Tuesday, September 4, 2012

South Korea Winter Trip 2012 by BumRes.com - Day 1

South Korea Winter Trip 2012 by BumRes.com - Day 1



ขอเปิดรูปทริปนี้ด้วยหมูย่างเกาหลี (คาลบี้) อาหารที่อร่อยที่สุดในทริปนี้ครับ

พอดีเมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวเกาหลีในฤดูหนาว ก็เลยจะมาแชร์ประสบการณ์ให้ทุกท่านได้รับชมกันเล็กน้อยครับ ทริปนี้ต่างจากรีวิวญี่ปุ่นของผม 2 อันที่ผ่านมาพอสมควรเพราะ

1. ผมไม่ค่อยรู้จักเกาหลีสักเท่าไร เลยไม่สามารถใส่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสอดแทรกลงไปได้ ต่างจากญี่ปุ่นซึ่งผมผูกพันกับประเทศพี่ยุ่นเค้ามานาน
2. ผมไปกับทัวร์ก็เลย ไม่ได้กินอาหารตามใจอยาก แต่อาหารในทริปนี้ก็ใช่ย่อยครับ แต่ก็แน่นอนว่าไม่เท่ากับที่ผมจัดเต็มเองที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว และก็รูปอาหารจะน้อยหน่อยครับเนื่องจากถ่ายเยอะ ๆ เกรงใจลูกทัวร์คนอื่นเค้า

ก็เมื่อเข้าใจ 2 ข้อนี้แล้วก็มาเริ่มท่องดินแดนกิมจิกันเลยดีกว่าครับ


เนื่องจากการไปเกาหลีครั้งนี้ของผมเป็นการไปเหยียบดินแดนพลังโสมครั้งแรกในชีวิต การไปกับทัวร์ก็เลยเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการไปเอง เพราะ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศเค้าเลย โอเค อาจจะอ่านหนังสือ ท่องเน็ทหาความรู้อะไรก่อนไปได้ แต่พอไปถึงทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นเหมือนในหนังสือหรือในเว็บทั้งหมด การที่ได้เอาตัวเองไปเหยียบยังสถานที่ที่จะไป ไปสัมผัสบรรยากาศ ผู้คนและสิ่งแวดล้อมก่อน โดยมีไกด์และทัวร์พาไปในครั้งแรกที่เราไปยังดินแดนนั้น ๆ เลยไปทางเลือกที่ผมมักจะเลือกเสมอ ซึ่งนอกจากเหตุผลนี้แล้ว ทัวร์เกาหลี ยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะโดดเด่นและเจ๋งกว่าทัวร์ประเทศอื่น ๆ มากเพราะว่า ค่าทัวร์ถูกมากเมื่อเทียบกับจำนวนวันที่ไป อย่างของผมราคา 22,200 บาท ไป 5 วัน 3 คืน (จริง ๆ ก็ 4 วัน 3 คืนน่ะแหล่ะครับ ผมล่ะเบื่อไอ้พวกทัวร์ที่แบบนับวันที่เครื่องบินเป็น 1 วันจริง ๆ คือมันก็ไม่ใช่ว่าลูกค้าจะโง่ ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเที่ยวกี่วันกันแน่หรอกนะ แต่เห็นเดี๋ยวนี้ทำกันหมดทุกทัวร์ เฮ้อ อย่างของผมนัดเจอที่สนามบิน 3 ทุ่ม เครื่องออก 5 ทุ่มครึ่ง พี่แกนับเป็น 1 วันแล้ว? ถามจริง คิดได้ไง?)  เมื่อเทียบกับทัวร์อื่น ๆ เช่นญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย หรือยุโรปแล้ว จำนวนวันเท่า ๆ กันนี่ไปเกาหลีถูกกว่ากันเกือบครึ่งนึงเลย (ไม่นับไปจีนที่ราคาพอ ๆ กัน) รวมถึงผมลองค้นราคาตั๋วไปเกาหลีแบบไปเอง เจอถูกที่สุดประมาณ 15,000 - 16,000 ซึ่งสมมติซื้อตั๋วไปเอง แล้วไปเที่ยว 4 วัน ยังไง ๆ มันก็ต้องแพงกว่าทัวร์อยู่แล้ว แน่นอนไปทัวร์ก็เลยคุ้มกว่า

สิ่งแรกเลยที่ทำให้ทัวร์ไปเกาหลีถูกเพราะเราจะนั่ง  ​Business Air กัน เจ้าสายการบินนี่ก่อนหน้าที่จะไปเกาหลี ผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนหรอกครับ และเพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าสายการบินนี้จะเน้นดีลกับทัวร์หรือแบบกรุ๊ปใหญ่ ๆ เท่านั้น (หน้าเว็บของสายการบินเองไม่มีขายตั๋ว, ไม่มี agency ไหนเด้งตั๋วอันนี้ขึ้นมาตอนจะซื้อตั๋วหน้าเว็บ) ซึ่งก็น่าจะทำให้ราคาตั๋วถูกกว่าซื้อเองอยู่แล้ว บวกกับความกาก และ low cost สุด ๆ ของสายการบินเข้าไปก็ยิ่งทำให้ราคาตั๋วที่ทางทัวร์ได้ราคามา น่าจะถูกอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว (ผมล่ะอยากรู้ราคาจิงจิ๊ง)

สายการบิน Business Air นี่น่าจะเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน เครื่องบินทุกลำของเขาจะซื้อมือสองมาจาก การบินไทย เลยทำให้ทุก ๆ อย่างในเครื่องเป็นของตกยุคที่เครื่องบินสมัยนี้ไม่มีกันแล้วซึ่งจริง ๆ แล้วก็แค่ที่นั่งกับทีวีนี่แหละครับ ที่เดี๋ยวนี้ที่นั่งแบบ economy จะมี leg room กว้างหน่อย (และเก็บค่าที่นั่งแพงขึ้น) รวมถึงแต่ละที่นั่งจะมีทีวีส่วนตัวกันหมดแล้ว แต่สำหรับ Business Air นี่ ที่นั่งแคบมาก + ไม่มีทีวีส่วนตัว + ไม่เปิดหนังให้ดูที่ projector อีกต่างหาก รวมถึงอาหารที่เสิร์ฟในไฟลท์ก็จัดได้ว่าค่อนข้างเลวร้าย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่มี (มีแค่น้ำเปล่า, โค้ก, น้ำส้ม, น้ำแอปเปิ้ล) และแอร์ก็บริการไม่ค่อยดีเท่าไรด้วย คือเรียกได้ว่าสายการบินนี้มันคือ low cost airways อย่างสมบูรณ์แบบเลย (คือผมจะไม่ค่อยนั่งน่ะครับยกเว้นนั่งในประเทศ) ก็ถ้าไม่คิดอะไรมาก คิดว่า 5 ชั่วโมงบนเครื่องบิน มันผ่านไปไวเหมือนโกหกแล้ว (แต่สำหรับผมมันไม่ใช่) ก็น่าจะโอเคกับราคาที่จ่ายไปนะ

ตม.เกาหลี มีสแกนลายนิ้วมือเหมือนญี่ปุ่น และตม.ไม่ถามอะไรเช่นกัน (ส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ได้ ฮ่า ๆ)

สนามบิน สวย เป็นระเบียบ สะอาดมาก แต่เห็นแบบนี้ ตอนนี้ -3 องศา นะครับ

เช่นเคยครับ ผมชอบถ่ายตู้ขายน้ำ, อาหารใน convinient store, ห้างของประเทศอื่น เบียร์ของเกาหลีมี 3 ยี่ห้อที่ขายดี Cass , Hite และ Max ผมลองหมดล่ะ 3 อันรสชาติจะเบา ๆ นุ่ม ๆ คล้าย ๆ เบียร์ญี่ปุ่น

เครื่องดื่มแปลก ๆ มีพอสมควรเหมือนกัน แต่ไม่เท่าที่ญี่ปุ่น


สนามบินของเกาหลีที่จะเปิดประตูรับชาวต่างชาติคือสนามบิน Incheon International Airport ที่ตั้งอยู่ที่เมือง Incheon ด้านซ้ายของกรุงโซล สนามบินนี้เป็นสนามบินขั้นเทพเพราะ 7 ปีที่ผ่านมา (2005 - 2012) สนามบินแห่งนี้ได้รับรางวัลสนามบินที่ดีที่สุดในโลกมาทุกปี และได้รับคะแนน 5 ดาวเต็มจาก Skytrex มาทุกปีด้วยเช่นกัน (มีแค่สนามบินฮ่องกง, สิงคโปร์ที่ได้รางวัลแบบเดียวกัน) เครื่องบินลงจอดเวลา 7 โมงที่เกาหลีโดยประมาณ กว่าจะทำเรื่องผ่านคนเข้าเมือง, ศุลกากรกันเสร็จ รอคนโน้นรอคนนี้ในทัวร์ ก็เป็นเวลาร่วม 10 โมงเข้าไปแล้ว ซึ่งทัวร์ก็กะเวลาเอาไว้ดีมากตามประสาผู้เชี่ยวชาญ เพราะเป้าหมายแรกในทริปนี้ หมู่บ้านฝรั่งเศส Provence Village ก็ใช้เวลาไม่นานและไปกินข้าวเที่ยงต่อใกล้ ๆ กันได้อย่างพอดิบพอดี

พูดถึงความล่าช้าที่สนามบินอินชอน หลาย ๆ ท่านคงรู้กันอยู่แล้วว่า คนไทยไปเกาหลีไม่ต้องใช้วีซ่า (เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่พัฒนาแล้วที่ไม่ require ให้คนไทยทำวีซ่า หรือเป็นประเทศเดียวด้วยซ้ำ? เพราะผมนึกประเทศอื่นไม่ออก -_-") ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่ามันจะผ่านได้แบบชิล ๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่พี่ไกด์ประจำทัวร์บอกว่า มีหลายคนไม่ผ่านเหมือนกันเนื่องจากมีคนไทยแอบหนีไปทำงานตามโรงงาน, ชนบทที่เกาหลีเยอะ ซึ่งถ้าไม่ผ่านตม. ก็จะถูกส่งกลับประเทศไทยเลยทันที (ตามรอบเครื่องที่มี) พี่ไกด์เขาบอกว่า เขาทำทัวร์มา มีหลายคนเหมือนกันที่หายตัวไประหว่างทัวร์ แรก ๆ ก็ตกใจแต่หลัง ๆ ก็เริ่มชินแล้ว จากที่ผมสังเกตเห็นตม.เกาหลีสแกนคน เขาจะดูคนที่ท่าทางบ้านนอก ๆ หน่อย (อย่าถือสาผมเลยนะครับที่อาจจะใช้คำไม่ค่ดีแต่ผมนึกคำอื่นไม่ออก) คือ รูปร่าง หน้าตาลักษณะ คล้าย ๆ ชาวบ้าน ๆ น่ะครับ แต่งตัวไม่ค่อยดี ตัวดำ ๆ ดูบ้านนอก ๆ นั่นแหละ ผมไม่เห็นผ่านสักราย ฉะนั้นใครที่ไปเกาหลี และคิดว่าผ่านง่าย ๆ อาจจะเตรียมอะไรไปหน่อยบ้างก็ดีนะครับ เช่น พาสปอร์ตที่มีวีซ่าว่าไปที่ไหนมาแล้วบ้าง, บัตรพนักงานบริษัทหรืออะไรก็ว่าไป แต่สำหรับตัวผมเอง พาสปอร์ตผมเพิ่งหมดและไปทำเล่มใหม่ ขาวจั๋วใหม่เอี่ยม งานการก็ไม่ได้ทำ แต่ตม.ที่ผมเจอก็ยิ้มให้และให้ผ่านไปแต่โดยดี (ต้องการจะสื่ออะไรใช่มั้ยครับ ฮ่า ๆ)


แผนที่เกาหลี ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไรหรอกครับ

พูดถึงภูมิศาสตร์ของประเทศเกาหลีกันเล็กน้อย ประเทศแห่งกิมจินี้ เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่เหมือนเป็นติ่งยื่นออกไปจากแผ่นดินใหญ่ อยู่ระหว่างจีนและญี่ปุ่น โดยประเทศเกาหลีจะถูกล้อมรอบด้วยทะเลถึง 3 ด้าน ตะวันออก, ใต้ และตะวันตก แต่เนื่องจากไม่มีกระแสน้ำอุ่นพักเข้าประเทศเหมือนกับญี่ปุ่นเลยทำให้อากาศของประเทศนี้ค่อนข้างหนาวกว่าญี่ปุ่นพอสมควร (ตอนที่ผมไป ปลายเดือนกุมภา อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ -2 - -5 เซลเซียสโดยประมาณ อันนี้คือตอนกลางวันนะครับ ตอนเช้า ๆ นี่ลงไป -13 ยังมีเลย หนาวมากกก หนาวจริง ๆ หนาวจนทรมาน) กรุงโซลเมืองหลวงจะอยู่ตอนซ้ายบนของประเทศ และเมืองใหญ่ ๆ ที่เราน่าจะคุ้นเคยกันก็มี Busan ที่อยู่ขวาล่าง ใกล้ญี่ปุ่นมาก ๆ และ เกาะ Jeju ที่ใกล้ญี่ปุ่นมาก ๆ เช่นกัน (เกาหลีกับญี่ปุ่นเค้ามีอะไรที่คล้าย ๆ กันหลายอย่างมากครับ หลัก ๆ ก็เรื่องภาษานี่แหละภาษาของ 2 ประเทศนี้เค้าคล้ายกันมาก คล้ายกันทั้ง Grammer , ศัพท์ และการออกเสียง ทำให้คนไหนรู้ภาษานึงก็สามารถเรียนกอีกภาษานึงได้อย่างง่ายดายเลย) อืมจริง ๆ ก็มีอะไรให้เขียนเยอะเหมือนกันนะเนี่ยเกี่ยวกับเกาหลี เดี๋ยวค่อย ๆ  ทะยอยเขียนไปดีกว่า


หมู่บ้านฝรั่งเศส La Provence Village เป็นสถานที่แรกที่เราไปเที่ยวกัน ที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากก็เป็นคล้าย ๆ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่สร้างขึ้นมาเลียนแบบหมู่บ้านที่แคว้น Provence ฝรั่งเศสตอนใต้ เป็นร้านรวงต่าง ๆ มาตั้งอยู่รวม ๆ กันและตกแต่งร้าน รวมถึงลานกลางหมู่บ้านเป็นสไตล์เมืองโพรวงซ์ที่ฝรั่งเศส (ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเหมือนมั้ยอะไรมั้ยเพราะไม่เคยไปฝรั่งเศส) ที่นี่ไม่มีอะไรนอกจากถ่ายรูป กับซื้อของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ


หมู่บ้านเล็ก ๆ แต่ต้นไม้โกร๋นหมด

บ่อน้ำเป็นน้ำแข็งเลยครับก็สวยไปอีกแบบ

มีขายของน่ารัก ๆ เต็มหมู่บ้าน


คนไม่ค่อยเยอะ เพราะหนาวครับ และส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยนี่แหละ -*-

ตอนมีใบไม้น่าจะสวยกว่านี้




อาหารเที่ยงมื้อแรกของผมที่เกาหลี ทางทัวร์พาไปกินร้าน ขาย ทัคคาลบี หรือ ไก่บาร์บีคิวผัดซอสเกาหลีอาหารเลื่องชื่อของเมืองชุนชอน โดยนำไก่บาร์บีคิว มันหวาน ผัดกะหล่ำ ต้นกระเทียม ข้าวปั้น และซอสมาผัดรวมกันบนกระทะแบนดำ คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน บอกตรง ๆ ว่าประสบการณ์ของผมกับอาหารเกาหลีตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น ไม่เคยมีสิ่งดี ๆ เลย ผมกินอาหารเกาหลีที่เมืองไทยมากี่ร้าน ๆ ไม่เคยเจอร้านไหนอร่อยสักร้าน (แต่ก็ไม่ได้กินเยอะครับ อย่างมากก็สัก 10 ครั้งได้) ผมก็เลยค่อนข้างจะมีอคติพอสมควร แต่หลังจากที่ได้กินอาหารเกาหลี ที่เกาหลีจริง ๆ มื้อแรกเข้าไป ทัศนคติก็เริ่มเปลี่ยนครับ อาหารของเค้ารสชาติใช้ได้เลย แม้ว่าจะไม่ได้อร่อยเลิศเหมือนอาหารญี่ปุ่น แต่ดีกว่าอาหารเกาหลีที่กรุงเทพมากมายครับ เจ้า ทัคคาลบี อาหารมื้อแรกนี่ก็เป็นมื้อที่พอใช้ได้ดับความหิวได้ดี แต่ทีเด็ดของอาหารเกาหลีทุกร้านคงเป็นที่กิมจิครับ ทุกร้านทำกิมจิได้อร่อยจริง ๆ อร่อยมาก อร่อยจนแบบพวกผมติดใจกันทุกคน และกินกันเยอะจนตด ปู๊ด ๆ ๆ กันแทบจะตลอดทริป (กิมจิมีจุลินทรีย์มากกว่านม 5 เท่า)

ไม่รู้จะเรียกว่าคล้ายอาหารอะไรดีของบ้านเรา เอาไก่มาแหมะ แล้วก็ผัด ๆ กับผัก

กะทะใหญ่ครับ และทุกร้านที่กินในทัวร์เป็นอาหารสไตล์นี้หมด คือเป็นกะทะ, หม้อรวมตรงกลางโต๊ะ

เริ่มผัด ๆ ๆ ๆ

กิมจิ ณ ดินแดนกิมจิ เป็นอะไรที่อร่อยล้ำจริง ๆ ครับ โอยชอบ

ผักเอามาห่อกินกับไก่ครับ คล้าย ๆ เนื้อเป็ดที่เอาไปทำเมี่ยงของเป็ดปักกิ่ง (หมายถึงสไตล์ห่อกับผักกิน)

ผัดสักพักเริ่มสีเปลี่ยน

สุดท้ายเป็นสีประมาณนี้ รสชาติดีครับ (แต่ไม่ถึงกับอร่อยจนร้องกรี๊ด) 

ที่เกาหลีมีกาแฟหยอดตู้เยอะมาก อันนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

แก้วละ 100 วอน (3 บาท) แต่มันช่างอร่อยและคุ้มค่ามาก ๆ ยิ่งกินกลางอากาศหนาว ๆ แบบนี้นี่ยิ่ง fin สุด ๆ ใครไปเกาหลีเจอตู้หยอดกาแฟ แนะนำให้หยอดเลย

อันนี้ไม่ได้กิน แต่ไปยืนหน้าครัวเห็นมีทำออกมาวางรอเสิร์ฟ เหมือนมาม่าต้มยำกุ้งบ้านเรามากเลย ฮ่า ๆ

หน้าร้านครับ ไม่ได้เมมพิกัด GPS มา และร้านอยู่ค่อนข้างบ้านนอก แต่ก็เป็นร้านทัวร์ลงร้านนึงล่ะครับ ถ้าท่านไปทัวร์เกาหลี ท่านก็น่าจะได้แวะไป

ฟ้าสวยทุกวัน ตลอด 4 วันที่ไปเกาหลี

พอกินกันเสร็จเราก็มุ่งหน้าไปเกาะนามิกันต่อเลย เกาะนี้หลาย ๆ ท่านคงรู้จักกัน เป็นเกาะที่เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครทีวี Winter Love Song ตัวเกาะก็เป็นเกาะขนาดเล็ก ๆ (หรือไม่เล็กไม่รู้ คือเดินไปไม่สุดอีกขอบของเกาะ) ตั้งอยู่ในทะเลสาบสักแห่งของเกาหลี นั่งเรือจากท่าเรือไปแค่ 10 นาทีก็ถึงแล้ว วันที่ผมไป นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะเท่าไร พอถ่ายรูปกันได้ชิล ๆ (เป็นคนเกาหลีสักครึ่ง, คนไทยสักครึ่ง) เกาะนี้ก็ไม่มีอะไรครับ เหมือนเอาอะไรหลาย ๆ อย่างมาจับฉ่ายลงบนเกาะ มีประติมากรรมแปลก ๆ , มีสัตว์น่ารัก ๆ (เป็ด, นกกระจอกเทศ) มีฉากธรรมชาติสวย ๆ แต่หลัก ๆ เลยก็คือมาเก็บวิว เก็บบรรยากาศอย่างเดียว ผมไปตอนหน้าหนาว(จัด) นอกจากจะทรมานกับลมที่พักโกรกตลอดเวลาแล้ว ต้นไม้ยังโกร๋นกันทุกต้นด้วย แนะนำว่าไปหน้าใบไม้ร่วง, ใบไม้ผลิ เกาะนี้น่าจะเป็นเกาะที่งดงามมาก ๆ เกาะนึง

ที่ท่าเรือ มีอะไรที่ทำให้ออกแนวโรแมนติค ๆ เตรียมไว้เยอะเลย

ท่าเรือครับ เขียนว่า republic of nami อะไรสักอย่าง

หัวใจจากหิมะ ที่รูปร่างได้ แต่ความสะอาดไม่ได้เลย

คนรอลงเรือกัน เรือลำไม่ค่อยใหญ่มาก แต่ก็อัดกันไปจนเต็มเรือ

น้ำพุที่แข็งเป็นน้ำแข็งบริเวณท่าเรือ แข็งจริงอะไรจริง 

ทะเลสาบเป็นน้ำแข็งอีกแล้ว น่าเล่น Ice Skate

มีนกกระจอกเทศด้วย ว่าแต่เจ้านกนี่ไม่หนาวหรืออย่างไร จำได้ว่าพี่นกตัวใหญ่นี่เป็นสัตว์อยู่แอฟริกานะ งงครับ อยากขี่ครับ ฮ่า ๆ

ที่เกาะนามินี่้เท่าที่ดูจากแผนที่แล้ว ค่อนข้างอยู่ไกลจากกรุงโซลพอสมควร แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าที่คู่รักชาวเกาหลีจะมาเที่ยวจู่จี๋กัน และพ่อแม่จะพาลูกมาเที่ยว เด็กเกาหลีนี่ก็เป็นเด็กอีกหนึ่งชาติที่ทำให้โรค Lolicon, pedophile ของผมกำเริบ (ก่อนหน้านี้กำเริบที่ญี่ปุ่นมา) เด็กเค้าจะตัวขาว ๆ หน้าตี๋ ๆ หมวย ๆ น่าฟัดน่ากอดมาก และพ่อแม่ก็จะใส่เสื้อหนาวให้ลูกจนตัวบวม ๆ เด็กก็เดินกันไม่ถนัด ต้องเดินเป็น Doraemon กัน ก็เป็นอะไรที่น่ารักดีชะมัดเลยครับ ฮ่า ๆ  ที่เกาะนามินี่ก็เหมือนที่เที่ยวทั่วไปที่ต้องมีบริการพวกขนม, ของว่างให้ซื้อกินเล่น แต่ต่างจากที่อื่นหน่อยตรงที่ของที่ขายจะเป็นของที่ traditional สไตล์เกาหลีมาก ๆ และราคาไม่ค่อยแพงเท่าไร อย่างซาลาเปาสไตล์เกาหลีลูกละ 300 won หรือ 9 บาท , แพนเค้กเกาหลี อันละประมาณ 20 บาทอะไรงี้ครับ ก็งงว่า ทำไมเป็นแหล่งท่องเที่ยวแต่ขายถูกจัง พูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายแล้ว เกาหลีนี่ถูกกว่าญี่ปุ่นมากจริง ๆ ค่าครองชีพคร่าว ๆ น่าจะแพงกว่ากรุงเทพเล็กน้อย เรียกได้ว่า ผมที่ไปญี่ปุ่นมา 4-5 ทีพอมาเกาหลีนี่จ่ายคล่องมากเลยครับเพราะรู้สึกว่าอะไร ๆ มันก็ "เฮ้ย มันถูกจัง"

ประติมากรรมน้ำแข็งแนว abstract ที่ abstract ซะจน .. ไม่มีคำบรรยาย

ไม่รู้ข้ามไปไหนเหมือนกัน

น้องคนนี้น่ารักมาก โดนแม่ให้ไปยืนเลียนแบบตัวหุ่นด้านหลังก็ทำ น่ารักเป็นบ้า

อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่ากองหินอะไรครับ

รูปปั้นแม่ให้นมลูก ตัวใหญ่มากครับ ไม่รู้สื่อถึงอะไรเหมือนกัน

ต้นไม้โกร๋นหมดเลย ไม่สวยเลย ฮือ ๆ หนาวก็หนาว

แบ ยอง จุน ป่ะครับ รูปปั้นชื่อดังจากหนังเรื่อง กวน มึน โฮ

ซาลาเปา แบบบ้าน ๆ 

ดูน่ากินมากครับ ร้อน ๆ ควันฉุย ๆ แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไร

หัวใจเต็มเกาะ

น้องเป็ดน่ารัก ๆ ก็มีอยู่เยอะดีครับ

พอเสร็จจากเกาะนามิอันแสนหนาวเหน็บ พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังฟาร์มสตรอเบอรี่กันต่อ คือผมก็ไม่เคยไปฟาร์มสตรอเบอรี่หรอกครับเลยไม่รู้ว่าเป็นยังไง ประวัติของเจ้าผลไม้ที่หลายคนชื่นชอบนี่รู้สึกว่าตอนแรกสุดจะเอาไว้เป็นพืชคลุมหน้าดิน (straw แปลว่า ฟาง) แต่พอมีคนเอาผลของมันไปกิน แล้วมันอร่อยขึ้นมาก็เลยพ่วงท้ายคำว่า berry ตามไปและกลายเป็นผลไม้ยอดฮิตไปทั่วโลกในภายหลัง ที่ฟาร์มสตรอเบอรี่ที่เกาหลีนี่ก็เป็นฟาร์มที่ใหญ่มากครับ ปลูกในระบบปิด ซึ่งเจ้าอาคารที่ปลูกนี่ผมก็ไม่รู้เรียกว่าอะไร (Greenhouse รึเปล่า) มีหลายอาคารมาก หลายสิบอาคารเลย เราสามารถไปหยิบสตรอเบอรี่กินได้สด ๆ จากในฟาร์ม ซึ่งสตรอเบอรี่ของที่นี่ สดและหวานมาก และจุดประสงค์ที่ทัวร์พาเรามาที่ฟาร์มนี้ก็เพราะว่า เค้าจะขายสตรอเบอรี่เราครับ ซึ่งเทคนิคนี้ก็เป็นเทคนิคที่ค่อนข้างจะเนียนและมัดใจลูกค้าได้ดีมากเนื่องจากลูกทัวร์ในทัวร์ผมกว่า 30 ชีวิต ซื้อกลับกันไปคนละกล่อง 2 กล่องหมด ยังไม่รวมคนไทยที่ผมเจอที่สนามบินที่หิ้วกล่องสีชมพูนี่กันแทบทุกคน แต่ก็อย่างว่าครับ ของเค้าดีจริง และเมืองไทยมันไม่มีสตรอเบอรี่ที่ใหญ่และสดขนาดนี้

ระหว่างทางไปฟาร์ม ค่อนข้างบ้านนอก

มี green house เยอะมากครับ

แต่ละหลังก็ใหญ่พอตัวเลย


เด็ดแล้วกินกันสด ๆ ได้เลย

หวานและสดมาก


คือผมหยิบกินใน Green house เลย จนป้าด้านขวาในรูปมาบอกว่าไม่ได้นะยะ เอ็งต้องไปกินข้างนอก

พออิ่มจากสตรอเบอรี่ พวกเราก็ไปกันที่วัด วาวูจองซา Waujeongsa Temple วัดที่มีแต่พระเศียร์ของพระพุทธรูปตั้งตระหง่านอยู่ พี่ไกด์บอกว่า เค้าจงใจสร้างแต่เศียรเพราะกะจะสร้างตัว body ตอนที่เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้รวมประเทศกันแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เห็นตัว body ของพระพุทธรูปนี้มั้ยเหมือนกัน แต่ คิม จอง อิล สิ้นไปแล้วก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับ วัดนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ มีของที่ระลึกแนว ๆ ซื้อแล้วเหมือนทำบุญกับวัด, มีกระเบื้องแผ่นละ 300 บาทซื้อแล้วก็จะได้สลักชื่อของตัวเองลงไป ผมเห็นกระเบื้องวางเรียงรายเยอะมาก และมีแต่คนไทยทั้งนั้นที่บริจาค และก็เหมือนจะมีบ้านเห็ดของมาริโอ้ให้นอนค้างได้ (อันนี้ไม่รู้มั่วครับ) วัดนี้ก็เหมือนเกาะนามิ คือมาถ่ายรูปอย่างเดียว -*- จริง ๆ แล้วอุโบสถของวัดจะมีพระนอนขนาดใหญ่ที่แกะสลักมาจากไม้ที่นำเข้ามาจากอินเดีย และระฆังที่ใช้ตีในพิธีเปิดโอลิมปิคในปีค.ศ. 1988 ด้วย แต่ทั้ง 2 อย่างหลังนี่ผมไปตอนเย็นมากแล้ว อุโบสถเลยปิดไปแล้ว (ฮ่วย ไม่คำนวณเวลาดี ๆ ฟะพี่ไกด์)

มีแต่เศียรครับ

แต่ก็ใหญ่ดี

พระพุทธรูปเล็ก ๆ เรียงรายห้อมล้อม เหมือนเป็นทหาร เฝ้าระวัง

ทะเลสาบเป็นน้ำแข็งอีกแล้ว

คนไทยบริจาคเยอะมากครับ

บ้านเห็ดที่น่าจะเป็นโรงแรมที่พักของวัด

ของฝากในวัด ซื้อแล้วเหมือนทำบุญ



พอเสร็จจากวัด Waujeongsa Temple เราก็ไปกินชาบู ๆ สไตล์เกาหลีกันต่อ (พิกัดร้าน 7.808350, 127.523901) ร้านนี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านทัวร์ลง และพอไปถึงก็มีอาหารพร้อมสรรพแล้ว ชาบูของเกาหลีก็คล้าย ๆ ของญี่ปุ่นครับ เป็นเนื้อแล่บางกินกับผักต่าง ๆ แล้วก็จิ้มน้ำจิ้ม ต่างกันตรงที่เนื้อจะไม่ได้ไปจิ้มไข่ไก่สด ๆ และก็ผักกับน้ำจิ้มจะแตกต่างกับแบบญี่ปุ่นพอสมควร ตัวชาบูรสชาติเฉย ๆ ครับ ของญี่ปุ่นอร่อยกว่า แต่ผักดองในมื้อนี้อร่อยอีกแล้ว ไม่ว่าจะกิมจิ หรือ ถั่วงอกหัวโตและก็อะไรไม่รู้อีก 3 อย่าง อ้อ มื้อนี้ได้กินเบียร์เกาหลีคู่กับอาหารมื้อแรกด้วย เป็นเบียร์ยี่ห้อ Cass ก็อร่อยดี นุ่ม ๆ หน่อยประมาณเบียร์ญี่ปุ่น มื้อนี้กินกันเยอะครับ เพราะเป็นอาหารร้อน ๆ ดับความหนาวได้เป็นอย่างดี


อ่านไม่ออกครับ ร้านชาบู ทัวร์ลง

ทุกอย่างพร้อม เหลือแค่ต้มกิน

ใส่ลงไปให้หมดทุกอย่าง 

ผักดอง อร่อยหมดเลย โดยเฉพาะกิมจิ กับถั่วงอกหัวโต

หมูชาบู (ทริปนี้ไม่มีเนื้อวัวเลยครับ เศร้า ทัวร์คงกลัวมีคนไม่กินเนื้อเยอะ) ก็อร่อยดี

ข้าวไม่อร่อยเลย เย็น และแข็ง ๆ สู้ข้าวญี่ปุ่นไม่ได้ อ้อ เกาหลีจะใช้พวกชามข้าว, ตะเกียบ, ช้อมเป็นโลหะหมดนะครับ เป็นกฎหมาย เพราะจะใช้ทดสอบสารพิษได้อะไรประมาณนั้น (ไม่ชัวร์)


รอไม่นานก็สุกพร้อมกิน จัดไปเยอะอยู่ครับมื้อนี้

เบียร์เค้าจะขนาด 500 Ml

และแก้วเบียร์เค้าก็จะเล็ก ๆ กินอึกเดียวหมด

หลัง ๆ ไม่กินผัดกินแต่หมู

แวะ ร้านสะดวกซื้อซักหน่อย

ไปดูบุหรี่เกาหลี

แล้วก็ได้ Marlboro Ice Blast แสนอร่อยมา 1 ซองถูกมากครับ ราคาพอ ๆ กับเมืองไทยเลย (80 บาท) ที่ญี่ปุ่น 200 บาท


โรงแรมที่พักในคืนแรก ผมไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อโรงแรมอะไร แต่เป็นโรงแรมประมาณ 3 ดาวที่ค่อนข้างดี เตียงเป็น queen size และห้องใหญ่กำลังดี ห้องน้ำก็ใหญ่โตกว่าห้องน้ำ business hotel ที่ญี่ปุ่น แต่เครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลายแหล่จะด้อยกว่า และก็ไม่มีอินเตอร์เน็ทให้ใช้ครับ แต่ก็ไม่คิดอะไรมากครับพวกผม เหนื่อยมาก เมื่อคืนบนเครื่องบินก็ไม่ได้นอน วันนี้ก็ตะลอนเที่ยวทั้งวัน แต่ถึงกระนั้น เราก็ไปซื้อเบียร์ซื้ออะไรกันมากินให้พอกรึ่ม ๆ แล้วก็หลับไป จบวันแรกของทริปเกาหลีผมล่ะครับ มากับทัวร์นี่เค้าพาเที่ยวเยอะจริง ๆ จัดเต็มจริง ๆ ติดตามอ่านตอนที่ 2 ได้ตามลิงค์นี้เลยครับ

เตียง Queen Size นอนสบาย ๆ

เฟอร์นิเจอร์ค่อนข้างครบ

แต่ดันได้นอนแค่คืนเดียว

ห้องน้ำประมาณโรงแรมบ้านเรา สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ น้ำไหลไม่แรง แต่ยังดีที่น้ำอุ่นสู้อากาศอันแสนหนาวเหน็บได้พอดี

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment