี้มีแค่ วัด, วัด, วัด และศาลเจ้าแค่นั้นเองจริง ๆ แต่กับวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส, อากาศเย็นสบาย ๆ แบบวันที่ผมไป เมืองที่มีแต่วัดและศาลเจ้าก็ทำให้เป็นวันที่ผมผ่อนคลาย และเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดีทีเดียวล่ะครับ


แผนที่เมือง Kamakura จาก Japan-guide.com ครับ


ถึงสถานี Kita-Kamakura ล่ะครับ เป็นสถานีเล็ก ๆ 

ดูแผนที่ ย้ำเตือนเส้นทางในวันนี้สักหน่อย

หน้าสถานี Kita-Kamakura เป็นวัดเลย รู้สึกจะวัด Engakuji นะครับ เสียค่าเข้า 300 yen









ไปวัดที่ 2 กันต่อ วัด Kenchoji ค่าเข้า 300 yen อีกแล้ว เดินจากวัด Engakuji ประมาณ โลกว่า ๆ ครับ









ที่สุดท้ายยามเช้า ศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu Shrine ศาลเจ้าใหญ่ยักษ์ คนเยอะกลางเมือง Kamakura



คนเยอะดีครับ รถทัวร์มาลงหลายคันเลย

คนเยอะ ๆ

ผมชอบศาลเจ้าญี่ปุ่นอยู่อย่างนึง ไม่ว่าจะที่ไหน ใหญ่โต อลังการ สวยงามเพียงใด ก็ไม่เคยเก็บค่าเข้าชม


บ่อน้ำสวย ๆ ของศาลเจ้า

ของคู่กัน รถลากกับเมืองเก่า อยากรู้ราคาเหมือนกันนะครับไม่เคยนั่งซักที น่าจะหลายพันเยนอยู่

ทางม้าลายหน้าศาลเจ้า คนรอข้ามเยอะ เลยทำทางม้าลายชุลมุนแบบนี้ซะเลย

จานชาม ช้อนส้อมสวย ๆ บน Shopping Street ใกล้ ๆ Kamakura Station

หมวกขายดีครับ วันนั้นแดดแรง

Shopping Street

รีวิวร้านที่ 21 ร้านอิตาเลียน Dolce far Niente at Kamakurahttp://r.tabelog.com/kanagawa/A1404/A140402/14001043/) 

ร้านนี้พิกัดอยู่ที่ 35.322798, 139.552905 อยู่ในย่าน Shopping Street ของเมือง Kamakura เค้าล่ะครับ คือตอนแรกที่ผมหาร้านจะกินตอนเที่ยงจากเว็บ r.tabelog เนี่ย ร้านที่คะแนนสูง ๆ ในเมืองนี้ล้วนแต่เป็นร้านอาหารตะวันตกหมดเลย ฝรั่งเศสบ้าง, อิตาเลียนบ้าง อเมริกันบ้าง ไม่มีร้านญี่ปุ่นที่ได้คะแนนเกิน 3.5 เลยตอนที่ผมหา ๆ ดู ก็เลยคิดว่า เอาวะ ไหน ๆ ก็กินญี่ปุ่นมาหลายมื้อแล้ว กินอาหารฝรั่งบ้างก็ดี ก็เลยมาลงเอยที่เจ้าร้าน Dolce far niente แห่งนี้ เพราะผมเห็นรูป pasta ที่โชว์อยู่ในเว็บน่ากินดี และร้านอยู่บนทางผ่านไปที่เที่ยวต่อไปพอดี ร้านนี้ก็เป็นร้านเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ตกแต่งร้านสไตล์ตะวันตก และก็ดูเหมือนจะเน้นขายเครื่องดื่มพวกกาแฟ, ชา และก็ของกินเล่น เคียงคู่ไปกับพาสต้าและอาหารญี่ปุ่นแบบจานเดียวด้วย

ร้านนี้ก็เหมือนร้านที่ญี่ปุ่นหลาย ๆ ร้านที่จะมี set lunch ราคาประหยัดไว้บริการลูกค้า ผมกับแม่ก็เลือก set lunch กันมาคนละ set รู้สึกราคาจะ 1500 yen มั้งครับไม่แน่ใจเหมือนกันใน set ก็จะประกอบด้วย สลัดผัก, main dish 1 อย่าง และก็เครื่องดื่ม 1 อย่างให้เลือก ตัวสลัดผักของทางร้านนี้ก็แบบ เป็นสลัดผักจืด ๆ จานนึง ถ้าคิดว่ากินเอาสุขภาพก็ถือว่าดีมาก เพราะไม่อ้วนชัวร์ เพราะมีแต่ผักและน้ำสลัดก็เป็นน้ำสลัดแบบเปรี้ยวนิด ๆ แต่ถ้าจะกินเอารสชาติ ถือว่าไม่ผ่านอย่างแรงครับ

ส่วน Main Course ของผมเป็นสเปาเก็ตตี้ กับผักกะหล่ำ และก็ปลาชิราโอะ (ปลาตัวเล็ก ๆ สีขาว ไม่รู้ที่ไทยมีมั้ย น่าจะประมาณปลารากแก้ว ประมาณนั้น) ซึ่งแบบจานนี้นี่แหละครับที่ทำให้ผมเลือกร้านนี้จากในเว็บ เพราะผมเห็นรูปในเว็บแล้วน่ากินมาก ตอนยกมาเจ้าพาสต้าจานนี้ก็หน้าตาเหมือนในเว็บเลยครับ น่ากินสุด ๆ แต่พอกินลงไปเท่านั้นล่ะครับ แบบว่า เอิ่ม .. รสชาติมันธรรมดา ๆ มากเลยอ่ะครับ จืด ๆ ไม่มีรสชาติ เส้นสปาเก็ตตี้ก็ไม่ได้แบบ al dante มา มัน..ไม่อร่อยอ่ะครับจานนี้ -*- คือถ้ารสชาติจัดจ้านกว่านี้อีกหน่อย, ให้ปลา Shirao มากกว่านี้อีกนิด ก็คงจะเป็นพาสต้าที่อร่อยจานนึงล่ะครับ แต่บอกตรง ๆ ว่าผมเคยกินพาสต้าสไตล์ญี่ปุ่นเนี่ย ไม่ว่าจะที่ไทยเอง หรือที่ญี่ปุ่นเองมากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ไม่เคยอร่อยสักกะที ส่วนใหญ่ก็จะรสชาติแบบเนี้ยอ่ะครับ จืด ๆ ไม่มีรสชาติ แต่แบบร้าน Dolce far Niente แห่งนี้ ผมให้โอกาสลองดูอีกสักครั้งเพราะว่าได้คะแนนเยอะมาก แต่ก็ยังไม่รอดที่จะ fail อีก เฮ้อ

ส่วน Main Dish ของแม่ผมก็เป็นข้าวแกงกะหรี่ธรรมดา ๆ ที่รสชาติธรรมดา ๆ และก็มีแต่แกงกะหรี่กับเนื้อสับมาเล็กน้อย คือแบบกินได้แค่เพราะดับหิวเท่านั้น ข้าวแกงกะหรี่ของ CoCo Ichibanya หรือข้าวแกงกะหรี่ผมทำเองยังอร่อยกว่าเลย ฮ่วย สรุปร้านนี้ก็เป็นร้านแรกที่ได้คะแนนเกิน 3.5 ใน r.tabelog แล้วมัน miss สำหรับผม คือผมก็อ่านไม่ออกเหมือนกันว่ารีวิวแต่ละอันแนะนำอาหารอะไร แต่แบบผมเห็นลูกค้าคนอื่น ๆ ในร้านก็สั่งเหมือนกับของผมกับของแม่ทั้งนั้น ก็เลยคิดว่าผมไม่น่าจะสั่งผิดอะไร แค่รสชาติมันเป็นแบบนี้ก็เท่านั้น แต่เห็นชื่อร้านที่เขียนว่า Dolce นี่ไม่รู้ว่าร้านนี้จะเน้นของหวานแล้วผมดันมาสั่งของคาวก็เลย Miss รึเปล่าอันนี้ก็ไม่แน่ใจ ใครที่อ่านญี่ปุ่นได้ช่วยบอกผมที เซ็ง ๆๆๆๆ


Beer Ebisu แบบสด ๆ เย็น ๆ อร่อยดีแท้เน้อ

ชานมเย็นของแม่ผม

สลัดผักที่แบบ สลัดผักจริง ๆ ไม่มีรสชาติอะไรเลย

Spaghetti Shirao + Cabbage หน้าตาน่ากิ๊น น่ากิน

แต่ว่ารสชาติไม่อร่อยครับ

ข้าวแกงกะหรี่แบบบ้าน ๆ ของแม่ผม

ทำเองอร่อยกว่าไม่ก็ไปกิน CoCo Ichiban ดีกว่าครับ

อันนี้กาแฟใน Set ทำมาได้อร่อยและสวยงามดีครับ ผมเดานะ ๆ ร้านนี้น่าจะเด่นเรื่องเครื่องดื่มกับของหวานมากกว่า


รีวิวร้านที่ 22 ร้านอาาหรญี่ปุ่น Oyakodon (พิกัด 35.323179,139.554628)

หลังจากที่ไม่อิ่มและเซ็ง ๆ กับร้านที่ผ่านมา ผมเลยชวนแม่ไปกินร้านญี่ปุ่นอีกสักร้าน ที่ตอนก่อนหน้านี้เดินผ่านมาและดูน่ากินดี ร้านนี้ผมไม่รู้ชื่อร้าน แต่ถ่ายรูปร้านมาให้ ตำแหน่งร้านก็ง่าย ๆ ครับ จากหน้าศาลเจ้า Tsurugaoka Hachimangu ก็เดินตรงมาเลย ร้านจะอยู่ขวามือห่างจากศาลเจ้าสัก 100 เมตรครับ ร้านนี้ตอนแรกที่ผมเดินผ่าน ผมรู้สึกถึงความไร้ลูกค้าของร้านมาก เพราะแบบหน้าร้านเงียบสุด ๆ แต่พอเปิดประตูไม้ของร้านเข้าไปก็ต้องตกใจเพราะเจอลูกค้านั่งกันอยู่แทบจะทุกโต๊ะ และร้านขนาดใหญ่มาก แต่ลูกค้ายังเต็มขนาดนี้ แต่โชคดีที่ยังพอมีโต๊ะเหลืออยู่ ผมเลยได้ที่นั่งโดยไม่ต้องรอ

อาหารที่ทำให้ผมเลือกเข้าร้านนี้คือ เจ้า Oyakodon หรือข้าวหน้าแม่ลูก(ไก่) นั่นเอง คืออาหารจานนี้ ที่ได้ชื่อแบบนี้มาเนื่องจากจะนำ เนื้อไก่สับ กับไข่ดิบ และผัก, หัวหอม มาตุ๋นรวมเข้าด้วยกันแล้วนำมาราดข้าวเสิร์ฟจึงเป็นที่มาของคำว่า แม่(ไก่) ลูก(ไข่ไก่) นั่นเอง อาหารจานนี้ เมืองไทย ผมรู้สึกว่าจะไม่ค่อยมีให้กินกันสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวหน้าไก่เฉย ๆ และเท่าที่ผมดูราคามา เจ้า Oyakodon นี่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันมันจะต้องราคาแพงอยู่ร่ำไปที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ 1000 กว่าเยนทั้งนั้น สำหรับ Oyakodon ของร้านนี้ก็จะมาแบบเป็นเซ็ทครับ มีซุป, ผักดอง , โซบะและเต้าหู้ให้มาด้วย คือผมไม่แน่ใจว่าผมเคยกินเจ้าอาหารจานนี้มาก่อนรึเปล่านะ แต่เท่าที่ได้กินวันนี้ ผมว่ามันก็อร่อยดีนะ เนื้อไก่กับไข่เป็นอะไรที่เข้ากันดีแท้ แต่แบบไม่รู้สิชอบข้าวหน้าเนื้อมากกว่าอ่ะครับ ถูกกว่า อร่อยกว่าด้วย เหอ เหอ

ส่วนอาหารของแม่ผมเป็นโซบะร้อนชามเล็ก เนื่องจากแม่ผมอิ่มจากอาหารจากร้านที่แล้วมาแล้ว ก็รสชาติได้มาตรฐานโซบะทั่ว ๆ ไปไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ส่วนอาหารในเซ็ทอย่างอื่นของผก็โอเคครับ กินเพลิน ๆ ได้เลยทีเดียว สรุปร้านอาหารญี่ปุ่นไร้ชื่อเพราะผมอ่านไม่ออก ณ เมือง Kamakura นี่ก็เป็นร้านดี ๆ ร้านนึงครับ รับประกันจากลูกค้าที่มากันเต็มร้าน และตัวผมเอง ^_^


อาหารจำลองหน้าร้าน ร้านนี้จะขายเป็น set แทบทั้งหมดเลย ราคาก็จะ 1000 กว่าเยนโดยประมาณ

ชาเขียวกินฟรี ชื่นใจ ร้อน ๆ ไม่เสียตังค์

ของใน Set ทางร้านเอามาให้กินเล่นก่อน ก็กินไปเพลิน ๆ ล่ะครับ

อีกสักรูปกับเครื่องเคียงใน set

มาแล้ว ข้าวแม่ลูก หรือ Oyakodon ของผม

โซบะร้อนของแม่ผม แม่ผมบอกว่าโอเค อร่อยดี

โซบะเย็นของผม ก็อร่อยดีเช่นกัน

อีกสักรูปกับ Oyakodon แบบเต็ม ๆ 

พอกินอิ่ม (จริง ๆ จุก) มีแรงเดินต่อ เป้าหมายต่อไปก็คือศาลเจ้า Zeniarai Benten ที่ตั้งตัวเองอยู่บนยอดเขา ไม่ค่อยสูงนักของเมือง Kamakura ระยะทางการเดินจากบริเวณ Shopping Street ใจกลางเมืองไปที่ศาลเจ้านี้ก็กินระยะทางประมาณเกือบ ๆ 2 กิโล และก็มีเดินขึ้นเขาเล็กน้อย ระหว่างทางก็จะมีผ่านรูปปั้นของ Minamono Yoritomo คนที่เคยรวบรวมแคว้นอะไรได้สักอย่างในญี่ปุ่นได้อย่างยิ่งใหญ่เมื่อสมัยปี 1200 กว่า ๆ (มีการ์ตูนเรื่องนึงเขียนถึงสงครามในช่วงยุคดังกล่าวอยู่ ผมอ่านอยู่ สนุกดี ยังไม่จบด้วยชื่อเรื่อง ขุนศึกสะท้านปฐพี) ผมเลยแวะไปถ่ายรูปกับบุคคลในอดีตที่ผมรู้จักซักหน่อย จากนั้นก็เดิน ๆ ต่อไปอีกนิดก็ถึง Zeniarai Benten แล้ว ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าที่ไม่มีอะไรมาก ไม่ได้แตกต่างอะไรจากศาลเจ้าอื่น ๆ นอกจากมีบ่อน้ำที่คนเชื่อกันว่าถ้าเอาเงินเท่าไรไปล้างในนั้น จะได้กลับมาคูณสองในอนาคต ผมเห็นเด็ก ๆ ไปล้างกันใหญ่ สนุกสนาน แต่พอดีผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้สักเท่าไรก็เลย ขอแค่ถ่ายรูปมาแทน

พอเสร็จจากศาลเจ้านี้ เป้าหมายสุดท้ายก็คือตัวพระใหญ่หรือ Daibutsu ระยะทางการเดินจากศาลเจ้าก็ประมาณโลกว่า ๆ แต่เป็นการเดินลงเขา ก็เลยไม่ค่อยลำบากอะไรเท่าไรครับ ตัวพระใหญ่หรือ Daibutsu หรือ Great Buddha นี่ก็เป็นรูปปั้นพระพุทธรูปที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก สูงแค่ 13.35 เมตรเท่านั้น แต่ความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นองค์นี้ น่าจะมาจากการที่ถูกสร้างมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยปี 1252 ในขณะที่รูปปั้นองค์ที่ใหญ่โตมโหฬารตามที่ต่าง ๆ ในโลก เช่นในเมืองไทย หรือเมืองจีน หรือ ฮ่องกง นั้นล้วแล้วแต่สร้างมาเมื่อไม่นานมานี้ทั้งนั้น รูปปั้นเงินขนาดยักษ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่นองค์นี้ (รองจาก Daibutsu ที่ Nara องค์นั้นใหญ่อลังการกว่านี้เยอะครับ) ก็เลยมีความศักดิ์สิทธิ์จากการอยู่มานานและอยู่ยั้งยืนยง และอยู่แบบ open air รับแดด รับลมมา 800 ปีอย่างไม่หวั่นไหววอกแวกนี่แหละครับ คือตอนที่ผมเห็นแว่บแรก ผมก็ไม่ได้ตะลึงในความใหญ่โตอะไรหรอก แต่แบบพอไปดูใกล้ ๆ ยืนมองอยู่นาน ๆ เหมือนกับมีรัศมีความศักดิ์สิทธิ์อะไรเปล่งมาก็ไม่ทราบครับ ผมยืนมองได้อย่างไม่เบื่อเลย แน่นอนครับว่าใครมา Kamakura ก็ควรจะแวะไปไหว้พระใหญ่องค์นี้กันซักหน่อย ยิ่งถ้าไปตอนเย็น ๆ ตัวองค์พระจะสะท้อนกับแสงอาทิตย์สวยงามดีทีเดียวครับ (แบบตอนที่ผมไป)



เดิน ๆ ไปเรื่อย ไปยังศาลเจ้าบนภูเขา

ฝาท่อเมืองนี้ไม่รู้เป็นรูปอะไร ดอกไม้, ดวงจันทร์ และร่ม?

ภูเขาที่เดินผ่านก็เป็นทางเดินขึ้นเขาจริง ๆ เลยล่ะครับ

ไปกับคนแก่อาจจะลำบากเล็กน้อย

เป้าหมายของเราคือ ซ้ายมืออีก 100 เมตร ส่วนเป้าหมายถัดไปคืออีก 2 KM ครับ

ลานรูปปั้น Minamoto Yoritomo

ยิ่งใหญ่สุดในปี 1200 กว่า ๆ แล้วล่ะครับ

เดิน ๆ ต่อไปอีก ผ่านป่าผ่านเขา

เจอแล้วศาลเจ้า ต้องลอดอุโมงค์เข้าไป ไขว่คว้าแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

มี Torii เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์กันหน่อย



เด็ก ๆ กำลังล้างแบงค์กันใหญ่เลยครับ





เมืองริมทะเล เลยมีป้ายเตือนกันสักหน่อย

ถึงแล้วทางเข้าวัดพระใหญ่ ค่าเข้า 150 yen มั้งครับ


เย้ พระใหญ่ 






รีวิวร้านที่ 23 ร้านบุฟเฟ่ต์ Shabu Shabu เทพ Roshu-Tei , Yurakucho Station, Tokyo พิกัด 35.67503, 139.76516

เสร็จจาก Kamakura เป้าหมายของร้านในมื้อที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินเป็นระยะหลายกิโลแบบนี้จะเป็นอะไรได้นอกจากร้านบุฟเฟ่ต์ใช่มั้ยครับ? ร้านในมื้อนี้คือ บุฟเฟ่ต์ชาบู ๆ ที่ผมได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนที่เคยมาลองแล้ว เขาว่าเด็ด ผมก็เลยไม่พลาดที่จะตามรอยในทันที ร้านนี้มีนามว่า Roshu-Tei (ไม่รู้แปลว่าอะไรเหมือนกัน) รายละเอียดข้อมูลของร้านโดยละเอียดก็ตาม link นี้ไปเลยครับ http://r.gnavi.co.jp/g293443/ ร้านนี้ตั้งอยู่บริเวณสถานี JR Yurakucho อยู่ที่ชั้น 2 ของห้างใต้รางรถไฟ ที่รวบรวมร้านอาหารต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน (คือแบบ ที่ใต้ทางรถไฟยังเอามาใช้สร้างเป็นห้างได้อย่างลงตัว utilize ทุกตร.นิ้วได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ พี่ยุ่นนี่) อาหารของทางร้านนี้ก็มีทั้งแบบ a la carte และแบบ บุฟเฟ่ต์ หรือ 食べ放題 (อ่านว่า Tabehoudai ใครเป็นคอบุฟเฟ่ต์เจอคำนี้หรือได้ยินคำนี้ รีบจัดเลยครับ) เมนูแบบ a la carte ผมไม่รู้เพราะไม่ได้สนใจ แต่จะขอพูดถึงเฉพาะเมนูแบบ buffet ละกันครับ ร้าน Roshu-Tei นี่จะมีทั้งแบบสุกี้ยากี้ หรือ ชาบู ๆ ให้เลือก หลายคนอาจสงสัยมันต่างกันยังไง? คือสุกี้ยากี้เนี่ย จริง ๆ แล้วจะเป็นแบบน้ำขลุกขลิก คือมีน้ำแค่พอปรึ่ม ๆ ให้ผักกับเนื้อสุกแค่นั้น แต่ชาบู ๆ เนี่ยก็จะมีน้ำท่วม ๆ เหมือนสุกี้ยากี้แบบของจีนหรือแบบบ้านเรา ซึ่งรสชาติจากการกินทั้ง 2 แบบนี้จะแตกต่างกัน แบบ Sukiyaki จะกินกันน้ำที่ค่อนข้างหวานหน่อย แล้วก็จะจิ้มกับไข่แดงที่คนจนเข้ากันกับไข่ขาวเป็นน้ำจิ้ม ในขณะที่ชาบูจะได้รสน้ำซุปด้วยและกินกับน้ำจิ้มแบบต่าง ๆ แล้วแต่ทางร้านจะทำมา คือเมืองไทยหาร้านที่ขายสุกี้ยากี้แท้ ๆ ยากครับเพราะคนไทยชินกับ shabu shabu กัน นอกจากจะสั่งแบบสุกี้ยากี้ a la carte ตามร้านอาหารญี่ปุ่นประมาณนั้น

ผมกับแม่เลือกกิน Shabu Shabu เนื่องจากว่าอยากกินน้ำซุปกันวันนี้ และเพื่อนผมที่เคยมาก่อนหน้านี้ก็แนะนำว่าให้กินแบบ Shabu Shabu โดยตัว 食べ放題 Course หรือ บุฟเฟ่ต์ course ของร้านนี้ก็จะมีให้เลือก 3 แบบแบบ 3,800 yen , 4,800 yen และ 7,000 เยน ทั้ง 3 แบบก็จะแตกต่างกันที่ตัวเนื้อวัวใน course เท่านั้นอย่างอื่นเหมือนกันหมดไม่ว่าจะตัวเวลาที่ให้กิน 120 นาที, ค่า service charge คนละ 500 yen และก็ของต่าง ๆ ใน set เช่นผัก, น้ำจิ้ม, ฯลฯ ซึ่งเพื่อนผมแนะนำว่ากินแบบกลางคือ 4,800 yen ก็เพียงพอแล้ว ตอนแรกผมก็ลังเล คิดเอาไว้ว่ามาทั้งทีน่าจะจัดเต็ม ๆ ไปเลย แต่พอได้เห็นความสวยงามของเนื้อที่ยกมาเท่านั้นล่ะ ความคิดดังกล่าวมันก็มลายหายไปโดยพลันเลยล่ะครับ อ้อ ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษที่เขียนอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ไว้เป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่อง lost in translation ครับ จัดกันได้เต็ม ๆ อ้อ อีกอ้อนึง พนักงานร้านนี้บริการดีมาก มารยาทอ่อนน้อม, ดูแลผมกับแม่เป็นอย่างดี และที่สำคัญหล่อด้วย (แล้วมันเกียวอะไรกับผมใช่มั้ย?)

หลังจากที่ได้เห็นความงดงามของเนื้อกันแล้ว ผมกับแม่ก็รอจนน้ำเดือด แล้วก็เอาเนื้อลายหินอ่อนสวยงาม แผ่นใหญ่ ลงไปกวัดแกว่งในน้ำซุปรสชาติกลมกล่อม ไม่ถึงกับเข้มข้น อยู่ไม่กี่วิ พอให้เนื้อเปลี่ยนสีจากสีแดงเป็นสีน้ำตาลแดง แล้วก็มาจิ้มกับน้ำจิ้มที่มีให้เลือกอยู่ 3 ชนิด (ไม่มีถ้วยให้ตักน้ำซุปแบบบ้านเรานะครับ) มีน้ำจิ้มเปรี้ยว ๆ , เค็ม ๆ และก็ มัน ๆ 3 แบบให้เราเลือกจิ้ม (แหม่ ถ้ามีหวานด้วยนี่ได้คำพังเพยไทยเลยนะเนี่ย) ผมก็จิ้มไปมาเรื่อย ๆ 3 แบบ ชอบพอ ๆ กันไม่มีอันไหนโดดเด่นต่างกันครับ รสชาติของเนื้อจากที่ได้กินแล้ว แน่นอนครับ ลายเนื้อสวยขนาดนี้ มันจะไม่อร่อยได้ยังไง ไม่สิ มันไม่ใช่แค่มันจะไม่อร่อยได้ไง มันอร่อยเว่อร์ต่างหากครับ อร่อยจริง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อร่อยจนอยากจะบินกลับไปกินอีกครั้งอีกได้อย่างไม่ยากเย็น ว้ากกก อยากไปกินอีก อร่อยจนผมกับแม่ซัดกันไปทั้งหมด 6 จาน (จานนึงมีประมาณ 6 - 8 ชิ้นใหญ่ ๆ ครับ) เฉลี่ยแล้วก็อยู่ที่จานละ 1500 yen โดยประมาณ ซึ่งถ้าถามผม ผมว่ามันก็คุ้มดีนะ เพราะว่าข้าวหน้าเนื้อชามนึงก็ 700 yen แล้ว และให้เนื้อมาแค่สัก แผ่นนึงของแต่ละจานแค่นั้นเอง คือความคุ้ม มันไม่เท่าไรหรอกครับ แต่ที่ติดใจจริง ๆ คือความอร่อยนี่แหละครับ เฮ้อ อยากให้เมืองไทยมีแบบนี้บ้างจัง

ผมกับแม่กินกันไปได้แค่สักชั่วโมงเดียวก็อิ่มจุกกับเนื้อที่ยัดลงไป 6 จานใหญ่ ๆ แล้วล่ะครับ เสียดายเวลาอีก 1 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ฝืนยัดเข้าไปเยอะ ๆ มันก็จะทำลายสุขภาพมากกว่า สรุป มื้อเย็นจัดหนักกับร้าน Roshu - Tei @ JR Yurakucho Station นี่เป็นมื้อที่ประทับใจมากครับ เนื้อคุณภาพเทพ รสชาติเยี่ยม, พนักงานบริการยอด เอาเนื้อมาให้แบบไม่ขาดสาย และเดินทางสะดวกลงรถไฟก็ถึงเลย ผมไปญี่ปุ่นคราวหน้าผมต้องมาจัดซ้ำแน่นอน และคราวหน้าผมว่าจะลองไอ้เจ้า 7,000 yen ด้วย ดูสิว่ามันจะเทพขนาดไหน หุหุ



หน้าร้านครับ ผมไปตอนร้านเปิดเลย

โต๊ะนั่งแบบญี่ปุ่น ไปตอนร้านเปิดยังไม่มีลูกค้าเลยสักคน

ของกินเล่นเรียกน้ำย่อยครับ เป็นถั่วงอกดองซีอิ๊ว

เบียร์สดเย็น ๆ

น้ำจิ้ม 3 แบบ อร่อยทุกแบบ

เนื้อลายหินอ่อนสวยงาม

อร่อยมาก ๆ ครับเนื้อ

ผักมีแค่หอมซอย, ผักอะไรไม่รู้ แล้วก็บุก

สักแผ่นมั้ยครับ?

ไม่กี่วิก็สุกแล้ว

สั่งไปทั้งหมด 6 จานครับ

ต้องทิ้งไว้น้ำจิ้มสักแปบนึง ไม่งั้นลวกปากไป

โอย เห็นเนื้อแล้วน้ำลายสอ

ชามพักความร้อน

ชิ้นสุดท้ายสั่งลา

ไอศครีมปิดท้ายก็พอไหวครับ
วันนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่การท่องเที่ยวและการกินลงตัวและผ่านไปด้วยดี พรุ่งนี้ผมมีโปรแกรมเดินทางไปต่างจังหวัด ค่อนข้างไกลพอสมควร จะเป็นอย่างไร ตามอ่านกันต่อเลยครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment