Tuesday, September 4, 2012

South Korea Winter Trip 2012 by BumRes.com - Day 2

South Korea Winter Trip 2012 by BumRes.com - Day 2




วันที่ 2 ของทริปลุยดินแดนพลังโสมก็เริ่มต้นด้วยการตื่นในแบบฉบับทัวร์คือ 6-7-8 (ตื่นนอน กินข้าว ล้อหมุน) ซึ่งสำหรับผมมันจะเป็น  7-7.15-8  มากกว่าเพราะผมไม่ต้องอาบน้ำ (หนาวขนาดนี้ไม่ต้องอาบหรอก -*-) อาหารเช้าของโรงแรมที่ไปพักนี่ก็ให้อารมณ์เหมือนโรงแรม 3 ดาวที่ญี่ปุ่น คือมีผักและผัก ๆ เป็นอาหารหลักมีสิ่งที่เป็นโปรตีนแค่ ไข่คน (scramble egg not human egg) และไส้กรอกเน่า ๆ แต่แม้ว่าอาหารจะหน้าตาไม่น่ารับประทาน แต่ว่ารสชาติก็ถือว่าสอบผ่านกินได้เพลิน ๆ  2 จานสบาย ๆ เลยล่ะครับ (หรือเพราะหิวจัด จากการที่ร่างการต้องการ Metabolism ก็ไม่ทราบ)

ผัก ๆ ผักและผัก

กิมจิของโปรดผม ชอบจริง ๆ เล้ย กิมจิแท้ ๆ ที่เกาหลีเนี่ย

พวกที่ไม่ใช่ผักบ้าง

ไข่คน เนื้อบดเป็นลูกชิ้นแบบเกาหลี ก็อร่อยดีนะครับ

อาหารของผม เน้นโปรตีนมาทดแทน และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก

จานนี้ของเพื่อนผม โปรตีนน้อยกว่าหน่อย

รู้สึกอันนี้จะเป็นจานที่ 2 ของผม ไม่แน่ใจเหมือนกัน

นมเปรี้ยวรสกล้วย ซื้อเพิ่มเติมที่ร้านสะดวกซื้อในโรงแรม อร่อยครับ

นี่เลยโรงแรมที่เราฝากชีวิตไว้คืนแรก Songtan Tourist Hotel โรงแรมนี้เอาจริง ๆ ก็ถือว่าพอใช้ได้นะครับ พิกัดน่าจะเป็น 37.078507,127.052138

พอกินข้าวกันเสร็จพวกเราก็ออกเดินทางไปเล่นสกีกันที่รีสอร์ทพิกัด 37.212943,127.295340 (จำชื่อรีสอร์ทไม่ได้ครับ) โดยก่อนจะไปก็ต้องไปเช่าชุดสกีกันก่อน ซึ่งทัวร์ก็พาพวกผมไปยังร้านเช่าชุดสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งแบบคนเยอะมาก มีแต่ทัวร์พามาเช่าชุดกันที่นี่ แถมส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยอีกต่างหากพอเช่าชุดเสร็จก็เดินทางไปที่ Ski Resort กันต่อ ซึ่งเจ้ารีสอร์ทนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นรีสอร์ทที่ใหญ่ดีครับ มีลานสกีให้เล่นประมาณ  7-8 track  เส้นทางที่ยาวที่สุดนี่รู้สึกจะยาวถึง 3 กิโลเลยทีเดียว เจ้าการเลื่อนไถลไปบนหิมะนี่ก่อนหน้านี้ผมเคยเล่นมาทีนึงที่ญี่ปุ่นที่เมือง Madarao ในจังหวัด Nagano (จังหวัดที่เคยใช้แข่ง Olympics ฤดูหนาว) ตอนนั้นผมเล่น  Snowboard และจำได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างทรมานทรกรรมสังขารของผู้ชายที่อายุเริ่มจะเข้าสู่เลข 3 แล้วอย่างผมมาก คือผมทนเล่น ฝึกเล่นอยู่ทั้งวัน เล่นเสร็จก็ไปอาบออนเซ็นให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายแล้ว แต่ก็ไม่คร้านที่วันที่ 2 พอตื่นมา มันเจ็บกล้ามเนื้อ (โดยเฉพาะก้น) ไปทั้งตัวจนเสียดายตังค์ที่จ่ายค่าเล่นสกีไป 2 วันเป็นอย่างมาก T_T เพราะวันที่สองผมได้แต่ยืนดูคนอื่นเล่น ไม่ได้เล่นเลย

จากประสบการณ์ดังกล่าวมาคราวนี้ผมเลยขอพี่ไกด์เค้าเล่นสกีบ้าง เนื่องจากรู้สึกว่ามันน่าจะเล่นได้ง่ายกว่า ซึ่งมันก็ง่ายกว่า Snowboard จริง ๆ ครับเพียงแต่ว่าถ้าล้มแล้วมันจะลุกขึ้นยืนยากกว่า คือทั้ง 2 อุปกรณ์นี่ก็มีข้อดีข้อเสียของตัวมันเอง อะไรประมาณนั้น แต่สิ่งที่เซ็งสำหรับการเล่นสกีที่ทัวร์จัดให้คือ ทัวร์จะไม่ซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าให้เรา (น่าจะเพราะว่าเล่นได้แค่ 2 ชั่วโมง กลัวซื้อมาแล้วจะไม่คุ้ม) ทำให้พวกผมต้องไปเล่นกันที่ลานฝึกหัด และพอลากตัวเองลงมาเสร็จ ต้องเดินย้อนขึ้นเนินเป็นระยะทางหลายร้อยเมตรกลับขึ้นไป แน่นอน ผู้ชายอายุใกล้เลข 3 อย่างผม แม้ว่าตอนไถล ๆ ลงมามันจะสนุกสนานเพียงใด แต่หลังจากเดินกลับขึ้นไปได้  2 รอบ ก็ต้องขอประกาศตัวว่าไม่เอาแล้ว ไม่เดินอีกแล้ว เนื่องจาก มันเดินขึ้นเนิน, สกีก็หนัก เรียกได้ว่าผมเหงื่อแตกท่ามกลางอุณหภูมิติดลบก็เพราะการเดินนี่แหละครับ


ก๊วนของผม ชุดพร้อมกันทุกคน

ทัวร์ดันพาไปลานสกีวันเสาร์ คนเลยเต็มลานสกีเลย เฮ้อ

น้องหนูเกาหลี ปุ้มปุ้ย ๆ น่ารัก

จริง ๆ ผมก็อยากฝึกเล่นตั้งแต่เด็กเหมือนกันนะเนี่ย เสียดาย มาเกิดในประเทศเมืองร้อน

พอเซ็ง ๆ กับการเล่นสกีแบบหน่วง ๆ เสร็จ ทัวร์ก็พาพวกเราที่หิวกันท้องกิ่วเนื่องจากร่างกายเผาผลาญพลังงานไปกับการเดินขึ้นเนิน ไปที่ร้านขายหมูย่างสไตล์เกาหลีหรือคาลบี้ (เนื้อหมูติดกระดูกกินกับผักสด ๆ แบบเมี่ยงคำ และก็ข้าวสวยและผักดองต่าง ๆ)  (ญี่ปุ่นเองก็จะมีเนื้อส่วนที่เรียกว่า คาลูบี้ ที่เป็นประมาณเนื้อซี่โครงเหมือนกัน) โดยร้านที่พาไปพิกัดอยู่ที่ 37.286726,127.210106 ร้านนี้เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในทริปนี้ของผมแล้วครับ อร่อยแบบ อร่อยจนประทับใจมาจนถึงตอนเขียนรีวิวนี่เลย คือเจ้าหมูที่เอามาทำนี่ทางร้านจะหมักซีอิ๊ว กับอะไรต่าง ๆ นา ๆ มาจนรสชาติกลมกล่อม และหมูก็จะใช้หมูชิ้นหนา ๆ มาปิ้ง โดยจะปิ้งทั้งก้อนใหญ่ ๆ เลย พอปิ้งจนสุกก็คีบขึ้นมาแล้วก็เอากรรไกรตัด ๆ ๆ จนเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอกินได้พอดีคำ โดยสามารถกินเปล่า ๆ เลยหรือจะเอาผักกาดแก้วมาห่อกินก็อร่อยทั้ง 2 แบบ มื้อนี้เนื่องจากหมูคาลบี้นี่มันอร่อยเว่อร์ บวกกับที่พวกผมเหนื่อยจากการเล่นสกีมา ก็เลยทำให้ พวกเราจัดกันหนักมาก จัดหนักจนคิดว่าหมูน่าจะหายไปเต็ม ๆ สัก 1 ตัวเลยมั้ง (ว่าไปนั่น) แต่ดีครับที่มื้อนี้สามารถเติมหมูได้ไม่อั้น เลยทำให้กินกันได้สะใจเต็มอิ่ม อ้อ ผมไม่รู้เขียนไปรึยังว่า ตะเกียบกับช้อนที่เกาหลีนี่เค้าจะใช้เป็นเหล็กหมดเลย เนื่องจากว่าเป็นกฎหมาย เหมือนกับว่าเมื่อก่อนจะมีการวางยาพิษอะไรกัน และตะเกียบเหล็กถ้าเอาจุ่มลงไปมันจะสามารถทดสอบความเป็นพิษได้ เค้าก็เลยบังคับใช้กันมา (อันนี้ผมไม่ชัวร์นะครับฟังคนอื่นมาอีกที)


คาลบี้หรือหมูย่างเกาหลีสุดแสนอร่อย ย่างกันชิ้นหนา ๆ ใหญ่ ๆ นี่เลย

ย่าง ๆ แป็บเดียวก็สุกล่ะครับ

กินกับสาหร่ายร้อน ๆ เข้ากันดีสุด ๆ

ผักดองและเครื่องเคียงต่าง ๆ กิมจิร้านนี้ก็อร่อยเว่อร์อีกแล้ว ส่วนผักกาดแก้วข้างล่างก็ห่อกินกับเนื้อหมู

เอากรรไกรตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เตรียมกิน

เบียร์ Cass เบียร์สัญชาติเกาหลี ช่วยเพิ่มความอร่อยได้เป็นอย่างดี

พอกินหมูย่างแสนอร่อยกันเสร็จพวกเราก็เดินทางไปที่ Neverland คลับสำหรับผู้ชายชื่อดังย่านเกษตร เอ๊ย Everland สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีกันต่อ เจ้าสวนสนุกยักษ์แห่งนี้ก็ให้อารมณ์เหมือนกับสวนสนุกที่อื่น ๆ ที่ผมไปมาคือจะเป็น resort , theme park ในตัวแต่ที่ต่างออกไปคือที่นี่จะมีสวนสัตว์กับสวนน้ำพ่วงแถมเข้าไปด้วย คือให้อารมณ์ประมาณว่ามาที่เดียวจบ ไม่ต้องไปไหนต่อเลย เจ้าสวนสนุกแห่งนี้ก็เป็นสวนสนุกที่ยิ่งใหญ่มาก แม้ว่าจะใช้เวลาเดินทางจาก  Seoul ค่อนข้างนานคือประมาณชั่วโมงนิด ๆ แต่ก็เรียกได้ว่าถ้ามาแล้วก็น่าจะคุ้มดี สวนสนุกนี้มีเจ้าของเป็น Samsung ยี่ห้อที่หลาย ๆ คนรู้จัก และมียอดผู้เข้าใช้ 8.6 ล้านคนเมื่อหลายปีก่อน หรือเป็นอันดับ 10 ของโลกเลย (Samsung กับ Hyundai นี่ผมเคยอ่าน  ๆ มาว่าเป็นสองยี่ห้อที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ยิ่งใหญ่ขนาดที่ 2 เจ้านี้รวมกันจะเท่ากับ  1 ใน 5 ของ GDP เกาหลีเค้าเลย)

แม้ว่าสวนสนุก Everland นี่จะมีอะไรให้เที่ยวให้เล่นมากมาย แต่ว่าด้วยเวลาอันแสนจะจำกัด คือกว่าทัวร์จะพาพวกผมไปถึงสวนสนุกนี่ก็ปาเข้าไป 3 โมงได้แล้ว และเค้าให้เวลาพวกผมเล่นกัน 2 ชั่วโมง! กับสวนสนุกที่ใหญ่โตอลังการขนาดนี้  2 ชั่วโมงมันจะไปเล่นอะไรได้เท่าไรกันเชียว ฮ่วย พอไปถึงพวกเราก็มุ่งหน้าไปยัง Low Land กันก่อน  คือ สวนสนุกแห่งนี้จะแบ่งเครื่องเล่นเป็น High land กับ Low Land ครับโดย Low land ก็จะเป็นโซนพวกของเล่นเด็ก ๆ หน่อย เป้าหมายของพวกผมคือ Snowbuster เครื่องเล่นที่เป็นเหมือนห่วงยางยักษ์แล้วเราก็นั่งบนมันแล้วก็ไถลลงมาบนเนินหิมะ (ประมาณเล่นสกีแต่ไม่ต้องไถลเอง) ซึ่งแม้ว่าจะต่อคิวอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงและได้เล่นแค่ 20 วิ แต่มันก็เป็นอะไรที่มันส์ดีครับ เนื่องจากพวกผมมีการเดิมพันกันว่าใครจะลงไปถึงเส้นชัยก่อน ก็เลยพยายามทำตัวให้ลู่ลม ให้มี Aerodynamics กันสุด ๆ

พอพวกผมเล่น Snowbuster กันเสร็จ เวลาล่วงเลยไปชั่วโมงกว่า ๆ ก็เลยคิดว่าจะไปต่อคิวเล่นเครื่องเล่นอีกสักอันนึงกัน หลังจากเลือก ๆ กันก็ไปลงเอยที่ Rolling X-Train หรือรถไฟเหาะอีก 1 อันที่ไม่อลังการเท่า T-express ที่เป็นรถไฟเหาะบนรางไม้ที่ชันที่สุด, ใหญ่ที่สุดและเร็วที่สุดของเกาหลี(แต่ดันปิดวันที่ผมไปเนื่องจากอากาศหนาวเกิน ไม้มันหด) แต่เจ้า Rolling X-Train นี่ก็เจ๋งอยู่ครับมีหมุนตีลังกา 2 รอบและมีควงสว่านอีก 2 รอบ แม้ว่าพวกผมจะต่อคิวกันร่วมชั่วโมงแต่พอได้เล่นเจ้าเครื่องนี้ที่กินเวลาไม่น่าเกิน 1 นาที ก็คุ้มค่าดีครับ เล่นเสร็จแล้ว Adrenalin สูบฉีดดีสุด ๆ สรุปการมา Everland ของพวกผมก็ลงเอยกันที่การได้เล่นเครื่องเล่นแค่ 2 อย่าง -*- เซ็งจิตครับ คือถ้าผมเป็นคนออกแบบโปรแกรมทัวร์เองนะ ผมจะพาลูกทัวร์มาทิ้งที่นี่ตั้งแต่เช้าเลย ไม่ต้องพาไปเล่นหรอกสกง สกี อะไรนั่นเพราะนอกจากจะเสียเงินค่าชุดเกือบ 2000 บาทแล้ว ผมไม่เห็นคนที่ไปจะเล่นกันเป็นได้ในเวลาสั้น ๆ นั่นสักคน ทางคนจัดทัวร์คงคิดว่า ยัดตารางทัวร์ให้ดูแน่น ๆ ไว้ให้ดูน่าสนใจดีกว่าที่จะจัดตารางให้มันเหมาะสม อะไรประมาณนั้นแน่เลยผมว่า

ทางเข้า Everland ครับ คล้าย ๆ Disney Land ทีโตเกียวยังไงไม่รู้

ด้านใน ๆ จะมีสิ่งก่อสร้าง ประติมากรรมที่ตกแต่งสไตล์เมืองแห่งเทพนิยายอยู่เต็มไปหมด

ร้านอะไรไม่รู้ครับไม่ได้เข้าไป

พนักงานจะพันสายที่ข้อมือให้ และสามารถเล่นได้ทุกเครื่องเล่น

ภายใน Everland ก็สวยดีนะครับ คนไม่ค่อยเยอะด้วย แม้ว่าจะเป็นวันเสาร์

ตึกสวย ๆ สไตล์รัสเซีย

ยังกะต้นไม้ในเทพนิยายเลย





เครื่องเล่นนี่คล้าย ๆ เฮอริเคนบ้านเราครับ คนต่อคิวเยอะดี

น้องหนูเกาหลีคนนี้ชอบเพื่อนผมมาก (เพื่อนผมตัวอ้วนใหญ่) พยายามมาเล่นด้วย น่ารักดีครับ

นั่งกระเช้าลงไปยัง Low land ในรูปจะเห็นเหมือนรางรถไฟเหาะ ตอนที่ไปเค้าไม่เปิดให้เล่นครับเนื่องจากอากาศหนาวไป รางมันจะหดตัว อาจมีอันตรายซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะเค้าบอกว่ามันเป็นเครื่องเล่นที่เจ๋งที่สุดในที่แห่งนี้แล้ว

อีกรูปกับรางรถไฟเหาะที่ว่า อยากเล่น ๆ ๆ

ถึงแล้วครับ ที่ ๆ ผมจะไปต่อคิวเล่นกัน Snowbuster

เราจะนั่งบนห่วงยางแล้วก็จะมีเชือกลากเราขึ้นไปเนินข้างบนเสร็จแล้วก็ไถลลงมาครับ สนุกดี

เสร็จจาก Snowbuster เวลาก็ล่วงเลยไปชั่วโมงกว่าแล้ว ก็เลยรีบกลับไป Highland ไปเล่นอีกเครื่องเล่นนึงกัน

พอเสร็จจาก  Everland พวกเราก็เดินทางไปที่ Seoul Tower (พิกัด 37.550333,126.991511) กันต่อ ที่ Seoul Tower นี่ตอนแรกผมก็คิดเอาไว้ว่าน่าจะเป็นเหมือน Tokyo Tower คือเป็นหอคอยกระจายสัญญาณที่เป็นโครงเหล็ก ๆ (เพราะเห็นว่าสร้างมานานแล้ว) แต่พอไปถึง ก็เจอหอคอยที่ให้อารมณ์เหมือนหอไข่มุกที่มุกดาหารบ้านเรา หรือหอไข่มุกที่เซี่ยงไฮ้มากกว่า โดยเจ้าหอคอยนี่รู้สึกว่าจะตั้งอยู่ใจกลางเมือง Seoul เลย และจะอยู่ในใจกลางสวนสาธารณะอีกทีนึง ซึ่งหอนี้ก็จะเหมือนหอคอยสูง ๆ ที่อื่น ๆ ในโลกนี้ครับ มีชั้นไว้สำหรับเสียเงินเพื่อขึ้นไปดูวิว แต่เนื่องจากว่าเวลาที่ทางทัวร์เค้าให้พวกผมลงไปเดินเล่นนั้นมีแค่ 30 นาทีเท่านั้น ก็เลยกลัวว่าขึ้นไปแล้วจะลงมาไม่ทันก็เลยได้แต่อยู่ตรงฐานหอคอยกันแทน โดยที่ฐานหอคอยนี่ก็จะมีส่วนที่คล้าย ๆ จุดแสดงความรักของหนุ่มสาวเกาหลี(และคนไทย) คือจะมีที่ให้ไปคล้องกุญแจแสดงความรักกัน ซึ่งหนังเรื่องกวน มึน โฮ หรือซีรีย์หลาย ๆ เรื่องก็น่าจะพามาที่นี่กันแล้ว แต่พอมาได้เห็นกับตาก็ต้องทึ่งจริง ๆ ครับเนื่องจากว่ามันใหญ่และเยอะและเว่อร์มาก มีแม่กุญแจร้อยพ่อพันแม่หลายพันอันมาคล้องกระจุก ๆ กันเป็นพรืด ก็เป็นอะไรที่อลังการและสวยดีครับ อ้อ สิ่งที่ทรมานอย่างคือ ตอนไป Seoul Tower นี่มันหนาวมาก ๆ ครับ ไม่รู้เพราะว่ามันอยู่สูงจากภูเขาหรือเพราะว่ามันลมแรง พวกผมนี่น้ำมูกไหลกันเป็นโจ๊กแบบ ห้ามยังไงก็ห้ามไม่อยู่เลย (จมูกแห้ง ร่างกายสร้างน้ำมูกมาทำให้มันไม่แห้ง) ทรมานมากครับตอนอยู่ Seoul Tower นี่


ที่ฐานก็เหมือนจะอยู่บนภูเขาแล้ว มองเห็นเมืองอันแสนจะยิ่งใหญ่ Seoul

เดิน ๆ ไปเริ่มมองเห็นหอคอย

รูปนี้ถ่ายจากใต้หอคอยครับ สวยดีนะ

กุญแจาร้อยพ่อพันแม่มาคล้องเบียดเสียดกัน

มี prop แสดงความรักหลายอันให้ถ่ายด้วยครับ

เนี่ยครับ แม่กุญแจเต็มผนัง

วิวสวย ๆ ของ Seoul อีกสักมื้อ


พอเสร็จจาก Seoul Tower พวกเราก็รีบมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารกันต่อ เนื่องจากเวลามันล่วงมาจวนจะ 2 ทุ่มแล้ว โดยมื้อเย็นนี่เราจะกินพุลโกกิ หรือหมูเกาหลีหมัก ผัดกับวุ้นเส้นและผักต่าง ๆ (อารมณ์ประมาณ สุกี้น้ำขลุกขลิก) มื้อนี้ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากครับ รสชาติอาหารพอใช้ได้ แต่แน่นอนว่าสู้ หมูย่างเกาหลี หรือ คาลบี้ ของมื้อที่แล้วไม่ได้เลย ก็แค่นั้น โดยเจ้าร้านที่ทางทัวร์พาพวกผมไปกินนั้นก็จะอยู่ในย่านที่ชื่อว่า ดงแดมุน (พิกัด 37.567577,127.007340) ย่านนี้ก็จะเป็นย่านที่เปรียบเสมือนสี่แยกราชประสงค์บ้านเราคือจะเป็นตึกหลาย ๆ ตึกที่แต่ละตึกจะขายเสื้อผ้าแฟชั่นกันเต็ม ๆ ตึก โดยแต่ละตึกก็จะมี concept ต่างกันออกไปเล็กน้อย เช่นที่ ตึก  Doota จะเป็นตึกที่รวมเอา young designer ที่อยากมีแบรนด์ของตัวเองมากระจุกรวมกันเลยทำให้ตึกนี้มีร้านที่เสื้อผ้าแนว ๆ อยู่เยอะ (แต่ราคาก็แพงกว่าตึกอื่น ๆ ) ส่วนตึกอื่น ๆ ข้างเคียงก็จะอารมณ์เหมือนประตูน้ำบ้านเราคือจะเป็นเสื้อผ้าธรรมดา ๆ ทั่วไป

แต่เนื่องจากผมเป็นพวกไม่ได้คลั่งไคล้แฟชั่นอะไรมาก รวมถึงเสื้อผ้าที่วาง ๆ ขายอยู่นี่ก็เป็นเสื้อผ้าฤดูหนาวที่ผมก็มีอยู่เยอะพอแล้ว (คือเยอะแบบใส่ไปเที่ยวพอน่ะครับ อยู่เมืองไทยมันไม่ต้องใส่อยู่แล้ว) ผมก็เลยชวนเพื่อนอ้วนของผมไปเดินเล่นหาสิ่ง ๆ นึงกันดีกว่า ทางทัวร์ให้เวลาลูกทัวร์ช้อปกัน 2 ชั่วโมง ผมกับเพื่อนอ้วนผมก็ไปเดินตามหาเจ้าสิ่ง ๆ นั้นอยู่ 2 ชั่วโมง และที่เซ็งคือหาไม่เจอด้วยครับ ระหว่างที่เดินเล่นดูเมืองหลวงเกาหลีท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บ ผมก็ได้ข้อสรุปอย่างคร่าว ๆ ว่า เกาหลีนี่จะคล้าย ๆ ลูกครึ่งไทยผสมกับญี่ปุ่น คือบ้านเมืองมีความเป็นระเบียบ สะอาด ในระดับที่ใกล้เคียงญี่ปุ่นแต่ก็ยังไม่สะอาดเท่า, มีการแข่งกันขายของแบบยืนตะโกนหน้าร้านแข่งกัน, มีถนนหนทางที่ออกแบบมาสำหรับคนพิการและออกแบบมาให้คนเดินมากกว่ารถวิ่ง , ฯลฯ แต่ก็จะยังมีบางอย่างที่คล้าย ๆ เมืองไทยคือมีร้านอาหารข้างถนนตั้งแบบอยู่บนฟุตบาธเลย, มีของก็อปวางกันแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม, คนขับรถอยากจะ U-turn ตรงไหนก็ยู อยากจะปาดยังไงก็ปาด ฯลฯ อันนี้ก็ไม่รู้ทำไมมันถึงเป็นอะไรที่มาผสมลงตัวอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าจะว่าว่ามันเป็นเรื่องไม่ดีนะครับ กลับเป็นเรื่องดีซะอีกเพราะบางอย่างที่ผมชอบเกี่ยวกับเมืองไทย (ของก็อบ, ร้านข้างถนน) พอได้เห็นในสิ่งเหล่านี้ในประเทศที่พัฒนาแล้วมันก็รู้สึกเหมือนแดกดันระคนความสะใจดี ฮ่า ๆ ( อ้อ สิ่งที่ผมตามหาคือ ปลาหมึกสด ๆ พันไม้แบบในเรื่อง กวนมึนโฮน่ะครับ หายังไงก็หาไม่เจอ T_T)

ร้านพุลโกกิที่เราจะฝากท้องกันในมื้อนี้

คนเริ่มหาย ๆ ไปบ้างแล้วเนื่องจากดึก

เป็นหมูหมัก, ผักกะหล่ำและวุ้นเส้น ต้มอยู่ในน้ำขลุกขลิก ๆ

เครื่องเคียงร้านนี้ไม่ค่อยอร่อยเลยครับ

ซูมเข้าไปสักหน่อย หมูหมัก, ปลาหมึก และผัก

ซูมปลาหมึก ๆ ๆ

ตึก am, pm หนึ่งในตึกที่เป็นตึก shopping ประจำย่าน ดงแดมุน

ร้านห้องแถวของที่นี่จะคล้าย ๆ ญี่ปุ่นครับ คือเป็นระเบียบ ๆ ถนนกว้าง ๆ แล้วก็ใช้พื้นที่หลายชั้นให้เป็นประโยชน์


เดินตามหาปลาหมึกสดเสียบไม้ หาไม่เจอ เจอแต่อะไรก็ไม่รู้ครับ

ห้าง Doota  ห้างที่รวมร้านของ Young Desinger

ร้านข้างถนนก็มีครับ อันนี้เสื้อบอลของปลอม

ห้าง 3 อันที่อยู่ติดกัน เป็นคู่แข่งกัน

พวกเสียบไม้ปิ้งย่างหรือแบบต้ม (โอเด้ง) นี่มีเยอะครับตามข้างทางประเทศเกาหลี

กว่าจะเสร็จจากย่าน ดงแดมุน เวลาก็ล่วงเวลาไปเกือบห้าทุ่ม และกว่าพวกเราจะเดินทางไปยังโรงแรมที่อยู่นอกเมือง เวลาก็ล่วงเลยเข้าไปเกือบเที่ยงคืน โรงแรมแห่งที่ 2 ที่ทัวร์พาผมไปพักคือโรงแรม ชื่ออะไรก็ไม่รู้ครับ เป็นโรงแรมประมาณ Love Hotel พิกัด 37.537649,127.138665 เพราะอะไรผมถึงเรียกโรงแรมนี่ว่า Love Hotel? ก็เพราะว่าการตกแต่ง, สภาพห้อง และทำเลของย่านนี้ (คือมีเหล่าคุณตัวทิ้งนามบัตรของตัวเองลงพื้นกันไว้เยอะมาก เดิน ๆ ในย่านนี้นี่เรียกได้ว่า มีอารมณ์เมื่อไร ไปเลือกเอานามบัตรตามพื้นได้เลย ฮ่า ๆ ) ล้วนบ่งชี้ว่าเป็นแบบนั้นหมดน่ะสิครับ  แต่โรงแรมนี้ก็ดีอย่างนะครับ มีคอม (Desktop) ให้ใช้ในห้องเลย, ห้องน้ำกว้างดี และก็ทีวีจอใหญ่ดี ยังไงก็ดูรูปประกอบเอาละกันครับสำหรับโรงแรมแห่งนี้ สำหรับวันที่  2 ของผม ณ ดินแดนพลังโสมแห่งนี้ก็จบลงด้วยความเหนื่อยล้าเหมือนเช่นวันแรกอีกแล้ว มาเที่ยวกับทัวร์นี่เค้าพาเที่ยวได้สะใจ ไม่สนใจอะไรจริง ๆ วันที่   3 จะเป็นยังไงต่อ ติดตามอ่านต่อได้เลยครับ

ห้องจะเล็ก ๆ หน่อย

แต่มีทีวีกับคอมให้เลย

ห้องน้ำก็ใหญ่มีอ่างอาบน้ำ

และฝักบัวให้


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment