Wednesday, October 31, 2012

Japan Early Fall Trip 2012 - Part 2 - Hiroshima & Miyajima

Japan Fukuoka - Hiroshima - Kansai Fall 2012 Trip Part 2 - Hiroshima & Miyajima

หลังจาก Part ที่แล้วที่ผมกิน Sushi แบบไม่ค่อยอิ่มเท่าไร แต่กระเป๋าเบาลงไปเยอะเสร็จปุ๊บ ผมกับแม่ก็กลับโรงแรมทันที เพราะดึกล่ะ ที่ Hiroshima นี่ก็เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์อีกอย่างนึงคือ เขาจะมีรถรางเป็นรถสาธารณะประจำเมืองครับ (ไม่มีรถไฟใต้ดินมั้งนะ) แล้วเจ้ารถรางนี่ก็จะเก็บเงินแค่ 150 yen ไม่ว่าจะขึ้นป้ายไหนลงป้ายไหน เป็นราคาเหมา ผมก็ใช้บริการมันบ่อยอยู่เหมือนกันเพราะสะดวกดี ขึ้นหน้าสถานี Hiroshima เข้ามายัง Downtown ได้เลย แต่แบบมันก็แอบมีเซ็งอยู่ตรงที่ ป้ายซอยถี่มากครับ คือสมมติป้ายรถไฟป้ายนึง ป้ายเจ้ารถรางนี่ก็มีสัก 5 ป้ายล่ะครับ ซอยยิบขนาดนั้นเลย แต่ด้วยราคาที่แสนประหยัด ทำให้แทบทุกเที่ยวที่ผมขึ้น คนเต็มแทบทุกเที่ยวเลยครับ

สถานีปลายทางก่อนไปขึ้นเรือ Ferry

ฟ้าขมุกขมัวเล็กน้อยครับวันนี้แต่ฝนไม่ตกนะ

ขึ้นเรือ ๆ ๆ

เรือก็เป็นเรือ Ferry ลำไม่ใหญ่มาก 

ถึงเกาะแล้ว ในรูปน่าจะเป็น Ryokan  ประจำเกาะที่ราคาแสนแพงที่ผมเช็คมาก

ไปถึงก็เจอกวางน้อยมาต้อนรับเลยครับ

กวางส่วนใหญ่จะเรียบร้อยแต่บางตัวก็ดุดัน อยากจะกินอาหารให้ได้เหลือเกิน


เดินจากท่าเรือไปยังย่าน Shopping กับร้านอาหารครับ

อันนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่ง  Ryokan ประจำเกาะ

ร้านรวงมีเยอะมากครับที่เกาะ Miyajima นี่





Spetula ชื่อไทยว่าอะไรจำไม่ได้ล่ะ ที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ




เช้าวันต่อมา โปรแกรมวันนี้ก็ต้องเดินทางกันแต่เช้าอีกแล้วเนื่องจากมีโปรแกรมไปยัง Miyajima เกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งประเทศญี่ปุ่นเขา การเดินทางนั้นก็เดินทางสะดวกครับผมมี Sanyo Pass  อยู่แล้วก็นั่งจากสถานีรถไฟ Hiroshima ไปยังสถานี Miyajimaguchi แบบฟรี ๆ ได้เลย (guchi แปลว่าปากทางเข้า) พอไปถึงก็เดินไปอีกนิดเพื่อไปขึ้นเรือข้ามไปเกาะ Miyajima ต่อ โดยเรือก็จะมีทั้งเรือ JR และเรือของเอกชน ผมก็นั่งของ JR เพราะว่ามันรวมอยู่ในตั๋ว Sanyo Pass ของผมอยู่แล้ว รอบของเรือก็มีทุก ๆ 30 นาทีมั้งครับ สะดวกสบายดีแท้

พอไปถึงท่าเรือ ก็เจอกับย่านร้านรวงและร้านอาหารต้อนรับผมและนักท่องเที่ยวกันเป็นแนวยาวเลย แบบยาวจริง ๆ ครับ น่าจะประมาณ 3 block ถนนได้แต่ละร้านนี่ก็งัดเอากลยุทธ์, สินค้ามาโชว์กันเต็มที่แต่ร้านอาหารพวกนี้ไม่ได้แอ้มผมหรอกครับเพราะว่าผมมีร้านที่เล็ง ๆ เอาไว้ก่อนแล้ว

5th Shop
ชื่อร้าน Kakiya 牡蠣屋 (かきや)
URL http://tabelog.com/hiroshima/A3402/A340202/34003363/
ประเภท Oyster (Kaki) specilized
ค่าใช้จ่าย 2000 yen โดยประมาณ


ร้าน Kakiya หรือชื่อแปลได้ตรง ๆ ว่า "ร้านหอยนางรม" กำปั้นทุบดินไปมั้ยครับพี่ครับ

เตาปิ้งหอยนางรมหน้าร้าน เปลือกหอยเยอะครับ คนสั่งเยอะ (มีในถังอีกหลายสิบเปลือก)


เมนูของร้านนี้ มีไม่่ค่อยเยอะเท่าไร ทุกอย่างทำจากหอยนางรม เสียดายไม่มีหอยนางรมสด หมดฤดูไปแล้ว

ผมนั่งตรงบาร์หน้าร้านเลย เหล้าต่าง ๆ นา ๆ มีเยอะมาก


ตามที่เกริ่น ๆ ไปก่อนหน้าว่า ที่ Hiroshima นี่เค้าจะดังเรื่อง Kaki หรือ Oyster หรือ หอยนางรมเป็นอย่างมากเนื่องจากแม่น้ำทั้ง 6 สายจากในเมืองและบนภูเขาจะไหลมาบรรจบรวมกันออกสู่ Hiroshima Bay และพาสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ มามากมาย พวกสัตว์ทะเลเลยชอบมากระจุกตัวรวมกันที่อ่านฮิโรชิมา เช่นเดียวกันกับหอยนางรม ที่มีอยู่อย่างคับคั่งในอ่าว ทำให้เมือง Hiroshima  นี่จับหอยนางรมได้เป็นสัดส่วน 70% ของประเทศญี่ปุ่นเลย และจากความมั่งคั่งด้านหอยนางรม ทำให้เมืองนี้จะมีร้านที่เอาหอยนางรมไปทำโน่นทำนี่แบบแปลก ๆ แบบที่ผมไม่เคยเห็น และไม่คิดว่ามันจะเอาไปทำได้อยู่ค่อนข้างเยอะ ทั้งในตัวเมืองเอง หรือบนเกาะ Miyajima นี่เองก็ตาม ร้านที่ผมเลือกกินในมื้อนี้ก็เป็นร้านที่เรียกว่าเป็น Kaki specialized ตัวแม่ละกันเพราะว่าไม่มีเมนูไหนของทางร้านที่ไม่ได้มีหอยนางรมเป็นองค์ประกอบก็ว่าได้กับร้าน Kakiya @ Miyajima แห่งนี้ (ชื่อร้านตั้งได้สินคิดมากครับ Kaki ก็หอยนางรม Ya  ก็ร้าน แบบถ้ามีร้านอาหารไทยตั้งแบบนี้มั้ง "ร้านหอยนางรม" มันคงแบบ .. เอิ่ม)

ร้านนี้เนื่องจากเมนูทำจากหอยนางรมหมด ก็เลยมีให้เลือกไม่ค่อยเยอะเท่าไร เป็นพวกอาหารที่ทำจากหอยนางรมแบบง่าย ๆ เช่น เอาไปเผา, โปะข้าว, คลุกน้ำมัน, เอาไปทอด, เอาไปอบ อะไรประมาณนี้ และจากลักษณะของร้านแล้ว เหมือนร้านนี้จะทำตัวเองเป็น Oyster Bar อย่างไรก็ไม่ทราบ มีสาเก, มีเหล้าให้เลือกเยอะเชียว ซึ่งร้านนี้ถ้าจะมานั่งชิลกินหอยนางรมแกล้มเหล้านี่ผมว่าคงต้องนอนค้างคืนที่เกาะ Miyajima นี่ล่ะ เพราะว่ากินไปกินมาจะตกเรือเอาได้ง่าย ๆ มื้อนี้สั่งไปไม่เยอะครับเนื่องจากผมกินคนเดียว แม่ผมไม่ยอมกินหอยนางรม (กลัวคอเรสเตอรอล เลยไปกิน Udon เนื้อร้านถัดไปแทน)

เบียร์สด กินกับหอยนางรมคลุกน้ำมัน

หอยนางรมเผา

ตัวไม่ใหญ่มาก อร่อยดีครับ

ข้าวหน้าหอยนางรม อันนี้จะตัวเล็กลงมาหน่อย รสชาติผมว่ามันแอบจืดไปนิด

แต่หอยนารมสดดีครับ เนื้อแน่นมาก แต่น่าจะฉ่ำกว่านี้ได้อีก

อันนี้ Udon เนื้อของอีกร้าน เนื่องจากไม่อิ่มกัน


จานแรกที่ได้เป็นหอยนางรมคลุกน้ำมันกับหอมซอยและพริก เป็นประมาณจานเรียกน้ำย่อยจริง ๆ รสชาติจานนี้ประหลาดครับ หอยนางรมมันมันอยู่แล้ว และยังมาใส่น้ำมันเข้าไปอีก? และก็เหมือนจะปรุงรสใส่ซีอิ๊วมากับอะไรมาเล็กน้อย แต่แบบปรุงมาน้อยไป กินไปเจอแต่ความมัน .. ยังดีครับผมมีเบียร์สดกินช่วยประคองรสชาติไว้จนกินจนหมดได้ อย่างที่ 2 เป็นข้าวหน้าหอยนางรม จานนี้เห็นแว่บแรกแล้วก็ได้ต้อง ร้อง โอ้วว้าว มันน่ากินชะมัด หอยนางรมขนาดไม่ใหญ่มาก ขนาดแบบใหญ่กว่าที่นิยมเอาไปทำ ออส่วนบ้านเราเล็กน้อยจำนวน 6  ตัว ปรุงรสแบบทาเนย หรืออบเนย กับเกลือมาเล็กน้อย กินกับข้าว รสชาติที่ปรุงมาถือว่าทำได้ดีครับ (แต่แอบจืดไปนิด) หอยก็สดดี แต่เหมือนกับทางร้าน Kakiya  จะอบมานานไป (หรือเป็นสูตรของเขาก็ไม่รู้?) หอยมันเลยแห้งไปนิด คือถ้าฉ่ำ ๆ กว่านี้หน่อยนี่ Fin ครับ

ส่วนอย่างสุดท้ายเป็นหอยนางรมเผา ซึ่งน่าจะเป็นของดังที่สุดของทางร้านเนื่องจากมีเปลือกหอยใส่อยู่เป็นถัง ๆ ข้าง ๆ เตาปิ้งขนาดใหญ่หน้าร้าน ผมสั่งไป  2 ตัว จริง หอยนางรมสด ๆ เผานี่เกิดมาก็เพิ่งเคยกินเหมือนกันครับ ทุกทีเคยกินแต่แบบสด ๆ รสชาติก็อร่อยดี เนื้อหอยชิ้นใหญ่คำโตดี เนื้อสดดี กินแล้วแบบผิวด้านนอกมันจะเกรียม ๆ แข็ง ๆ หน่อยและมีรสชาติจากซอสหวาน ๆ เค็ม ๆ ที่ตาลุงคนปิ้งแกทามา ส่วนเนื้อด้านในก็จะฉ่ำ ๆ เต็มไปด้วยน้ำ อืม อร่อยไปอีกแบบครับ น่าเสียดายที่ หอยนางรมสด ๆ ของทางร้าน Kakiya @ Miyajima แห่งนี้ไม่มีขายในวันที่ผมไปเพราะว่าพ้นฤดูพอดี (แล้วเอาหอยที่เอามาปิ้งกินนี่เรียกว่าหอยอะไร? ผมเดาว่ามันคงเป็นหน้าที่แบบกินหอยสด ๆ แล้วจะไม่ปลอดภัย เค้าเลยไม่ทำขาย คนญี่ปุ่นเค้าใส่ใจเรื่อง food safety กันมากจริง ๆ ครับ) ไม่งั้นผมคงกินเทียบได้ว่าแบบไหนอร่อยกว่ากัน ร้าน Kakiya นี่ก็เป็นร้านที่ดีร้านนึงครับถ้าจะตั้งใจมากินหอยนางรมอย่างเดียว แต่ผมว่าร้านได้คะแนนสูงไปนิดนะ สัก  3.5 ก็น่าจะพอไหวแล้วมั้งร้านนี้

พอกินเสร็จมีแรงเดินต่อ ก็เริ่มลุยเกาะ Miyajima อันแสนจะศักดิ์สิทธิ์กันต่อเลย ที่เกาะ Miyajima นี้เนื่องจากเป็นดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ทางรัฐบาลหรือคนดูแลเกาะก็เลยเอากวางมาปล่อยเพ่นพ่านเต็มเกาะ คล้าย ๆ กับเมือง Nara อีกหนึ่งเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีกวางเดินเล่นอยู่เต็มเมืองเช่นเดียวกัน ก่อนจะมาผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันจะมีกวางเยอะแบบนี้ กวางพวกนี้ก็เหมือนที่ Nara เลยครับเชื่องต่อมนุษย์มาก วิ่งเข้าใส่มนุษย์แบบไม่กลัวว่าจะถูกฆ่า หรือถูกทำอะไรเลย มนุษย์ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหลบกวาง กวางบางตัวก็ขนสวย สะอาดเอี่ยม (ไม่รู้มีคนอาบน้ำให้รึเปล่า) ส่วนกวางบางตัวก็ขนซกมก ๆ เปียก ๆ ปอน ๆ เวลามันเดินมาใกล้ ๆ ก็ได้แต่วิ่งหนีเอาอย่างเดียว อืม แค่มาถึงแล้วเจอกวางเยอะแบบนี้ ขี้เล่นแบบนี้ ก็ทำให้เกาะนี้มีเสน่ห์ขึ้นมาพอสมควรล่ะครับ อ้อ น่าแปลกที่ตรงบริเวณย่านร้านค้า ย่าน shopping ผมไม่เห็นกวางเดินหลุดมาเลยสักตัว แต่จะมีกวางตรงท่าเรือ กับตรงจุดอื่น ๆ แทน ทางการคงจะมีการฝึกกวางเอาไว้ไม่ให้มากวนสมาธิลูกค้าเวลา shopping หรือเวลากินข้าวแน่ ๆ ซึ่งกวางมันก็ฉลาดพอดีนะครับ

ผ่านย่าน Shopping มาก็จะเริ่มเข้าสู่ความศักดิ์สิทธิ์กันล่ะ

ระหว่างทางก็มีเก้าอี้ให้นั่งชมวิวเยอะดีครับ

Torii ที่น่าจะเป็นเอกลักษณ์ที่สุดในโลก

ผมชอบกวางจริง ๆ น่ารัก


ศาลเจ้าตอนน้ำยังลดอยู่ พอน้ำขึ้นก็ขึ้นถึงตลิ่งล่ะครับ

ข้างในศาลเจ้าไม่มีอะไรเลย

เหมือนจะเก็บเงินเพราะรู้ว่าทุกคนต้องเข้ามาอยู่แล้วประมาณนั้น



อันนี้ด้านหน้าศาลเจ้า จะตรงกับตัว Torii พอดี แต่แบบคนเยอะมากครับ ผมไม่ได้ถ่ายซะที ก็เลยถ่ายด้านนี้แทนซะเลย



จุดหมายแรกบนเกาะ Miyajima ก็คือศาลเจ้าชื่อดังประจำเกาะ Itsukushima Shrine สถานที่ที่ใครมาเกาะนี้ก็คงต้องแวะเข้าไปเยี่ยมชมกัน ด้วยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของประตูศาลเจ้าขนาดใหญ่ (Torii) ที่ตั้งอยู่กลางน้ำ ทำให้ศาลเจ้านี้มักถูกใช้เป็นรูปแนะนำแหล่งท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่นอยู่ร่ำไป เจ้าโทริอิในน้ำนี่ถ้ามาตอนน้ำลด น้ำมันก็จะลดลงไปจนเราสามารถเดินไปถึงฐานของมันได้เลย แต่ถ้าน้ำขึ้นน้ำก็สูงซะจนท่วมขาประตูขึ้นมาเยอะทีเดียวเหมือนกันครับ ผมไปถึงประตูนี่ตอนประมาณเกือบ ๆ เที่ยง เป็นช่วงที่น้ำลดลงไปพอลงไปเดินได้ แต่ยังลงไม่สุดดี มีคนเดินลงไปเล่นบนดินเปียก ๆ กันเยอะพอตัว

ส่วนตัวศาลเจ้านั้นก็เป็นศาลเจ้าแรกเลยมั้งที่ผมโดนเก็บเงินค่าเข้า คือเคยไปศาลเจ้าอลังการ ๆ กว่านี้มาก็ตั้งเยอะ ไม่เห็นจะมีที่ไหนเคยเก็บ งงครับว่า Itsukushima Shrine นี่เก็บตังค์ซะงั้น ค่าเสียหายก็คนละ 300 yen ยังดีที่ไม่แพงเท่าไร ตัวศาลเจ้านั้นเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเลยครับ ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ คือเหมือนศาลเจ้านี้จะมีดีแค่เจ้าโทริอิในน้ำแค่นั้นล่ะครับ พอเสร็จจากศาลเจ้าผมก็เดิน ๆ ๆ ไปขึ้นกระเช้า Miyajima Ropeway เพื่อขึ้นไปยังยอดเขา Misen กันต่อกระเช้าของตัวเกาะ Miyajima นี่ก็แปลกกว่าที่อื่นหน่อยครับ คือต้องนั่ง 2 ต่อมีเปลี่ยนสถานีทีนึง ตัววิวตัวอะไรระหว่างนั่งกระเช้าก็สวยดี เสียดายที่ตอนผมไป ใบไม้มันยังไม่ค่อยเปลี่ยนสีดี มีเปลี่ยน ๆ บ้างเล็กน้อย ถ้าเปลี่ยนเยอะ ๆ หน่อยนี่คงสวยมาก พอนั่งไปจนสุดกระเช้า เราก็ยังไม่ได้ไปถึงยอดเขานะครับ ไปถึงแค่ จุดชมวิวเฉย ๆ จะไปถึงยอดเขา Misen ที่อยู่สูงจากทะเล 500 เมตรได้ เราต้องเดินขึ้นเขาไปยังเขาข้าง ๆ อีกประมาณ 1.5 กิโลเมตรหรือประมาณ 30 นาที แม่ผมนั้นไม่ไหวแน่นอนกับการเดินขึ้นเขาขนาดนี้ก็เลยรอผมอยู่ที่จุดชมวิว ส่วนตัวผมเอง ก็หอบแฮ่ก ๆ เหมือนกันครับกว่าจะไปถึงยอดเขา ระหว่างที่ที่ไปถึงยอดเขาก็จะมีเจอวัด เจอศาลเจ้า เจอสุสาน ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลตั้งไว้อยู่ และมีไฟที่จุดมาแล้วเกือบ ๆ 1000 ปีอยู่ และเป็นไฟที่เอาไปจุดใน Peace Park ที่ผมจะไปต่อพรุ่งนี้อีกด้วย คือถ้ามา Miyajima นี่แล้ว ผมว่าก็ต้องฟิต ๆ แล้วมาพิชิตยอดเขาเค้าสักหน่อยล่ะครับ วิวตอนผมไปถึงแม้ว่าจะไม่ได้สวยอะไรมากเพราะเมฆเยอะในวันนั้น แต่ก็จัดได้ว่าสวยพอสมควรอยู่ คุ้มค่าที่ได้ไต่ขึ้นไปครับ

ทางออกจากศาลเจ้าเพื่อไปยังที่อื่นต่อครับ


ทางเดินไปขึ้นกระเช้าจะผ่านสวน, ผ่านป่า (สวนชื่ออะไรจำไม่ได้ล่ะครับ)




เป็น Ropeway ที่วิวสวยดีครับ นั่ง 2 ต่อด้วย

ขาไปนั่งอัด ๆ กันหน่อยครับ ส่วนขากลับนี่เรียกได้ว่านั่งคนละกระเช้าเลยก็ว่าได้

กระเช้าต่อที่ 2 ครับ เบียดมากรอบนี้

เริ่มขึ้นไปสูงเรื่อย ๆ

ถึงจุดชมวิว หรือ Observation Deck แต่ยังไม่สุดครับ เราต้องไปต่อ ไปยังภูเขาลูกตรงหน้าเรานั่นล่ะครับ

ระหว่างทางก็จะเห็นวิวสวย ๆ เสียดายวันนี้มันฟ้าขมุกขมัวไป

อันนี้เป็นศาลเจ้าระหว่างทาง

ด้านในเป็นไฟที่จุดแล้วไม่ดับเลยตลอดพันปีที่ผ่านมา

สุสานหรืออะไรสักอย่างระหว่างทางครับ

มีลอดหิน, ลอดอุโมงค์เล็กน้อย

อีกหนึ่งสุสาน เริ่มใกล้ถึงยอดแล้ว

ถึงแล้วครับยอดเขา มีอาคารเน่า ๆ 3 ชั้นให้ขึ้นไปดูวิวชัด ๆ กัน ที่ชั้น 2 มีคนมา  camping กันด้วยครับ

วิวจาก 500 + 5 เมตรจากพื้นดิน



รู้สึกจะเป็นรูปปั้นที่คอยช่วยเหลือนักเดินทางรึเปล่า?

พอชมวิวพอประมาณ ก็ได้เวลากลับจากยอดเขากัน กว่าจะรอรอบกระเช้า กว่าจะได้ลงมาถึงตีนเขาเวลาก็ล่วงเลยไปเป็นบ่ายแก่ ๆ แล้ว เป้าหมายต่อไปบนเกาะนี้ก็คือไปยังวัด Daisho-in Temple วัดสำคัญประจำเกาะ วัดนี้บอกตรง ๆ ว่าผมชอบที่สุดบนเกาะนี้แล้วล่ะครับ เพราะว่าวัดใหญ่มาก และมีตึกเยอะมาก พวกรูปปั้น, ของตกแต่ง, วัตถุโน่นนี่ก็มีเยอะ มีเจ๋ง ๆ แปลก ๆ เช่นมี เทนงูตัวเท่าของจริงด้วย ตัววัดนอกจากจะใหญ่โตและมีของแปลก ๆ เจ๋ง ๆ เยอะแล้ว ที่เจ๋งที่สุดก็คือ ไม่เก็บค่าเข้านี่แหละครับ เกาะ Miyajima นี่ก็แปลก ผมไปศาลเจ้ามาไม่เคยมีเก็บตังค์ ไปวัดมาส่วนใหญ่วัดจะเก็บตังค์ แต่ว่าที่นี่สลับกันซะอย่างนั้น

ทางเข้าวัด Daisho-in Temple บนเกาะ Miyajima

ขึ้นบันไดไปอีกพอสมควร วันนี้ไป ๆ มา ๆ เหนื่อยพอตัวเลยครับ

มีตัวทานูกิมาขอตังค์ด้วย



อันนี้เหมือนเคยอ่านเจอในการ์ตูน จำไม่ได้ล่ะครับว่าเรียกว่าอะไร


รูปปั้นหลากหลายมากวัดนี้




ใบไม้เปลี่ยนสี สวยดี วัดนี่จริง ๆ ก็อยู่สูงเหมือนกันนะครับ มองเห็นทะเลเลย

อันนี้ไม่รู้ขึ้นไปไหนต่อ มีตัวเทนงูเฝ้าอยู่ด้วย


ระหว่างทางเดินกลับไปท่าเรือก็จะผ่านศาลเจ้าอีกรอบ

ด้านนอกก็สวยดีครับ แต่ด้านในไม่มีอะไรเลย

ชักรูป Torii สุดแนวอีกสักรูปก่อนกลับ


มีกวางน้อยมาส่งด้วยครับ


เดิน ๆ เล่นที่วัดอยู่เกือบ ๆ ชั่วโมงก็หมดเวลา ได้เวลากลับขึ้นฝั่งล่ะครับ น่าแปลกที่ตอนผมเดินกลับไปที่ท่าเรือ เจอกลุ่มเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่ หลายโรงเรียน น่าจะเป็นร้อยคน เพิ่งเดินทางมาถึงกัน คือ มันประหลาดตรงที่สถานที่เที่ยวแทบจะทุกที่มันจะปิดตอนเย็น ๆ นี่แหละ แต่นักเรียกพวกนี้เพิ่งมา ซึ่งถ้าจะมาเที่ยวก็มีเหตุผลเดียวคือจะนอนค้างที่เกาะนี่ ซึ่งตอนแรกผมก็คิดจะนอนค้างบนเกาะนี่แหละครับ แต่พอเห็นราคาโรงแรมที่แพงกว่าบนฝั่งเยอะพอตัวก็เลยเปลี่ยนใจ ก็เลยแอบสงสัยว่าพวกโรงเรียนญี่ปุ่นนี่มีเงินทัศนศึกษากันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?! เกาะ Miyajima นี่ก็เป็นที่เที่ยวที่ผลาญเวลาได้ดีครับ นอกจากที่ที่ผมไปมาแล้ว ยังมีที่ให้ไปอีกหลายที่ เช่น Museum of History, Miyajima Aquarium แต่แบบ เวลาที่ผมมีมันน้อยนิด ซึ่งถ้าเอาจริง ๆ เกาะนี้มานอนค้างสักคืนนึงและเที่ยวบนเกาะสัก 2 วันก็น่าจะกำลังดีนะครับ เกาะสวย อากาศดี กวางเยอะ ร้านอาหารก็มีเยอะด้วย ครบถ้วนสมบูรณ์แบบต่อการเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นอ๋อง

6h Shop
ชื่อร้าน Bakudanya - つけ麺本舗 ばくだん屋 広島駅新幹線口店 (ばくだんや)
URL http://tabelog.com/hiroshima/A3401/A340102/34000345/
ประเภท Ramen
ค่าใช้จ่าย 1000 yen โดยประมาณ

Bakudanya Ramen อยู่ตรง Shinkansen Plaza - Hirsohima

ตอนผมไปไม่ค่อยมีลูกค้าเท่าไร


มีเมนูภาษาอังกฤษ แต่ก็เขียนแบบงง ๆ อ่านไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี


เบียร์สด เข้ากันได้กับทุกอย่างครับ


หลังจากที่ไม่ได้กินราเมนมาหลายวัน วันนี้ผมกับแม่เลยลองเดิน ๆ หา Ramen แถว ๆ สถานี Hiroshima กินดู เดินไปเดินมาก็มาจ๊ะเอ๋เข้ากับร้านราเมนที่ตั้งอยู่ในห้าง Shinkansen Plaza ในสถานี Hiroshima นี่เลยกับร้านที่มีนามว่า Bakudanya (แปลว่าร้านระเบิด) ร้านนี้ผมไม่แน่ใจว่ามันคือร้านเดียวกันกับที่อยู่ที่ Isetan ชั้น 6 บ้านเรารึเปล่า เพราะหลาย ๆ อย่างมันก็บ่งชี้ว่ามันน่าจะเป็นร้านเดียวกัน เช่นมี Tsukemen ที่เลือกความเผ็ดของน้ำซุปได้หลาย ๆ ขั้น แต่ก็มีหลาย ๆ อย่างที่ไม่เหมือนกัน เช่น มีเมนูที่ร้าน Bakudanya ที่ Isetan บ้านเราไม่มี แต่ยังไงก็ตาม ผมกับแม่เลือกที่จะมากินร้านนี้ก็เพราะอยากกินอะไรเผ็ด ๆ นี่แหละครับ เพราะมันไม่มีอะไรเผ็ด ๆ ตกถึงท้องมาร่วมอาทิตย์แล้ว!

ข้อดีอีกอย่างนึงของร้าน Bakudanya @ Hiroshima Station คือ เค้ามีเมนูภาษาอังกฤษครับ! (Rare Item เลยก็ว่าได้) ก็เลยทำให้พอจะอ่านเมนูกันรู้เรื่องหน่อยและจับใจความได้ว่า ราเมนของร้านนี้ แบ่งได้เป็น 2 อย่างหลัก ๆ โดยประมาณ Ramen แบบปกติที่มาแบบทั้งน้ำและเส้น กับราเมนแบบแยกน้ำแยกเส้นที่ทางร้านเรียกว่า Hiroshima Tsukemen เนื่องจากมี 2 Option พอดี ผมกับแม่ก็เลยสั่งกันไปคนละอย่างตัว Tsukemen ของผมนั้นสามารถเลือกความเผ็ดได้ 5 ระดับ ผมจำไม่ได้แล้วว่าแบบเผ็ดสุดมันเผ็ดกี่เท่า แต่ผมสั่งแบบเผ็ดระดับ 4 ไป ซึ่งพอได้กินแล้ว อืม เผ็ดกำลังดีครับ (แต่แบบจริง ๆ อยากให้เผ็ดกว่านี้อีกนิดนึง) ตัว Tsukemen ของร้านนี้แอบมาแปลกเล็กน้อยตรงที่ทั้งเส้นทั้งน้ำซุปนั้นมาแบบเย็น ๆ เลย เย็นเจี๊ยบก็ว่าได้ ซึ่งเกิดมาผมก็ไม่เคยกิน Tsukemen ที่ทั้ง 2 อย่างมันเย็นแบบนี้มาก่อนครับ ส่วนใหญ่ ก็มักจะเป็นร้อน ๆ ทั้งคู่ ไม่ก็เส้นร้อนแต่น้ำซุปเย็น อืม ก็แปลกดี และเป็นความแปลกในทางที่ดีด้วยครับ เนื่องจากว่าผมชอบมาก อร่อยกว่า Tsukemen ส่วนใหญ่ที่กินมาเลย มันแบบ เผ็ด ๆ เย็น ๆ กินเพลิน ๆ รวมถึงเจ้า Tsukemen ที่ผมสั่งไปผมสั่งแบบพิเศษ ใส่หัวหอมซอยมาเยอะ ๆ ด้วย เลยแบบยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ได้มีรสชาติจากเส้นกับน้ำซุปอย่างเดียว

Bakudanya Tsukemen แบบพิเศษสุด ๆ เพิ่มหัวหอม, ชาชู, ไข่

ผมสั่งเป็น set ไปมีข้าวปั้นกับของหวานด้วย

น้ำซุปผมสั่งแบบเผ็ด 20 เท่า


กินรวม ๆ กับ Asahi สด ๆ อร่อยครับ

จุ่ม ๆ ๆ ๆ เส้นเย็น น้ำเย็น อร่อยครับ

Ramen ของแม่ผมก็อร่อยอีกเช่นกัน น้ำซุป Miso


ของหวานปิดท้าย เป็นพุดดิ้งนมสด อร่อยดีครับ

ส่วนราเมน Bakudanya Ramen ซอส Shoyu ของแม่ผมก็อร่อยเช่นเดียวกัน ไม่ค่อยมั่นใจว่าอร่อยกว่าร้าน Bakudanya ที่ Isetan บ้านเราแค่ไหน แต่ที่ชัวร์ ๆ คืออร่อยกว่าชัดเจนครับ น้ำซุปกลมกล่อม เส้นเรียว ๆ เล็ก ๆ และให้ถั่วงอกมาเยอะดี หมูชาชูก็นุ่ม ตอนแรกแม่ผมกลัวจะกินไม่หมดชามเพราะให้มาเยอะ กลายเป็นว่าผมต้องไปแอบ ๆ แย่งแม่กินแทน เพราะมันจะไม่เหลือให้ผมเก็บกวาด! สรุป มื้อเย็นกับราเมน อาหารโปรดของผมที่ร้าน bakudanya @ Hiroshima Station นี่ก็ถือว่าค่อนข้างประทับใจครับ ราเมนรสชาติร้อนแรง เผ็ด ๆ โดนใจ เส้นเรียว ๆ เล็ก ๆ เย็น ๆ กินเพลิน ราคาราเมนก็มาตรฐาน แถมมีเมนูภาษาอังกฤษอีก ใครผ่านมาแถว Hiroshima ก็แวะมาร้านนี้กันได้เลยครับ

โปรแกรมในวันถัดมาของผมก็เป็นการเที่ยวในตัวเมือง Hiroshima บ้าง ผมวางโปรแกรมไว้วันสุดท้ายที่จะอยู่ที่ Hiroshima เนื่องจากแบบอยากให้พอรู้เส้นทางในเมืองก่อน จะได้เที่ยวได้สนุกขึ้น โปรแกรมแรกของวันนั้นไปยังสถานที่ที่น่าจะเป็น hi-light ของเมืองนี้กับ Peace Park ส่วนขนาดใหญ่ที่มีหลาย ๆ อย่างรวมกันไว้อยู่ในที่เดียวประกอบด้วย Atomic Bomb Dome, Peace Memorial Museum และตัว Peace Park เอง

พอลงจากรถรางป้าย M-10 ที่มีชื่อป้ายแบบใครหลงก็บ้าแล้วว่า Atomic Bomb Dome เราก็จะมาเจอกับซากอาคาร อาคารนึงที่หลงเหลือมาจากระเบิดปรมาณูนามว่า Little Boy ระเบิดชื่อเล็ก ๆ แต่พลังทำลายสูงส่งที่ถูกทิ้งลงมาถล่มเมืองนี้เมื่อเกือบ ๆ 70 ปีที่แล้ว คือสมัยก่อนอาคารแบบอาคารอิฐ, คอนกรีตนั้นจะไม่ค่อยมี ทำให้ตัวระเบิดนิวเคลียร์ลูกดังกล่าวนั้นทำเอาบ้านแทบจะทุกหลังที่เป็นบ้านไม้ใน Hiroshima ราบเป็นหน้ากลองไปหมด ผมไปเห็น  model จำลองของเมืองหลังจากโดนระเบิด ก็จะมีเจ้าตึก Atomic Bomb Dome ที่แต่ก่อนใช้เป็นตึกอะไรของรัฐบาลสักอย่างนี่แหละครับ กับอีกไม่กี่ตึก ที่เหลือ "ซาก" ไว้หลังจากโดนระเบิด เจ้าตึก A-Bomb Dome นี่ก็เจ๋งดีครับ มอง ๆ ดูแล้วมันให้ความรู้สึกขลัง ๆ ยังไงก็ไม่ทราบ อาจจะมีพลังงานหรือวิญญาณอยู่ก็เป็นได้ ...

รถรางมาส่งถึงที่ที่ป้าย Atomic Bomb Dome M10

ลงปุ๊บเจอเลย Atomic Bomb Dome

มันก็แค่ซากตึกนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมพอมอง ๆ แล้วมันได้อารมณ์มากเลย

อันนี้อนุสาวรีย์เด็ก เด็ก ๆ มาเข้าแถวร้องเพลงสดุดีกัน


ด้านหลังของอนุสาวรีย์เด็ก ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน

ระฆัง ที่เหมือนจะสำคัญ แต่ผมจำไม่ได้ล่ะ


อันนี้เหมือนเป็นที่สักการะ อนุสรณสถาน มองตรงไปถึง Atomic Bomb Dome พอดีเลย


เดินไปอีกนิดเข้าพิพิทธภัณฑ์

โมเดลของเมืองก่อนถูกระเบิดทิ้งบอมบ์ลงมาครับ คือตรงนี้จะเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ เป้าหมายของกองทัพสหรัฐก็คือตรงนี้ ตรงสะพานที่เป็นรูปตัว T ใน model ครับ และพอทิ้งระเบิดแล้ว ก็ราบหมด ที่ตรงนี้เลยทำเป็น Peace Park นี่แทน

ซากจักรยานเด็กเล่น

อันนี้น้ำพุใกล้ ๆ กับ Hiroshima Castle ครับ


Hiroshima Castle ก็สวยดีนะครับ แต่แค่ถ่ายข้างนอกก็พอล่ะ

ทำไมน้ำพุถึงเป็นสไตล์ตะวันตกก็ไม่รู้

ส่วนตัว Peace Park เองก็เป็นสวนขนาดใหญ่มาก ๆ ไม่รู้กี่ไร่ ซึ่งแต่ก่อนจะเป็นศูนย์กลางของเมือง Hiroshima แต่หลังจากที่โดนระเบิดถล่มราบไป ทางการก็เลยคิดว่าจะทำตรงนี้เป็นที่ระลึกต่อความสูญเสีย แทนที่จะไปสร้างอะไรทับจะดีกว่า (เหมือน Ground Zero ที่ New York) โดยตัวสวนก็เหมือนเป็นสวนสาธารณะใหญ่ ๆ ร่มรื่น ๆ แล้วก็จะมีสถาปัตยกรรมหลาย ๆ อย่างที่สร้างไว้เพื่อรำลึกถึงบรรพชนที่โดนสังเวยไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 ครับ สวนนี้ก็เดินเพลิน ๆ เนื่องจากสวนค่อนข้างใหญ่ ก็ฆ่าเวลาได้ดีพอสมควร

ส่วนสถานที่สุดท้ายใน Peace Park นี้ก็จะเป็นตัว Peace Memorial Museum พิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอเกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนที่ Hiroshima โดนระเบิดราบเป็นหน้ากลอง กับความเลวร้ายของระเบิดนิวเคลียร์ต่อมวลมนุษยชาติ ตัว Museum แห่งนี้เจ๋งครับ นอกจากค่าเข้าจะถูกแค่ 150 yen แล้ว ผมว่าเค้าทำการจัดแสดงได้ดีทีเดียว ไม่ว่าจะตัวรูปภาพ, model, ข้อมูล ทุกอย่างแบบ แน่นปึ๊ก น่าสนใจมาก ๆ และแทบจะทุกส่วนจัดแสดงจะมีภาษาอังกฤษหมด คือผมไม่ได้เข้าพิพิทธภัณฑ์ที่ญี่ปุ่นที่เจ๋งแบบนี้นานล่ะครับ ล่าสุดรู้สึกจะที่ Tokyo ตัว  Edo Museum มั้งครับที่ชอบ

โปรดอ่านต่อใน Part 3 ครับ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment