Thursday, June 28, 2012

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6




วันนี้ก็เป็นวันที่ 2 และวันสุดท้ายของผม ณ เกียวโต จากทริป ตระเวณกินฤดูใบไม้ร่วง 2011 ณ แดนพี่ยุ่นของผม ช่วงวันที่ผมกำลังจะกลับนี่ญี่ปุ่นมีพายุเข้าพอดี เลยทำให้ฝนตกแทบจะทุกเมืองและท้องฟ้าขมุกขมัวแทบจะทั้งวันนี้ หรือ วันหลัง ๆ ในทริปของผมด้วย (เซ็งครับ) เช้านี้พวกเราเริ่มต้นด้วยการไปตลาดสดประจำเมืองเกียวโต ตลาด Nishiki (คือส่วนใหญ่ผมจะชอบไปตลาดสดประจำเมืองนั้น ๆ เสมอ ชอบไปดู วัตถุดิบน่าเจี๊ยะ ๆ ของพี่ยุ่นเค้า) ซึ่งตลาด Nishiki Market นี่ก็เรียกได้ว่าเดินทางสะดวกมาก ๆ เพราะอยู่ใกล้โรงแรมที่พัก Toyoko Inn ของผมและอยู่ใจกลางเมืองเลย แต่เจ้าตลาด Nishiki นี่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยมีพวกสัตว์ทะเลเท่าไร ส่วนใหญ๋จะเป็นพวกผัก, ผักดอง, เครื่องเทศ ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรทำให้ผมตื่นตาตื่นใจนัก ซึ่งจริง ๆ แล้วผักดองของญี่ปุ่นนี่เป็นอะไรที่อร่อยมากครับ และชอบมีผักแปลก ๆ วิธีการทำแปลก ๆ ที่ไม่คิดว่าจะมีทำออกมาได้อยู่ แต่พอดีผมสื่อสารกับแม่ค้าไม่รู้เรื่องรวมถึงอ่านไม่ออกด้วย ก็เลยเซ็งไปตามระเบียบอดกินผักดองเทพเลย



เข้าได้หลายทางครับสำหรับตลาด Nishiki Market แห่งนี้

ไปเช้ามาก หลาย ๆ ร้านยังไม่เปิด เอ๊ะ ตลาดบ้าอะไรเปิดไม่เช้านะจะว่าไป

ผลไม้แพงมากครับเมื่อเทียบกับเมืองไทย T_T

ปลาไม่ค่อยมีเท่าไร อันนี้ 900 yen ไม่รู้ปลาอะไรเหมือนกัน


จะมีพวกผักดอง ขนมเยอะครับตลาดนี้

ผักสด ๆ ด้วย


ไข่ญี่ปุ่นราคาพอ ๆ กับไข่ไทย ซึ่งถ้าเทียบเป็นค่าครองชีพแล้วถือว่าถูกมาก

ร้านนนี้ขายอะไรไม่รู้ครับจำไม่ได้แล้ว

อยากจะเหมาไปสักกล่อง

เนื้อวัวที่นี่ส่วนใหญ่ลายสวย สีสวยทั้งนั้น แต่ไม่เคยได้สั่งไปลองกินสักที เพราะไม่มีอุปกรณ์ครับ (หม้อสุกี้ , กระทะเสต็ก เป็นต้น)

ขนมอะไรไม่รู้พ่อผมซื้อมากินเล่น ไม่อร่อยครับ เย็นด้วย ฮ่วย

ช่างเป็นตลาดที่คนซบเซาเหลือเกิน 

พอเสร็จจาก Nishiki Market พวกเราก็เดินทางต่อไปกันยังวัดน้ำใส หรือ Kiyomizudera Temple (Kiyo น่าจะแปลว่าใส Mizu = น้ำ Dera = วัด) ซึ่งเจ้าวัดนี้ตั้งอยู่บริเวณตะวันออกของเกียวโต และตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟมาก การเดินทางไปวัดสำหรับนักท่องเที่ยวหัวดำแบบผมก็มีแค่ 3 แบบ เดินไป ,นั่ง Taxi ไป หรือนั่งรถบัสไป พวกเราเลือกแบบที่สบายที่สุดนั่นก็คือนั่ง Taxi ไปเลยโดยพวกเราขึ้น Taxi จากบริเวณ Nishiki Market เลยครับเนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากวัดเท่าไร ค่า Taxi รู้สึกจะประมาณ 1000 นิด ๆ เยน

วัด Kiyomizudera นี่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์ประจำเมืองเกียวโต พอ ๆ กับวัดทอง Kinkaku ส่วนใหญ่คนที่มาเกียวโตก็ต้องมา 2 วัดนี้กันทั้งนั้น (เท่าที่ผมเห็นรีวิวและเห็นจำนวนคนที่ไป) ซึ่งหลังจากที่ผมได้ไปวัดนี้แล้ว ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนมันถึงเยอะนัก มันมีอะไรเป็นไฮไลท์ นอกจากวัดที่สร้างอยู่บนเนินและเกิดจากเอาไม้มาขัด ๆ ๆ กันโดยไม่ใช้เครื่องจักร ก็แค่นั้น ซึ่งนอกจากนี้แล้วก็อาจจะมีจุดน่าดึงดูดตอนที่มาตอนใบไม้เปลี่ยนสีหรือใบไม้ผลิ เพราะศาลาของวัดที่ยื่นออกมาจากภูเขาจะอยู่ใกล้ ๆ กับต้นไม้ก่อให้เกิดวิวอันสวยงามแค่นั่นเอง (คือบอกตรง ๆ ว่าผมไม่ได้ประทับใจอะไรวัดนี้เมื่อเทียบกับวัดทองเลยครับ -*-) นอกจากตัววัดแล้ว ก็เหมือนจะมี Otowa Waterfall ที่จะมีสายน้ำ 3 สายโดยคนที่ไปก็จะไปต่อคิวกันกินให้สายใดสายนึง โดยมีความเชื่อว่าสายนึงจะทำให้อายุยืน สายนึงจะทำให้ประสบความสำเร็จด้านการเรียน และอีกสายนึงคือจะทำให้โชคดีในความรัก ซึ่งถ้ากินหมด 3 สายก็จะถือว่าตะกละและไม่ควรทำ นอกจาก 2 อย่างนี้แล้ว วัดนี้ก็จะมีทางเดินทั้งขึ้นเขาและลงเขาในบริเวณวัดที่ร่มรื่นและสวยงามดี กับร้านขนม, ขายของที่ระลึก ตลอด 2 ข้างทางที่เดินไปวัดที่หนาแน่นและคับคั่งไปด้วยผู้คนมาก พวกผมแวะกินร้านขนมชูครีมร้านนึง เห็นคนเยอะดี ซึ่งทั้งหน้าตาชูครีมและรสชาติชูครีมมันอร่อยมาก ๆ เลยครับ อร่อยจริง ๆ สมกับที่ลูกค้าแน่นร้าน พวกเราอยู่ที่วัดนี้กัน 2-3 ชั่วโมงก็เดินกันจนทั่ว ถ่ายรูปกันจนเพลิน ก็เดินทางกลับไปใจกลางเกียวโตกันต่อ

อ้อที่วัดนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง นอกจากจะมีต้นไม้ดอกไม้ที่ทำให้วัดสวยงามตระการตาแล้ว ทางวัดจะเปิดให้เข้าชมรอบดึกพร้อมกับเปิดแสงสีเพิ่มความสวยงามเข้าไปอีก โดยจะมี 2 ช่วง ช่วงกลางมีนา - กลางเมษา ที่เป็นช่วงใบไม้ผลิ และช่วง กลาง พ.ย. - กลางธ.ค. ที่เป็นหน้าใบไม้ร่วง


ทางเดินไปวัดครับ

ที่จอดรถเค้าต้องใช้เนื้อที่ให้เป็นประโยชน์ที่สุด

เด็กนักเรียนไปกันเป็นกลุ่มเยอะครับ 

คนเยอะจริง ๆ วัดนี้ ร้านรวงแถวนี้เลยได้อานิสงส์ไปด้วยเลย

ร้านของฝากพวกนี้จะมีขนมให้ชิมฟรีเยอะครับ แต่ละอย่างอร่อย ๆ ทั้งนั้น พวกผมชิมกันจนอิ่มเลย

ทางเข้าวัดตอนหน้าสุด

ตั๋วสวย ๆ ของทางวัด ค่าเข้า 300 yen 

วัด Kiyomizudera นี่จะตั้งอยู่บนภูเขา สร้างตัววัดยื่น ๆ ออกไปครับ เอ๊ะทำไมมุมนี้ไม่มีคน

หลายคนไปยืนคุยไปดูวิวไป 

เด็ก ๆ เยอะมาก 

มุมหากินของช่างกล้อง แต่เอ๊ะ ผมถ่ายมาไม่สวยเลย พอดีมีก่อสร้างอะไรอยู่ไม่รู้

เสร็จจากตัวศาลาวัดก็เดิน ๆ ลงไปข้างล่างครับ 2 สาวนี่ชุดสวยเชียว

Otowa Waterfall ที่ว่าครับ เลือกเอาเลยสายไหน ความรัก, การเรียน หรืออายุยืน

ตัววัดมีเจดีย์ด้วย แต่ไม่รู้อยู่ไหนเหมือนกันครับ

ร้านชูครีมแสนอร่อยไส้เยิ้มสุด ๆ ร้านนี้แหละครับที่ทำเอาผมติดใจ

ก้อนละประมาณ 110 บาทแพง(ชิบหาย) แต่ไส้เยอะทะลักเดือดมากครับ

จัดชาเขียวกับคัสตาร์ดมาลองกัน

กัดปุ๊บไส้ทะลัก

พุดดิ้งชาเขียวก็อร่อยใช้ได้ครับ ญี่ปุ่นนี่คลั่งชาเขียวกันจริง ๆ

ตอนกลับพวกเราเดินกลับครับ อยากจะนั่งเจ้ารถลากนี่สักครั้งในชีวิตเหมือนกันนะครับ แต่รอรวยกว่านี้ก่อน

เดินกลับไปใจกลางเมืองเกียวโตใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง

เดินกลับก็เพราะว่าอยากเดินดูตัวเมือง

และก็จะได้ผ่านย่าน Gion ย่านราตรีชื่อดังของเกียวโต ที่เป็นแหล่งรวมร้านเหล้าที่มีเกอิชามาคอยบริการ น่าจะเหลืออยู่ย่านเดียวในญี่ปุ่นแล้วที่มีร้านรวมกันเยอะ ๆ โชคดีมากครับเจอไมโกะ หรือ เกอิชาด้วย แม่ผมเลยขอถ่ายรูป

ย่าน Gion ยามกลางวันค่อนข้างเงียบเหงา (เพื่อนผมบอกลองมาตอนเย็นสิแล้วจะหนาว คนเยอะมาก)

มีคู่บ่าวสาวมาถ่ายรูป pre-wedding กันด้วย


Gion อันแสนเงียบสงบ ถนนเค้าสวยมากครับ ชอบ

เดินไปเดินมาสุดเขต Gion ก็จะมาเจอแม่น้ำคาโมะ

ที่เกียวโตนี่เป็นเมืองที่ค่อนข้างจะมี 2 บุคลิคครับ ใจกลางเมืองจะมีห้างหรู ๆ สวย ๆ แทบจะครบทุกแบรนด์ (Takashimaya นี่เป็นห้างระดับ hi-end หน่อย ประมาณ emporium บ้านเรา) ส่วนรอบ ๆ เมืองก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวโบราณ ๆ เพราะจุดนี้ด้วยมั้งเมืองนี้เลยกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และค่าที่พักแพงมาก

3 ครั้งก่อนหน้าที่ผมไปญี่ปุ่นทุกครั้งผมจะต้องกินร้าน Ippudo Ramen ร้านราเมนสุดอร่อยที่เหมือนจะเพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่นาน (แต่ก็หลายปีล่ะครับ) และอร่อยมากจนเปิดสาขาขจรขจายไปทั่วญี่ปุ่นรวมถึงสิงคโปร์และอเมริกาด้วย สาขาที่เราไปกินกันเป็นสาขาที่อยู่ใกล้ ๆ ตลาด Nishiki (เรียกได้ว่าเดินย้อนกลับไปที่เดิมตอนเช้ากันเลย) พวกผมไปตอนร้านเพิ่งเปิดตอนเที่ยงได้ไม่นานเลยไม่ต้องรอคิวนานนัก (ร้านบ้านี่ส่วนใหญ่คนจะเต็มร้านครับเพราะมันอร่อย)


สาขา Nishikikouji ใกล้ ๆ ตลาด Nishiki

เพิ่งจะเคยกิน Ippudo แบบ lunch menu ไม่แน่ใจว่าถูกกว่ามื้อเย็นเท่าไร

อุปกรณ์เค้าเยอะมากครับร้านนี้ มีผักดองให้กินฟรี น้ำจ้ม น้ำจิ้มก็ตักกันเอาเอง น้ำเปล่าก็บริการตัวเอง ผมล่ะอยากให้มีเบียร์บริการตัวเองบ้างจัง

ข้าวญี่ปุ่นชั้นดี กับเกี๊ยวซ่า คือไม่ได้เข้ากันหรอกครับ แต่พอดีมันมาเป็น set

ราเมนชามแดง หรือ Akamaru น้ำซุปจะเข้มข้นหน่อย

อันนี้ Ippudo Karaka น้ำซุปแบบ Shiromaru หรือชามขาว แต่ใส่พริกเพิ่มความจัดจ้านเข้าไป อันนี้พริกเผ็ดระดับ 3 ครับ คราวที่แล้วเพื่อนผมกินเผ็ดระดับ 4 มันซี๊ดอ้าส์ ๆ อยู่ครึ่งชั่วโมงกว่าจะกินหมด และวันต่อมา ขี้แสบตูดไปทั้งวัน ผมก็เลย ขอแค่ 3 พอ แต่กลายเป็นว่าระดับนี้ แทบไม่เผ็ดเลยครับ T_T

Shiromaru หรือชามขาวครับ น้ำซุปจะอ่อน ๆ กว่าชามแดงหน่อย แต่อย่างอื่นเหมือนกัน เส้น, ชาชู หรือผัก

อันนี้ราเมนเผ็ดผม น้ำดูน่ากลัว แต่มันไม่ได้เผ็ดอย่างที่คิดเลย ฮ่วย

มีลูกค้าต่อคิวอยู่พอสมควรตอนกินเสร็จ


ที่เที่ยวสุดท้ายของพวกเรา ณ เมืองเกียวโตแห่งนี้ พวกเราไปกันที่ Kyoto International Manga Museum หรือพิพิทธภัณฑ์การ์ตูนนานาชาตินั่นเอง เจ้าสถานที่แห่งนี้ ผมวงเอาไว้ว่าจะต้องมาให้ได้ถ้ามาเกียวโต เพราะว่าผมเป็นคนชอบอ่านการ์ตูนมากครับ อ่านมาตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านมีการ์ตูนที่ผมสะสมอยู่เยอะมาก ๆ ใครมาเห็นก็ต้องตกใจ ผมเป็น Otaku การ์ตูนขนาดนี้ จะไปพลาดพิพิทธภัณฑ์ขั้นเทพนี่ได้อย่างไรล่ะครับว่ามั้ย เจ้า Manga Museum นี่ก็ทำเลดีครับ อยู่ใจกลางเมืองเกียวโตเลย พวกผมเดินจากร้าน Ippudo ที่อยู่บริเวณสถานีรถไฟ Karasuma แค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว ค่าเข้าที่นี่อาจจะแพงหน่อย 800 yen แต่คือพอเข้าไปแล้วเราสามารถอยู่ได้ทั้งวันตั้งแต่ 10:00 - 18:00 คือสามารถไปนั่งอ่านการ์ตูนได้อย่างหนำใจกันเลย ซึ่งถ้าวันเดียวไม่หนำใจที่นี่เค้ามีราคาสมาชิกแบบรายปีรายเดือนด้วย ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร จำได้แค่ว่าพอคำนวณออกมาแล้ว มันถูกมาก ๆ คือถ้าผมเป็นคนญี่ปุ่น หรือถ้าไปอยู่เกียวโตนาน ๆ และอ่านญี่ปุ่นออก ผมสมัครแน่นอน เพราะว่าที่นี่มีการ์ตูนครบทุกเรื่องตั้งแต่มีการ์ตูนมาเลยล่ะครับ โดยจะแบ่งการ์ตูนเป็นหลาย ๆ โซน เช่นแบ่งตามช่วงทศวรรษ เริ่มจากทศวรรษ 1970 มั้ง ไล่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ห้องนึง และก็มีแบ่งตามประเภทการ์ตูน, ตามประเทศที่ซื้อลิขสิทธิ์ไป ฯลฯ นอกจากการ์ตูนแล้ว จะมีประวัติของนักเขียนดัง ๆ , การ์ตูนดัง ๆ แต่พวกนี้ไม่มีภาษาอังกฤษ ผมก็ได้แต่ยืนดูรูปแบบงง ๆ ไปเท่านั้น

ผมคิดว่าคงมีหลายคนที่ไม่ได้อ่านการ์ตูนกันจริงจังแบบผม แต่ผมขอเขียนถึงการ์ตูนโปรดของผมเรื่องนึงละกันนั่นก็คือเรื่อง One Piece เจ้าการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดังมาก รวมเล่มแต่ละเล่มนั้นขายกันได้หลัก 2 ล้านเล่มอัพเลย (เทียบกับเรื่องอื่น ๆ ที่ขายกันได้ 200,000 เล่มก็เทพแล้ว) ซึ่งยอดขายทั้งหมดตั้งแต่เล่มแรกเมื่อประมาณปี 2 ปีที่ผ่านมา ได้แซงหน้า Dragon Ball ที่ครองแชมป์มานานที่ประมาณ 140 ล้านเล่ม และใกล้จะเหยียบ 300 ล้านเล่มในเร็ว ๆ นี้แล้ว ซึ่งถ้าลองคิดถึงรายได้ของ Eichiro Oda ตัวคนวาดเอาแค่เฉพาะตัวรวมเล่มคือทางนักเขียนจะได้ประมาณ 100 yen ต่อเล่ม (ราคาปก 400 yen) ก็คูนเข้าไปสิครับ 150 ล้านเล่มที่ขายมาก็ 15,000 ล้านเยนแล้ว นี่แค่เฉพาะรวมเล่มนะครับ One Piece มีเอาไปทำเป็น Animation จอแก้ว, จอเงิน ทำสินค้าลิขสิทธ์ต่าง ๆ มากมาย ผมเดา ๆ ว่าอาจารย์โอดะตอนนี้นี่น่าจะรวยแบบรวยโคตร ๆ ไปแล้ว (แต่ผมหาไม่เจอว่าอาจารย์แกมีสินทรัพย์เท่าไร) ฟังแล้วรู้สึกอยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูนขึ้นมามั้ยครับ?

ป้ายทางเข้า (เอียงหน่อยนะครับ)

เป็นโรงเรียนมาก่อน แล้วเอามาดัดแปลงเป็นพิพิทธภัณฑ์

ของฝาก ของชำร่วยตรงทางเข้า

ค่าเข้า 800 yen ครับ กดซื้อเอาที่ตู้เลย

มีคินทาโร่ยืนต้อนรับ

ชั้นที่อัดแน่นไปด้วยการ์ตูนแบบนี้เต็มไปหมด

ชอบเล่มไหนหยิบอ่านได้เลย

ไม่รู้จะบรรยายอะไรล่ะครับ ดูรูปเอาละกัน











อันนี้แบ่งเป็นของแต่ละปี ทั้งแบบรวมเล่มและแบบ magazine (ห้องนี้เค้าห้ามถ่ายรูป งงเหมือนกัน แอบถ่ายมาได้รูปเดียวครับ)

พอเสร็จจาก Manga Museum พวกเราก็เดินทางกลับไปที่ Osaka ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม Hankyu International เพราะวันนี้เรามีโปรแกรมจะย้ายโรงแรมครับ เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางที่สะสมมาหลายวัน การจะลากกระเป๋าเดินทางใบโตจากย่าน Umeda ย้ายไปย่าน Namba ก็เป็นอะไรที่คิดแล้วก็ละเหี่ยใจสำหรับพวกเรา 4 คนครับ ทางออกที่ง่ายและ effective ของเราเลยลงเอยที่การใช้บริการ taxi เอา ซึ่งเหมือนเทวดาจะเป็นใจครับ เพราะตอนแรกคิดเอาไว้ว่าใช่ต้องใช่แน่ ๆ เป็นอะไรที่พูดยากต้องให้เธอแก้ เอ๊ย คิดว่าต้องเรียก 2 คันเพราะกระเป๋าค่อนข้างใหญ่ แต่เผอิญว่า taxi ของพวกพี่ยุ่นนี่คันใหญ่มาก และกระโปรงหลังไม่มีถังแก๊สมาเบียดเบียนเนื้อที่แบบของพี่ไทยเรา ก็เลยยัดกระเป๋าลงไปสบาย ๆ ค่า taxi จาก Umeda ไปที่ Namba นั้นกดไปประมาณเกือบ 2000 yen ถ้าเทียบกับนั่งรถไฟใต้ดินที่จะจ่ายประมาณ 300 yen แล้วก็ถือว่าแพงมาก แต่นี่หาร 4 ก็เลยไม่ค่อยเยอะเท่าไรครับ

เรื่องโรงแรมที่พัก อยากให้อ่านต่อเอาในส่วนของวันพรุ่งนี้เนื่องจาก วันรองสุดท้ายของผมที่ญี่ปุ่นในซีรีย์นี้ ค่อนข้างน่าเบื่อมากครับ เนื่องจากพายุเข้า แพลนที่วางเอาไว้ว่าจะไปเที่ยว Mount Rokko ที่โกเบเลยมีอันต้องล้มพับไป เลยทำให้พรุ่งนี้ไม่มีอะไรให้เขียนสักเท่าไร เลยขอยกยอดเรื่องที่พักยกไปวันพรุ่งนี้เลยครับ อาหารเย็นของวันนี้เป็นมื้อที่ผมประทับใจที่สุดในทริปนี้เลยครับ พวกเราไปกินเนื้อย่างร้าน Yakiniku Rokko ซึ่งอยู่บริเวณย่าน Namba กัน ร้านนี้พวกเรารู้จักจากหนังสือไกด์นำเที่ยวเมืองโอซาก้าที่แจกฟรีอยู่ที่ Umeda Sky Building สาเหตุหลักที่ไปกันก็เพราะว่าที่ร้านมีเครื่องดื่มแถมฟรีแก้วนึงถ้าโชว์เจ้าไกด์บุ๊คให้ดู คือไป 4 คนก็เหมือนประหยัดเงินไป 2000 yen แล้วล่ะครับเพราะเครื่องดื่มที่แถมคือเบียร์สดหรือไวน์ โดยร้านนี้จากชื่อก็พอจะเดาได้ว่าเป็นร้านขายเนื้อย่าง ซึ่งก็เหมือนร้านเนื้อย่างบุฟเฟ่ต์หลาย ๆ ร้านที่ญี่ปุ่นที่จะมีหลาย ๆ package ให้เลือกโดยร้านนี้เริ่มต้นที่ 1970 yen ไล่เรียงไป 2,480 yen และ 2,980 yen แบบหลังจะสามารถเลือกเนื้อได้ 21 ชนิด ซึ่งแน่นอนครับ พวกเราเลือกแบบหลัง

เนื้อร้านนี้อร่อยมากครับ อร่อยแบบบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างเมืองไทยชิดซ้ายไปเลย หรือถ้าเอาไปเทียบกับร้านเนื้อย่าง a la carte เมืองไทยก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันเลยล่ะ คือแบบ อร่อยจริง ๆ และมีเนื้อให้เลือกเยอะมาก มีเนื้อบางอย่างผมไม่เคยกินมาก่อน เช่นเนื้อใส่ไห แล้วมาเป็นเส้นยาว ๆ และเรามาตัดเอง หรือเครื่องในที่แปลได้ว่ากระเพาะวัวอย่างดี อะไรแบบนี้ มื้อนี้ พวกเราเพลิดเพลินและกินกันคุ้มค่ามากครับ (2,980 yen ที่ญี่ปุ่นนี่ไม่ถือว่าแพงเลย) สิ่งนึงที่ช่วยทำให้กินอาหารอร่อยคือ เจ้าของร้านนี้พูดอังกฤษเก่งมาก เพราะพี่แกเคยไปอยู่อเมริกามา พี่แกก็เลยแนะนำอาหารได้ดี และทางร้านมีเมนูอังกฤษด้วย ก็เลยทำให้อุปสรรคด้านภาษานั้นถูกพังทลายลงไป ซึ่งพออุปสรรคอันนี้มันหายไป มันทำให้เรากินอาหารได้อร่อยขึ้นจริง ๆ ล่ะครับ (คือสั่งถูก กินเป็นนั่นเอง) ใครไปแถว Namba, Shinsaibashi ที่ Osaka ผมขอแนะนำร้านนี้เลยครับ Yakiniku Rokko

ระหว่างทางเดินไปร้าน Game Center ใหญ่มาก อยากเข้าไปเล่นจัง

เพลงลิขสิทธิ์ยังคงขายได้ดีอยู่ คนญี่ปุ่นบ้าฟังเพลงด้วยครับ ชอบซื้อ cd สะสมกัน


เดินผ่านย่าน Dotonbori ย่านราตรีประจำเมืองโอซาก้าไปเล็กน้อยก็จะถึงร้าน Yakiniku Rokko ครับ

เตาแบบบ้านเรา เล็กไปหน่อย

เมนูมี 3 package เอ๊ะ ด้านซ้ายล่าง 3,580 yen นั่นอะไรผมไม่แน่ใจเหมือนกัน T_T

เบียร์สดอร่อยเสมอ และยิ่งอร่อยเมื่อได้ฟรีครับ

ไวน์แดง 2 แก้วฟรีเช่นกัน

ผักดองที่ญี่ปุ่นอร่อยอยู่แล้ว

อันนี้แหละครับไม่รู้คือเนื้อส่วนไหน เป็นเนื้อเส้นยาว ๆ ใส่ในไหมา

เนื้อแบบรวม จานแรก เจ้าของร้านบอกว่าเดี๋ยวจัดมาให้ครบทุกอย่าง ชอบแบบไหน จำไว้แล้วสั่งเพิ่ม

มาลงเอยที่เจ้านี่ครับ karubi มั้ง

มันแทรกสวยงาม นุ่มอร่อยมาก

จัดเต็มจริง ๆ ครับมื้อนี้

ปิ้งกันไม่หยุด (เพราะเตาเล็ก ฮา)

สั่งจานแบบนี้ไปหลายจานเลยล่ะครับ

หลายไหด้วยเช่นกัน เจ้านี่คือเนื้อส่วนไหน ใครรู้บอกผมที

เห็นรูปแล้วอยากกินอีก เนื้อมันแทรกกกกกกกกกกก

มีไอศครีมให้ด้วย

ร้านเล็ก ๆ ครับ เจ้าของร้านบอกช่วงสงกรานต์บ้านเรา คนไทยไปกันเต็มเลย

ปิดท้ายวันนี้ด้วยร้านนี้ครับ ราเมนมังกรแบบยืนกิน ผมเดินผ่านร้านนี้บ่อยมาก เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าเป็นร้านราเมนเทพ แต่ตอนนั้นไม่คิดจะกินเพราะ ราเมนยืนกินบ้าอะไรราคาเท่ากับร้านนั่งกิน! แต่ไว้คราวหน้าจะไปลองครับ

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 2

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment