Thursday, June 28, 2012

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1




จากที่เขียนซีรีย์ตระลุยเที่ยว + กิน ญี่ปุ่นช่วงหน้าร้อนไปแล้ว คราวนี้หมุนเวลาเลื่อนมาอีกหน่อยเป็นช่วงต้น ๆ ฤดูใบไม้ร่วงกัน และย้ายสถานที่จาก โตเกียว + เกาะฮอกไกโด มาเป็นย้ายคันไซบนเกาะฮอนชูกันบ้างกับเมืองยอดนิยมของเหล่านักเที่ยว โอซาก้า, เกียวโต, นาระและโกเบ ซีรีย์ของผมงวดนี้อาหารการกินอาจจะไม่ได้หรูหรา ฟู่ฟ่ามาคราวที่แล้วเนื่องจากว่าพ่อกับแม่ผมค่อนข้างจะมัธยัสถ์ (อ่านว่า ขี้เหนียวนิดหน่อย) และก็กินกันได้ไม่ค่อยเยอะเมื่อเทียบกับเพื่อน ๆ ผมเมื่อทริปที่แล้ว แต่ก็ยังคงมีอาหารที่น่าสนใจมาให้ยลให้น้ำลายไหลกันเช่นเคย ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวในซีรีย์นี้จะค่อนข้างเป็นพิมพ์นิยมเล็กน้อยเนื่องจาก คราวนี้ผมอาสาพาที่บ้านเที่ยวเองเลย ซึ่งสถานที่ส่วนใหญ่ก็หามาจาก japan-guide.com นี่แหละครับ อาจจะมีที่ประหลาด ๆ ที่คนไม่ค่อยเที่ยวกันบ้างประปราย ยังไงก็ลองติดตามดูอ่านซีรีย์ "ตะลุยกิน ถิ่นคันไซ ใบไม้ร่วง 2011 กับนายบั๊ม" ของผม กันหน่อยละกันครับ

ทริปนี้ผมเดินทางโดยสายการบิน JAL (คือเหมือนได้ยินข่าวว่าล้มละลายไปแล้ว แต่ทำไมก็ยังเห็นบินอยู่ปร๋อนะครับงงอยู่) โดยบินไปลงที่ KIX หรือ Kansai International Airport สนามบินที่สร้างอยู่บนเกาะเทียมที่มนุษย์ชาวอาทิตย์อุทัยรังสรรค์ขึ้น เที่ยวบินของ JAL ผมจำไฟลท์ไม่ได้ แต่ว่าเป็นไฟลท์ที่ดีทีเดียวครับเพราะออกเดินทางตอนดึก ๆ แล้วก็ไปถึงตอนเช้า ถ้าคนหลับง่าย ๆ ก็คงจะได้หลับมาตื่นนึงกำลังดีพร้อมเที่ยวต่อเลย (บินประมาณ 5.30 ชั่วโมง) แต่พอดีผมมันคนหลับยากก็เลยไม่ค่อยได้นอนเท่าไรแต่พอเครื่องลง พอเหยียบพื้นดินแล้ว แม้จะง่วงแค่ไหน มันก็ต้องสู้ต่อไปแหล่ะครับ (ซึ่งล่าสุดทริปต่างประเทศผมเป็นงี้หมดเลย เหนื่อย ๆ ง่วง ๆ วันแรกเอา)


ไปถึงก็เอากระเป๋าไปฝากพนักงานโรงแรมก่อนครับ แม้ว่าจะยังไม่ให้ check-in แต่ก็ฝากกระเป๋าได้

โรงแรมที่พักงวดนี้ชื่อโรงแรม Hotel Hankyu International โรงแรม 5 ดาวที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าจองมาได้ในราคาคืนละเท่าไร แต่ก็เป็นราคาที่ค่อนข้างประหยัดดีทีเดียว รูปนี้ lobby โรงแรมครับ

หลังจากที่เครื่องบินพาล้อใหญ่ ๆ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่า ๆ กับมนุษย์คนนึงลงบนเกาะ man-made และพวกผมพาตัวเองและกระเป๋าสัมภาระทั้งหลายผ่าน ตม. ออกมาแล้ว เราก็ไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อนั่งเข้าตัวเมืองโอซาก้ากันต่อ ผมไม่แน่ใจว่ามีบริการการเดินทางทางอื่นที่จะพาเข้าตัวเมืองโอซาก้าที่ดีกว่ารถบัสมั้ย แต่จำได้ว่าค่ารถบัสแค่ประมาณ 500 yen (แค่นั้น?) เอง และใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็พาพวกผมไปส่งลงถึงสถานี Umeda สถานีและย่านที่เป็นเหมือนหมอชิดของเมืองโอซาก้า เวลาจะไปยังเมืองอื่น ๆ ในละแวกนี้ หรือละแวกไหนในญี่ปุ่นก็จะต้องผ่านสถานี Umeda (ทุ่งบ๊วย) หรือไม่ก็ Osaka ที่อยู่ติด ๆ กันนี่แหละครับ การหาที่พักแถวนี้ก็ถือว่าเป็นชัยภูมิที่ดีมากต่อการเดินทางไปที่ต่าง ๆ

ที่โอซาก้านี่ผมก็ไม่รู้จักเขตต่าง ๆ หรือแผนที่ดีเท่าไร แต่หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ประมาณ 7 วันก็เลยแบ่งพื้นที่ได้เป็นคร่าว ๆ คือ ย่าน Umeda ที่ผมลงจะเป็นย่านตอนบนของเขต โอซาก้าตอนใน มีสถานีรถไฟอยู่หลายสถานี เวลาจะเดินทางไปเมืองอื่น ๆ ก็ต้องมาขึ้นที่สถานี Osaka ซึ่งอยู่ในย่าน Umeda นี้ ดังนั้นถ้าใครจะอาศัย Osaka เป็นศูนย์กลางในการเดินทางไปเมืองอื่น ๆ ในละแวกนี้ ไม่ว่าจะโกเบ, เกียวโต (น่าจะยกเว้น นาระที่จะอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ ๆ หน่อย) หรือ โตเกียว ย่าน Umeda นี่ก็เป็นย่านที่น่าสนใจไม่น้อยที่จะใช้เป็นที่ซุกหัวนอนเลยล่ะครับ

โรงแรมที่ผมจองเอาไว้ Hotel Hankyu International ก็เป็นโรงแรมที่ทำเลดีมาก ๆ (เหตุผลที่เลือกโรงแรมนี้ก็เพราะสิ่งนี้แหละ) คือเดินจากสถานีรถไฟ Umeda แค่ 5 นาทีเท่านั้น โอเค อาจจะมีโรงแรมที่แบบอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลย แต่เดิน 1 นาทีกับเดิน 5 นาทีมันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอกว่ามั้ยครับ ซึ่งส่วนใหญ่พวกโรงแรมติดสถานีรถไฟมักจะชาร์จราคาโอเวอร์กว่าอยู่แล้ว พอฝากกระเป๋าเสร็จพวกเราก็เดินทางไปปราสาทโอซาก้าก่อนเลย เนื่องจากน่าจะลงตัวกลับมา check-in ตอนบ่ายได้พอดี


ประตูปราสาทโอซาก้า

ตอนที่ไปใบไม้แค่เริ่มเปลี่ยนสีครับ เสียดายจัง ไม่งั้นน่าจะสวยกว่านี้

ข้ามคูน้ำไปก่อน

ปราสาทโอซาก้าแบบบวม ๆ ด้วยเลนส์ไวด์

ค่าเข้าคนละ 600 yen ค่าเข้าพวกสถานที่ท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นนี่แพงมากครับ ราคามาตรฐานก็อยู่ที่ประมาณนี้ 600 - 1000 yen โดยประมาณ 

ด้านในปราสาทจะเป็นพิพิทธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปราสาท และสงครามของโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ เจ้าของปราสาท

ขึ้นไปชั้นบนสุดก็จะประมาณตึก 7 ชั้นมองเห็นวิวสวย ๆ

ปราสาทด้านหน้าบ้าง ของจริงสวยครับ

ปืนใหญ่สมัยก่อน คล้าย ๆ ปืนใหญ่บ้านเราว่ามั้ยครับ?

มีหลายคนมาตกปลาที่คูเมืองครับ ไม่รู้ตกได้รึเปล่า แต่มากันเยอะก็น่าจะได้นะ


ปราสาทโอซาก้าก็ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถ้ามาโอซาก้าแล้วก็ควรจะแวะไปเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอยู่ใกล้เขตตัวเมือง และปราสาทก็สวยงามดี มีอะไรนอกจากปราสาทพอสมควร การเดินทางจากสถานี Umeda ของผมก็เดินทางไปแค่ 3 ป้ายรถไฟแค่นั้นก็ถึงแล้ว  (จำชื่อป้ายที่ลงไม่ได้) ปราสาทโอซาก้าจะตั้งตัวเองอยู่ที่ใจกลางสวนสาธารณะโอซาก้า (Osaka-jo Koen) ซึ่งไม่ว่าจะลงสถานีรถไฟป้ายไหน ก็จะต้องใช้เวลาเดินประมาณ 20 นาทีถึงจะไปถึงตัวปราสาททั้งหมด ซึ่งถ้ามาช่วงอากาศชิล ๆ แบบที่ผมไปก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดีมากครับ เนื่องจากสวนสาธารณะเค้าค่อนข้างสวย และมีชาวญี่ปุ่นมาทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะตกปลา, วิ่งเล่น, เล่นกีฬา และที่สวนจะมีลานกิจกรรมขนาดใหญ่ด้วย ตอนผมไปเหมือนจะจัดเป็นซุ้ม ๆ คล้าย ๆ งานวัดอะไรสักอย่างอยู่ แต่พอดี เป็นซุ้มที่ค่อนข้างทรหดมากคือไม่มีที่บังแดดเลย แม้อากาศจะชิลแค่ไหน แต่แดดแรง ๆ ผมกลัวครับ!

ขอเล่าถึงประวัติปราสาทโอซาก้าคร่าว ๆ ครับ คือหลังจากที่ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ได้ปราบไดเมียวคนอื่นจนเกลี้ยงและสถาปนาตัวเองเป็นใหญ่ในปฐพีแล้ว ก็ต้องมีการสร้างสิ่งก่อสร้างบางอย่างเพื่อเฉลิมฉลองสักหน่อย ซึ่งก็คือเจ้าปราสาทโอซาก้าแห่งนี้นี่เอง แต่หลังจากที่สร้างเสร็จได้ไม่นานและตัวเองตายลงไป ลูกของเขา โทโยโทมิ อะไรสักอย่าง ก็มาโดน โตกุกาว่า อิเอยาสึ สหายเก่าแต่ศัตรูปัจจุบัน ณ ตอนนั้นบุกโจมตีปราสาทและเผาปราสาทซะเหี้ยนลงไป (ภายหลัง โตกุกาว่า ได้สถาปนาตัวเองเป็นโชกุนคนแรก และตระกูลของเขาปกครองญี่ปุ่นอยู่นานกว่า 400 ปี) ปราสาทเคยถูกบูรณะขึ้นมาทีนึงแต่ก็มาถึงฟ้าผ่าไหม้ วอดวายไปอีก จนเที่ยวล่าสุด ทางเทศบาลเมืองโอซาก้า เรี่ยไรเงินผู้คนมาสร้างปราสาทใหม่อีกครั้ง และปราสาทก็ตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน ภายนอกปราสาทแน่นอว่าดูเป็นปราสาทสมัยก่อน แต่ด้านในก็จะเป็นตึกรามแบบสมัยใหม่หมดเลยครับ

พอดื่มด่ำกับปราสาทโอซาก้ากันพอเป็นพิธีพวกเราก็เดินทางกลับไปยังสถานี Umeda บ้านเกิด(ชั่วคราว) ของเราต่อ ที่ญี่ปุ่นนี่บริเวณรอบ ๆ สถานีรถไฟจะเต็มไปด้วยร้านอาหารและของกินน่าเจี๊ยะมากมายส่งกลิ่นเย้ายวนผู้คนที่ต้องเดินทางผ่านร้านเหล่านั้นเป็นประจำทุกวัน ซึ่งพวกผมก็ตกเป็นเหยื่อของการยั่วยวนในครั้งนี้ด้วย จริง ๆ แล้วตอนแรกผมตั้งเป้าว่าจะไปร้าน ๆ นึง (จำไม่ได้แล้วว่าเป็นร้านอะไร) โดยได้ข้อมูลจากหนังสือไกด์บุ๊คเล่มนึง ซึ่งเขียนได้น่าไปมาก ๆ แต่หลังจากพยายามหาอยู่เกือบชั่วโมง ก็ต้องยอมแพ้เพราะหาไม่เจอจริง ๆ อย่างแรกคือเพราะเรื่องภาษา (อ่านไม่ออก) อย่างที่สองคือ ย่าน Umeda นี่เป็นย่านที่ช่างซับซ้อนและยิ่งใหญ่อลังการมาก ๆ ขนาดผมอยู่ย่านนี้ 4 วัน ก็ยังคงงง ๆ ทางจนถึงวันสุดท้าย ดังนั้นใครที่เล็งร้านอะไรมา แนะนำให้อย่าคาดหวังว่าจะหาเจอไว้ก่อนจะดีครับ (เดี๋ยวรายละเอียดเกี่ยวกับบริเวณสถานีรถไฟ Umeda นี่เดี๋ยวผมเขียนต่อในตอนต่อไป วันพรุ่งนี้)

หลังจากที่หมดหวังกับการตามหาร้าน พวกเราก็ไปลงเอยกันที่ร้าน Mangueira ซึ่งก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันคือร้านอะไร เด่นดังแค่ไหน แต่พอดีเห็นคำว่า Since 1991 ซึ่งก็ถือว่าเก่าแก่อยู่ ก็เลยคิดว่า ลองสักหน่อยก็คงไม่เสียหาย อาหารของร้านนี้ก็คล้าย ๆ อาหารญี่ปุ่น fusion กับอาหารอิตาลีครับ ผมบอกไม่ค่อยถูกเหมือนกันแต่ร้านนี้จะเน้นมะเขือเทศ ๆ หน่อยคือมีซอสมะเขือเทศ, ซุปมะเขือเทศเยอะ ซึ่งโดยรวมรสชาติก็ถือว่าอร่อยดีทีเดียวครับ แต่แบบสั่งไม่ค่อยเป็น อ่านไม่ค่อยออกก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าที่สั่งไปคืออะไร และไม่ได้สั่งไอ้ที่อยากกินจริง ๆ ดูรูปประกอบเอาละกันครับ

หน้าร้าน ร้านอยู่ตรงบริเวณสถานี Umeda เลยครับ

น้ำเปล่าฟรี เติมเอง ที่ญี่ปุ่น น้ำเปล่าฟรีหมดทุกร้านครับ

อันนี้ก็สลัดฟรี

ราเมนซุปมะเขือเทศมั้งครับจำไม่ค่อยได้ อร่อยดี

แฮมเบิร์กซอสมะเขือเทศอร่อยอีกเช่นกัน

แฮมเบิร์กโรยด้วยหัวหอมซอย ก็อร่อยอีกอ่ะ

ข้าวที่ญี่ปุ่นไม่ผิดหวังอยู่แล้วครับ แต่จะว่าไปผมก็เพิ่งจะเคยกินข้าวกับแฮมเบิร์คนี่แหละ ก็เป็นอะไรที่ลงตัวดีเหมือนกัน


พอกินกันอิ่มพอเป็นพิธี เป็นเวลาบ่าย 2 พอดี พวกเราก็เลยเดินไปเช็คอินเข้าโรงแรมกันต่อแม้ว่าโรงแรม Hotel Hankyu International ที่ผมพักจะเป็นโรงแรม 5 ดาวแต่ว่าพนักงานของโรงแรมนี้ก็ยังคงพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้อยู่ดี แต่ก็ยังดีกว่าพวก Business Hotel ทั่วไปครับ ห้องพักของโรงแรมก็สมกับเป็นโรงแรม 5 ดาวจริง ๆ ใหญ่โตจนผมไม่คิดว่าเป็นโรงแรมที่ญี่ปุ่น และเมื่อคิดว่าเป็นโรงแรมของญี่ปุ่นแล้ว แน่นอน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและอะไรต่าง ๆ นา ๆ นั้นต้องสุดยอดแน่ โรงแรมนี้ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 ก็เอาไป 10 เลยละกันครับ (ผมเลือกโรงแรมนี้จาก booking.com รู้สึกจะได้คะแนนรีวิว 9.X นี่แหละครับ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ผมเลือกเช่นกัน) ใครที่จะมาโอซาก้าและมาแถว Umeda ผมขอแนะนำโรงแรมนี้เลยครับ เด็ดมาก

Lobby โรงแรมครับสวยงามอลังการ

ห้องนอนใหญ่โตมากถ้าคิดว่าเป็นโรงแรมญี่ปุ่น 40 ตร.ม. หรืออะไรประมาณนั้น เตียงเป็น queen size แบบคู่

ตู้เก็บเสื้อผ้าขนาดใหญ่ 2 ตู้ด้านในมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ครบครันจริง ๆ

ห้องน้ำก็สุดยอดไม่แพ้กัน ผมนอนแช่ไปคืนนึงสบายมาก

ตู้กระจกของที่นี่เข้าใจคิดมากคือยาวขึ้นไปสุดเพดานเลย ทำให้เวลาอาบน้ำร้อนแล้วไม่มีไอน้ำไปเกาะกระจก

ทีวีเล็กไปหน่อย แต่ก็พอไหวครับ

โซฟาที่ผมนั่งจิบเบียร์ กินซูชิและซาซิมิพร้อมมองวิวอันสวยงามในตอนค่ำและเช้า

วิวสวยมากครับ แทบจะเป็นตึกที่สูงที่สุดในละแวกนี้

มีเครื่องฟอกอากาศอย่างหรูด้วย แต่ถึงไม่ฟอก ผมว่าอากาศก็สะอาดอยู่แล้วนะ

หลังจากที่เก็บข้าวของเสร็จ พวกผมก็สลบเป็นตายกันไป 3-4 ชั่วโมง เนื่องจากเมื่อคืนบนเครื่องบินแทบไม่มีใครได้นอนกันเลย และพอตื่นมาก็เป็นเวลาร่วม ๆ หกโมงพอดี เวลาเจี๊ยะพอดี ร้านที่พวกเราต้องเป้าไว้คือร้าน เส้นทางความสุขจากปู หรือ Kani Doraku ร้านปูขยับได้ประจำเมืองโอซาก้า ร้านนี้ผมรู้สึกว่าจะมีอยู่หลายสาขา แต่ร้านต้นตำรับนั้นจะอยู่ที่ย้าย Dotonbori ย่านที่เป็นย่านแสงสีประจำเมือง (ป้ายไฟกูลิโกะอันโด่งดัง) พวกเราก็เลยจะไปกินที่ร้านตรงสาขานี้เอา ร้านหาไม่ยากครับ อยู่ติดกับคลองที่ผ่ากลางย่าน Dotonbori แห่งนี้เลย ซึ่งสิ่งที่ทำห้ผมหาร้านนี้เจอ ก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกซะจากเจ้าปูยักษ์ขยับได้นี่แหละครับ เพราะมันเด่นจริงอะไรจริง

ร้าน Kani Doraku นี่เป็นร้านที่ใหญ๋มาก (แค่ที่ Dotonbori ก็มี 3 สาขาแล้วมั้งครับ) สาขาที่ผมไปมีถึง 7 ชั้นแต่ละชั้นก็มีที่นั่งต่างกันออกไป ชั้นที่ผมได้นั่งจะเป็นชั้น 5 หรือ 6 นี่แหละและเป็นที่นั่งแบบญี่ปุ่น อาหารของทางร้านนี้ ไม่น่าเชื่อจริง ๆ ครับว่าทุกอย่างจะทำมาจากปูเท่านั้น! (คือเกิดมาก็ไม่คิดว่าปูมันจะทำอะไรได้หลากหลายขนาดนี้) โดยปูของร้านนี้ก็คงจะมีให้เลือกครบ 4 พันธุ์ปูญี่ปุ่น แต่พอดีผมอ่านไม่ออก ว่าอะไรเป็นอะไร ใช้วิธีจิ้ม ๆ สั่งเอา รสชาติอาหารของร้านนี้แน่นอนว่าต้องเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ผมคาดหวังเอาไว้ (คือคาดหวังเอาไว้ว่าเทพมาก) และอาหารหลาย ๆ อย่างก็เป็นอะไรที่ไม่เคยกิน ยังไงก็ลองดูรูปพร้อมคำบรรยายเลยครับ อ้อ พนักงานร้านนี้พอพูดอังกฤษได้บ้างครับ

พอกินเสร็จ พวกเราก็เดินเล่นแถว ๆ Namba, Dotonbori กันแป๊บนึง แวะซื้อของกินเพิ่มเติม เดินดูของโน่นนี่ แล้วก็กลับโรงแรมไปสลบกันต่อครับ ติดตามอ่านวันที่ 2 ต่อได้ตามลิงค์นี้เลยครับ

สัญลักษณ์อันแสนจะโดดเด่น จริง ๆ อยากปีนขึ้นไปถ่ายด้วยมากครับ น่ารักมาก

ปูสด ๆ หน้าร้าน ไม่รู้พันธุ์อะไรบ้างเหมือนกัน แต่ตัวใหญ่ดีครับ

เมนูอาหารบางส่วน ราคาจัดได้ว่าแพงอยู่ถ้าคิดเป็นเงินไทย แต่ถ้าคิดเป็นค่าครองชีพญี่ปุ่น ก็จัดอยู่ในระดับ กลาง ๆ ตอนบน

โอ้วพระเจ้า เบียร์สดแก้วแรก ณ ญี่ปุ่น นุ่ม ลึก ละมุนละไม มากกกก

ซาซิมิปูครับ เนื้อสดหวานอร่อย (แต่ ยังไงปูเนื้อ, ปูไข่ บ้านเราถ้าเอาสดจริง ๆ ผมว่าก็อร่อยกว่าอยู่ดีนะ)

อันนี้ ไข่ตุ๋นปู่ 

น้ำจิ้มสำหรับปิ้งย่างครับ รสชาติไม่ถูกปากคนไทย (พวกผม 4 คน)

ปิ้ง ๆ เข้าไป

ซูชิหน้ามันปู เคยกินแต่แบบเป็นถ้วยใส่มาที่ Midori Sushi ร้านนี้จัดมาเป็น Kunkan Maki หรือซูชิเรือรบเลย ก็อร่อยดีครับ

ซูชิ ๆ อันนี้ไม่ค่อยอร่อย

เทมปุระ แบบเศษ ๆ

เนื้อปูสำหรับชาบู ๆ ๆ

ชาบูครับ อร่อยดีครับ

แบบ Maki ก็มี เรียกได้ว่า พี่แกเอาปูไปทำทุกอย่างที่จะทำได้จริง ๆ

ค่าเสียหายถือว่าแพงอยู่เพราะว่าไม่ค่อยอิ่มเท่าไร

นั่งรถไฟใต้ดินกลับ ผมรู้สึกว่าที่ Osaka นี่คนไม่ค่อยเยอะครับ ขึ้นรถไฟสบายกว่าโตเกียวมาก

กินปูมาไม่ค่อยอิ่มท้องก็เลยแวะซื้อซูชิกับ เบียร์ Yebisu กระป๋องทองสุดแพงกินซักหน่อย ค่อยนอนหลับสบายหน่อยครับ อ้อ ซูชิตามร้านสะดวกซื้อ , Super ที่ญี่ปุ่นนี่คุณภาพเค้าดีนะครับ ระดับร้านญี่ปุ่น Mainstream บ้านเราเลย ใครเห็นอันไหนราคาโดนใจก็ซื้อได้เลยครับ อร่อยชัวร์

Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 1
Japan Autumn Trip 2011 by BumRes.com - Day 7 & 8 Part 2

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment