Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
วันนี้ก็เป็นวันที่ 2 และวันสุดท้ายของผม ณ เกียวโต จากทริป ตระเวณกินฤดูใบไม้ร่วง 2011 ณ แดนพี่ยุ่นของผม ช่วงวันที่ผมกำลังจะกลับนี่ญี่ปุ่นมีพายุเข้าพอดี เลยทำให้ฝนตกแทบจะทุกเมืองและท้องฟ้าขมุกขมัวแทบจะทั้งวันนี้ หรือ วันหลัง ๆ ในทริปของผมด้วย (เซ็งครับ) เช้านี้พวกเราเริ่มต้นด้วยการไปตลาดสดประจำเมืองเกียวโต ตลาด Nishiki (คือส่วนใหญ่ผมจะชอบไปตลาดสดประจำเมืองนั้น ๆ เสมอ ชอบไปดู วัตถุดิบน่าเจี๊ยะ ๆ ของพี่ยุ่นเค้า) ซึ่งตลาด Nishiki Market นี่ก็เรียกได้ว่าเดินทางสะดวกมาก ๆ เพราะอยู่ใกล้โรงแรมที่พัก Toyoko Inn ของผมและอยู่ใจกลางเมืองเลย แต่เจ้าตลาด Nishiki นี่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยมีพวกสัตว์ทะเลเท่าไร ส่วนใหญ๋จะเป็นพวกผัก, ผักดอง, เครื่องเทศ ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรทำให้ผมตื่นตาตื่นใจนัก ซึ่งจริง ๆ แล้วผักดองของญี่ปุ่นนี่เป็นอะไรที่อร่อยมากครับ และชอบมีผักแปลก ๆ วิธีการทำแปลก ๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีทำออกมาได้อยู่ แต่พอดีผมสื่อสารกับแม่ค้าไม่รู้เรื่องรวมถึงอ่านไม่ออกด้วย ก็เลยเซ็งไปตามระเบียบอดกินผักดองเทพเลย
|
เข้าได้หลายทางครับสำหรับตลาด Nishiki Market แห่งนี้ |
|
ไปเช้ามาก หลาย ๆ ร้านยังไม่เปิด เอ๊ะ ตลาดบ้าอะไรเปิดไม่เช้านะจะว่าไป |
|
ผลไม้แพงมากครับเมื่อเทียบกับเมืองไทย T_T |
|
ปลาไม่ค่อยมีเท่าไร อันนี้ 900 yen ไม่รู้ปลาอะไรเหมือนกัน |
|
จะมีพวกผักดอง ขนมเยอะครับตลาดนี้ |
|
ผักสด ๆ ด้วย |
|
ไข่ญี่ปุ่นราคาพอ ๆ กับไข่ไทย ซึ่งถ้าเทียบเป็นค่าครองชีพแล้วถือว่าถูกมาก |
|
ร้านนนี้ขายอะไรไม่รู้ครับจำไม่ได้แล้ว |
|
อยากจะเหมาไปสักกล่อง |
|
เนื้อวัวที่นี่ส่วนใหญ่ลายสวย สีสวยทั้งนั้น แต่ไม่เคยได้สั่งไปลองกินสักที เพราะไม่มีอุปกรณ์ครับ (หม้อสุกี้ , กระทะเสต็ก เป็นต้น) |
|
ขนมอะไรไม่รู้พ่อผมซื้อมากินเล่น ไม่อร่อยครับ เย็นด้วย ฮ่วย |
|
ช่างเป็นตลาดที่คนซบเซาเหลือเกิน |
พอเสร็จจาก Nishiki Market พวกเราก็เดินทางต่อไปกันยังวัดน้ำใส หรือ Kiyomizudera Temple (Kiyo น่าจะแปลว่าใส Mizu = น้ำ Dera = วัด) ซึ่งเจ้าวัดนี้ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกของเกียวโต และตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟมาก การเดินทางไปวัดสำหรับนักท่องเที่ยวหัวดำแบบผมก็มีแค่ 3 แบบ เดินไป ,นั่ง Taxi ไป หรือนั่งรถบัสไป พวกเราเลือกแบบที่สบายที่สุดนั่นก็คือนั่ง Taxi ไปเลยโดยพวกเราขึ้น Taxi จากบริเวณ Nishiki Market เลยครับเนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไร ค่า Taxi รู้สึกจะประมาณ 1000 นิด ๆ เยน
วัด Kiyomizudera นี่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ประจำเมืองเกียวโต พอ ๆ กับวัดทอง Kinkaku ส่วนใหญ่คนที่มาเกียวโตก็ต้องมา 2 วัดนี้กันทั้งนั้น (เท่าที่ผมเห็นรีวิวและเห็นจำนวนคนที่ไป) ซึ่งหลังจากที่ผมได้ไปวัดนี้แล้ว ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนมันถึงเยอะนัก มันมีอะไรเป็นไฮไลท์ นอกจากวัดที่สร้างอยู่บนเนินและเกิดจากเอาไม้มาขัด ๆ ๆ กันโดยไม่ใช้เครื่องจักร ก็แค่นั้น ซึ่งนอกจากนี้แล้วก็อาจจะมีจุดน่าดึงดูดตอนที่มาตอนใบไม้เปลี่ยนสีหรือใบไม้ผลิ เพราะศาลาของวัดที่ยื่นออกมาจากภูเขาจะอยู่ใกล้ ๆ กับต้นไม้ก่อให้เกิดวิวอันสวยงามแค่นั่นเอง (คือบอกตรง ๆ ว่าผมไม่ได้ประทับใจอะไรวัดนี้เมื่อเทียบกับวัดทองเลยครับ -*-) นอกจากตัววัดแล้ว ก็เหมือนจะมี Otowa Waterfall ที่จะมีสายน้ำ 3 สายโดยคนที่ไปก็จะไปต่อคิวกันกินให้สายใดสายนึง โดยมีความเชื่อว่าสายนึงจะทำให้อายุยืน สายนึงจะทำให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียน และอีกสายนึงคือจะทำให้โชคดีในความรัก ซึ่งถ้ากินหมด 3 สายก็จะถือว่าตะกละและไม่ควรทำ นอกจาก 2 อย่างนี้แล้ว วัดนี้ก็จะมีทางเดินทั้งขึ้นเขาและลงเขาในบริเวณวัดที่ร่มรื่นและสวยงามดี กับร้านขนม, ขายของที่ระลึก ตลอด 2 ข้างทางที่เดินไปวัดที่หนาแน่นและคับคั่งไปด้วยผู้คนมาก พวกผมแวะกินร้านขนมชูครีมร้านนึง เห็นคนเยอะดี ซึ่งทั้งหน้าตาชูครีมและรสชาติชูครีมมันอร่อยมาก ๆ เลยครับ อร่อยจริง ๆ สมกับที่ลูกค้าแน่นร้าน พวกเราอยู่ที่วัดนี้กัน 2-3 ชั่วโมงก็เดินกันจนทั่ว ถ่ายรูปกันจนเพลิน ก็เดินทางกลับไปใจกลางเกียวโตกันต่อ
อ้อที่วัดนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง นอกจากจะมีต้นไม้ดอกไม้ที่ทำให้วัดสวยงามตระการตาแล้ว ทางวัดจะเปิดให้เข้าชมรอบดึกพร้อมกับเปิดแสงสีเพิ่มความสวยงามเข้าไปอีก โดยจะมี 2 ช่วง ช่วงกลางมีนา - กลางเมษา ที่เป็นช่วงใบไม้ผลิ และช่วง กลาง พ.ย. - กลางธ.ค. ที่เป็นหน้าใบไม้ร่วง
|
ทางเดินไปวัดครับ |
|
ที่จอดรถเค้าต้องใช้เนื้อที่ให้เป็นประโยชน์ที่สุด |
|
เด็กนักเรียนไปกันเป็นกลุ่มเยอะครับ |
|
คนเยอะจริง ๆ วัดนี้ ร้านรวงแถวนี้เลยได้อานิสงส์ไปด้วยเลย |
|
ร้านของฝากพวกนี้จะมีขนมให้ชิมฟรีเยอะครับ แต่ละอย่างอร่อย ๆ ทั้งนั้น พวกผมชิมกันจนอิ่มเลย |
|
ทางเข้าวัดตอนหน้าสุด |
|
ตั๋วสวย ๆ ของทางวัด ค่าเข้า 300 yen |
|
วัด Kiyomizudera นี่จะตั้งอยู่บนภูเขา สร้างตัววัดยื่น ๆ ออกไปครับ เอ๊ะทำไมมุมนี้ไม่มีคน |
|
หลายคนไปยืนคุยไปดูวิวไป |
|
เด็ก ๆ เยอะมาก |
|
มุมหากินของช่างกล้อง แต่เอ๊ะ ผมถ่ายมาไม่สวยเลย พอดีมีก่อสร้างอะไรอยู่ไม่รู้ |
|
เสร็จจากตัวศาลาวัดก็เดิน ๆ ลงไปข้างล่างครับ 2 สาวนี่ชุดสวยเชียว |
|
Otowa Waterfall ที่ว่าครับ เลือกเอาเลยสายไหน ความรัก, การเรียน หรืออายุยืน |
|
ตัววัดมีเจดีย์ด้วย แต่ไม่รู้อยู่ไหนเหมือนกันครับ |
|
ร้านชูครีมแสนอร่อยไส้เยิ้มสุด ๆ ร้านนี้แหละครับที่ทำเอาผมติดใจ |
|
ก้อนละประมาณ 110 บาทแพง(ชิบหาย) แต่ไส้เยอะทะลักเดือดมากครับ |
|
จัดชาเขียวกับคัสตาร์ดมาลองกัน |
|
กัดปุ๊บไส้ทะลัก |
|
พุดดิ้งชาเขียวก็อร่อยใช้ได้ครับ ญี่ปุ่นนี่คลั่งชาเขียวกันจริง ๆ |
|
ตอนกลับพวกเราเดินกลับครับ อยากจะนั่งเจ้ารถลากนี่สักครั้งในชีวิตเหมือนกันนะครับ แต่รอรวยกว่านี้ก่อน |
|
เดินกลับไปใจกลางเมืองเกียวโตใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง |
|
เดินกลับก็เพราะว่าอยากเดินดูตัวเมือง |
|
และก็จะได้ผ่านย่าน Gion ย่านราตรีชื่อดังของเกียวโต ที่เป็นแหล่งรวมร้านเหล้าที่มีเกอิชามาคอยบริการ น่าจะเหลืออยู่ย่านเดียวในญี่ปุ่นแล้วที่มีร้านรวมกันเยอะ ๆ โชคดีมากครับเจอไมโกะ หรือ เกอิชาด้วย แม่ผมเลยขอถ่ายรูป |
|
ย่าน Gion ยามกลางวันค่อนข้างเงียบเหงา (เพื่อนผมบอกลองมาตอนเย็นสิแล้วจะหนาว คนเยอะมาก) |
|
มีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูป pre-wedding กันด้วย |
|
Gion อันแสนเงียบสงบ ถนนเค้าสวยมากครับ ชอบ |
|
เดินไปเดินมาสุดเขต Gion ก็จะมาเจอแม่น้ำคาโมะ |
|
ที่เกียวโตนี่เป็นเมืองที่ค่อนข้างจะมี 2 บุคลิคครับ ใจกลางเมืองจะมีห้างหรู ๆ สวย ๆ แทบจะครบทุกแบรนด์ (Takashimaya นี่เป็นห้างระดับ hi-end หน่อย ประมาณ emporium บ้านเรา) ส่วนรอบ ๆ เมืองก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวโบราณ ๆ เพราะจุดนี้ด้วยมั้งเมืองนี้เลยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และค่าที่พักแพงมาก |
3 ครั้งก่อนหน้าที่ผมไปญี่ปุ่นทุกครั้งผมจะต้องกินร้าน Ippudo Ramen ร้านราเมนสุดอร่อยที่เหมือนจะเพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน (แต่ก็หลายปีล่ะครับ) และอร่อยมากจนเปิดสาขาขจรขจายไปทั่วญี่ปุ่นรวมถึงสิงคโปร์และอเมริกาด้วย สาขาที่เราไปกินกันเป็นสาขาที่อยู่ใกล้ ๆ ตลาด Nishiki (เรียกได้ว่าเดินย้อนกลับไปที่เดิมตอนเช้ากันเลย) พวกผมไปตอนร้านเพิ่งเปิดตอนเที่ยงได้ไม่นานเลยไม่ต้องรอคิวนานนัก (ร้านบ้านี่ส่วนใหญ่คนจะเต็มร้านครับเพราะมันอร่อย)
|
สาขา Nishikikouji ใกล้ ๆ ตลาด Nishiki |
|
เพิ่งจะเคยกิน Ippudo แบบ lunch menu ไม่แน่ใจว่าถูกกว่ามื้อเย็นเท่าไร |
|
อุปกรณ์เค้าเยอะมากครับร้านนี้ มีผักดองให้กินฟรี น้ำจ้ม น้ำจิ้มก็ตักกันเอาเอง น้ำเปล่าก็บริการตัวเอง ผมล่ะอยากให้มีเบียร์บริการตัวเองบ้างจัง |
|
ข้าวญี่ปุ่นชั้นดี กับเกี๊ยวซ่า คือไม่ได้เข้ากันหรอกครับ แต่พอดีมันมาเป็น set |
|
ราเมนชามแดง หรือ Akamaru น้ำซุปจะเข้มข้นหน่อย |
|
อันนี้ Ippudo Karaka น้ำซุปแบบ Shiromaru หรือชามขาว แต่ใส่พริกเพิ่มความจัดจ้านเข้าไป อันนี้พริกเผ็ดระดับ 3 ครับ คราวที่แล้วเพื่อนผมกินเผ็ดระดับ 4 มันซี๊ดอ้าส์ ๆ อยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะกินหมด และวันต่อมา ขี้แสบตูดไปทั้งวัน ผมก็เลย ขอแค่ 3 พอ แต่กลายเป็นว่าระดับนี้ แทบไม่เผ็ดเลยครับ T_T |
|
Shiromaru หรือชามขาวครับ น้ำซุปจะอ่อน ๆ กว่าชามแดงหน่อย แต่อย่างอื่นเหมือนกัน เส้น, ชาชู หรือผัก |
|
อันนี้ราเมนเผ็ดผม น้ำดูน่ากลัว แต่มันไม่ได้เผ็ดอย่างที่คิดเลย ฮ่วย |
|
มีลูกค้าต่อคิวอยู่พอสมควรตอนกินเสร็จ |
ที่เที่ยวสุดท้ายของพวกเรา ณ เมืองเกียวโตแห่งนี้ พวกเราไปกันที่ Kyoto International Manga Museum หรือพิพิทธภัณฑ์การ์ตูนนานาชาตินั่นเอง เจ้าสถานที่แห่งนี้ ผมวงเอาไว้ว่าจะต้องมาให้ได้ถ้ามาเกียวโต เพราะว่าผมเป็นคนชอบอ่านการ์ตูนมากครับ อ่านมาตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านมีการ์ตูนที่ผมสะสมอยู่เยอะมาก ๆ ใครมาเห็นก็ต้องตกใจ ผมเป็น Otaku การ์ตูนขนาดนี้ จะไปพลาดพิพิทธภัณฑ์ขั้นเทพนี่ได้อย่างไรล่ะครับว่ามั้ย เจ้า Manga Museum นี่ก็ทำเลดีครับ อยู่ใจกลางเมืองเกียวโตเลย พวกผมเดินจากร้าน Ippudo ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ Karasuma แค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว ค่าเข้าที่นี่อาจจะแพงหน่อย 800 yen แต่คือพอเข้าไปแล้วเราสามารถอยู่ได้ทั้งวันตั้งแต่ 10:00 - 18:00 คือสามารถไปนั่งอ่านการ์ตูนได้อย่างหนำใจกันเลย ซึ่งถ้าวันเดียวไม่หนำใจที่นี่เค้ามีราคาสมาชิกแบบรายปีรายเดือนด้วย ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร จำได้แค่ว่าพอคำนวณออกมาแล้ว มันถูกมาก ๆ คือถ้าผมเป็นคนญี่ปุ่น หรือถ้าไปอยู่เกียวโตนาน ๆ และอ่านญี่ปุ่นออก ผมสมัครแน่นอน เพราะว่าที่นี่มีการ์ตูนครบทุกเรื่องตั้งแต่มีการ์ตูนมาเลยล่ะครับ โดยจะแบ่งการ์ตูนเป็นหลาย ๆ โซน เช่นแบ่งตามช่วงทศวรรษ เริ่มจากทศวรรษ 1970 มั้ง ไล่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ห้องนึง และก็มีแบ่งตามประเภทการ์ตูน, ตามประเทศที่ซื้อลิขสิทธิ์ไป ฯลฯ นอกจากการ์ตูนแล้ว จะมีประวัติของนักเขียนดัง ๆ , การ์ตูนดัง ๆ แต่พวกนี้ไม่มีภาษาอังกฤษ ผมก็ได้แต่ยืนดูรูปแบบงง ๆ ไปเท่านั้น
ผมคิดว่าคงมีหลายคนที่ไม่ได้อ่านการ์ตูนกันจริงจังแบบผม แต่ผมขอเขียนถึงการ์ตูนโปรดของผมเรื่องนึงละกันนั่นก็คือเรื่อง One Piece เจ้าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดังมาก รวมเล่มแต่ละเล่มนั้นขายกันได้หลัก 2 ล้านเล่มอัพเลย (เทียบกับเรื่องอื่น ๆ ที่ขายกันได้ 200,000 เล่มก็เทพแล้ว) ซึ่งยอดขายทั้งหมดตั้งแต่เล่มแรกเมื่อประมาณปี 2 ปีที่ผ่านมา ได้แซงหน้า Dragon Ball ที่ครองแชมป์มานานที่ประมาณ 140 ล้านเล่ม และใกล้จะเหยียบ 300 ล้านเล่มในเร็ว ๆ นี้แล้ว ซึ่งถ้าลองคิดถึงรายได้ของ Eichiro Oda ตัวคนวาดเอาแค่เฉพาะตัวรวมเล่มคือทางนักเขียนจะได้ประมาณ 100 yen ต่อเล่ม (ราคาปก 400 yen) ก็คูนเข้าไปสิครับ 150 ล้านเล่มที่ขายมาก็ 15,000 ล้านเยนแล้ว นี่แค่เฉพาะรวมเล่มนะครับ One Piece มีเอาไปทำเป็น Animation จอแก้ว, จอเงิน ทำสินค้าลิขสิทธ์ต่าง ๆ มากมาย ผมเดา ๆ ว่าอาจารย์โอดะตอนนี้นี่น่าจะรวยแบบรวยโคตร ๆ ไปแล้ว (แต่ผมหาไม่เจอว่าอาจารย์แกมีสินทรัพย์เท่าไร) ฟังแล้วรู้สึกอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูนขึ้นมามั้ยครับ?
|
ป้ายทางเข้า (เอียงหน่อยนะครับ) |
|
เป็นโรงเรียนมาก่อน แล้วเอามาดัดแปลงเป็นพิพิทธภัณฑ์ |
|
ของฝาก ของชำร่วยตรงทางเข้า |
|
ค่าเข้า 800 yen ครับ กดซื้อเอาที่ตู้เลย |
|
มีคินทาโร่ยืนต้อนรับ |
|
ชั้นที่อัดแน่นไปด้วยการ์ตูนแบบนี้เต็มไปหมด |
|
ชอบเล่มไหนหยิบอ่านได้เลย |
|
ไม่รู้จะบรรยายอะไรล่ะครับ ดูรูปเอาละกัน |
|
อันนี้แบ่งเป็นของแต่ละปี ทั้งแบบรวมเล่มและแบบ magazine (ห้องนี้เค้าห้ามถ่ายรูป งงเหมือนกัน แอบถ่ายมาได้รูปเดียวครับ) |
พอเสร็จจาก Manga Museum พวกเราก็เดินทางกลับไปที่ Osaka ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม Hankyu International เพราะวันนี้เรามีโปรแกรมจะย้ายโรงแรมครับ เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางที่สะสมมาหลายวัน การจะลากกระเป๋าเดินทางใบโตจากย่าน Umeda ย้ายไปย่าน Namba ก็เป็นอะไรที่คิดแล้วก็ละเหี่ยใจสำหรับพวกเรา 4 คนครับ ทางออกที่ง่ายและ effective ของเราเลยลงเอยที่การใช้บริการ taxi เอา ซึ่งเหมือนเทวดาจะเป็นใจครับ เพราะตอนแรกคิดเอาไว้ว่าใช่ต้องใช่แน่ ๆ เป็นอะไรที่พูดยากต้องให้เธอแก้ เอ๊ย คิดว่าต้องเรียก 2 คันเพราะกระเป๋าค่อนข้างใหญ่ แต่เผอิญว่า taxi ของพวกพี่ยุ่นนี่คันใหญ่มาก และกระโปรงหลังไม่มีถังแก๊สมาเบียดเบียนเนื้อที่แบบของพี่ไทยเรา ก็เลยยัดกระเป๋าลงไปสบาย ๆ ค่า taxi จาก Umeda ไปที่ Namba นั้นกดไปประมาณเกือบ 2000 yen ถ้าเทียบกับนั่งรถไฟใต้ดินที่จะจ่ายประมาณ 300 yen แล้วก็ถือว่าแพงมาก แต่นี่หาร 4 ก็เลยไม่ค่อยเยอะเท่าไรครับ
เรื่องโรงแรมที่พัก อยากให้อ่านต่อเอาในส่วนของวันพรุ่งนี้เนื่องจาก วันรองสุดท้ายของผมที่ญี่ปุ่นในซีรีย์นี้ ค่อนข้างน่าเบื่อมากครับ เนื่องจากพายุเข้า แพลนที่วางเอาไว้ว่าจะไปเที่ยว Mount Rokko ที่โกเบเลยมีอันต้องล้มพับไป เลยทำให้พรุ่งนี้ไม่มีอะไรให้เขียนสักเท่าไร เลยขอยกยอดเรื่องที่พักยกไปวันพรุ่งนี้เลยครับ อาหารเย็นของวันนี้เป็นมื้อที่ผมประทับใจที่สุดในทริปนี้เลยครับ พวกเราไปกินเนื้อย่างร้าน Yakiniku Rokko ซึ่งอยู่บริเวณย่าน Namba กัน ร้านนี้พวกเรารู้จักจากหนังสือไกด์นำเที่ยวเมืองโอซาก้าที่แจกฟรีอยู่ที่ Umeda Sky Building สาเหตุหลักที่ไปกันก็เพราะว่าที่ร้านมีเครื่องดื่มแถมฟรีแก้วนึงถ้าโชว์เจ้าไกด์บุ๊คให้ดู คือไป 4 คนก็เหมือนประหยัดเงินไป 2000 yen แล้วล่ะครับเพราะเครื่องดื่มที่แถมคือเบียร์สดหรือไวน์ โดยร้านนี้จากชื่อก็พอจะเดาได้ว่าเป็นร้านขายเนื้อย่าง ซึ่งก็เหมือนร้านเนื้อย่างบุฟเฟ่ต์หลาย ๆ ร้านที่ญี่ปุ่นที่จะมีหลาย ๆ package ให้เลือกโดยร้านนี้เริ่มต้นที่ 1970 yen ไล่เรียงไป 2,480 yen และ 2,980 yen แบบหลังจะสามารถเลือกเนื้อได้ 21 ชนิด ซึ่งแน่นอนครับ พวกเราเลือกแบบหลัง
เนื้อร้านนี้อร่อยมากครับ อร่อยแบบบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างเมืองไทยชิดซ้ายไปเลย หรือถ้าเอาไปเทียบกับร้านเนื้อย่าง a la carte เมืองไทยก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันเลยล่ะ คือแบบ อร่อยจริง ๆ และมีเนื้อให้เลือกเยอะมาก มีเนื้อบางอย่างผมไม่เคยกินมาก่อน เช่นเนื้อใส่ไห แล้วมาเป็นเส้นยาว ๆ และเรามาตัดเอง หรือเครื่องในที่แปลได้ว่ากระเพาะวัวอย่างดี อะไรแบบนี้ มื้อนี้ พวกเราเพลิดเพลินและกินกันคุ้มค่ามากครับ (2,980 yen ที่ญี่ปุ่นนี่ไม่ถือว่าแพงเลย) สิ่งนึงที่ช่วยทำให้กินอาหารอร่อยคือ เจ้าของร้านนี้พูดอังกฤษเก่งมาก เพราะพี่แกเคยไปอยู่อเมริกามา พี่แกก็เลยแนะนำอาหารได้ดี และทางร้านมีเมนูอังกฤษด้วย ก็เลยทำให้อุปสรรคด้านภาษานั้นถูกพังทลายลงไป ซึ่งพออุปสรรคอันนี้มันหายไป มันทำให้เรากินอาหารได้อร่อยขึ้นจริง ๆ ล่ะครับ (คือสั่งถูก กินเป็นนั่นเอง) ใครไปแถว Namba, Shinsaibashi ที่ Osaka ผมขอแนะนำร้านนี้เลยครับ Yakiniku Rokko
|
ระหว่างทางเดินไปร้าน Game Center ใหญ่มาก อยากเข้าไปเล่นจัง |
|
เพลงลิขสิทธิ์ยังคงขายได้ดีอยู่ คนญี่ปุ่นบ้าฟังเพลงด้วยครับ ชอบซื้อ cd สะสมกัน |
|
เดินผ่านย่าน Dotonbori ย่านราตรีประจำเมืองโอซาก้าไปเล็กน้อยก็จะถึงร้าน Yakiniku Rokko ครับ |
|
เตาแบบบ้านเรา เล็กไปหน่อย |
|
เมนูมี 3 package เอ๊ะ ด้านซ้ายล่าง 3,580 yen นั่นอะไรผมไม่แน่ใจเหมือนกัน T_T |
|
เบียร์สดอร่อยเสมอ และยิ่งอร่อยเมื่อได้ฟรีครับ |
|
ไวน์แดง 2 แก้วฟรีเช่นกัน |
|
ผักดองที่ญี่ปุ่นอร่อยอยู่แล้ว |
|
อันนี้แหละครับไม่รู้คือเนื้อส่วนไหน เป็นเนื้อเส้นยาว ๆ ใส่ในไหมา |
|
เนื้อแบบรวม จานแรก เจ้าของร้านบอกว่าเดี๋ยวจัดมาให้ครบทุกอย่าง ชอบแบบไหน จำไว้แล้วสั่งเพิ่ม |
|
มาลงเอยที่เจ้านี่ครับ karubi มั้ง |
|
มันแทรกสวยงาม นุ่มอร่อยมาก |
|
จัดเต็มจริง ๆ ครับมื้อนี้ |
|
ปิ้งกันไม่หยุด (เพราะเตาเล็ก ฮา) |
|
สั่งจานแบบนี้ไปหลายจานเลยล่ะครับ |
|
หลายไหด้วยเช่นกัน เจ้านี่คือเนื้อส่วนไหน ใครรู้บอกผมที |
|
เห็นรูปแล้วอยากกินอีก เนื้อมันแทรกกกกกกกกกกก |
|
มีไอศครีมให้ด้วย |
|
ร้านเล็ก ๆ ครับ เจ้าของร้านบอกช่วงสงกรานต์บ้านเรา คนไทยไปกันเต็มเลย |
|
ปิดท้ายวันนี้ด้วยร้านนี้ครับ ราเมนมังกรแบบยืนกิน ผมเดินผ่านร้านนี้บ่อยมาก เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าเป็นร้านราเมนเทพ แต่ตอนนั้นไม่คิดจะกินเพราะ ราเมนยืนกินบ้าอะไรราคาเท่ากับร้านนั่งกิน! แต่ไว้คราวหน้าจะไปลองครับ |
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 2
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment