Saturday, June 29, 2013

Giorgio's Royal Orchid Sheraton Review -checked

Giorgio's - Italian Restaurant at Royal Orchid Sheraton Review - all you can eat & buffet

จิออร์จิโอ้ - ร้านอาหารอิตาเลียน บุฟเฟ่ต์ โรงแรม รอยัล ออร์คิด เชอราตัน ริมแม่น้ำ พิซซ่า




Overall Score  8.5/10
Taste   4/5
Ambiance  4/5
Service  5/5
Value   4.5/5

Giorgio's - Royal Orchid Sheraton : Italian Restaurant on BumRes.com (For more pictures, menu and info)



รีวิวห้องอาหาร Giorgio's ณ โรงแรม Royal Orchid Sheraton แห่งนี้ ก็เป็นครั้งที่ 2 ของผมล่ะ ครั้งแรกที่มารู้สึกจะประมาณ สัก 2-3 ปีที่แล้ว ซึ่งครั้งนี้กับห้องอาหารอิตาเลียนในโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพแห่งนี้ (เปิดมา 30 กว่าปี) เมื่อเทียบกับครั้งนั้น ทุก ๆ อย่างก็เหมือนว่าจะยังเหมือนเดิมทุกประการอยู่ ไม่ว่าจะบรรยากาศของทางร้านที่ตกแต่งเป็นสไตล์ยุโรป ๆ ยุค เรเนซองส์ (รึเปล่า?) สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และก็ตัวที่นั่งที่จะแบ่งเป็น 2 zone ด้านนอก ส่วน terrace ที่จะมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมมีลมโกรกตลอดเวลา เย็นสบาย ๆ (ไม่รู้เหมือนกันนะครับ ทำไมบางโรงแรมส่วนติดแม่น้ำนี่ก็ลมโกรกตลอด บางที่ก็ไม่มีลมพัดเลย) และส่วนด้านในที่หรูหรา ได้มาตรฐานห้องอาหารในโรงแรม 5 ดาว ส่วนการบริการก็ไร้ที่ติ เช่นเคย

สิ่งที่แตกต่างในมื้อนี้กับมื้อนั้นคือ มื้อนั้นจะเป็น a la carte เพียว ๆ ส่วนมื้อที่ผมกินนี่จะเป็น buffet แทน ซึ่งที่ห้องอาหารนี้ ตัวเชฟใหญ่ประจำห้อง เพิ่งจะเปลี่ยนตัวไปเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ตัวเมนูอาหารของห้อง Giorgio's ก็เลยมีการปรับเปลี่ยนใหม่หมดเลย และจะแบ่งเป็น เมนูอิตาเลียนยุคเก่า และ ยุคใหม่ เคียงคู่ไปกับ พิซซ่าอีกหลายสิบหน้าให้เลือกสรรค์ ส่วนตัวเมนู buffet ที่ผมได้ลองนั้น ก็จะเป็น ราคา 650 บาท สุทธิ ไม่รวมเครื่องดื่ม และสามารถ เลือกตัว Main Dish ได้ 1 อย่างจาก 7 อย่าง ซึ่งก็จะมีทั้งพาสต้า, เสต็ก, ปลา ให้เลือก (อาหารจานหลักสไตล์อิตาเลียนทั่ว ๆ ไปนั่นเอง) ส่วนที่เป็นบุฟเฟ่ต์นั้นก็จะคือตัวไลน์บุฟเฟ่ต์ที่เราสามารถตักได้เอง เติมได้ตลอดตั้งแต่เวลาร้านเปิดจนปิดหรือ 18.00 - 22.00 นั่นเอง ในไลน์ก็จะมี อาหารอิตาเลียนค่อนข้างครบครัน ทั้งพวก cold cut, appetizer เย็น ๆ , cold seafood, cheese และก็ของหวานอีกประมาณ 10 กว่าอย่าง คือแบบ ครบอ่ะครับ และยิิ่งถ้าเอาไปรวมกับการได้ Main Course เจ๋ง ๆ อีก 1 จานในราคาแค่ 650 บาทสุทธิแล้วล่ะก็ ราคานี้ น่าจะไม่มีห้องอาหารอิตาเลียนในโรงแรมแห่งไหนจะ offer ให้ได้เลยนะเนี่ย








มื้อนี้เริ่มกันที่เครื่องดื่มก่อน

  • Caipiroska (Vodka, Brown Sugar, Lime and Mine leaves - 280 บาท) - อันนี้หน้าตาคล้าย ๆ Mojito มากครับ แต่ว่าจะแรงกว่าหน่อย เปรี้ยวกว่าหน่อย และก็หวานกว่านิดนึง ซึ่งก็อร่อยดี อร่อยกว่า Mojito อีกแก้วที่สั่งมาในมื้อนี้ 
  • Sheraton Delight (Rum, Galliano, mango, lime and pineapple juice - 280 บาท) : แก้วนี้เหมือนจะเป็น signature cocktail ของทางร้าน แก้วที่ใส่ก็เป็นแก้วทรงพิเศษ เพิ่มความแปลกใหม่เข้าไปใหญ่  แต่ว่ารสชาติ ผมกับเพื่อนกลับไม่ชอบกันสักเท่าไรครับ มันแบบอ่อนไป หวานนำเยอะเกิน ดูไม่ค่อยเหมือนกิน cocktail ยังไงยังงั้นเลย
  • Mojito (Light rum, lime juice, lime wedge, mint sprig and topped with soda - 280 บาท) : อันนี้มาตรฐานครับ ไม่มีอะไรมากมาย




ส่วนอาหารนั้นก็จะมี ที่เลือกมาจากใน buffet 4 จานและก็ที่สั่ง เพิ่มเติมจากในเมนูอีก 1 จาน ก่อนจะเข้าตัว main dish ก็ขอพูดถึงตัว line อาหารก่อนละกัน ผมได้กินตัว cold cut กับ cold seafood 2 อย่างนี้อร่อยดี กุ้งสด เนื้ออร่อย ไม่ได้เค็มมาก | Caesar Salad ทางพนักงานจะปรุงให้สด ๆ จานต่อจาน เหมือนตามไลน์บุฟเฟ่ต์ดี ๆ ของที่อื่น ซึ่งส่วนใหญ่ที่ทำแบบนี้ก็จะอร่อยหมด ของ Giorgio's - Royal Orchid Sheraton แห่งนี้ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันครับ | พวก appetizer จานเล็ก ๆ อย่างอื่นก็กินดี กินเพลิน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับอร่อยจนอยากจะไปหยิบมาซ้ำอะไรแบบนี้

  • Risotto marinara con capperi (Risotto with seafood and capers) : อร่อยใช้ได้เลยครับ ตัวหอยตลับที่ให้มาก็ตัวใหญ่และเนื้อเยอะ risotto ทำมาไม่ได้เละมาก ไม่ได้เป็นน้ำมาก เป็นสไตล์ที่ผมชอบ ๆ พอดี ช่วงหลังรู้สึกกิน risotto ของหลาย ๆ ร้านจะ fail เกือบหมด เพิ่งจะมีจานนี้ที่รู้สึกว่ากลับมาได้มาตรฐานที่ควรจะเป็น 




  • Cannelloni di ricotta e spinaci (Homemade cannelloni with ricotta cheese and spinach) : อันนี้เป็นพาสต้าที่แปลก ๆ หน่อย และก็เป็น vegetarian ด้วย เป็นแป้งพาสต้าห่อม้วนยัดไส้ชีสและผักโขมมา คล้าย ๆ ปอเปี๊ยะบ้านเรา แต่ว่าจะต่างตรงที่แป้งจะนุ่ม ๆ และผักโขมกับชีสก็ให้มาเยอะ อัดแน่นเต็มไส้ใน และก็มีราดซอสมะเขือเทศมาเพิ่มด้วย 
  • Tocchetti di Pesce neve con caponata di melanzane (Pan fried snow fish with eggplant caponata) : จานนี้อร่อยมาก ๆ ครับ อร่อยประทับใจ จนไม่คิดว่าจะเป็นอาหารในบุฟเฟ่ต์ไปได้ ตัวปลาหิมะ เนื้อนุ่ม เนียน อร่อย ปรุงรสชาติมาดี หอม ๆ เนย กับไวน์ ส่วนตัว caponata มะเขือม่วงที่ให้มาด้วยกันก็รสชาติดี กินเปล่า ๆ ก็ได้ กินคู่กับเนื้อปลา เพิ่มรสชาติให้อร่อยกว่าเดิมก็ได้




  • Filetto di manzo con verdure alla griglia e salsa tartufata (Grilled beef tenderloin with black truffle sauce and grilled vegetables) : เนื้อสันในก้อนนี้ก็นุ่มครับ อร่อยมาก มาแบบ medium rare พอดีเป๊ะ แต่เหมือนกับว่าเนื้อไม่ได้ใช้เนื้อคุณภาพดีสักเท่าไร คือการปรุง การย่าง นั้นค่อนข้างจะไม่มีปัญหา มาติดตรงที่คุณภาพเนื้อนะเท่าที่สังเกต ส่วนตัวซอส, ผักย่างที่ให้มาด้วยกันในจานก็โอเคเลย
  • Spezzatino Di Manzo Con Patate E Piselli (Stewed beef with white wine, potatoes and green pea puree - 800 บาท) : เป็นจาน a la carte หนึ่งเดียวในมื้อนี้ และเป็นจาน signature dish ของทางร้าน จานนี้ผมชอบสุดในมื้อล่ะ แก้มวัวแบบอร่อยมาก ๆ นุ่มละมุนละลายในปาก และตัวซอสไวน์ขาวที่ใส่มาด้วยกันก็ช่วยเพิ่มความอร่อย + ความหอมเข้าไปอีก ตัวผักที่ให้มาด้วยกันก็แบบช่วยตัดรสดี จานนี้กินแล้ว ฟิน (เฟง) ครับ ชอบมาก



มื้อนี้ปิดท้ายด้วยของหวานหลากหลายชนิดที่มีให้ตักประมาณ 10 กว่าแบบ มี macaron, เค้ก, creme brulee, ไอศครีม, ผลไม้, tiramisu และอะไรอื่น ๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดนี้ รสชาติไม่ได้โดดเด่น อร่อยอะไรมากมาย แต่ก็อยู่ในระดับที่กินได้เพลิน ๆ เติมเต็มกระเพาะ ปิดท้ายมื้อด้วยของหวานได้อย่างสวยงาม

สรุป ร้านอาหารอิตาเลียน Giorgio's ณ โรงแรม Royal Orchid Sheraton แห่งนี้ก็ยังคงความเลอเลิศเอาไว้ได้อย่างไม่เสื่อมคลายครับ การบริการ, บรรยากาศ และรสชาติอาหารทำได้ดีหมด และตอนนี้ก็เพิ่มความคุ้มค่าเพิ่มเติมเข้าไปอีก กับ เมนู buffet 650 บาทสุทธิ นี้ ใครที่อยากจะกินอาหารอิตาเลียนดี ๆ สักมื้อ พร้อมองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ครบครัน ร้านนี้ น่าจะคุ้มค่า คุ้มราคาโดนใจมากเลยล่ะครับ















--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment