วันนี้ได้เวลาที่พวกผมจะย้ายโรงแรมและย้ายเมืองกันอีกแล้ว โปรแกรมวันนี้คือเดินทางไปเกียวโต และเที่ยว ๆ ในเกียวโต รวมถึงค้างที่เกียวโตด้วย เกียวโตนี่จะว่าไปก็เหมือนเป็นสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวของญี่ปุ่นรองจากโตเกียว (หรืออาจจะเหนือกว่าโตเกียว?) เพราะว่าแหล่งท่องเที่ยวของเขามีเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวประวัติศาสตร์พวก วัดวาอารามและพระราชวังอะไรพวกนั้น เนื่องจากความ Popular ของเกียวโต เลยทำให้ที่พักที่เกียวโตค่อนข้างราคาสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ที่ผมเคยจ่ายตังค์มา อย่างโรงแรม Toyoko Inn ที่ผมมักจะฝากชีวิตไว้เป็นประจำที่เมืองอื่นราคาประมาณ 7000 yen แต่ที่เกียวโตนี่ซัดไป 11,000 ในห้องแบบเดียวกัน อันนี้ยังไม่นับรวมเรียวกัง (ที่พักแบบบ้านญี่ปุ่น ๆ ) ที่บางแห่งราคาซัดกันไปหลายหมื่นเยนก็มี การเดินทางไปเกียวโตจากโตเกียวผมก็ไม่รู้ว่าไปยังไงเพราะไม่เคยไปส่วนถ้าจะไปจาก โอซาก้าก็ค่อนข้างสบายครับมีหลายสายให้เลือก โดยสามารถขึ้นได้จากที่สถานี Osaka/Umeda หรอื Shin-Osaka ก็ได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีเท่านั้น (สังเกตว่าแถบคันไซนี่เมืองท่องเที่ยวทั้งหลายถ้าเอาโอซาก้าเป็นศูนย์กลางนี่เดินทางสบาย ๆ ชิล ๆ มากครับ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าผมคิดถูกเหมือนกันที่เลือกโอซาก้าเป็นที่ซุกหัวนอน(แทบจะ)ตลอดทริบ
อาหารเช้าของผมที่ซื้อมาจากเมื่อคืน วันนี้ต้องเดินเยอะเลยต้องโด๊ปซักหน่อย |
เป็นอาหารเช้าสุดหรู (สำหรับผม) ที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้กินเป็นอาหารเช้ามาก่อนเลยครับ ฮ่า ๆ หน้าตาดูดี รสชาติเยี่ยมกู๊ดครับ |
รถไฟไปเกียวโต |
ไม่ค่อยมีคนเท่าไร เพราะไปวันธรรมดา ไม่รู้เกี่ยวมั้ย |
หอคอยเกียวโต ไม่ได้ขึ้นครับ รู้สึกมาญี่ปุ่นขึ้นอะไรสูง ๆ เยอะแล้ว |
ชอบสถานีเกียวโตมากครับ ใหญ่ สวย และล้ำยุค |
ขออีกสักรูป |
ตู้ล็อคเกอร์ที่นี่มีเอา wallpaper มาโปะด้วย |
คนขี่จักรยานเยอะครับเมืองนี้ ไม่รู้ทำไม ทั้ง ๆ ที่รถไฟใต้ดิน, รถไฟก็ดูครอบคลุมดี มีเพื่อนพี่ผมคนนึงอยู่เมืองนี้มาเรียนเอกอยู่ เค้าก็ปั่นจักรยานไปไหนมาไหนเช่นกันครับ |
โปรแกรมท่องเที่ยวเกียวโตผมก็ค่อนข้างจะ standard ๆ ประหนึ่งมากับทัวร์ยังไงอย่างนั้น เนื่องจากว่าไม่เคยมาเมืองนี้มาก่อน ก็เลยอยากไปที่ที่นักท่องเที่ยวต้องไปกัน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเกียวโตนี่ถ้าเอาจริง ๆ ถ้าเอาเฉพาะที่ highlight และจะเที่ยวให้ครบ น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วันครับ เพราะแต่ละที่ค่อนข้างอยู่ห่างกัน รวมถึงแต่ละที่กระจายตัวอยู่ 4 มุมเมืองเกียวโตด้วย บางที่ไม่มีรถไฟผ่านต้องนั่ง taxi ไม่ก็เดินไป ซึ่งเพื่อนพี่ผมที่อยู่เกียวโตมา 2 ปีก็บอกว่า ถ้าจะเที่ยวเกี่ยวโตให้หมดไส้หมดพุงจริง ๆ ก็ต้องปั่นจักรยานเที่ยวเอา แต่แบบ พวกผมไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นก็เลยเที่ยวตามสไตล์นักท่องเที่ยวดีกว่า พวกผมเริ่มที่แรกกันที่วัดทองเลย วัดทองหรือ Kinkakuji อยู่บริเวณตอนเหนือของเกียวโต การเดินทางก็นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Kitaoji แล้วก็นั่ง taxi ไปต่อครับ วัดทองนี่คงไม่มีอะไรให้ต้องเขียนมากนักเพราะผมเคยเห็นคนไปรีวิวกันมาเยอะแล้ว ซึ่งผมก็อยากจะขอย้ำอีกครั้งครับว่าแม้ว่าจะเห็นรูปมาเยอะแล้ว ผมก็แนะนำให้ไปดูสักครั้งในชีวิตอยู่ดีเนื่องจากว่าของจริงมันสวยมาก ๆ สวยจริง ๆ สวยแบบคุ้มค่าที่เดินทางไปเลย ยิ่งถ้าไปช่วงใบไม้ร่วงแบบที่ผมไป หรือใบไม้ผลิ ก็คงเป็นอะไรที่ fin สุด ๆ
ทางเข้าวัด เดินเข้าไปพอสมควรครับ |
ตั๋วเข้าวัด Kinkakuji แน๊วแนว โบร๊าณ โบราณ |
สวยจริง ๆ ครับของจริง |
ขนาดรูปยังสวยเลย |
เสียดาย ไม่ยอมให้เข้าไปดูข้างใน |
วัดทองไม่ได้ทำจากทองจริง ๆ นะครับ (เช่นเดียวกับวัดฝาแฝด วัดเงิน ที่ไม่ได้ทำจากเงินจริง ๆ เช่นกัน) |
ประทับใจในความสวยงาม |
พอดูวัดทองเสร็จ ก็จะมีบริเวณรอบ ๆ วัดขายของกิน, ทำบุญ โน่นนี่ตามประสาแหล่งท่องเที่ยวครับ อันนี้ต้องยืนแล้วยื่นมือมาโยนเหรียญให้ลงโถ ส่วนใหญ่โยนกันไม่ลง ผมก็ด้วย |
เด็กนักเรียนไปทัศนศึกษากันเยอะครับ |
ได้ของฝากแนว ๆ ด้วย เครื่องรางคิทตี้สำหรับคนเลือดกรุ๊บบี |
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีตู้กดไอศครีม Haagen-Dazs อยู่ ก็เลยจัดมาโคนนึงครับ อร่อยเฮ |
เพลินกับวัดทองอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง พวกเราก็เดินทางกลับไปยังสถานี Kitaoji สถานีต้นทางกันต่อ สถานีนี้ก็เป็นสถานีรถไฟเล็ก ๆ ที่มีห้างเล็ก ๆ อยู่ใกล้ ๆ ครับ เดิน ๆ หาร้านฝากท้อง ก็ไปจ๊ะเอ๋เข้ากับร้าน Tonkatsu น่าสนใจเข้า (มาทริปนี้ยังไม่ได้กิน Tonkatsu เลย) เจ้า Tonkatsu ตามที่เคยเขียนไว้หลายทีว่าจะเป็นอาหารที่ค่อนข้างแพงสักหน่อยถ้าเทียบกับราเมน หรือข้าวหน้าต่าง ๆ (แต่ก็ยังถูกกว่าซูชิ) ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับเจ้าอาหารประเภทนี้นี่ยิ่งแพงยิ่งอร่อยจริง ๆ (สงสัยจะตามคุณภาพเนื้อ) ผมเคยไปกินร้านอันดับ 2 ของชินจูกู set ละประมาณ 3,500 yen มันแบบอร่อยมาก อร่อยแบบ เฮ้ยมี Tonkatsu ขั้นเทพแบบนี้ในโลกด้วยเหรอ แต่ร้านที่ผมกินที่เกียวโตก็เป็นร้านธรรมดา ๆ ราคาประมาณ 1000 - 1500 yen แต่รสชาติก็ยังจัดได้ว่าดีอยู่ (ดีกว่าเมืองไทย)
ตาลุงคนนี้ก็สนใจร้านนี้เหมือนพวกผม |
ลูกค้าก็ค่อนข้างจะเต็มร้านแม้ว่าจะไม่ใช่เวลาเที่ยง |
อ่านไม่ออกครับว่าอะไรเป็นอะไร ดูราคาเอาแล้วก็สั่ง |
หน้าตา Basic ซึ่งอร่อยแบบ Basic สไตล์ Tonkatsu เช่นเดียวกัน ปล. ข้าวสวยกับกะหล่ำปลีเติมได้ไม่อั้นครับร้าน Tonkatsu ไม่ว่าจะร้านไหน (กรุงเทพก็เป็น) |
อันนี้ข้าวหน้าหมูชุบแป้งทอดราดไข่กับอุด้งร้อนผงเทมปุระ อร่อยดีเช่นกัน |
ซูมเข้าไปซักหน่อย |
อันนี้ไม่ค่อยเห็นที่ไหนในไทย ง่ายประหยัดและอร่อยดีครับ |
Tonkatsu อีกชุด จำไม่ได้ล่ะครับว่าคืออะไร |
พอกินกันอิ่ม เราก็เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไปเลย นั่นก็คือศาลเจ้า Fushimi Inari Shrine หรือศาลเจ้าพันต้นนั่นเอง ที่นี่เป็นวัด(หรือเรียกว่าศาลเจ้าดี?) ของนิกายชินโต หนึ่งในนิกายที่มีคนนับถือเยอะพอ ๆ กับศาสนาพุทธในญี่ปุ่น ซึ่งลัทธิจะมีเทพ Inari เป็นเทพประเจ้าประจำลัทธิ และเทพองค์นี้จะมีหมาจิ้งจองเป็นผู้ส่งสาส์นแห่งเทพ พวกศาลเจ้าพวกนี้ก็เลยจะมีหมาจิ้งจอกเป็นรูปปั้นตั้งอยู่เยอะ ที่ศาลเจ้านี้ผมเคยอ่านการ์ตูนแนวรักโรแมนติคเรื่องนึงที่ประมาณว่าถ้าคู่รักคนไหนเดินลอดซุ้มศาลเจ้าหลายพันต้นได้ครบ ก็จะกลายเป็นคู่รักที่รักกันนาน ตอนนั้นผมเห็นแค่ฉากศาเจ้าเรียงรายเป็นตับ ๆ ผมก็นึกในใจว่าชาตินี้กูต้องมาให้ได้ ซึ่งก็ได้มาแล้วครับ ซึ่งผมได้เห็นของจริงแล้วมันอลังการและน่าทึ่งจริง ๆ เสาศาลเจ้าหรือ Torii Gate นี่จะเกิดจากคนบริจาคตามประสาวัดวาอารามของทุก ๆ ศาสนา เสาแต่ละต้นก็ราคาไล่เรียงกันไปตั้งแต่ หลายแสนเยนไปจนถึงหลายล้านเยนตามขนาดความใหญ่ของเสา และเสาพวกนี้มีคนบริจาคเยอะซะจนเอามาเรียงเป็นทางเดินคู่ขนานกันเป็นระยะทางที่ต้องใช้เวลาเดินไปกลับถึง 2-3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว (ส่วนหนึ่งเพราะเดินขึ้นเขาด้วย) ทางเดินเสาพันต้นนี่เป็นอะไรที่อลังการจริง ๆ ครับแต่พอดีพวกผมมากันเย็นแล้วขืนเดินกันเต็มสตรีมจะกลับโรงแรมกันไม่ทันก็เลยเดินกันแค่สั้น ๆ ผ่านแค่ช่วงแรกไปแค่นั้น อ้อลืมบอกการเดินทางไป ศาลเจ้า Fushimi Inari Shrine นี่เดินทางไปง่ายมากครับ ลงรถไฟ JR สถานี Inari แล้วถึงเลย ถึงเลยแบบถึงจริง ๆ เพราะศาลเจ้าอยู่หน้าสถานีเลย
ทางเข้าศาลเจ้า Fushimi |
หมาจิ้งจอกครับ มีการ์ตูนหลายเรื่องเอาจิ้งจอกไปเป็นสัตว์เทพ เช่น นารุโตะ |
เอาหมาเข้าได้ด้วยครับ เจอน้องหมาขนปุย 2 ตัว |
น่ารักมาก ครับเจ้า Golden ตัวนี้ |
จะศาสนาพุทธ หรือชินโต ก็มีน้ำชำระบาปเหมือนกัน |
ศาลเจ้าเค้าสวยมากครับ สงสัยจะเงินเยอะจัด |
ใช่เทพ Inari รึเปล่านะ |
อันนี้น่าจะรายน้ำคนบริจาค |
มีการสวดมนต์อะไรสักอย่างพอดี คนของศาลเจ้าห้ามถ่ายรูปครับ เลยซูม ๆ มา |
จิ้งจอกแห่งทวยเทพ |
เอากับเขาสิ Torii Gate ยังทำเป็นของที่ระลึกได้ |
ประตูศาลเจ้าเค้ามีหลายส่วนมากครับอันนี้ส่วนแรก |
ส่วนที่ 2 และผมเดินจบแค่ส่วนนี้นี่แหละครับ |
ยาวเฟื้อย ๆ คิดดูว่าจะเป็นมูลค่าเท่าไร |
ตอนเดินกลับจะมีรายชื่อคนบริจาคสลักไว้ |
สวยครับ ชอบมาก |
มีหมอดูด้วยคนญี่ปุ่น นึกว่าจะมีแต่คนไทย |
เสร็จจากศาลเจ้า เวลากำลังลงตัวพอดี (อ่านว่า จะหมดเวลาแล้ว ที่เที่ยวจะปิดแล้ว) พวกเราเลยรีบบึ่งไปปราสาท Nijo กัน ซึ่งเจ้า Nijo Castle แห่งนี้ผมเลือกที่จะไปเพราะมันอยู่ใจกลางเมืองเกียวโตพอดีเลย คือไม่ต้องเดินทางไกลนั่นเอง ปราสาท Nijo นี่เคยเป็นที่พำนักของ Tokugawa Ieyasu โชกุนคนแรกของประเทศ ซึ่งปราสาทนี้ก็สมกับเป็นที่พักของโชกุนครับ ใหญ่โตอลังการมาก แต่น่าเสียดายที่ส่วนตัวปราสาทชั้นใน Ninomaru Palace เค้าห้ามถ่ายรูป ผมก็เลยไม่มีรูปมาฝากเลยสักกะใบ ซึ่งด้านในปราสาทก็จะแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ เยอะแยะมากครับ ห้องที่อลังการที่สุดก็คงเป็นห้องที่ใช้เรียกประชุมเหล่าขุนนางทั้งหลาย เป็นห้องใหญ่ ๆ มีเสื่อทาทามิปูเต็ม ๆ แล้วก็มีภาพวาดอะไรไม่รู้ใหญ่ ๆ ภาพนึงตรงด้านหลังโชกุนนั่ง นอกจากตัวปราสาทแล้วก็จะมีสวนที่ใหญ่โตและสวยงามให้เดินเล่นด้วย มาที่นี่จะเป็นอะไรที่ดีมากถ้าทางผู้ดูแลจะมีไกด์เป็นภาษาอังกฤษหรือมีบรรยายเป็นภาษาอังกฤษสักหน่อย เฮ้อ
ทางเข้าปราสาท Karamon Gate |
Ninomaru Palace หรือตัววังชั้นใน ไม่มีรูปด้านในนะครับเพราะเค้าห้ามถ่าย |
สวนสวย ๆ ของวัง ใหญ่โตมาก |
ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมชอบสวนญี่ปุ่นมากเลย มันดู สงบ และสวยงามพร้อม ๆ กัน |
อันนี้คล้าย ๆ เป็นกำแพงปราสาทเดิม |
จำไม่ได้แล้วครับว่าคืออะไร |
น่าจะตำหนักของใครสักคนนี่แหละ |
กว่าจะเที่ยว Nijo Castle เสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปจนตะวันตกดินพอดีครับ พวกเราก็เลยไปเช็คอินพักกันที่โรงแรม Toyoko Inn โรงแรมคู่บุญบารมีนักธุรกิจ และนักเดินทางเบี้ยน้อยหอยน้อยแบบผม ที่มีสาขาอยู่ไม่รู้เกินร้อยสาขารึเปล่าที่ญี่ปุ่น จุดเด่นอย่างนึงของโรงแรมนี้คือจะตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามาก ๆ คือประหนึ่งว่าจองห้องไปก่อนได้เลย ค่อยไปหาสถานีรถไฟเอาว่ามันใกล้สถานีไหน อะไรประมาณนั้น โรงแรมนี้นอกจากจะถูก (แต่ที่เกียวโตแพงกว่าเมืองอื่น -_-') สะอาดได้มาตรฐานญี่ปุ่นแล้ว โรงแรมนี้ยังมีอาหารเช้าโง่ ๆ ไว้คอยบริการลูกค้าด้วย คือถ้าไม่คิดอะไรกะกินฟรี ก็กินได้อ่ะครับ เป็นประมาณข้าวกับผักดองกับซุปและก็ไข่เจียวมั้ง
สาขาที่เกียวโตอยู่ใกล้สถานี Karasuma เดินจากสถานีสัก 3 นาทีได้ |
Lobby มาตรฐานของเค้า มีอินเตอร์เน็ทให้ใช้ฟรีด้วย |
Check-in กันนานตามประสาโรงแรมญี่ปุ่น ตรวจโน่นตรวจนี่เยอะ |
ผมเลือกห้องแบบเตียง twin เลยแพงกว่าเดิมอีกนิดนึง |
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพอไหว |
น่าจะแปะติดผนังนะทีวี |
ห้องน้ำเป็นแบบยกมายัดใส่ครับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเจ๋งอยู่ดี โถส้วมเป็นแบบอัจฉริยะ มีน้ำฉีดก้น, น้ำอุ่น สบู่แชมพูมีให้ครบ แต่เจ้าอ่างแช่น้ำนี่สิ ถ้าจะแช่ต้องนั่งขด ๆ ตัวแช่ครับ |
หลังจากพักขากันแปบนึงพวกเราก็มุ่งหน้าหาร้านอาหารกันต่อ โดยเดินไปทาง Kamogawa River (คาโมะ แปลว่าเป็ด คาวะ แปลว่าแม่น้ำ แปลได้ว่าแม่น้ำเป็ดนั่นเอง) เจ้าแม่น้ำเป็ดนี่จะอารมณ์ประมาณแม่น้ำเจ้าพระยาของเกียวโตเค้าครับ ผ่าใจกลางเมืองเลย โดยจุดหมายปลายทางของเราคือย่าน Pontocho ซึ่งเป็นตรอกเล็ก ๆ มีร้านอาหารเรียงรายเต็มไปหมด ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับกะว่าจะไปเลือกร้านแถวนั้นกินเอา แต่พอเดินดูเมนูหน้าร้าน หลาย ๆ ร้านเข้า ก็เริ่มสงสัยขึ้นมาว่า เฮ้ย ทำไมแต่ละร้านมันแพงจัง กินไม่ได้เลยสักกะร้าน และก็มารู้เอาภายหลังว่าตรอก Pontocho นี่คือตรอกหัวแบะครับ คือร้านแต่ละร้านจะแบบคงความขลังแบบญี่ปุ่น ๆ ไว้และอาศัยว่าทำเลดี อยู่ติดแม่น้ำคาโมะ อยู่ในตรอกอันเก่าแก่ก็เลยอัพราคากันแพงหน่อย ซึ่งส่วนใหญ่คนมากินก็จะมากันในโอกาสพิเศษครับ (อันนี้เพื่อนพี่ที่อยู่เกียวโตมานานเค้าว่ามา)
พอเดินจนหมดตรอก พวกเราก็เดิน ๆ มั่ว ๆ ไป มั่ว ๆ มาก็ไปเจอเซลล์ของร้านอาหารร้าน Izakaya ร้านนึงยืนแจกใบปลิวอยู่และบอกว่ามีส่วนลดให้ 10% ทุกอย่าง 380 yen พวกผมก็ปรึกษากันแปบนึงก็ตกลง แล้วน้องเซลล์แสนน่ารักก็พาขึ้นตึกไปชั้น 5 มั้งและเดินลัดเลาะทางเดินแคบ ๆ ไปอีกนิดก็เจอเข้ากับร้าน Sanpoji (รึเปล่า) Izakaya ทุกอย่าง 380 yen! (คือร้านอยู่หลืบมากครับ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมหลาย ๆ ร้านอาหารต้องจ้างเซลล์ไปดึงแขกเข้าร้าน คือถ้าไม่มีเซลล์นี่ชาตินี้ก็คงไม่มีลูกค้าเดินมาเจอเอง) ร้านนี้ก็เป็นร้านสไตล์ Izakaya (ร้านเหล้าญี่ปุ่น) สไตล์โปรดของผม ร้านในดวงใจของผมคือร้าน Kinokura Jr. ที่ผมเคยกินแต่ที่โตเกียว (มีสาขา 40 กว่าสาขาที่โตเกียว) ซึ่งขายทุกอย่าง 270 yen หมดไม่ว่าจะอาหารแบบไหน เครื่องดื่มแบบไหน ก็เลยงงครับว่าเกียวโตเมืองบ้านนอก(กว่าโตเกียว) ทำไมถึงขายแพงกว่า ก็เดา ๆ เอาว่าน่าจะเป็นเพราะ เป็นเมืองท่องเที่ยวก็เลยอัพราคาขึ้นมาอีกนิด อาหารของร้านนี้บอกตรง ๆ ว่าถ้าเทียบกับ Kinokura Jr. 270 yen แล้วสู้ไม่ได้เลยครับทั้งเรื่องรสชาติ, ปริมาณและราคา (คือราคาแพงกว่าแต่ทำไมให้น้อยกว่าก็ไม่รู้) แต่ก็จัดได้ว่าอร่อยแบบ Izakaya อยู่ครับ พอฝากท้องได้
ชื่อร้านครับ เบลอไปหน่อย |
โต๊ะแบบญี่ปุ่น หย่อนเท้าลงไป ที่โต๊ะมีรีโมทกดเรียกพนักงานได้ครับ |
เมนูญี่ปุ่นล้วน โชคดีมีรูปไม่งั้นคงไปกันไม่เป็น เพราะพนักงานพูดอังกฤษไม่เป็นเลย ฮ่วย |
เบียร์สดพี่ยุ่นอร่อยเสมอครับ |
จานแรก หนังไก่ทอด เซ็งครับให้น้อยมาก (พ่อผมเริ่มบ่น) |
จานต่อมาเริ่มเยอะหน่อย ยากิโซะบะห่อไข่ อร่อยดีครับ |
ยากิโทริอีกจาน เริ่มเยอะขึ้นมาอีก เอ๊ะหรือว่าใส่รวม 2 จานนะ |
หอยโฮตาเตะ (ตัวเล็ก ๆ) ทอดครับ ก็อร่อยดี |
ปลาฮอกเกะย่าง ตัวใหญ่กำลังดีครับ 380 yen เอง |
ยากิโซบะกินที่ญี่ปุ่นมักจะอร่อย ซึ่งอันนี้ก็อร่อย |
ปลาไข่ตัวฟีบและเล็กไปหน่อย |
พอกินกันเสร็จพ่อกับแม่ผมก็ตรงดิ่งกันกลับห้องพักทันที เนื่องจากวันนี้เหนื่อยมาก เดินเยอะมาก แต่ผมกับพี่ยังพอมีแรงอยู่ก็เลยไปเดิน ๆ เล่นในเมืองเกียวโตกันต่อสักพัก แล้วถึงจะกลับโรงแรมครับ วันพรุ่งนี้พวกเราจะยังอยู่ที่เกียวโตกันต่อ และจะไปที่ไหนกันบ้าง ตามอ่านที่ลิงค์นี้ได้เลยครับ
ไม่รู้ว่าตึกนี่คืออะไร ให้เดาน่าจะเป็น ปาจิงโกะ |
ย่าน Shopping ที่ส่วนใหญ่เริ่มปิดล่ะ |
เกียวโตนี่ห้างใหญ่ ๆ ดัง ๆ หรู ๆ มีครบครับ พอ ๆ กับโอซาก้า, โตเกียวเลย |
แม่น้ำคาโมะ หรือแม่น้ำเป็ด ที่ตอนน้ำหลากน่าจะท่วมขึ้นมาถึงแนวกั้นชั้นบน |
ตรอก Pontocho แปลว่าตรอกหัวแบะครับ (ล้อเล่นนะครับ ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร) |
เจอคนต่างชาติเยอะมากในตรอกนี้ |
ราคาโหดไม่กล้าเข้ากันเลยทีเดียว |
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 2
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment