Thursday, June 28, 2012

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2





วันที่ 2 ของผมกับการมาเยือนถิ่นคันไซ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2011 ก็ตื่นมาพร้อมกับความสดใสและกระปี้กระเปร่า เนื่องจากเมื่อคืนหลังจากซัดเบียร์ไปประมาณ 3 กระป๋อง และแช่น้ำอุ่น ๆ จนสบายตัวสุด ๆ ก็ลงไปล้มตัวลงนอนตั้งแต่ 4-5 ทุ่มและตื่นมาอีกทีก็ 7 โมงเลย ภารกิจในวันนี้ (วันเสาร์) คือไปยังดินแดนที่เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น เมือง Nara นาระ นั่นเอง การเดินทางจาก Osaka ก็ไม่ยากเย็นครับ ไปขึ้นรถไฟที่สถานี JR Osaka  แล้วก็ไปลงสถานี JR Nara  ก็จะถึงแหล่งท่องเที่ยวของเมืองนาระเลย ใช้เวลาเดินทางแค่ประมาณ 45 นาทีเท่านั้น ก็เลยทำให้คนมักจะไปเที่ยวนาระแบบเช้าเย็นกลับกัน ไม่ค่อยมีใครค้างที่นั่น (ส่วนนึงเพราะโรงแรมที่นาระไม่ค่อยมีด้วย)

วิวอันสดใสยามเช้าจากห้องพักของผม แม่น้ำนั่นคือแม่น้ำ อลูมิโร้ ครับ ใหญ่ดีทีเดียว

อันนี้ย่าน Umeda ตึกไม่ค่อยสูงนะครับเมืองนี้

มองเห็นรางรถไฟด้วย รถไฟหลายรางมาก วิ่งสวนกันสนุกดีครับ

รางรถไฟทอดยาวผ่านแม่น้ำไปเลยล่ะครับ 

ถึง นาระ ใช้เวลาไม่นาน



เมือง Nara ตามที่กล่าวไปตอนต้นครับว่าเป็นเมืองหลวงแรกของโตเกียว สถาปนาตั้งแต่ปีคศ. 710 ซึ่งเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมาก็เพิ่งฉลองครบรอบ 1300 ปีไปเอง เมืองนี้ก็ไม่มีอะไรครับ ทั้งเมืองก็จะมีวัดวาอารามเต็มไปหมด วัดเยอะมาก เยอะจริง ๆ นอกจากวัดก็จะมีสวนสาธารณะ, พระราชวัง และก็กวาง! จำนวนประชากรกวางของที่เมืองนาระมีประมาณ 1,200 ตัว กวางที่นี่จะวิ่งกันให้ขวักไขว่มากบริเวณย่านท่องเที่ยว และสวนสาธารณะที่คนชอบไป Hangout กัน เหตุที่เมืองนี้กวางเยอะก็เพราะว่า คนที่นี่เค้าเชื่อกันว่ากวางเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเทพ Takemikazuchi ที่มาจุติยังเมือง Nara แห่งนี้เดินทางมาโดยกวางสีขาว  กวางของเมืองนี้ก็เลยถูกถือว่าเป็นสัตว์แห่งสวรรค์ คอยปกป้องเมือง

กวางของที่เมือง Nara นี่เป็นอะไรที่ผมชอบจริง ๆ ครับกวางเยอะดีมาก และกวางแต่ละตัวก็น่ารัก ไม่กลัวผู้คนเลย และก็เหมือนกวางที่นี่จะถูกตัดเขาออกหมดแล้ว (ผมไม่เจอตัวมีเขาเลย) ก็เลยทำให้ปลอดภัยต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง แต่แม่ผมเคยมาที่นาระนี่ตอนหน้าร้อนเมื่อปี 2010 แม่บอกว่า มาตอนนั้นแทบจะไม่มีกวางเลย เห็นกวางอยู่แค่ 2-3 ตัวตลอดทั้งวันที่อยู่ในเมือง ประหนึ่งว่ากวางแอบหนีไปพักร้อน แต่วันที่ผมไปนี่กวางเยอะจริง ๆ ครับ กวางเต็มบ้านเต็มเมืองเลย ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะอากาศดีมาก (20 - 25 องศา) ก็ใครที่อยากมาเล่นกับกวางก็แนะนำมาช่วงนี้ก็ดีครับ

ผมไม่รู้นะว่าคนที่มา Nara ไปที่ไหนกันบ้าง แต่ให้เดาว่าทุกคนจะต้องมาที่วัด Todaiji โดยระหว่างทางที่เดินผ่านวัดนี้ก็จะเจอกับวัดและเจดีย์อื่น ๆ อีกพอสมควร ก็เป็นอะไรที่ชิลและฟินดีครับ ผมก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียด, ประวัติ ของวัดและเจดีย์อะไรมากหรอกนะครับ เอาแต่ดูกับถ่ายรูปมาอย่างเดียว


เจดีย์ Kofukuji มั้งครับไม่แน่ใจ

บ้านเรามีศิลาจารึก ที่ญี่ปุ่นเค้าก็มีเหมือนกัน

เมืองโบราณก็มาคู่กับรถเข็นแบบโบราณ ราคาน่าจะโหดมากครับ ผมไม่กล้าขึ้น รวมถึง เค้าบรรยายเป็นญี่ปุ่นด้วยฟังไม่ออก

อ้าว กวางมีเขา ข้างบนผมเขียนมั่วล่ะ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีครับ เด็ก ๆ ไม่กลัวกวางกันเลยล่ะครับ

เดิน ๆ ๆ ครับ ระหว่างทางก็เป็นสวนเขียว ๆ มีน้องกวางมาเล่นกับเรา

กวางเชื่องมากครับ

กินไอศครีมจากมือพ่อผมตุ้ย ๆ กันเลยทีเดียว


หลังจากที่เดินกันได้สักพัก พวกเราก็แวะกันไปกินข้าวกัน โดย แวะกินที่โซน Naramachi เป็นโซน shopping กับร้านอาหารขนาดย่อม ๆ ประจำเมืองเค้าครับ ขนาดของย่านนี้ถือว่าย่อมจริง ๆ คือแบบเทียบเมืองอื่น ๆ ที่ผมไปมาแล้วไม่ได้เลย โดยร้านที่เราฝากท้องมื้อนี้เป็นร้านสไตล์อาหารชุดญี่ปุ่นครับ เมนูอ่านไม่ออกอีกเช่นเคย แต่พนักงานร้านนี้พูดอังกฤษได้ดีมากครับ ดีที่สุดในชีวิตผมที่เคยเจอเลย ก็เลยทำให้การสั่งอาหารสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีอาหารในมื้อนี้ก็อร่อยปานกลางครับ อาหารจะออกแนวญี่ปุ่นจ๋ามาก ๆ คือจะจืด ๆ ไม่ค่อยจัดจ้าน


ทุกร้านจะต้องมีส่วนบาร์ กับ โต๊ะ ผมล่ะอยากให้เมืองไทยมีงี้จัง เพราะหลัง ๆ ผมไปกินข้าวคนเดียวบ่อย

ชุดโซบะกับข้าวหน้าเทมปุระครับ

รสชาติกลาง ๆ

เช่นกัน

เบียร์สดอร่อยเทพเช่นเคย เฮ้อ เห็นแล้วอยากไปกินอีก

โซบะอีกเช่นกัน

แบบน้ำก็มีครับ

อันนี้ผักรวมทอด อร่อยกว่าที่ไทยครับ ร้อนและกรอบ (เมืองไทยจะเย็น ๆ เหนียว ๆ )

ชุดข้าวหน้าไก่ทอด

อร่อยสุดในมื้อนี้ล่ะครับ ไก่นุ่มมาก


หลังจากที่อิ่มกันแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปวัด Todaji Highlight ประจำวันต่อ วัดนี้แปลว่า วัด ตะวันออกอันยิ่งใหญ่ (โท = ตะวันออก, ได = ใหญ่) ซึ่งตอนแรกที่ผมเห็นรูปในไกด์ก็ไม่คิดว่ามันจะยิ่งใหญ่อะไรหรอกครับ แต่พอไปถึงวัดแล้ว โอ้โหมันยิ่งใหญ่จริงอะไรจริง ใหญ่แบบตื่นตะลึงกันเลยทีเดียว ที่วัดโทไดจินี่จะมีพระพุทธรูปทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นด้วย ชื่อว่า Daibutsu (คือที่คามาคูระก็ชื่อนี้ คือมันแปลได้ว่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่น่ะครับ) นอกจากตัวพระพุทธรูปจะใหญ่สุดแล้ว ตัววัดยังเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าภูมิใจของชาวญี่ปุ่นเค้าสุด ๆ เลยล่ะครับ วัดนี้ ใครมา Nara ยังไงก็อยากให้แวะมาครับ ถือว่าคุ้มค่าจริง ๆ



แบบสามล้อบ้านเราน่าจะ work กว่านะครับตัวสารถีจะได้ไม่เหนื่อยมาก

กวางอ้วนถ้วนสมบูรณ์เชื่องกับคนสุด ๆ 

คนไหนมีอาหาร กวางจะพยายามไปรุมตลอดครับ

เป็น World Heritage กันเลยทีเดียว วัด Todaiji

กวางเรียงรายตลอด 2 ข้างทาง

อันนี้แค่ประตูทางเข้าวัดอันแรกสุดครับ ตอนแรกผมเห็นก็นึกว่าเป็นทางเข้าหลักล่ะ ใหญ่โตมาก

ประตูทางเข้าวัดอันที่ 2 อันนี้ดูเหมือนจะเพิ่งบูรณะ สวยกว่าอันแรก

พ่อแม่พาลูกมาเยอะมากครับ คนญี่ปุ่นดูจะชอบพาลูก ๆ เที่ยวกัน ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะถ้าปล่อยอยู่บ้านจะไม่มีคนเลี้ยงก็เป็นได้ (ว่าแต่จอดรถไม่กลัวหายกันเลยใช่มั้ยเนี่ย รถแต่ละคันดูไม่ใช่ถูก ๆ เลยนะครับ)

ถึงล่ะครับวัด Todaiji @ Nara

ตั๋วครับ มีบอกขนาดวัดว่ากว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ค่าเข้ารู้สึกจะ 500 yen มั้ง

วันที่ผมไปคนเยอะมาก พอดีเป็นวันเสาร์ เห็นเพื่อน ๆ ผมไปกันวันธรรมดา ไม่ค่อยมีคน ประมาณว่าตรงนี้โล่งเลย

โบกควันเข้าใส่ตัวเอาฤกษ์เอาชัย ตามสไตล์พี่ยุ่นเค้าครับ

Daibutsu พระพุทธรูปทองแดงที่ใหญ่สุดในญี่ปุ่น

ตัวจริงใหญ่มากครับ นี่ปางห้ามญาติรึเปล่าใครรู้บอกผมด้วย

ในวัดมีรูปปั้นสวย ๆ อีกเต็มเลย

อันนี้เทพอะไรสักอย่างของญี่ปุ่น เห็นบ่อย

อีก 1 องค์ครับ


นอกจากวัดวา อาราม แล้วที่นาราก็จะมีสวนสาธารณะกวาง หรือ Nara Park (Deer Park) กระจายอยู่รอบ ๆ บริเวณแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งก็ตามชื่อครับที่นี่จะเป็นสวนเขียวขจี มีบึงสวย ๆ บ้างในบางพื้นที่และทุกสวนก็จะมี กวางตัวน้อยตัวใหญ่น่ารัก ๆ ให้เราให้อาหารหรือเล่นกับมันอยู่แทบทุกที่ครับ และนอกจากวัดสไตล์พุทธแล้ว ที่นาระก็จะมีวัดสไตล์ ชินโต หรืออะไรสักอย่างซึ่งเป็นนิกายนึงของคนญี่ปุ่นเค้าอ่ะครับ กระจายตัวอยู่เช่นกัน ก็วัดพวกนี้ก็จะต่างจากวัดศาสนาพุทธพอสมควร ก็ถ้าเบื่อ ๆ เดินวัดพุทธก็มาเดินวัดชินโตกันก็ได้ครับ นาระมีวัดให้คุณเดินได้ไม่รู้เบื่อเลย

มีน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่หน้าทางเข้าวัดแทบทุกวัดครับ เอามากิน, ล้างหน้า หรือทำอะไรก็ได้ที่คิดว่าตัวเองจะได้บุญ

ประตูทางเข้าวัด(ศาลเจ้า)นิกาย..ของญี่ปุ่นเค้าครับ

อันนี้ไม่รู้คือไร

ตามข้างทาง

เหล้าญี่ปุ่น เบียร์ญี่ปุ่นเต็มโรงนี่เลยครับ สงสัยเก็บไว้เลี้ยงฉลอง

ส่วนใหญ่จะสีแดง

มีบึง, ทะเลสาบให้พายเรือกันโรแมนติค ๆ ด้วย

น้องกวางไปที่ไหนก็มี กลุ่มนี้ดูเนือย ๆ หรืออิ่มอืดมาแล้วก็ไม่รู้

สวนเค้าสวยครับ สะอาด หญ้าเนียน

ทางขึ้นอีกวัดนึง แต่ไม่ไหวล่ะครับวันนี้เดินเยอะแล้ว

ของฝาก, ของชำร่วยเยอะเหมือนกัน

อันนี้เป็นรูปปั้นหน้าสถานี Kintetsu Nara อีกหนึ่งสถานีใกล้แหล่งท่องเที่ยว

ตึกสถานีครับ รูปเอียงหน่อยนะครับ พอดีเลนไวด์มันเอียงง่าย


หลังจากที่อิ่มหนำกับวัดวาอารามที่นาระแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับไปโอซาก้ากัน โดยคราวนี้ตั้งใจจะไปกินร้านเนื้อย่างที่มีแนะนำในหนังสือไกด์ (อีกแล้ว) ซึ่งอยู่แถว ๆ Namba พวกผมก็เลยนั่งกลับทางสถานี Kintetsu Nara Station กันแทน ร้านเนื้อย่างเป้าหมายคราวนี้ พวกผมหากันเจอนะครับ (เนื่องจากค่อนข้างหาง่าย) แต่พอดีว่าวันนี้วันเสาร์ ลูกค้าก็เลยเยอะ ไปถึงไม่มีโต๊ะ และทางเจ้าของร้านบอกต้องรอ 40 นาที พวกผมก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายกลับกันไปกินแถวสถานี Umeda บ้านเกิด (ชั่วคราว) กันแทน

ทีนี้ผมขอบรรยายถึงสถานีรถไฟ Umeda ซักหน่อย เนื่องจากมีอะไรให้เขียนเยอะเหมือนกันเจ้าสถานีรถไฟที่มีเมืองใต้ดินใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้คือที่สถานี Umeda จะประกอบด้วยสถานีรถไฟ 3 สถานีครับมี Subway Umeda Station , Subway Nishi-Umeda Station  และ Subway Higashi-Umeda Station ซึ่งทั้ง 3 สถานีนี้จะจะโอบอุ้ม ห่อล้อม เมืองใต้ดิน Umeda เอาไว้ และนอกจาก 3 สถานีรถไฟใต้ดินนี่แล้ว ก็จะมีสถานี JR Osaka , Hankyu ที่อยู่ใกล้ ๆ กันอีกด้วย คือจุดนี้เป็นประมาณหัวลำโพงของภาคคันไซอะไรประมาณนั้นก็ว่าได้ ซึ่งเจ้าเมืองใต้ดินนี้ก็จะประกอบด้วยร้านรวงต่าง ๆ มากมาย รวมถึงห้างขนาดใหญ่ที่สร้างเผื่อลงมาเชื่อมกับเมืองใต้ดินนี่ คือเมืองใต้ดินนี่นอกจากจะช่วยเรื่องการใช้ทรัพยากรพื้นที่ให้คุ้มค่าแล้ว ยังเป็นที่หลบฝน, หลบความหนาว, หลบหิมะ ได้เป็นอย่างดี คือผมชอบเจ้าเมืองใต้ดินนี่มากจริง ๆ อยากให้เมืองไทยมีบ้าง เห็นรถไฟใต้ดินเราแต่ละที่ โล่งโจ้ง ๆ ไงไม่รู้

เนื่องจากความใหญ่โตของเมืองใต้ดิน Umeda ทำให้ผมเดินหลงทางอยู่หลายวันมากจนวันสุดท้าย (วันที่ 4 ) ที่อยู่อยู่ละแวกนี้เริ่มคุ้นเคยเส้นทางขึ้นมาหน่อยก็เป็นอันต้องย้ายย่านซะงั้น พวกเราละลานตาไปกับร้านอาหารมากมาย ที่จัดมาครบทุกประเภทอาหาร แค่อาหารญี่ปุ่นอย่างเดียวก็มีไม่รู้กี่ร้อยร้าน ไม่รวมร้านอิตาเลียน, fast food และอื่น ๆ อีกมากมายสุดท้าย พวกเราไปลงเอยกันที่ร้านคล้าย ๆ ร้านอาหารจีนผสมญี่ปุ่นครับ คือเจ้าร้านนี้จะขายอาหารประมาณข้าวเสิร์ฟกับหมูหรือไก่แบบต่าง ๆ ซึ่งร้านนี้เลือกจากการที่เห็นราคาไม่ค่อยแพงและลูกค้าเต็มร้านครับ ซึ่งเรื่องลูกค้าเต็มร้านสำหรับคนญี่ปุ่นนี่ถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดความอร่อยที่ค่อนข้างแม่นยำ (ไม่เหมือนบ้านเรา ไม่รู้จะต่อคิวอะไรกันมากมาย Oishi, MK อะไรพวกนี้ไม่เห็นจะอร่อย) เพราะอาหารมื้อนี้อร่อยประทับใจมากครับ รายละเอียดอาหารรบกวนดูที่คำบรรยายใต้รูปเลยดีกว่า

ปรึกษากันว่าจะไปกินไหนต่อดี

มาลงเอยที่ร้านนี้ครับ ไม่รู้อ่านว่าไร ขายประมาณพวกข้าวคู่กับเนื้อ, หมู อะไรพวกนั้น ไม่เคยกินหรือเห็นมาก่อนครับร้านสไตล์นี้

รายการอาหารของทางร้านครับ ผมไม่รู้เรียกว่าเป็นอาหารสไตล์ไหนเหมือนกัน ราคาไม่ค่อยแพง

ลูกค้าเต็มร้าน

แก้วเบียร์เหมือนเกาหลียังไงไม่ทราบ แก้วเล็ก ๆ หรือว่านี่เป็นร้านสไตล์เกาหลี?

ทุกอย่างพร้อมอยู่บนโต๊ะ ไม่ต้องเรียกพนักงานให้วุ่นวาย

เซ็ทของพี่ผมครับ แฮมเบิร์กหมู โรยด้วยหัวไชเท้าฝอย

อร่อยเยี่ยมครับ

ส่วนอันนี้ของผม ข้าวกับหมูอบราดซอส อารมณ์ประมาณข้าวหมูแดงบ้านเรา แต่หมูจะนุ่ม ๆ กว่าชิ้นใหญ่กว่า

อร่อยมากครับ

เนื่องจากผมไม่อิ่มก็เลยสั่งเจ้านี่มาเพิ่ม เป็นประมาณหมูแผ่นผัดซีอิ๊วกับไข่ดาว อร่อยเยี่ยมอีกเช่นกัน

สรุปวันที่ 2 ของผมกับซีรีย์ตะลุยกินถิ่นอาทิตย์อุทัยปี 2011 ก็จบลงไปด้วยดีอีกวันครับ วันนี้ค่อนข้างเหนื่อย แต่มาได้อาหารมื้อเย็นนี่ช่วยฟื้นพลังเหมือนกันถั่ววิเศษในเรื่อง dragon ball ยังไงยังนั้น วันที่ 3 พวกเราจะไปไหนและไปกินอะไรต่อก็รบกวนตามไปอ่านที่ลิงค์นี้เลยครับ


Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 2


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment