Wednesday, October 31, 2012

Japan Early Fall 2012 Trip Part 1 - Fukuoka

Japan Fukuoka - Hiroshima - Kansai Fall 2012 Trip Part 1 - Fukuoka


ทริปนี้ก็เป็นทริปต่อเนื่องจากทริป ฮ่องกง ของผม ก็เหมือนเดิมครับ บันทึกนักเดินทางของผมก็จะเน้น ๆ การกินเป็นหลัก เรื่องเที่ยวเป็นรอง โดยในทริปมาเยือนญี่ปุ่นรอบที่  5 ของผมงวดนี้ก็เป็นการเดินทางไปในดินแดนที่ยังไม่เคยไป (และไม่ค่อยมีคนไป?) คือ Fukuoka, Hiroshima และมาจบลงแถบ ๆ คันไซครับ ทริปนี้ก็กินเวลาทั้งหมดประมาณ  8 วันกินร้านอาหารเจ๋ง ๆ ไปทั้งหมด 13 ร้านอาหาร ส่วนที่เที่ยวก็ไม่ค่อยได้เที่ยวสักเท่าไรครับเนื่องจากไปกับแม่ แม่ผมก็เริ่มแก่แล้ว เดิน ๆ นิดหน่อยก็ไม่ไหวแล้วครับช่วงหลังนี้

ผมบินจากฮ่องกงไปลงที่ Kansai International Airport ด้วยสายการบิน ANA ไปถึงสนามบินร่วม ๆ  3 ทุ่ม กว่าจะนั่งรถไฟเข้าเมือง เช็คอิน เก็บข้าวเก็บของก็ซัดไปร่วมเที่ยงคืนแล้ว วันแรกของผมที่ญี่ปุ่นก็เลยไม่อยากจะนับเป็นวันแรกสักเท่าไร (ซึ่งพวกทัวร์ส่วนใหญ่ชอบนับเป็นวันแรกกัน อนาถจริง ๆ) ส่วนโรงแรมที่ซุกหัวนอนแบบชั่วคราวที่ Osaka นี่ก็ไม่ค่อยอยากเชียนถึงเท่าไรครับ เพราะว่ามันเป็นที่ซุกหัวนอนจริง ๆ โรงแรมเฮงซวยชื่อ Chisun Hotel สาขา Shin-Osaka ใกล้ ๆ สถานีรถไฟ Shin-Osaka ครับ คือนอนโรงแรมญี่ปุ่น 3 ดาวแบบนี้มาก็หลายที่ ที่นี่ห่วยแตกที่สุดเลยครับ ห้องเก่า, แอร์ไม่เย็น, ห้องเหม็น, พนักงานก็พูดจาไม่ดี ไม่ชอบเลยครับ โรงแรมนี้ไม่ขอแนะนำละกันครับถ้าใครจะหาโรงแรมที่  Osaka

 บัตร Sanyo Area Pass ที่ซื้อมาตั้งแต่ที่ไทย กับตั๋วชินกังเซ็นที่ไปแลกที่สถานี JR KIX ครับ

คันนี้ไม่ใช่ที่ผมขึ้นนะครับ แต่แบบมันเท่ดีเลยถ่ายมา ไม่รู้รุ่นอะไรเหมือนกัน

ด้านใน Shinkansen เบาะใหญ่ หมุนหันหน้ามาชนกันก็ได้

ไม่รู้ว่าแบบ Green Seat ที่จ่ายแพงขึ้นอีกนี่ที่นั่งมันจะใหญ่ขนาดไหนนะเนี่ย

มีที่ชาร์จ Notebook กับมือถือด้วย ประทับใจสุด ๆ


ทริปนี้ก็เป็นทริปที่ 2 ที่ผมซื้อตั๋วรถไฟล่วงหน้ามาก่อนจากไทย ครั้งแรกสุดผมซื้อตั๋วแบบ JR-Pass ที่สามารถนั่งรถไฟได้ทั่วประเทศญี่ปุ่นในราคาประมาณ 11,000 บาท มางวดนี้ใช้แบบ Sanyo Pass ซึ่งเป็นตั๋วรถไฟที่สามารถนั่งได้ในแถบตอนล่าง ๆ ของญี่ปุ่นแค่นั้น ในราคา 10,800 บาท 8 วัน คือเหตุผลที่ผมเลือกแบบนี้ก็เพราะว่าราคามันเท่า ๆ กันกับตัว JR -Pass แต่ว่าได้วันเพิ่มมาวันนึงรวมถึงสามารถนั่งรถ  Shinkansen ได้ทุกแบบ ย้ำว่าทุกแบบจริง ๆ ไม่ว่าจะ Nozomi, Mizuho หรือรถด่วนพิเศษแค่ไหนก็ตาม ซึ่งเจ้ารถพวกนี้จะเร็วปรื๋อมาก ๆ เนื่องจากแทบจะไม่หยุดจอดเลยจนถึงสถานีปลายทาง โดยเจ้า Sanyo Pass  เนี่ยจะครอบคลุมตั้งแต่ Osaka ยาวไปจนถึง Fukuoka ซึ่งก็ถือว่าเป็นพื้นที่ที่ใหญ่อยู่ (รวมเรือนั่งไปเกาะ Miyajima ด้วย) ดังนั้นถ้าใครกะมาเที่ยวแค่แถว ๆ Chukoku, Kansai หรือแอบมีเลยไป Fukuoka เล็กน้อย (แต่เลยไปกว่านั้นบนเกาะคิวชูไม่ได้นะครับ) ผมว่าเจ้า Sanyo Pass นี้คุ้มกว่า JR-Pass เห็น ๆ

หลังจากที่นอนพักกันที่โรงแรม Chisun Hotel ไม่กี่ชั่วโมง ประมาณสัก 6 โมงเช้าผมกับแม่ก็ต้องรีบตื่นเพื่อไปขึ้นรถไฟกันโดยไปขึ้นที่สถานี Shin-Osaka ใกล้ ๆ กับโรงแรม คือผมก็เพิ่งจะมารู้ในทริปนี้ว่าตัวสถานีที่มีคำว่า   Shin นำหน้าเนี่ยมันคือสถานีที่จะมีรถไฟชินคังเซ็นวิ่งผ่าน ซึ่งคำว่า Shin มันแปลว่า "ใหม่" นอกจากจะใช้สื่อถึงรถไฟ Shinkansen แล้วผมว่ามันคงเป็นสถานีที่สร้างทีหลังสถานีหลักที่มีแต่รถไฟธรรมดาด้วย เช่น Shin-Osaka, Shin-Kobe, Shin-Iwakuni อะไรพวกนี้ แต่พวกสถานีที่ไม่มีคำว่า Shin อยู่ข้างหน้าแต่มี Shinkansen ผ่านก็มีเยอะแยะครับ เช่นที่โตเกียวแทบทั้งหมด หรือ Hiroshima, Hakata ดังนั้นมันก็ไม่ใช่หลักการที่จะใช้ในการจำแนกว่าสถานีไหนมีรถไฟหัวกระสุนผ่านหรือไม่ผ่านสักเท่าไร แต่แค่ใช้เป็นแนวทางคร่าว ๆ ได้แค่นั้น

ผมนั่งรถไฟหัวกระสุน Shinkansen ชื่อรุ่น Mizuho จาก Osaka ไปยังสถานี Hakata สถานีหลักของเมือง Fukuoka  ที่ถ้าขับรถจะเป็นระยะทาง 600 กิโลเมตรโดยใช้เวลาแค่ประมาณเกือบ ๆ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งเมื่อมาคำนวณดูแล้วเจ้ารถไฟหัวกระสุนนี่จะวิ่งที่ความเร็ว 300 km/h เป็นส่วนใหญ่ซึ่งถ้าวิ่งจริง ๆ ก็คงแค่ 2 ชั่วโมงแต่ว่ามันจะมีแวะตามสถานีใหญ่ ๆ 4-5 สถานีก็เลยมีการลดความเร็ว เพิ่มความเร็วหยุดจอด อะไรด้วยก็เลยกลายเป็น 2 ชั่วโมงเกือบ ๆ 3 ชั่วโมงไป ซึ่งแค่นี้ก็เรียกว่าสุดยอดแล้วครับเพราะถ้าขับรถก็จะซัดไป 8 ชั่วโมง หรือถ้าเป็นรถไฟเมืองไทยก็คือประมาณกรุงเทพ - เชียงใหม่ ก็นั่งไปเหอะครับ 12 ชั่วโมง เช่าตู้นอนไป เฮ้อ

โรงแรมที่หลาย ๆ คนมักจะฝากชีวิต - Toyoko Inn อันนี้สาขาใกล้ ๆ กับสถานี Hakata

สถานีนี้ใหญ่มากครับ ใหญ่เบ้อเริ่มเลย มีห้างอยู่ในตัวด้วย

สถานี Hakata วันที่ไปอากาศดีมาก

โรงแรม Hakata Green Hotel Annex โรงแรมนี้ดีมากครับ

ห้างอะไรไม่รู้ใกล้ ๆ สถานี

เมือง Fukuoka ก็เป็นเมืองใหญ่ครับ แต่ก็ดูคนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไร ไม่เหมือน โตเกียว, โอซาก้า


ผมไปถึงสถานี Hakata ประมาณเกือบ ๆ 10 โมงเอากระเป๋าไปฝากที่โรงแรมที่จะนอนที่นี่คืนนึงนามว่า Hakata Green Hotel Annex (โรงแรมนี้ดีมาก ไว้จะเขียนถึงอีกนิดนึงครับ) ก็เริ่มไปยังสถานที่เที่ยวแรกที่วางแผนเอาไว้กับวัด Shofukuji Temple วัด Zen แห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น (สร้างตั้งแต่ปี 1195) อ้อ ทริปนี้ก็เหมือนทริปก่อน ๆ หน้าของผมครับ ดูสถานที่ที่จะไปจากเว็บ japan-guide.com เป็นหลัก เพราะเท่าที่ไป ๆ ตามเว็บนี้มาส่วนใหญ่มักจะตรงตามข้อมูลที่ลงเอาไว้ ตัววัด Shofukuji Temple นี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ เหมือนวัดอื่น ๆ ที่ผมเคยไป วัดก็สวยงาม ๆ สงบ ๆ ดี แต่ตอนที่ผมไป ทางวัดมีงานอะไรอยู่ไม่รู้ก็เลยมีคนเยอะผิดปกติ เลยถ่ายรูปไม่ค่อยได้ เพราะโดนห้ามถ่ายบ้าง, คนอยู่ในฉากบ้าง วัดนี้ก็เหมือนกับเป็นวัดฆ่าเวลาเฉย ๆ ครับ -*-

วัด Shofukuji Temple at Fukuoka

วัดใหญ่ดีครับ สงบ ๆ สวย ๆ

รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม

อันนี้ศาลาหลัก หรืออุโบสถหลัก

มีหลายอาคาร แต่ก็ทรงเดียวกันหมดครับ Zen ๆ


พอเดินเล่นที่วัดเสร็จก็เป็นเวลาร่วม ๆ เที่ยง ตอนแรกผมเล็งร้าน Sushi ที่ได้คะแนนรีวิวดีมากเอาไว้ร้านนึง แต่แบบพอไปถึงร้าน ร้านปิด! คือตอนหาข้อมูลผมก็ลืมดูว่าร้าน Sushi แห่งนี้มันจะปิดวันจันทร์ก็เลยกลายเป็นชวดกันไปแต่ก็รีบ ๆ เปิดเน็ทหาร้านใหม่ก็เจอร้านที่น่าสนใจอยู่ใกล้ ๆ กันเลยเป็นที่มาของร้านแรกในทริปนี้ครับ

Fukuoka ก็เป็นเมืองใหญ่พอที่จะมีรถไฟใต้ดินครับ

สายรถไฟเท่า ๆ กับกรุงเทพบ้านเรา แต่คนน้อยกว่าสัก 10 เท่าได้

รู้สึกท้องฟ้าสวยมากวันนั้นที่ไป

อันนี้ร้าน Sushi ที่เล็งเอาไว้ อดกินเพราะว่าร้านปิดครับ



1st Shop
ชื่อร้าน 元祖長浜屋 (がんそながはまや)Kanzo Nakahamaya
URL http://tabelog.com/fukuoka/A4001/A400104/40006844/
ประเภท ราเมน (ฮากาตะ)
ค่าใช้จ่าย 1000 yen โดยประมาณ

ร้านแรกในทริปนี้ เป็นร้านราเมน ที่เดินผ่านแล้วลูกค้าเยอะดี

ราเมนมีแบบเดียว แต่มี side dish ให้กินหลากหลายแบบ ราคาไม่ค่อยแพงครับ เมื่อเทียบกับ  Osaka หรือ Tokyo

ลูกค้าแน่นครับร้านนี้ ตอนผมไปก็มีเข้ามากันตลอด

เบียร์สดเย็น ๆ แก้วแรกประจำทริป อร่อยชื่นใจดีแท้


หลาย ๆ ท่านคงน่าจะเคยได้ยินคำว่า Hakata Ramen หรือราเมนสไตล์ฮากาตะ กันมาบ้างแล้ว เจ้าคำนี้จะเป็นคำที่ใช้เรียกถึงราเมนที่เส้นจะเล็ก ๆ เรียว ๆ หน่อยและน้ำซุปที่ใช้จะเป็นน้ำซุปกระดูกหมู (Tonkotsu) เอกลักษณ์อีกอย่างของราเมนประเภทนี้คือ จะมีกระเทียมสด ๆ, ขิงดอง หรือเม็ดงา ให้ลูกค้าได้เติมเองตามใจชอบด้วย (แบบร้าน Bankara Ramen ในบ้านเรา) Hakata Ramen ช่วงหลัง ๆ นี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จสูงทั้งในญี่ปุ่นเองหรือในต่างประเทศ แบรนด์ดัง ๆ ของราเมนประเภทนี้ก็เช่น Ichiran Ramen (ร้านราเมนข้อสอบ, คอกราเมน) , Ippudo Ramen ร้านที่มีสาขาขจรกระจายไปทั่วโลก (แต่ก็ยังไม่มาที่ไทยสักที) เป็นต้น

ตัวผมเองเป็นคนชอบ Hakata Ramen เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ชอบเส้นเรียว ๆ เล็ก ๆ และน้ำซุปกระดูกหมูข้น ๆ หอม ๆ เอาจริง ๆ คือจุดประสงค์หลักที่เดินทางมาไกลถึง Fukuoka ก็เพราะจะมากินราเมนฮากาตะถึงถิ่นต้นกำเนิดนี่แหละครับ (จริง ๆ คือ ไม่มีที่จะไป ฮ่าๆ) ส่วนร้านที่ผมไปฝากท้องนี่ก็เรียกได้ว่าค่อนข้างจะ fluke ด้วยครับ เนื่องจากตอนก่อนจะกินก็ไม่รู้หรอกว่าร้านนี้เป็นร้านที่คะแนนสูง (ได้ 3.5 ใน tabelog นี่ถือว่าเยี่ยมแล้วล่ะครับ) แต่ผมกับแม่เลือกร้านนี้ก็เพราะว่าคนนั่งเยอะดี และเป็นร้านราเมนแบบข้างถนน open-air ซึ่งยังไม่เคยกินมาก่อน

ราเมนของร้าน Kanzo Nakahamaya นี่ก็ไม่มีอะไรมากครับ หรือพูดอีกแบบคือ ไม่มีให้เลือกเลย! มีให้กินแค่แบบเดียวเท่านั้น จะมีให้สั่งเพิ่มเติมก็แค่สั่งข้าวผัดเพิ่ม, เกี๊ยวซ่า, ไก่คาราเกะ หรือข้าวหน้าหมูชาชูสับ เพิ่มเติมมั้ยก็แค่นั้น ผมก็ดู ๆ รูปเมนูคร่าว ๆ แล้วก็ไปกดคูปองแล้วยื่นให้พนักงาน นั่งรอแปบนึง ราเมนหน้าตาน่ากินแต่ดูเหมือนไม่ค่อยตั้งใจทำเท่าไร (หอยสับโรยมาเต็มชาม, หมูชาชูแล่ไม่สวย) ก็ถูกยกมาวางตรงหน้าผมพร้อม เบียร์สดเย็น ๆ และข้าวผัดหนึ่งจาน (ผมสั่งชุดข้าวผัดไป)

อันนี้กับแกล้มกินกับเบียร์ จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร ก็เค็ม ๆ มัน ๆ อร่อยดีครับ เป็นหนังหมู, เนื้อหมูคลุกซีอิ๊ว

Hakata Ramen มาแล้ว หน้าตาเหมือนไม่ค่อยตั้งใจทำเลยว่ามั้ยครับ?

ทั้งชามมีให้กินแค่ 3 อย่างแค่นี้ล่ะครับ อ้อ น้ำซุปด้วยสินะ

ข้าวผัดสั่งไปด้วยกันใน set หน้าตาเหมือนจะไม่อร่อย แต่จริง ๆ อร่อยมากครับ

รวม ๆ ใน set นี้ของผม


เรื่องรูปร่างหน้าตาของราเมนที่ได้รับ ก็เรียกได้ว่าน่าจะเป็น Hakata Ramen แบบต้นตำรับจริง ๆ (ตรงตามคำนิยามที่เค้าว่า ๆ กัน) น้ำซุปขาว ๆ ขุ่น ๆ กับเส้นเรียว ๆ เล็ก ๆ อืม เป๊ะเลย รสชาติของเจ้าราเมนของร้านนี้ก็อร่อยดีครับ อร่อยแบบเรียบ ๆ คือเป็นรสชาติแบบ plain ๆ ไม่ได้มีการปรุงแต่งอะไรเป็นพิเศษ คือราเมนร้านนี้ สูตรนี้น่าจะขายมาหลายสิบปีแล้ว เพราะแบบ..มัน plain จริง ๆ ครับ ซึ่งราเมนสมัยนี้เท่าที่อ่านการ์ตูนมากับไปตระเวณกินมา น้ำซุปของร้านดัง ๆ มันจะมีการใส่วัตถุดิบ, เครื่องปรุงที่มันซับซ้อนกว่าแต่เดิมที่ใช้วัตถุดิบหลักแค่อย่างเดิม ซึ่งพอกินเจ้าชามนี้แล้วก็แปลกดีครับ เหมือนแบบเป็นราเมนแบบที่ไม่เคยกินมาก่อน เพราะช่วงหลัง ๆ เจอแต่รสชาติซับซ้อนทั้งนั้น ก็อร่อยแบบเรียบ ๆ ไปอีกแบบ

ส่วนข้าวผัดที่ให้มาด้วยกัน หน้าตาแม้ว่าจะดูธรรมด๊า ธรรมดา ข้าวก็มาเม็ดสั้น ๆ ขาด ๆ แหว่ง ๆ ไม่สวย ไม่ร่วนเหมือนหน้าตาของข้าวผัดอร่อย ๆ ที่ควรจะเป็น (ทางร้านน่าจะใช้ข้าวญี่ปุ่นมาผัด?) แต่พอกินแล้วมันอร่อยดีครับ รสชาติมันแบบ กลมกล่อม ๆ เบา ๆ แห้ง ๆ กินไป ซดน้ำซุปกระดูกหมูไป อร่อยลงตัวดี ส่วนเบียร์สดในมื้อนี้ แน่นอนครับ อร่อยเว่อร์! คือผมอยากจะบอกว่าถ้าใครเป็นคอเบียร์นี่ มาญี่ปุ่นแนะนำให้สั่งเบียร์สดในทุกเวลาที่มีโอกาสเลยนะครับเพราะว่า Nama Biru (หรือสั่งแค่ Nama เด็กเสิร์ฟก็รู้เรื่องล่ะ) หรือเบียร์สดที่ญี่ปุ่นนี่มันเป็นอะไรที่อร่อยจริง ๆ อร่อยที่สุดในโลกก็ว่าได้ (เท่าที่ผมเคยกินมาอ่ะนะ ฮ่าๆ) ผมเลยไม่แปลกใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงบ้าเบียร์กันขนาดนี้ (ปี 2010 กินกันไปทั้งประเทศ ห้าพันกว่าล้านลิตร เฉลี่ยคนละ 55 ลิตรต่อปี หรือเฉลี่ยสัปดาห์ละลิตรนั่นเอง) จะว่าไป ประเทศนี้ก็เป็นประเทศเดียวก็ว่าได้ที่ผมเห็นผู้หญิงกระดกเบียร์แก้วใหญ่ ๆ เฮือก ๆ! (ซึ่งมันเท่เป็นบ้าเลยให้ตายสิ)

ระหว่างทางเดินไปสวนสาธารณะครับ

บึงนี้สวยดี ดอกบัวเต็มบึงเลย เอ๊ะ หรือไม่ใช่บัว มันเรียกว่าอะไรอ่ะครับ

ต้นไม้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนสีสักเท่าไร

ที่สวน Ohori Park ก็จะมีบึงขนาดใหญ่ มีหลายครอบครัวมาปั่นเป็ดเล่นกัน (คนญี่ปุ่นเรียกว่าหงส์ Swan)

อากาศดีมาก ๆ วันนั้น หลายคนมานั่งตากลม

เป็นสวนที่สวยดีครับ บังก็น้ำใส สะอาด สมเป็นคนญี่ปุ่นจริง ๆ


พอกินราเมนเสร็จอิ่มท้องแล้ว ผมกับแม่ก็มุ่งหน้าไปยัง Ohori Park ต่อ เจ้า Ohori Park นี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็แค่สวนสาธารณะประจำเมือง Fukuoka เค้าก็แค่นั้น สวนนี้ก็เป็นสวนขนาดใหญ่ มีทะเลสาบ หรือบึงยักษ์อยู่ตรงกลาง มีเรือให้เช่าไปปั่นกัน (หรือปั่นฟรีไม่รู้) มีสนามเด็กเล่นพร้อมเครื่องเล่นของเด็ก ๆ แล้วก็เก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ คือ ที่นี่ก็เป็นอีกที่ที่แบบ ผมไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนก็เลยแวะมา ก็เป็นที่ที่ฆ่าเวลาได้ดี เด็ก ๆ เยอะดี วันที่ไปอากาศดี แดดแรงด้วยครับ ก็เลยเป็นการฆ่าเวลาแบบชิล ๆ ดีแท้ พอเสร็จจากสวน Ohori Park ก็ได้เวลาที่ผมสามารถไป check-in โรงแรมได้ก็เลยกลับโรงแรมไป check-in กัน


สวนเค้าสวยครับ


ห้องพักที่โรงแรม Hakata Green Hotel Annex ห้องใหญ่ ใหม่เอี่ยม เตียงนุ่ม

ทีวีจอใหญ่ มีโต๊ะทำงาน เพียบพร้อม


ห้องน้ำก็สะอาดเอี่ยม ไม่ได้เป็นแบบ modules ยกมาประกอบทั้งแผงเหมือนพวก business hotel เก่า ๆ ด้วยครับ ชอบ ๆ

หลาย ๆ โรงแรมจะใช้ยี่ห้อ Shiseido นี้




โรงแรม Hakata Hotel Green Annex ที่ผมนอนนี่ ผมอยากจะบอกว่ากับ 9,000 yen ที่เสียไป มันน่าจะเป็นโรงแรมที่ญี่ปุ่นที่คุ้มค่าเงินที่สุดเลยก็ว่าได้เพราะว่าห้องใหญ่ เตียงสะอาด เตียงนุ่ม หมอนนุ่ม มีโต๊ะทำงาน อุปกรณ์ครบครัน เครื่องประทินโฉมก็ใช้ของดี ห้องน้ำก็สะอาด, ใหม่ โอย ไม่รู้จะเขียนชมยังไงดีครับ ทุกอย่างจัดได้ว่าอยู่ในขั้นสุดยอดในโรงแรมระดับ 3 ดาวหมดเลย คือคนละเรื่องกับไอ้โรงแรม Chisun Hotel - Shin-Osaka ที่นอนมาเมื่อวานแบบฟ้ากับเหวเลย (ที่ Chisun 10,000 yen แพงกว่าด้วยซ้ำ -*-) ใครที่มาที่  Hakata หรือ Fukuoka นี่ผมก็ลองมานอนที่นี่กันได้ครับ เจ๋งจริง ๆ

พอนอนพักผ่อนเอาแรงกันเสร็จตะวันก็เริ่มจะผลัดเวรกับดวงจันทร์แล้ว ผมก็เลยชวนแม่ไปเดินเล่นกันในเมือง Fukuoka ต่อที่แรกที่เดินผ่านคือ Yatai หรือร้านอาหารแผงลอยประจำเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำประจำเมืองและอยู่บนเกาะเล็ก ๆ นามว่า Nakasu Island กลางเมือง Fukuoka (คืออาจฟังดูเหมือนว่าเป็นเกาะแบบแยกตัวจากแผ่นดินเลย มันไม่ได้ขนาดนั้นครับ สะพานที่ข้ามมาเกาะมันแค่ประมาณเดิน 10 ก้าวก็ข้ามมาแล้วแค่นั้น -*-) คือเท่าที่รู้และเคยเดิน ๆ มาในเมืองต่าง ๆ ในญี่ปุ่น ผมยังไม่เคยเห็นร้านแผงลอย หรือร้านริมถนนแบบตั้งรวมกันเป็นตรอก, เป็นหมู่คณะแบบนี้เลย ตอนแรกที่วาดภาพเอาไว้นึกว่ามันจะยิ่งใหญ่เหมือนเยาวราช หรือเหมือนสุขุมวิท 38 บ้านเรา แต่จริง ๆ มันคือร้านอาหารประมาณสัก 10 ร้านมาตั้งเรียงกันแค่นั้น แต่ละร้านก็มีโต๊ะให้ลูกค้า 2-3 โต๊ะ ซึ่งแบบผมล่ะอยากให้พวกพี่ยุ่นมาเห็นร้านข้างถนนบ้านเราจริง ๆ แล้วพวกพี่แกจะได้รู้ว่าอย่างน้อยก็มีสิ่งนึงล่ะที่ประเทศไทยเรายิ่งใหญ่กว่าและมีเยอะกว่า อลังการกว่าเยอะ ว่ะฮ่าฮ่าฮ่า แต่แม้ว่าเจ้า Yatai @ Fukuoka แห่งนี้จะแบบเล็กผิดจากที่ผมคาดแต่บรรยากาศนี่เรียกได้ว่าเจ๋งดีทีเดียวครับ ลูกค้ากินกันเฮฮา คุยกันสนุกสนาน พ่อค้าแม่ค้า ก็ตะโกนสั่งอาหาร, ตะโกนเรียกลูกค้ากัน อืม เสียดายที่ผมดู ๆ แล้วน่าจะสั่งอาหารไม่รู้เรื่อง เพราะไม่มีภาษาอังกฤษเลย ก็เลยแบบแค่เดิน ๆ ผ่านแค่นั้น

สถานี Hakata นี่อลังการจริง ๆ ครับ ใหญ่มาก

เดินนิดเดียวจาก Hakata Station ก็จะถึงห้าง Canel City ห้างเล็ก ๆ ประจำเมือง

มีคนมาเดินเยอะพอสมควรครบ โซนนี้จะเป็นโซนพวก shop ใหญ่ ๆ แบรนด์เนมมาตั้งกัน


Food stall  หรือ yatai หรือร้านข้างถนน เอกลักษณ์ของเมือง Fukuoka

หลาย ๆ ร้านที่เดินผ่านจะเป็นแบบนี้ครับ มีสัตว์ทะเลสด ๆ วางแช่แข็งอยู่ในบาร์ของร้าน น่าจะเป็นแบบรอให้ลูกค้าสั่งไปปิ้ง

ครื้นเครง เฮฮามากครับ เสียดาย ผมพูดญี่ปุ่นไม่ได้ ไม่งั้นอาจจะลองกินดู


เดินเลยจากตัว Yatai ไปอีกสักพักก็ไปถึง Canal City ห้างสรรพสินค้าประจำเมือง ห้างนี้จากที่ผมดูในรูปมา มันดูยิ่งใหญ่มาก ๆ แต่(อีกแล้ว) พอไปถึงมันกลับกลายเป็นห้างขนาดกลาง ๆ ธรรมดา ๆ ห้างนึงเท่านั้น จะแปลกหน่อยก็ตรงที่ห้างนี้กินพื้นที่ 2 ฝั่งถนน ซึ่งจะเชื่อมกันด้วยทางเดินลอยฟ้า ห้างนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีร้านรวงแบบเท่า ๆ ไปที่พบเจอได้ในเมืองต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่น เช่น Uniqlo, H&M จะมีที่ผมรู้สึกน่าสนใจหน่อยก็คือตัว Ramen Stadium ที่จะรวบรวมร้านราเมนหลาย ๆ ร้านมาอยู่ด้วยกัน แต่แบบพอดีเจ้า Ramen Stadium นี่ดันไปอยู่ที่ชั้น 5 ของห้าง ด้วยความขี้เกียจบวกกับการที่ผมเคยไปที่ที่รวมร้านราเมนแบบนี้มาเยอะแล้ว ก็เลยขี้เกียจขึ้นไปดู เดิน ๆ เล่นดูอย่างอื่นแล้วก็เลยไปร้านอาหารที่เล็งเอาไว้ในมื้อเย็นต่อเลย ร้านที่เล็งเอาไว้ในมื้อเย็นนี้ก็เป็นร้านราเมนอีกร้านนึงที่คะแนนรีวิวสูง ๆ (บอกแล้วครับผมมา Fukuoka นี่เพื่อจะกินราเมนจริง ๆ) ซึ่งจากที่มื้อเที่ยงเล็งซูชิไว้แล้วดันได้ไปกินราเมน พอมามื้อเย็นนี่เล็งราเมนไว้แต่ได้ไปกินซูชิแทน เนื่องจากเจ้าร้านราเมนที่เล็งเอาไว้ เดินหายังไงก็หาไม่เจอครับ  -*- ผมเลยไปลงเอยเอาร้านที่กินแทบทุกครั้งที่มาญี่ปุ่นแทน...


2nd Shop
ชื่อร้าน Sushi Zanmai สาขา Tenjin (すしざんまい 天神店)
URL http://tabelog.com/fukuoka/A4001/A400103/40023604/
ประเภท Sushi, Sashimi
ค่าใช้จ่าย 2000 - 3000 yen โดยประมาณ

Sushi Zanmai ณ เมือง Fukuoka

อัน 798 yen ถูกมากครับ ผมสั่งไปจานนึง



สั่อัน 1,880 yen กับอันซ้ายล่าง 1,180 yen ไปครับ คุ้มมาก ๆ จริง ๆ กะสั่ง 3,280 yen  มาด้วยซ้ำแต่กลัวกินไม่หมด

ติ๊กเอาแล้วยื่นให้พนักงานก็ได้ครับ แต่แบบอิ่มล่ะครับเลยไม่ได้ติ๊กอะไรเพิ่ม (ตัว Hiragana นี่พออ่านออกอยู่ครับ)

ผมเลือกนั่งส่วนที่เป็นโต๊ะ แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าจะนั่งบาร์กัน


เหตุผลที่ทุกครั้งที่ผมต้องได้กินร้าน Sushi Zanmai ก็เพราะว่าร้านนี้มีสาขาอยู่ในญี่ปุ่นเยอะมากร่วม ๆ  40 สาขา และ concept ของตัวเจ้าของที่เริ่มร้านนี้มาจากที่ Tsukiji คืออยากจะมีร้าน Sushi แบบปั้นจริงจังไม่ใช่แบบสายพาน  ที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ และสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ก็เลยทำให้ร้าน Sushi Zanmai นี้เป็นร้านที่เปิดตลอดเวลา ใช่ครับ ตลอดเวลาจริง ๆ 365 วัน 24 ชั่วโมง และราคาของร้านนี้เมื่อเทียบกับร้านที่ปั้นสด ๆ แต่ละคำเหมือนกันก็ถือว่าราคาค่อนข้างคุ้ม ซึ่งสาเหตุที่ทางร้านทำต้นทุนได้ต่ำก็น่าจะเป็นเพราะร้านมีสาขาเยอะเลยสั่งวัตถุดิมาได้ในราคาถูกก็เลยขายได้ถูก

ปกติแล้ว ร้าน Sushi แบบปั้นสด ๆ ไม่ใช่สายพานทั่ว ๆ ไป Sushi set  ของเค้าก็จะเริ่มต้นกันที่ประมาณ 1,500 yen และมักจะแพงสุดกันที่ 3,000 yen (ได้ประมาณ 10 ต้น ๆ คำ) โดยประมาณ กับร้าน Sushi Zanmai แห่งนี้ ราคาก็ตกอยู่ในช่วงดังกล่าวเช่นเดียวกัน แต่ว่ามื้อที่ผมไปนี้มันจะพิเศษหน่อย ทางร้านมีเมนูพิเศษอะไรก็ไม่ทราบทำให้ Sushi ที่ผมสั่งในมื้อนี้เลยถูกเป็นพิเศษ ประกอบด้วย Sushi Set ปกติที่ร้านอื่นจะขายกันประมาณ 3,000 yen เลยเหลือแค่ประมาณ 2,000 yen ส่วน set ที่จะขายกัน 2,000 yen เลยเหลือแค่ 1,200 yen เท่านั้น แถมยังมี set มากุโร่ 5 แบบ 800 เยนเท่านั้น (มี otoro อยู่ใน set ด้วย) คือแบบเห็นราคาแล้วต้อบขอบคุณร้านราเมนที่หาไม่เจอจริง ๆ ที่ทำให้ได้กิน Sushi แสนประหยัดในมื้อนี้

เบียร์สดเย็น ๆ ต้องสั่งทุกมื้อครับ

Set 1800 yen ของผมมาแบบจัดเต็มมาก 

ที่เมืองไทยคงหาไม่ได้แบบนี้

เพิ่งเคยเห็นเอา uni มา combo กับ  salmon roe

อันนี้ set ของแม่ผม แม่บอกอร่อยดี อิ่มกำลังดี 1,200 yen เท่านั้น

แม่ผมบอกว่าชอบเจ้า Maguro  ที่สุด


Anago ตัวใหญ่กำลังดี ยังไม่ใหญ่เว่อร์เท่าอีกร้านที่ผมมีรีวิวในทริปนี้

Maguro Set 800 yen เท่านั้น มีมาครบทุกแบบ

คุ้มมาก ๆ เลย set นี้

มี Otoro มาให้ด้วยสุดยอดไปเลยพี่

ลูกค้าส่วนใหญ่นั่งที่เคาน์เตอร์กันครับ


เรื่องราคานั้นเรียกได้ว่าถูกและคุ้มมากแล้ว ตัวรสชาติล่ะเป็นยังไง? คือเท่าที่ผมกินร้าน Sushi Zanmai มาหลาย ๆ ครั้ง คุณภาพของเขาจะค่อนข้างคงที่ คงเส้นคงวาเสมอมื้อนี้ก็เช่นเดียวกัน  Sushi ทุกคำปั้นมาดี ไม่มีปลาหลุดจากข้าว, ไม่มีข้าวแตกเป็นเสี่ยง ๆ คือถ้าไปเทียบกับร้านที่ไทยก็เป็นร้าน Sushi ชั้นดีร้านนึงได้เลยประมาณนั้น ส่วนความสดความอร่อยของปลา แน่นอนครับ ปลามันดูดี ดูสดขนาดนี้ รสชาติก็ต้องไม่ผิดหวังอยู่แล้ว Sushi ทุกคำ อร่อย สด ดีหมดเลยครับ ค่าเสียหายมื้อนี้จ่ายไปแค่ประมาณ 4,000 yen แต่ได้ Sushi มาร่วม ๆ  30 คำ เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่ถูกมากจริง ๆ ร้าน Sushi Zanmai นี่ผมก็คงจะฝากท้องไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสล่ะครับ มากินทีไร ตังค์หลุดไปจากกระเป๋าตังค์ไม่เยอะ และคุณภาพก็ดีได้มาตรฐานทุกครั้งไป

พอกิน Sushi เสร็จผมกับแม่ก็เดินทางกลับโรงแรมในทันที เพราะพรุ่งนี้เช้าก็มีโปรแกรมย้ายเมืองอีกแล้ว วันรุ่งขึ้น ผมเดินทางจาก Hakata Station เมือง Fukuoka  ไปที่ Iwakuni เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรแค่ 150,000 คนและอยู่ปลายสุดตอนล่างของเกาะฮอนชู เพื่อไปดูสะพานไม้ที่สง่างาม งดงามที่สุดของญี่ปุ่นและสร้างมาหลายร้อยปีแล้ว นามว่า Kintai-Kyo Bridge การเดินทางจาก Hakata ไป Iwakuni ผมก็ใช้บริการรถไฟหัวกระสุน Shinkansen อีกแล้ว งวดนี้นั่งเจ้า Kodama ที่แบบเป็น Shinkansen แบบช้าที่สุด แวะหลายสถานีมาก ๆ ทำให้การเดินทางใกล้ ๆ กินเวลานานกว่าปกติเมื่อเทียบกับนั่งโดยสายอื่น พอไปถึงสถานี Shin-Iwakuni ก็เจอปัญหาอีกคือ การจะเดินทางไปที่สะพาน Kintai-Kyo Bridge ได้นั้นจะต้องนั่งรถไป เพราะอยู่ห่างไป 5 กิโลเมตร เดินไปจากสถานีก็คงจะไม่ไหว แล้วเจ้ารถเมล์เจ้ากรรมที่จะพาผมไป ดันมีแค่ชั่วโมงละคันเท่านั้น ผมก็เลยต้องรออยู่เกือบ 40  นาทีกว่าจะได้ไป

จริง ๆ แล้วการมาเที่ยวที่สะพาน Kintai-Kyo เมือง Iwakuni นี่เราสามารถผลาญเวลาทิ้งไปได้วันนึงเต็ม ๆ เลย แต่เนื่องด้วยพอผมกับแม่ลงจากรถบัสและมองเห็นสะพานไม้ขนาดใหญ่ที่จะว่าสวยมันก็สวยหรอก แต่มันก็ไม่ได้อะไรมาก และไปหยุดยืนดูราคาค่าเข้าชมแล้ว ก็เกิดความคิดที่ว่า "ถ่ายรูปแปบ ๆ แล้วกลับจะดีกว่า" เนื่องจากว่าค่าเข้าชม ค่าเดินข้ามสะพาน + ค่าขึ้นกระเช้าไปดูปราสาทบนยอดเขา มันรวมกันได้เกือบ ๆ 1,000 yen (980 yen) แล้วแบบเข้าไปก็ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงบันไดหลายตลบ, เข้าไปดูสวนที่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากกับนั่งกระเช้าขึ้นไปดูปราสาทเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ผมกับแม่เลยเห็นพ้องต้องกันว่า แค่ถ่ายรูปแล้วกลับก็พอแล้ว อืม พวกผมก็เลยถ่าย ๆ รูปกันแปบนึงแล้วก็นั่งรถบัสกลับไปยังสถานี Shin-Iwakuni ภายในเวลารวดเร็ว

Beer 3rd Generation ที่ไม่มี alc. และพลังงาน แต่ยังคงความเป็นเบียร์อยู่ ก็ไม่ได้เหมือนเป๊ะ ๆ แต่ก็พอไหวครับ

Shinkansen จะรุ่นไหนก็ตามที่นั่งจะใหญ่ประมาณนี้หมดครับ แต่คันนี้ไม่มีที่ชาร์จมือถือมั้ง

ถึงแล้วสถานี Shin-Iwakuni

ไปรอรถบัสกันเลย

มาประมาณครึ่งชั่วโมง - 40 นาทีคันนึงครับ ขึ้นได้ทุกคันเลยไปสะพาน Kintai Kyo หมด


เห็นปราสาทเล็ก ๆ ด้านขวาบนของภูเขานั่นมั้ยครับ นั่นคือจุดหมายปลายทางของหลาย ๆ คนที่มาที่นี่

แต่จุดหมายปลายทางของผมอยู่แค่นี้

มาถ่ายรูปสะพานเสร็จก็กลับล่ะครับ

หัวกระสุนจริง ๆ

ระหว่างรอรถไฟของผม มีหลายขบวนที่วิ่งผ่าน แต่ละขบวนนี่่ผ่านทียังกะแผ่นดินไหวเลยครับ แรงและเร็วมาก


ถ้าเทียบการเดินทางด้วย Shinkansen สาย Mizuho จาก ​Shin-Osaka มา Fukuoka เป็นรถด่วนแล้ว การเดินทางจาก Shin-Iwakuni ไปยัง Hiroshima  เป้าหมายลำดับถัดไปของผมก็คงเป็น การเดินทางโดยจักรยานก็ว่าได้ เพราะด้วยระยะทางที่สั้นเพียงแค่หนึ่งในสามแต่ใช้เวลาเดินทางเท่ากัน หยุด(แม่ง)แทบจะทุกสถานีแล้ว การเดินทางสั้น ๆ มันก็นานขึ้นมาแบบน่าเบื่อไปเลย พวกผมใช้เวลาเดินทางไปถึงสถานี Hiroshima ร่วม ๆ  2 ชั่วโมงกับระยะทางไม่ถึง  200km นานโคตร! พอไปถึง ลำดับแรกก็แน่นอนครับ หาข้าวกิน เนื่องจากว่ามันจะบ่าย 2 แล้ว

ที่สถานี Hiroshima  จะมีทางเดินใต้ดินที่เชื่อมโน่นเชื่อมนี่อยู่ครับ

ห้างใกล้ ๆ สถานี Hiroshima ผมเดินหลงไปหลงมากว่าจะเจอ

จริง ๆ ห้างอยู่ติดสถานีเลย แต่เพราะผมเดินลงไอ้ทางเดินใต้ดินนี่แหละเลยหลง


3rd Shop
ชื่อร้าน Denko Zakka - 電光石火 (でんこうせっか)
URL http://tabelog.com/hiroshima/A3401/A340102/34001621/
ประเภท Hiroshima fuu Okonomiyaki  (広島風お好み焼き)
ค่าใช้จ่าย 2000 yen โดยประมาณ

อันนี้ถ่ายตอนกินเสร็จแล้วครับ เหลือลูกค้าไม่กี่คน

ถ่ายตอนเริ่มกิน ลูกค้านั่งแทบจะเต็มร้าน

Denko - Sekka - Hirohshima Okonomiyaki ครับ



เบียร์สดเย็น ๆ เช่นเคย ส่วนใหญ่ก็จะมีไม่กี่ยี่ห้อล่ะครับ แต่ก็อร่อยหมดไม่ว่าจะ Sapporo, Suntory, Asahi, Kirin


โชคดีที่ร้านลำดับที่ 3 ของผมนั้นไม่ได้พักตอนบ่ายเหมือนร้านส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น แต่เปิดบริการทั้งวัน แต่ถึงกระนั้น การตามหาร้านนี้ก็ค่อนข้างมีปัญหาอีกแล้ว เนื่องจากร้านไม่ได้เป็นร้าน stand alone แต่อยู่ในห้าง ร้านนามว่า Denko Sekka แห่งนี้เป็นร้านขายพิซซ่าญี่ปุ่นสไตล์ Hiroshima หรือ Hiroshima fuu Okonomiyaki ซึ่งจะแตกต่างจาก Okonomiyaki ปกติตรงที่จะใช้แป้งเป็นแค่แผ่นบาง ๆ และใช้กะหล่ำปลีเยอะ ๆ มาเป็นองค์ประกอบหลักแทนแป้งหนา ๆ แผ่นโต ๆ แบบพิซซ่าญี่ปุ่นปกติ เจ้าร้าน Denko Sekka แห่งนี้ตั้งอยู่ในห้างอะไรสักอย่างตรงข้ามกับสถานี Hiroshima ฝั่งตะวันตก โดยชั้นล่างจะเป็นปาจิงโกะ ส่วนชั้น 6 ซึ่งเป็นชั้นที่ร้านนี้อยู่จะเป็นประมาณ Okonomiyaki Museum คือมีร้านพิซซ่าญี่ปุ่นหลาย ๆ ร้านมากตั้งอยู่รวม ๆ กัน และเจ้าร้าน Denko Zakka แห่งนี้ก็เป็นร้านที่ได้คะแนนรีวิวสูงที่สุดและเป็นเป้าหมายของผมในมื้อนี้

กว่าผมจะหาร้านเจออะไรเจอ เวลาก็ล่วงเลยไปบ่ายสองโมงครึ่งได้ แต่แม้ว่าจะไม่ใช่เวลากินข้าว ร้าน Denko Sekka แห่งนี้ก็ยังมีลูกค้านั่ง Occupied อยุ่ร่วม ๆ 50% ได้ ผมหยิบเมนูมาดู ๆ พออ่านออกบ้างว่าอะไรเป็นอะไรก็เลยสั่งเจ้า Hiroshima fuu Okonomiyaki นี่ไปให้ผมกับแม่อย่างละก้อน ตัวพิซซ่าญี่ปุ่นสไตล์ฮิโรชิมาของผมกับแม่นั้นเหมือนกันเด๊ะ ๆ ในด้าน foundation คือจะมีแป้งบาง ๆ กับกะหล่ำปลีซอยเยอะ ๆ + หัวหอมเยอะ ๆ เป็นองค์ประกอบ จะแตกต่างกันที่เครื่องโรยหน้าชั้นบนสุด (topping) กับเนื้อสัตว์ที่เป็นไส้ในเท่านั้นที่ต่างกัน โดยของผมกับเป็นหอยนางรม (Hiroshima ดังเรื่องหอยนางรม) และของแม่ผมเป็นปลาหมึก

พ่อครัวเริ่มต้นด้วยนี่ กะหล่ำปลีกับแป้ง ทอดอยู่นานเลยครับ

ด้านขวาเป็นหอยนางรม กับปลาหมึก ที่อบเอาไว้

อบสุกก็เปิดออกมา

ใส่ udon เข้าไปหน่อย ใส่ไข่เข้าไปนิด

เสร็จแล้ว Hiroshima Fuu Okonomiyaki ไส้หอยนางรมของผม

หน้าตาต่างจาก Okonomiyaki ปกติเยอะอยู่เหมือนกันครับ

อันนี้ของแม่ผม ไส้ในเป็นปลาหมึก ได้ไข่ด้วย ผมอยากได้ไข่


กินไปประมาณ 1 ใน 3 ไส้ในเป็นแบบนี้

อาจจะดูเหมือนไม่เยอะ ก้อนไม่ใหญ่ แต่กินอิ่มกำลังดีครับ


เจ้าพิซซ่าญี่ปุ่นสไตล์ฮิโรชิมานี่ผมก็เพิ่งเคยกินครั้งนี้ครั้งแรก และถ้าถามว่าจะมีที่อื่นในโลกที่มีขายมั้ย? ก็ไม่น่าจะมี คงต้องถ่อมากินถึงที่นี่ที่เดียว คือแบบผมเดินทางไปถึงร้านก็บ่าย 2 ครึ่งแล้ว พอไปถึงสั่งอาหารไป ใช่ว่าเราจะได้กินเลย เชฟประจำที่นั่งของผมจะต้องมาโชว์ฝีมือการรังสรรค์พิซซ่าญี่ปุ่นต่อหน้าแบบสด ๆ ก่อนถึงจะมีอะไรมาให้ผมกินได้ แล้วคือพิซซ่าญี่ปุ่นนี่มันก็เป็นอาหารที่ไม่ใช่ว่าทอดเปรี้ยงเดียวแล้วมันจะกินได้เหมือนไข่ดาวซะที่ไหน กว่าเชฟเค้าจะ ทอดแป้ง, ผัดกะหล่ำปลี, ผัดและอบเนื้อหอยนางรมกับปลาหมึก, ผสมปนเปเข้าด้วยกัน, ทอดไข่ดาว, พลิกไปพลิกมาจนสุกกำลังดีและเอามาวางตรงหน้าผมให้กินได้นั้น .. บอกตรง ๆ (แม่ง) โคตรทรมานเลยครับ -*- เพราะว่าแต่ละอย่างมันดูน่ากินมาก ๆ ๆ ๆ

ตัวหน้าตาพิซซ่าญี่ปุ่นสไตล์ฮิโรชิมานี่ผมว่ามันดูดี ดูน่ากินกว่าพิซซ่าญี่ปุ่นปกติที่จะมีแป้งเยอะ ๆ มายองเนสเยอะ ๆ ยังไงก็ไม่ทราบ ส่วนตัวรสชาติ ผมชอบกว่า Okonomiyaki ปกตินะ เนื่องจากว่ามันมีผักเยอะ มีเนื้อเยอะ แล้วตัวซอสก็ไม่ได้ใส่มาเยิ้ม ๆ มันแบบเหมือนกินเอาตัววัตถุดิบมากกว่าจะกินเอาตัวซอส และเจ้าหอยนางรมไส้ในผมก็ตัวใหญ่และสดดี เลยยิ่งเพิ่มความอร่อยเข้าไปใหญ่ ส่วนปลาหมึกของแม่ผม แม่ผมก็บอกว่าอร่อยเนื้อเด้งดี รวม ๆ มื้อนี้หลังจากทรมานทรกรรมกว่าจะได้กิน พอได้กินแล้วก็ประทับใจดีครับ อ้อ ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าจะกินเจ้าพิซซ๋าญี่ปุ่นนี่ยังไง ก็ใช้ตะหลิวแบะ ๆ ตัดเป็นคำ ๆ แล้วใช้ตะเกียบคีบเอา แต่พอกินไปแปบนึง ป้าที่นั่งข้าง ๆ ผมก็โชว์การกิน Okonimiyaki ด้วยตะหลิวให้ผมดู คือแบบตัด แล้วกระเดือกจากตะหลิวแบบนั้นเลย หลัง ๆ ผมเลยกินแบบป้าซะเลย ง่ายดี ได้คำใหญ่ดี ฮ่า ๆ

คือมา Hiroshima นี่นอกจากมากินหอยนางรมแล้ว ก็คงต้องมากินเจ้า Hiroshima fuu okonomiyaki นี่แหละครับ ใครจะตามรอยผมก็ได้เลยครับ เดินทางสะดวกอยู่ใกล้สถานีรถไฟใหญ่ การันตีจากผมเองและลูกค้าที่ยังคงแน่นอยู่แม้ว่าจะบ่ายแก่ ๆ และคะแนน 3.5 กว่า ๆ ของร้าน Denko Zakka นี้ หรือว่าถ้าหาไม่เจอหรือขี้เกียจ เท่าที่ผมเดิน ๆ ดูเมืองนี้ ร้าน Okonomiyaki เยอะมากครับ ถูกชะตาร้านไหน จัดกันไปอย่าให้เสียได้เลยครับ

Sheraton Hirsohima ที่พักของผม

Lobby ใหญ่โตอลังการ สวยงามด้วยรูป Abstract

เตียงก็ใหญ่ครับเป็น King Size


ห้องน้ำทันสมัย แยกส้วมกับอ่างอาบน้ำและอ่างล้างหน้าออกจากกัน ล็อคไม่ได้ด้วย เหมาะกับคู่รัก





ทีวี, โต๊ะทำงาน ของคุณภาพดีหมดครับ


รู้สึกจะอยู่ชั้น 13 นะ วิวสวยดีครับ ตรงข้ามเป็น Hotel Granvia Hiroshima

มองไปเห็นถึงทะเลเลยครับ


พอกินเสร็จพวกผมก็เดินทางไป Check-in โรงแรมต่อในทันทีเพราะเป็นเวลาเช็คอินได้พอดี จริง ๆ โรงแรม Sheraton Hiroshima ที่ผมจองเอาไว้ ทำเลของโรงแรม Sheraton Hiroshima นี่ก็เรียกได้ว่าสุดยอดครับ อยู่ติดกับสถานีรถไฟ Hiroshima แบบติดเลยจริง ๆ เดินแค่ 3 นาทีก็ถึงโรงแรมล่ะ แต่ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผม คือตัวโรงแรมจะอยู่ทิศตะวันออกของสถานี แต่ร้าน Okonomiyaki ที่ผมเพิ่งไปกินนั้นอยู่ทิศตะวันตก ตอนจะเดินไปโรงแรมผมก็คิดไว้อยู่แล้วว่ามันต้องมีทางลอดใต้สถานี แต่หาเท่าไรก็หาไม่เจอ ผมเลยต้องเดินอ้อมสถานีซะ จากการเดิน 3 นาทีเลยกลายเป็น 20 นาทีไปแทน -*-

โรงแรม Sheraton Hiroshima นี่ดีมาก ๆ ครับ ห้องดี พนักงานสุภาพเรียบร้อย วิวสวย ห้องน้ำใหญ่ แต่แบบห้องเหมือนจะเพิ่ง renovate หรือไม่ก็โรงแรมก็เพิ่งสร้าง ห้องแบบสร้างมาเพื่อคู่รักโดยเฉพาะจริง ๆ คือจะโปร่ง ๆ ใส ๆ ไม่มีอะไรให้ล็อคประมาณนั้น เตียงก็เตียง King Size  ขนาดใหญ่ ทีวีก็จอใหญ่ โอย สมบูรณ์แบบสมเป็นโรงแรมห้าดาว แต่ไอ้ที่กากได้ใจคือ Internet ยังคงคิดตังค์อยุ่นี่สิครับ คือนี่มันก็เข้าสู่ยุค Internet เป็นปัจจัยพื้นฐานในชีวิตไปแล้ว แต่พี่แกยังจะมาเก็บตังค์อยู่อีก? ซึ่งมันไม่ใช่แค่กับสาขาที่ Hiroshima นี้นะครับ เท่าที่ดู ๆ เป็นทุกสาขาเลย โดยเฉพาะพวกโรงแรม 5 ดาวแบรนด์ดัง ๆ นี่ชอบเป็นแบบนี้หมดไม่รู้ทำไม จะมาเอาเล็กเอาน้อยกับลูกค้าแบบนี้ เฮ้อ อ้อ โรงแรมนี้มี fitness ให้เล่นฟรีด้วยครับ อุปกรณ์ก็พอจะเรียกได้ว่ามีพอสมควรอยู่ (แต่ไม่เท่าฟิตเนสบ้านเราแน่นอน) ส่วนสระว่ายน้ำก็มี แต่เสียค่าว่าย 2,000 yen  หรือไรนี่แหละครับ


 ไปขึ้นรถรางเข้า  downtown กันครับ

สถานี Hiroshima ก็ใหญ่ดีนะครับ

Ebisudori ถนน shopping กลางเมือง และก็มีอีกหลาย ๆ สายครับตัว downtown กินพื้นที่ประมาณ 10 block ได้



เช่นเคยครับ พวกผมนอนพักเอาแรงแปบนึงเสร็จแล้วก็เข้าไปยัง Downtown ของ Hiroshima เดิน ๆ สำรวจเมือง ดูร้านรวงต่าง ๆ นา ๆ ก็ได้ข้อสรุปว่าเมือง Hiroshima นี่เป็นเมืองใหญ่ขนาดกลาง ๆ ครับ ร้านที่ downtown มีเยอะใช้ได้ ผู้คนก็เยอะดี แต่แบบห้างเจ๋ง ๆ โก้ ๆ เช่น Takashimaya, Yodabashi, Daimaru อะไรพวกนี้ผมไม่เห็นนะ มีแค่ Parco กับห้างใหญ่ ๆ อีกห้างเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นถนนคนเดินอีก 3-4 เส้น ข้าวของอะไรต่าง ๆ นา ๆ ก็เหมือนเมืองอื่นครับ ญี่ปุ่นนี่เค้ากระจายความเจริญเก่งดีจริง ๆ เดินเล่นสักพัก ผมกับแม่ก็เริ่มหิวและมุ่งหน้าไปยังร้านที่เล็งไว้แล้วต่อเลย

4th Shop
ชื่อร้าน Ooi Sushi - おゝ井すし
URL http://tabelog.com/hiroshima/A3401/A340101/34005031/
ประเภท Sushi, Sashimi
ค่าใช้จ่าย 10,000 yen โดยประมาณ


ร้านเล็ก ๆ เป็น Counter Sushi Bar ครับ

มีโต๊ะด้วยโต๊ะนึง ตอนผมไปยังไม่มีลูกค้า แต่พอตอนกินเสร็จนี่นั่งกันเกือบเต็มครับ


อันนี้พ่อครัวของผม พูดอังกฤษพอได้ ส่วนพวกรายกาารอาหารที่แปะผนังอยู่ อ่านออกบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร


ร้าน Ooi Sushi นี่เป็นร้าน Sushi ที่ได้คะแนนรีวิวอันดับ 1 ในเมือง Hiroshima เลย เช่นเคย ตอนก่อนจะมากินผมก็ได้คาดหวังเอาไว้สูงว่ามันจะต้องอร่อยเว่อร์! รวมถึงทำการบ้านมาก่อน ให้เพื่อนที่รู้ภาษาญี่ปุ่นช่วยพิมพ์รายการที่อยากจะสั่งมาเป็นภาษาญี่ปุ่นใส่ใน iPad พอไปถึงก็ยื่นรายการนี้ให้เชฟของผมเค้าดู พร้อมจริง ๆ ว่ามั้ยครับ? ร้าน Ooi Sushi นี่ทุกอย่างก็เข้า concept ของร้าน Sushi ระดับบน (อ่านว่า แพงแบบไม่มีสาเหตุ) คือ เมนูไม่มีราคากำกับให้เสียอารมณ์เนื่องจากราคาจะเป็นไปตามหน้าของปลา (อ่านว่า เป็นไปตามที่เชฟอยากจะตั้งราคา) และก็เมนูเป็นแผ่นไม้เขียนด้วยมือแสดงความขลัง และบ่งบอกว่า ข้าเขียนเมนูใหม่ทุกวันนะ (เขียนซ้ำ ๆ เหมือนเดิมทุกวันใครจะไปรู้?) ที่นั่งของลูกค้าก็มีไม่ค่อยเยอะ เท่าที่ผมนับน่าจะมีสัก 10 ที่และโต๊ะ 4 ที่นั่งอีกหนึ่งที่เพื่อที่เชฟจะได้คุยกับเราได้อย่างสบาย ๆ และดูแลเราได้เป็นอย่างดี (และชาร์จราคาเราได้อย่างไม่น่าเกลียด)

น่าเสียดายที่เมนูที่ผมจดไปใน iPad นั้นมีหลายรายการที่ไม่มีของในวันนั้นเช่น Nama Tako หรือปลาหมึกยักษ์สด ๆ , Nama Sanma หรือปลาซันมะสด ๆ และ ​Nama Saba หรือ ซาบะสด ๆ เป็นต้น คุยกับเชฟก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่งภาษามือกันไปภาษามือกันมาก จนสุดท้ายเหมือนจะเข้าใจกันว่าเอาที่ที่มีละกัน เชฟก็เลยค่อย ๆ ทำมาให้ทีละอย่าง ๆ เริ่มต้นด้วย Sashimi รวม 5 อย่าง มี Kampachi, Hamachi, Ika โปะด้วย Uni และ Maguro อืมทั้ง 5 คำนี้ก็อร่อยดี สดดี ปลาเนื้อสวย เนื้อนุ่ม แต่แบบเชฟไม่มีหัวไชเท้ามาให้ (ผมชอบกินปลาดิบกับหัวไชเท้าฝอยมาก) พูดขอก็ไม่เป็น ก็เลยกินมันสด ๆ ก็ได้ 5 อย่างนี้ก็อร่อยสมราคาร้านคะแนนสูงครับ โดยเฉพาะตัว Ika โปะด้วย Uni เพิ่งเคยกิน และมันเข้ากันอย่างน่าประหลาดเหลือเกิน

เบียร์สดก่อนเลย ไม่รู้ราคาครับ บอกตรง ๆ ร้านนี้สั่งอะไรไปไม่รู้ราคาสักกะอย่าง

Sashimi รวม  5 อย่าง อร่อยดี แต่อยากได้หัวไชเท้าเด้อ

Akami อร่อยครับ เนื้อเนียนมาก


ปลาเนื้อขาวนี่ไม่แน่ใจว่าอะไร น่าจะปลา Tai (กระพงแดง red snapper นะครับ)

Otoro ลายสวยหยดย้อย อร่อยดี

Aji ทรงเครื่อง (รึเปล่า?) อร่อยอีกเช่นกัน

Uni อร่อยเยี่ยม สด ๆ หอม ๆ

Ikura ยังไม่ค่อยโดนเท่าไร

เจ้าหัวหอมซอยนี่ลองสั่งเพราะว่าแปลกดี รสชาติ ผมไม่ชอบอ่ะ

Akagai ก็ยังไม่ค่อยโดนเท่าไร

Salmon ยอดเยี่ยมไปเลย เนื้อนุ่ม มัน ละลายในปาก


ส่วนตัว Sushi ในมื้อนี้ก็มีอีก 7 อย่าง อย่าง Tai, Otoro, Ikura, Uni, Negi, Akagai, Salmon ทั้ง 5 อย่างก็อร่อยดี อร่อยระดับเดียวกันกับร้านเทพ ๆ ในบ้านเรา?! เอ๊ะยังไง? คือมันอร่อยแค่นั้นจริง ๆ ครับ กินที่ร้าน Mugendai, Tenyuu หรือร้านแพง ๆ ในบ้านเรามันก็อร่อยแค่นี้ล่ะ สดเท่ากัน ปั้นมาดีพอ ๆ กัน อืม ผมรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ นะ จะมีที่แบบกินแล้วแตกต่างชัดเจนก็ตัว Uni นี่แหละครับ ของร้าน Ooi Sushi นี่อร่อยมาก ๆ น่าจะเป็น one of the best Uni ที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาเลย (ซึ่งจะว่าไปก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเคยกินอร่อยแบบนี้มาที่ไหน แต่มีแน่ ๆ)

พอกิน Sushi + Sashimi ของร้าน Ooi Sushi @ Hiroshima มื้อนี้เสร็จพร้อมค่าเสียหายที่โดนซามูไรซูชิแอบฟันอย่างเบา ๆ ไป 14,000  yen กับ Sashimi 10 ชิ้น, Sushi 10 คำ .. โอวพระเจ้า 6,000 บาท คือถ้าถามว่ามันอร่อยมั้ย ก็อร่อยดีครับ แต่ถ้าแบบเทียบกับร้าน Sushi Zanmai ที่ผมกินเมื่อวานให้เยอะกว่ากันเท่านึงแต่ราคาถูกกว่ากัน 5 เท่าแล้ว มันก็ไม่ได้อร่อยขนาดจะแพงกว่ากันเยอะขนาดนี้ครับ เผลอ ๆ จะอร่อยพอ ๆ กันด้วยซ้ำ เพราะผมมันก็ไม่ได้ลิ้นเทพขนาดจะแยกความสดของเนื้อปลา ความอร่อยของเนื้อปลาได้ขนาดนั้น พอหมดมื้อนี้ ความคิดที่ว่า Sushi ที่ดีมันต้องแพงเว่อร์ ๆ ก็เริ่มมลายหายไปล่ะครับ เพราะ 5 trip ที่ผ่านมาก็พยายามจะจัดร้้านแพง ๆ ไว้ในทริปเสมอ และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ประทับใจถึงขั้นอยากจะร้องไห้เหมือนในการ์ตูนซักที ตอนนี้ที่ตั้งเป้าไว้คือว่าจะไปกิน Sushi ของปู่ Jiro ดูอีกสักครั้ง ถ้ามื้อนั้นกินแล้วมันรู้สึกถึงความแตกต่างได้จริง ๆ ผมก็คงจะไขว่ขว้าหาร้าน Sushi เว่อร์ ๆ ต่อไปล่ะครับ

โปรดอ่านต่อใน Part 2

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment