Thursday, June 28, 2012

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5




วันนี้ได้เวลาที่พวกผมจะย้ายโรงแรมและย้ายเมืองกันอีกแล้ว โปรแกรมวันนี้คือเดินทางไปเกียวโต และเที่ยว ๆ ในเกียวโต รวมถึงค้างที่เกียวโตด้วย เกียวโตนี่จะว่าไปก็เหมือนเป็นสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวของญี่ปุ่นรองจากโตเกียว (หรืออาจจะเหนือกว่าโตเกียว?) เพราะว่าแหล่งท่องเที่ยวของเขามีเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวประวัติศาสตร์พวก วัดวาอารามและพระราชวังอะไรพวกนั้น เนื่องจากความ Popular ของเกียวโต เลยทำให้ที่พักที่เกียวโตค่อนข้างราคาสูงกว่าเมืองอื่น ๆ ที่ผมเคยจ่ายตังค์มา อย่างโรงแรม Toyoko Inn ที่ผมมักจะฝากชีวิตไว้เป็นประจำที่เมืองอื่นราคาประมาณ 7000 yen แต่ที่เกียวโตนี่ซัดไป 11,000 ในห้องแบบเดียวกัน อันนี้ยังไม่นับรวมเรียวกัง (ที่พักแบบบ้านญี่ปุ่น ๆ ) ที่บางแห่งราคาซัดกันไปหลายหมื่นเยนก็มี การเดินทางไปเกียวโตจากโตเกียวผมก็ไม่รู้ว่าไปยังไงเพราะไม่เคยไปส่วนถ้าจะไปจาก โอซาก้าก็ค่อนข้างสบายครับมีหลายสายให้เลือก โดยสามารถขึ้นได้จากที่สถานี Osaka/Umeda หรอื Shin-Osaka ก็ได้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีเท่านั้น (สังเกตว่าแถบคันไซนี่เมืองท่องเที่ยวทั้งหลายถ้าเอาโอซาก้าเป็นศูนย์กลางนี่เดินทางสบาย ๆ ชิล ๆ มากครับ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าผมคิดถูกเหมือนกันที่เลือกโอซาก้าเป็นที่ซุกหัวนอน(แทบจะ)ตลอดทริบ

อาหารเช้าของผมที่ซื้อมาจากเมื่อคืน วันนี้ต้องเดินเยอะเลยต้องโด๊ปซักหน่อย

เป็นอาหารเช้าสุดหรู (สำหรับผม) ที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้กินเป็นอาหารเช้ามาก่อนเลยครับ ฮ่า ๆ หน้าตาดูดี รสชาติเยี่ยมกู๊ดครับ


รถไฟไปเกียวโต

ไม่ค่อยมีคนเท่าไร เพราะไปวันธรรมดา ไม่รู้เกี่ยวมั้ย

ถึงสถานี JR Kyoto ในเวลาไม่นาน สถานีนี้ใหญ่มากครับ ใหญ่และหรูหรา ต่างกับที่ผมคิดเอาไว้ว่าจะเป็นสถานีประจำเมืองเกียวโตเลย ที่สถานีนี้มี Tourist Info ขนาดใหญ่อยู่ด้วย ก็ลองแวะไปดูครับ พนักงานเค้าพูดอังกฤษได้ดี และก็มีใบปลิวเยอะดี

หอคอยเกียวโต ไม่ได้ขึ้นครับ รู้สึกมาญี่ปุ่นขึ้นอะไรสูง ๆ เยอะแล้ว

ชอบสถานีเกียวโตมากครับ ใหญ่ สวย และล้ำยุค

ขออีกสักรูป

ตู้ล็อคเกอร์ที่นี่มีเอา wallpaper มาโปะด้วย


คนขี่จักรยานเยอะครับเมืองนี้ ไม่รู้ทำไม ทั้ง ๆ ที่รถไฟใต้ดิน, รถไฟก็ดูครอบคลุมดี มีเพื่อนพี่ผมคนนึงอยู่เมืองนี้มาเรียนเอกอยู่ เค้าก็ปั่นจักรยานไปไหนมาไหนเช่นกันครับ

โปรแกรมท่องเที่ยวเกียวโตผมก็ค่อนข้างจะ standard ๆ ประหนึ่งมากับทัวร์ยังไงอย่างนั้น เนื่องจากว่าไม่เคยมาเมืองนี้มาก่อน ก็เลยอยากไปที่ที่นักท่องเที่ยวต้องไปกัน ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวของเกียวโตนี่ถ้าเอาจริง ๆ ถ้าเอาเฉพาะที่ highlight และจะเที่ยวให้ครบ น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 4-5 วันครับ เพราะแต่ละที่ค่อนข้างอยู่ห่างกัน รวมถึงแต่ละที่กระจายตัวอยู่ 4 มุมเมืองเกียวโตด้วย บางที่ไม่มีรถไฟผ่านต้องนั่ง taxi ไม่ก็เดินไป ซึ่งเพื่อนพี่ผมที่อยู่เกียวโตมา 2 ปีก็บอกว่า ถ้าจะเที่ยวเกี่ยวโตให้หมดไส้หมดพุงจริง ๆ ก็ต้องปั่นจักรยานเที่ยวเอา แต่แบบ พวกผมไม่ได้มีเวลาขนาดนั้นก็เลยเที่ยวตามสไตล์นักท่องเที่ยวดีกว่า พวกผมเริ่มที่แรกกันที่วัดทองเลย วัดทองหรือ Kinkakuji อยู่บริเวณตอนเหนือของเกียวโต การเดินทางก็นั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Kitaoji แล้วก็นั่ง taxi ไปต่อครับ วัดทองนี่คงไม่มีอะไรให้ต้องเขียนมากนักเพราะผมเคยเห็นคนไปรีวิวกันมาเยอะแล้ว ซึ่งผมก็อยากจะขอย้ำอีกครั้งครับว่าแม้ว่าจะเห็นรูปมาเยอะแล้ว ผมก็แนะนำให้ไปดูสักครั้งในชีวิตอยู่ดีเนื่องจากว่าของจริงมันสวยมาก ๆ สวยจริง ๆ สวยแบบคุ้มค่าที่เดินทางไปเลย ยิ่งถ้าไปช่วงใบไม้ร่วงแบบที่ผมไป หรือใบไม้ผลิ ก็คงเป็นอะไรที่ fin สุด ๆ


ทางเข้าวัด เดินเข้าไปพอสมควรครับ

ตั๋วเข้าวัด Kinkakuji แน๊วแนว โบร๊าณ โบราณ

สวยจริง ๆ ครับของจริง

ขนาดรูปยังสวยเลย

เสียดาย ไม่ยอมให้เข้าไปดูข้างใน



วัดทองไม่ได้ทำจากทองจริง ๆ นะครับ (เช่นเดียวกับวัดฝาแฝด วัดเงิน ที่ไม่ได้ทำจากเงินจริง ๆ เช่นกัน)

ประทับใจในความสวยงาม

พอดูวัดทองเสร็จ ก็จะมีบริเวณรอบ ๆ วัดขายของกิน, ทำบุญ โน่นนี่ตามประสาแหล่งท่องเที่ยวครับ อันนี้ต้องยืนแล้วยื่นมือมาโยนเหรียญให้ลงโถ ส่วนใหญ่โยนกันไม่ลง ผมก็ด้วย

เด็กนักเรียนไปทัศนศึกษากันเยอะครับ 

ได้ของฝากแนว ๆ ด้วย เครื่องรางคิทตี้สำหรับคนเลือดกรุ๊บบี

ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีตู้กดไอศครีม Haagen-Dazs อยู่ ก็เลยจัดมาโคนนึงครับ อร่อยเฮ

เพลินกับวัดทองอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง พวกเราก็เดินทางกลับไปยังสถานี Kitaoji สถานีต้นทางกันต่อ สถานีนี้ก็เป็นสถานีรถไฟเล็ก ๆ ที่มีห้างเล็ก ๆ อยู่ใกล้ ๆ ครับ เดิน ๆ หาร้านฝากท้อง ก็ไปจ๊ะเอ๋เข้ากับร้าน Tonkatsu น่าสนใจเข้า (มาทริปนี้ยังไม่ได้กิน Tonkatsu เลย) เจ้า Tonkatsu ตามที่เคยเขียนไว้หลายทีว่าจะเป็นอาหารที่ค่อนข้างแพงสักหน่อยถ้าเทียบกับราเมน หรือข้าวหน้าต่าง ๆ (แต่ก็ยังถูกกว่าซูชิ) ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะครับเจ้าอาหารประเภทนี้นี่ยิ่งแพงยิ่งอร่อยจริง ๆ (สงสัยจะตามคุณภาพเนื้อ) ผมเคยไปกินร้านอันดับ 2 ของชินจูกู set ละประมาณ 3,500 yen มันแบบอร่อยมาก อร่อยแบบ เฮ้ยมี Tonkatsu ขั้นเทพแบบนี้ในโลกด้วยเหรอ แต่ร้านที่ผมกินที่เกียวโตก็เป็นร้านธรรมดา ๆ  ราคาประมาณ 1000 - 1500 yen แต่รสชาติก็ยังจัดได้ว่าดีอยู่ (ดีกว่าเมืองไทย)

ตาลุงคนนี้ก็สนใจร้านนี้เหมือนพวกผม

ลูกค้าก็ค่อนข้างจะเต็มร้านแม้ว่าจะไม่ใช่เวลาเที่ยง

อ่านไม่ออกครับว่าอะไรเป็นอะไร ดูราคาเอาแล้วก็สั่ง

หน้าตา Basic ซึ่งอร่อยแบบ Basic สไตล์ Tonkatsu เช่นเดียวกัน ปล. ข้าวสวยกับกะหล่ำปลีเติมได้ไม่อั้นครับร้าน Tonkatsu ไม่ว่าจะร้านไหน (กรุงเทพก็เป็น)

อันนี้ข้าวหน้าหมูชุบแป้งทอดราดไข่กับอุด้งร้อนผงเทมปุระ อร่อยดีเช่นกัน

ซูมเข้าไปซักหน่อย

อันนี้ไม่ค่อยเห็นที่ไหนในไทย ง่ายประหยัดและอร่อยดีครับ

Tonkatsu อีกชุด จำไม่ได้ล่ะครับว่าคืออะไร

พอกินกันอิ่ม เราก็เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่อไปเลย นั่นก็คือศาลเจ้า Fushimi Inari Shrine หรือศาลเจ้าพันต้นนั่นเอง ที่นี่เป็นวัด(หรือเรียกว่าศาลเจ้าดี?) ของนิกายชินโต หนึ่งในนิกายที่มีคนนับถือเยอะพอ ๆ กับศาสนาพุทธในญี่ปุ่น ซึ่งลัทธิจะมีเทพ Inari เป็นเทพประเจ้าประจำลัทธิ และเทพองค์นี้จะมีหมาจิ้งจองเป็นผู้ส่งสาส์นแห่งเทพ พวกศาลเจ้าพวกนี้ก็เลยจะมีหมาจิ้งจอกเป็นรูปปั้นตั้งอยู่เยอะ ที่ศาลเจ้านี้ผมเคยอ่านการ์ตูนแนวรักโรแมนติคเรื่องนึงที่ประมาณว่าถ้าคู่รักคนไหนเดินลอดซุ้มศาลเจ้าหลายพันต้นได้ครบ ก็จะกลายเป็นคู่รักที่รักกันนาน ตอนนั้นผมเห็นแค่ฉากศาเจ้าเรียงรายเป็นตับ ๆ ผมก็นึกในใจว่าชาตินี้กูต้องมาให้ได้ ซึ่งก็ได้มาแล้วครับ ซึ่งผมได้เห็นของจริงแล้วมันอลังการและน่าทึ่งจริง ๆ เสาศาลเจ้าหรือ Torii Gate นี่จะเกิดจากคนบริจาคตามประสาวัดวาอารามของทุก ๆ ศาสนา เสาแต่ละต้นก็ราคาไล่เรียงกันไปตั้งแต่ หลายแสนเยนไปจนถึงหลายล้านเยนตามขนาดความใหญ่ของเสา และเสาพวกนี้มีคนบริจาคเยอะซะจนเอามาเรียงเป็นทางเดินคู่ขนานกันเป็นระยะทางที่ต้องใช้เวลาเดินไปกลับถึง 2-3 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว (ส่วนหนึ่งเพราะเดินขึ้นเขาด้วย) ทางเดินเสาพันต้นนี่เป็นอะไรที่อลังการจริง ๆ ครับแต่พอดีพวกผมมากันเย็นแล้วขืนเดินกันเต็มสตรีมจะกลับโรงแรมกันไม่ทันก็เลยเดินกันแค่สั้น ๆ ผ่านแค่ช่วงแรกไปแค่นั้น อ้อลืมบอกการเดินทางไป ศาลเจ้า Fushimi Inari Shrine นี่เดินทางไปง่ายมากครับ ลงรถไฟ JR สถานี Inari แล้วถึงเลย ถึงเลยแบบถึงจริง ๆ เพราะศาลเจ้าอยู่หน้าสถานีเลย

ทางเข้าศาลเจ้า Fushimi

หมาจิ้งจอกครับ มีการ์ตูนหลายเรื่องเอาจิ้งจอกไปเป็นสัตว์เทพ เช่น นารุโตะ 

เอาหมาเข้าได้ด้วยครับ เจอน้องหมาขนปุย 2 ตัว

น่ารักมาก ครับเจ้า Golden ตัวนี้

จะศาสนาพุทธ หรือชินโต ก็มีน้ำชำระบาปเหมือนกัน

ศาลเจ้าเค้าสวยมากครับ สงสัยจะเงินเยอะจัด

ใช่เทพ Inari รึเปล่านะ

อันนี้น่าจะรายน้ำคนบริจาค

มีการสวดมนต์อะไรสักอย่างพอดี คนของศาลเจ้าห้ามถ่ายรูปครับ เลยซูม ๆ มา

จิ้งจอกแห่งทวยเทพ

เอากับเขาสิ Torii Gate ยังทำเป็นของที่ระลึกได้

ประตูศาลเจ้าเค้ามีหลายส่วนมากครับอันนี้ส่วนแรก

ส่วนที่ 2 และผมเดินจบแค่ส่วนนี้นี่แหละครับ

ยาวเฟื้อย ๆ คิดดูว่าจะเป็นมูลค่าเท่าไร

ตอนเดินกลับจะมีรายชื่อคนบริจาคสลักไว้

สวยครับ ชอบมาก

มีหมอดูด้วยคนญี่ปุ่น นึกว่าจะมีแต่คนไทย

เสร็จจากศาลเจ้า เวลากำลังลงตัวพอดี (อ่านว่า จะหมดเวลาแล้ว ที่เที่ยวจะปิดแล้ว) พวกเราเลยรีบบึ่งไปปราสาท Nijo กัน ซึ่งเจ้า Nijo Castle แห่งนี้ผมเลือกที่จะไปเพราะมันอยู่ใจกลางเมืองเกียวโตพอดีเลย คือไม่ต้องเดินทางไกลนั่นเอง ปราสาท Nijo นี่เคยเป็นที่พำนักของ Tokugawa Ieyasu โชกุนคนแรกของประเทศ ซึ่งปราสาทนี้ก็สมกับเป็นที่พักของโชกุนครับ ใหญ่โตอลังการมาก แต่น่าเสียดายที่ส่วนตัวปราสาทชั้นใน Ninomaru Palace เค้าห้ามถ่ายรูป ผมก็เลยไม่มีรูปมาฝากเลยสักกะใบ ซึ่งด้านในปราสาทก็จะแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ เยอะแยะมากครับ ห้องที่อลังการที่สุดก็คงเป็นห้องที่ใช้เรียกประชุมเหล่าขุนนางทั้งหลาย เป็นห้องใหญ่ ๆ มีเสื่อทาทามิปูเต็ม ๆ แล้วก็มีภาพวาดอะไรไม่รู้ใหญ่ ๆ ภาพนึงตรงด้านหลังโชกุนนั่ง นอกจากตัวปราสาทแล้วก็จะมีสวนที่ใหญ่โตและสวยงามให้เดินเล่นด้วย มาที่นี่จะเป็นอะไรที่ดีมากถ้าทางผู้ดูแลจะมีไกด์เป็นภาษาอังกฤษหรือมีบรรยายเป็นภาษาอังกฤษสักหน่อย เฮ้อ

ทางเข้าปราสาท Karamon Gate 

Ninomaru Palace หรือตัววังชั้นใน ไม่มีรูปด้านในนะครับเพราะเค้าห้ามถ่าย

สวนสวย ๆ ของวัง ใหญ่โตมาก

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมชอบสวนญี่ปุ่นมากเลย มันดู สงบ และสวยงามพร้อม ๆ กัน

อันนี้คล้าย ๆ เป็นกำแพงปราสาทเดิม

จำไม่ได้แล้วครับว่าคืออะไร

น่าจะตำหนักของใครสักคนนี่แหละ

กว่าจะเที่ยว Nijo Castle เสร็จเวลาก็ล่วงเลยไปจนตะวันตกดินพอดีครับ พวกเราก็เลยไปเช็คอินพักกันที่โรงแรม Toyoko Inn โรงแรมคู่บุญบารมีนักธุรกิจ และนักเดินทางเบี้ยน้อยหอยน้อยแบบผม ที่มีสาขาอยู่ไม่รู้เกินร้อยสาขารึเปล่าที่ญี่ปุ่น จุดเด่นอย่างนึงของโรงแรมนี้คือจะตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามาก ๆ คือประหนึ่งว่าจองห้องไปก่อนได้เลย ค่อยไปหาสถานีรถไฟเอาว่ามันใกล้สถานีไหน อะไรประมาณนั้น โรงแรมนี้นอกจากจะถูก (แต่ที่เกียวโตแพงกว่าเมืองอื่น -_-') สะอาดได้มาตรฐานญี่ปุ่นแล้ว โรงแรมนี้ยังมีอาหารเช้าโง่ ๆ ไว้คอยบริการลูกค้าด้วย คือถ้าไม่คิดอะไรกะกินฟรี ก็กินได้อ่ะครับ เป็นประมาณข้าวกับผักดองกับซุปและก็ไข่เจียวมั้ง

สาขาที่เกียวโตอยู่ใกล้สถานี Karasuma เดินจากสถานีสัก 3 นาทีได้

Lobby มาตรฐานของเค้า มีอินเตอร์เน็ทให้ใช้ฟรีด้วย

Check-in กันนานตามประสาโรงแรมญี่ปุ่น ตรวจโน่นตรวจนี่เยอะ

ผมเลือกห้องแบบเตียง twin เลยแพงกว่าเดิมอีกนิดนึง

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพอไหว

น่าจะแปะติดผนังนะทีวี

ห้องน้ำเป็นแบบยกมายัดใส่ครับ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเจ๋งอยู่ดี โถส้วมเป็นแบบอัจฉริยะ มีน้ำฉีดก้น, น้ำอุ่น สบู่แชมพูมีให้ครบ แต่เจ้าอ่างแช่น้ำนี่สิ ถ้าจะแช่ต้องนั่งขด ๆ ตัวแช่ครับ

หลังจากพักขากันแปบนึงพวกเราก็มุ่งหน้าหาร้านอาหารกันต่อ โดยเดินไปทาง Kamogawa River (คาโมะ แปลว่าเป็ด คาวะ แปลว่าแม่น้ำ แปลได้ว่าแม่น้ำเป็ดนั่นเอง) เจ้าแม่น้ำเป็ดนี่จะอารมณ์ประมาณแม่น้ำเจ้าพระยาของเกียวโตเค้าครับ ผ่าใจกลางเมืองเลย โดยจุดหมายปลายทางของเราคือย่าน Pontocho ซึ่งเป็นตรอกเล็ก ๆ มีร้านอาหารเรียงรายเต็มไปหมด ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับกะว่าจะไปเลือกร้านแถวนั้นกินเอา แต่พอเดินดูเมนูหน้าร้าน หลาย ๆ ร้านเข้า ก็เริ่มสงสัยขึ้นมาว่า เฮ้ย ทำไมแต่ละร้านมันแพงจัง กินไม่ได้เลยสักกะร้าน และก็มารู้เอาภายหลังว่าตรอก Pontocho นี่คือตรอกหัวแบะครับ คือร้านแต่ละร้านจะแบบคงความขลังแบบญี่ปุ่น ๆ ไว้และอาศัยว่าทำเลดี อยู่ติดแม่น้ำคาโมะ อยู่ในตรอกอันเก่าแก่ก็เลยอัพราคากันแพงหน่อย ซึ่งส่วนใหญ่คนมากินก็จะมากันในโอกาสพิเศษครับ (อันนี้เพื่อนพี่ที่อยู่เกียวโตมานานเค้าว่ามา)

พอเดินจนหมดตรอก พวกเราก็เดิน ๆ มั่ว ๆ ไป มั่ว ๆ มาก็ไปเจอเซลล์ของร้านอาหารร้าน Izakaya ร้านนึงยืนแจกใบปลิวอยู่และบอกว่ามีส่วนลดให้ 10% ทุกอย่าง 380 yen พวกผมก็ปรึกษากันแปบนึงก็ตกลง แล้วน้องเซลล์แสนน่ารักก็พาขึ้นตึกไปชั้น 5 มั้งและเดินลัดเลาะทางเดินแคบ ๆ ไปอีกนิดก็เจอเข้ากับร้าน Sanpoji (รึเปล่า) Izakaya ทุกอย่าง 380 yen! (คือร้านอยู่หลืบมากครับ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมหลาย ๆ ร้านอาหารต้องจ้างเซลล์ไปดึงแขกเข้าร้าน คือถ้าไม่มีเซลล์นี่ชาตินี้ก็คงไม่มีลูกค้าเดินมาเจอเอง) ร้านนี้ก็เป็นร้านสไตล์ Izakaya (ร้านเหล้าญี่ปุ่น) สไตล์โปรดของผม ร้านในดวงใจของผมคือร้าน Kinokura Jr. ที่ผมเคยกินแต่ที่โตเกียว (มีสาขา 40 กว่าสาขาที่โตเกียว) ซึ่งขายทุกอย่าง 270 yen หมดไม่ว่าจะอาหารแบบไหน เครื่องดื่มแบบไหน ก็เลยงงครับว่าเกียวโตเมืองบ้านนอก(กว่าโตเกียว) ทำไมถึงขายแพงกว่า ก็เดา ๆ เอาว่าน่าจะเป็นเพราะ เป็นเมืองท่องเที่ยวก็เลยอัพราคาขึ้นมาอีกนิด อาหารของร้านนี้บอกตรง ๆ ว่าถ้าเทียบกับ Kinokura Jr. 270 yen แล้วสู้ไม่ได้เลยครับทั้งเรื่องรสชาติ, ปริมาณและราคา (คือราคาแพงกว่าแต่ทำไมให้น้อยกว่าก็ไม่รู้) แต่ก็จัดได้ว่าอร่อยแบบ Izakaya อยู่ครับ พอฝากท้องได้

ชื่อร้านครับ เบลอไปหน่อย

โต๊ะแบบญี่ปุ่น หย่อนเท้าลงไป ที่โต๊ะมีรีโมทกดเรียกพนักงานได้ครับ

เมนูญี่ปุ่นล้วน โชคดีมีรูปไม่งั้นคงไปกันไม่เป็น เพราะพนักงานพูดอังกฤษไม่เป็นเลย ฮ่วย

เบียร์สดพี่ยุ่นอร่อยเสมอครับ

จานแรก หนังไก่ทอด เซ็งครับให้น้อยมาก (พ่อผมเริ่มบ่น)

จานต่อมาเริ่มเยอะหน่อย ยากิโซะบะห่อไข่ อร่อยดีครับ

ยากิโทริอีกจาน เริ่มเยอะขึ้นมาอีก เอ๊ะหรือว่าใส่รวม 2 จานนะ

หอยโฮตาเตะ (ตัวเล็ก ๆ) ทอดครับ ก็อร่อยดี

ปลาฮอกเกะย่าง ตัวใหญ่กำลังดีครับ 380 yen เอง

ยากิโซบะกินที่ญี่ปุ่นมักจะอร่อย ซึ่งอันนี้ก็อร่อย

ปลาไข่ตัวฟีบและเล็กไปหน่อย

พอกินกันเสร็จพ่อกับแม่ผมก็ตรงดิ่งกันกลับห้องพักทันที เนื่องจากวันนี้เหนื่อยมาก เดินเยอะมาก แต่ผมกับพี่ยังพอมีแรงอยู่ก็เลยไปเดิน ๆ เล่นในเมืองเกียวโตกันต่อสักพัก แล้วถึงจะกลับโรงแรมครับ วันพรุ่งนี้พวกเราจะยังอยู่ที่เกียวโตกันต่อ และจะไปที่ไหนกันบ้าง ตามอ่านที่ลิงค์นี้ได้เลยครับ

ไม่รู้ว่าตึกนี่คืออะไร ให้เดาน่าจะเป็น ปาจิงโกะ

ย่าน Shopping ที่ส่วนใหญ่เริ่มปิดล่ะ

เกียวโตนี่ห้างใหญ่ ๆ ดัง ๆ หรู ๆ มีครบครับ พอ ๆ กับโอซาก้า, โตเกียวเลย

แม่น้ำคาโมะ หรือแม่น้ำเป็ด ที่ตอนน้ำหลากน่าจะท่วมขึ้นมาถึงแนวกั้นชั้นบน

ตรอก Pontocho แปลว่าตรอกหัวแบะครับ (ล้อเล่นนะครับ ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร) 

เจอคนต่างชาติเยอะมากในตรอกนี้

ราคาโหดไม่กล้าเข้ากันเลยทีเดียว

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 2

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment