Saturday, September 8, 2012

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 4

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 4

วันที่ 4 นี่ก็เป็นวันแรกที่ผมได้นอนหลับอย่างเต็มอิ่มสักที สาเหตุที่น่าจะทำให้ผมนอนหลับได้สนิทดี ก็เป็นอะไรที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เจ้าเพื่อนกรนดังจนหมีอายของผมมันไปเที่ยวต่างจังหวัด ทิ้งห้องให้ผมนอนคนเดียวสบาย ๆ ผมก็เลยได้ไปนอนเตียงนุ่ม ๆ ของมัน และไม่ต้องทนฟังเสียงกรนดังสนั่น ๆ ให้ระบมประสาทหู (เพื่อนอีกคนที่ไปเที่ยวด้วยกันกับมันในทริปนี้ บอกว่า ตอนนั่งรถทัวร์กลับมาที่โตเกียว เจ้าเพื่อนหมีกรนคนนี้ขนาดนั่งอยู่ก็ยังกรนได้ และกรนจนดังลั่นไปทั่วรถ จนเพื่อนอีกคนทนไม่ไหวต้องปลุกมันอยู่เรื่อย ๆ -*-)   วันนี้ผมมีนัดไปเที่ยว Odaiba นครแห่งอนาคตกัน คือ Odaiba นี่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาว่าเป็นผืนแผ่นดินขนาดกี่ตร.กม.ก็ไม่รู้แต่ก็ใหญ่เหมือนกัน ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์สร้างขึ้น ที่ Odaiba ตอนนี้ก็เหมือนจะเป็นเกาะสวาทหาดสวรรค์ไปเรียบร้อยโรงเรียนพี่ยุ่นแล้ว เพราะว่าถ้ามาที่นี่ เราจะสามารถเจอทุกสิ่งแห่งความบันเทิงได้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นห้างที่มีอยู่ถึง 4 ห้างขึ้นไป (คือผมไม่แน่ใจ แต่ชัวร์ ๆ ว่ามี 4 ห้างอย่างต่ำ) โชว์รูม Toyota เท่ ๆ นามว่า MEGA WEB , Game Center และชิงช้าสวรรค์ , พิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์สุดแสนจะล้ำยุค, โรงอาบน้ำที่ครบครันด้วยน้ำแร่แบบต่าง ๆ และเรือรบโบราณให้ขึ้นไปเดินเล่นได้ และตึกสุดล้ำยุคที่ขึ้นไปเยี่ยมชมได้ คือ ฟัง ๆ ดูมันดูเป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาด และไม่น่าจะลงตัว มาอยู่ด้วยกันได้ แต่มันก็อยู่ด้วยกันแล้ว และอยู่กันอย่าง Symbiosis กันดีทีเดียวล่ะครับ

รถไฟไป Odaiba จะเป็นรถไฟสายพิเศษครับ แพงหน่อย ถ้าจะนั่งแบบไม่แพงมันจะอ้อม

ถึงแล้ว Odaiba 

อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร

ห้างกำลังจะเปิดตอน 10 โมงลูกค้ามาต่อคิวเยอะมาก ไม่รู้ว่ามีลดราคารึเปล่า

สัญลักษณ์ของ Odaiba สะพาน Rainbow Bridge กับเทพีเสรีภาพขนาดจิ๋ว

เทพีเสรีภาพขนาดจิ๋วครับ

ตึก Fuji TV อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาะ Odaiba


พวกผมนัดกันที่สถานี Shimbashi บน JR Yamanote Line สถานีนี้เป็นสถานที่เหมาะแก่การนัดไปที่ Odaiba มาก เพราะจะมีสถานี Shimbashi ที่จะเป็นสายใหม่ นั่งตรงไปที่ Odaiba โดยตรงได้เลย และเป็นสถานีที่มีสถานที่นัดที่ ใหญ่โต โดดเด่น เป็นสง่า กับหัวรถจักรสีดำขนาดใหญ่ ที่ใช้เป็นสถานที่นัดที่ดีมาก ๆ นัดกันยังไงก็ไม่มีทางหลง พอเพื่อนมากันครบ พวกผมก็จ่ายเงิน 310 Yen เพื่อไปลงยังสถานี  Daiba  คือแม้ว่าจะนั่งแค่ไม่กี่ป้าย แต่เหมือนสายรถไฟสายนี้จะเป็นของเอกชน และเหมือนจะลงทุนไปเยอะ ก็เลยต้องเรียกเก็บค่ารถไฟแพงหน่อย รวมถึงรถไฟสายนี้จะไม่มีคนขับ เพราะอะไรก็ไม่รู้ถึงต้องทำให้ไม่มีคนขับ ต้องการให้ล้ำยุค หรือว่าต้องการประหยัดแรงงานก็ไม่ทราบได้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที พวกเราก็เดินทางจาก Shimbashi ไปถึงสถานี Daiba โดยสวัสดิภาพ

ประติมากรรม 2 อันนี้ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน

หน้าตึก Odaiba มีจัดงานแสดงโดยดาราครับ เป็นแก๊งค์สาวน้อย 10 กว่าคน

Luffy กับ Chopper นี่มีแต่คนไปรุมถ่ายรูปกัน


คือจริง ๆ ที่ Odaiba นี่ผมได้มาเมื่อทริปที่แล้วค่อนข้างจะครบแล้ว (ลิงค์รีวิว ตระเวณกิน ฤดูร้อนของผมเมื่อปีที่แล้ว) แต่มาคราวนี้กับคราวที่แล้ว feel ค่อนข้างต่างกันพอสมควรเนื่องจากตอนนั้นมานี่แบบร้อนตับแตก แทบจะไม่อยากเดินข้างนอกตึก คนน้อย เกาะทั้งเกาะแทบจะเป็นของผม แต่มางวดนี้อากาศเย็นสบายแต่ก็แลกกับการต้องไปเบียดเสียดกับคนญี่ปุ่นจำนวนมากมายมหาศาล พอลงจากสถานี พวกผมก็ไปที่ตึก ​Fuji Tv เพื่อถ่ายรูปกับตึกเท่ ๆ ตึกนี้กันสักหน่อย แล้วผมกับเพื่อนสนิทผมคนนึงก็แยกกลุ่มกับกลุ่มใหญ่เนื่องจากคนอื่นจะไปมิไรคัง (พิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์) กัน แต่ผมกับเพื่อนหิว เลยอยากหาอะไรกินกันก่อน ผมได้หาข้อมูลมาแล้่วว่าจะกินราเมนอร่อย ๆ ที่ห้าง Aqua City คลำ ๆ หา ๆ อยู่สักพักกว่าจะเจอ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ อ่านต่อกันเลย

รีวิวร้านที่ 5 ร้านราเมน แบบรวมกลุ่ม ณ ห้าง Aqua City, Odaiba


ป้ายหน้าร้าน คอราเมนเห็นแบบนี้แล้วจะอดใจไหวได้อย่างไรใช่มั้ยครับ

ทางเข้าก็เหมือนเดินเข้าไปในเมืองสมัย Edo

ภายในจะมีหลาย ๆ ร้านราเมนมาตั้งรวม ๆ กันอยู่ครับ

คือตอนก่อนจะมากินร้านราเมนนี้ ผมหาข้อมูลเอาไว้ว่าเป็นร้านชื่อนึง จดชื่อร้านมาเป็นตัวคันจิ (แบบจดมั่ว ๆ จริง ๆ เขียนไม่เป็น) แล้วก็ไปดู Directory ของทางห้าง หา ๆ อยู่หลายรอบ หาไม่เจอ คิดในใจว่า เฮ้ย ซวยแล้ว จดมาผิดเหรอนี่ ลองเดิน ๆ วนดูก็หาไม่เจอ ก็เลยเริ่มปลง แต่แล้วเดินไปเดินมาอยู่ที่ชั้น 5 ก็สะดุดตาเข้ากับทางเข้าอะไรสักอย่างที่ดูอลังการดี พอไปดู ๆ ป้ายเมนูอาหารหน้าร้าน เห็นเป็นเมนูราเมนน่ากินดี ก็เลยชวนเพื่อนผมเข้าไปกินกัน พอเดินเข้าไป ก็ต้องตกใจครับ เพราะว่าที่นี่มันคือร้านที่ให้อารมณ์แบบร้าน Ramen Champion บ้านเรา คือเอาร้านราเมนหลาย ๆ ร้านมารวมอยู่ในเวิ้งเดียวกัน เลย ผมไม่แน่ใจว่ามีกี่ร้าน แต่อย่างต่ำ ๆ คือมีร้านราเมน 5 ร้าน ร้านเกี๊ยวซ่า (ใช่ครับ เกี๊ยวซ่า) 1 ร้าน (ขายแต่เกี๊ยวซ่า) และร้านเครื่องดื่ม ให้อารมณ์เหมือน  food court บ้านเรา ต่างกันตรงที่อาหารแต่ละร้านจะมีแต่ราเมนเท่านั้น ผมเดินวน ๆ หาร้านที่จะสั่งอยู่สักพัก ก็ไปเจอกับร้านที่ตรงกับที่ผมหาข้อมูลมาจนได้!!!

ราเมนของผม Tonkotsu อะไรสักอย่าง เพิ่มหมูชาชูพิเศษ


เส้นก็เป็นเส้นเล็กสไตล์ฮากาตะ ชอบครับ อร่อย ๆ ๆ ๆ แต่เจ้าหมูชาชูไม่ค่อยมีเอกลักษณ์เท่าไร บางไปหน่อยและก็ไม่ค่อยมีรสชาติ


ราเมนของร้านที่ผมอ่านชื่อไม่ออกนี่ เป็นราเมนน้ำซุปกระดูกหมูที่น้ำซุปแบบเข้มข้นมากกกก thick มาก ๆๆๆ จนแทบจะไม่เหลือความเป็นน้ำเลย แต่ก็เป็นน้ำซุปที่เข้มข้นแบบเข้มข้นอร่อยดี คือผมชิมคำแรกติดใจเลยให้เพื่อนผมที่ชิมด้วยชิมด้วยเพื่อนผมก็ติดใจเช่นกัน ส่วนเส้นราเมนจะเป็นเส้นแบบราเมนธรรมดา ไม่ได้เป็นเส้นเล็กแบบฮากาตะ ซึ่งตามปกติแล้วผมจะชอบเส้นเล็ก ๆ มากกว่า แต่พอกินกับน้ำซุปเข้มข้นที่แทบจะติดเส้นมาจนทั่วเส้น กับหมูชาชูที่ให้มาจนเต็มชามแบบนี้ มันก็เป็นอะไรที่อร่อยดีครับ ผมซด ๆ ดูด ๆ แปบ ๆ ก็หมดชาม โอ้ว อร่อยดี

อันนี้ราเมนแบบแห้งของเพื่อนผม หน้าตาดูธรรมดา ๆ

แต่ว่ารสชาติเยี่ยมเลยทีเดียวครับ

เบียร์สดแก้วใหญ่ 500 yen กินเข้าได้กับอาหารทุกรูปแบบ


ส่วนราเมนของเพื่อนผมเป็นราเมนแบบแห้ง ๆ ไม่รู้เรียกว่าอะไรเหมือนกัน ซึ่งตอนแรกตอนก่อนจะคลุกก็ดูหน้าตาธรรมดา ไม่ได้น่ากินอะไรมาก แต่พอคลุกให้เข้ากัน สาหร่ายแผ่นที่ซอยเป็นแผ่นเล้ก ๆ , ไข่แดงดิบ และขิงดอง คละเคล้าทั่วกันแล้ว มันก็ดูน่ากินขึ้นมานิดนึง และพอได้กินแล้วก็แบบ เออ แฮะ เป็นราเมนแห้งที่น่าจะอร่อยที่สุดที่ผมเคยกินมาเลยล่ะ คือผมไม่ค่อยชอบราเมนแห้ง ส่วนใหญ่จะสั่งแบบน้ำ กิน Tsukemen มาก็หลายร้าน กินราเมนแห้งมาก็หลายร้าน ไม่มีอร่อยสักร้าน แต่ราเมนแห้งของร้านนี้อร่อยดีครับ รสชาติเข้มข้น ๆ เค็ม ๆ นิดหน่อย ผมล่ะอยากจะขโมยเพื่อนผมกินจนหมดชามจริง ๆ

สิ่งที่ชอบของร้านราเมนรวมแห่งนี้อีกอย่างคือ เราไม่ต้องแลกคูปอง หรือแลกบัตรเติมเงินก่อนจะสั่งราเมน เอาเงินสดจ่ายได้เลย และก็พอสั่งแล้ว จะได้เบอร์เป็นกล่องเหล็กมากล่องนึง พอเราได้กล่องนี้ จะไปทำอะไรก็ได้ พอราเมนเราเสร็จกล่องมันก็จะร้องเตือน! โอ้โห hi-tech มาก พอร้องเสร็จเราก็เดินไปเอาราเมนร้อน ๆ ทำเสร็จใหม่ ๆ ของเรามากินได้อย่างสบายใจ สรุป ใครที่ไป Odaiba และได้แวะไปห้าง Aqua City ก็ลองแวะไปร้านราเมนรวมร้านนี้ได้ครับ น่าจะมีร้านที่ท่านถูกใจกันบ้างไม่หนึ่งร้านก็ทุกร้าน

ปล. ร้านนี้ผมหาข้อมูลจาก    r.tabelog ได้คะแนนเฉลี่ย 3.54 มั้ง ซึ่งร้านไหนที่ได้คะแนนเกิน 3.5 นี่ถือว่าเทพแล้ว มีแค่ไม่ถึง 5% ของร้านทั้งหมดในญี่ปุ่น (ร้านที่ได้คะแนนเกิน 4 นี่มีไม่ถึง 0.5% หรืออะไรนี่แหละครับจำไม่ได้แล้ว เคยมี pop-up เด้งขึ้นมา  ดังนั้นใครที่หาข้อมูลร้านอาหารญี่ปุ่นจาก tabelog ละก็ ร้านไหนเกิน 3.5 กินได้โดยไม่ต้องกังวลเลยล่ะครับ

กินเสร็จก็เดิน ๆ ๆไปที่ Miraikung ครับ อันนี้ห้าง Aqua City ที่ผมเพิ่งกินราเมนเสร็จตะกี้

ห้าง Diver City Tokyo ไม่เคยเข้าเหมือนกัน แต่ดูคนเยอะมากครับห้างนี้

เดิน ๆ ใกล้ถึงแล้ว วันนี้คนเยอะครับ รถจอดเต็มเลย

ลูกเห็ดเล็กแดง พ่อแม่ มากันเต็มเลย คนเยอะมากก

เจ้าห้องนอนดูลูกโลกนี่ คราวก่อนผมมา ไม่มีคนเลยสักคน

ด้านในส่วนจัดแสดงพิเศษ

ช้างอยู่ในสวนสัตว์อายุจะแค่ 17 ปี แต่พออยู่ในป่าจะเป็น 36 ปี แต่ถ้าตัดเรื่องมนุษย์ออกไปจะกลายเป็น 56 ปี

กินแต่พออิ่มแล้วคุณจะอายุยืนครับเขาบอก

เครื่องอะไรไม่รู้

DNA Double Helix strain สวยงามมาก

อุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายวีดีโอต่าง ๆ


พอเสร็จจากร้านราเมน ผมกับเพื่อนก็รีบ ๆ ตามเพื่อนกลุ่มใหญ่กันไปที่ Miraikung ต่อ เจ้ามิไรคัง หรือพิพิทธภัณฑ์แห่งอนาคตนี่ก็เป็นพิพิทธภัณฑ์เจ๋ง ๆ เท่ ๆ ที่จัดแสงเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติในด้านต่าง ๆ โดยะจะมีชั้น 3 และชั้น 5 เป็นส่วนจัดแสดงแบบถาวร และขั้น 1 เป็น  Special Exhibition (เสียเงินเพิ่ม 400 yen) คราวที่แล้วที่ผมมา ชั้น 1 จัดแสดงเกี่ยวกับ การก่อสร้าง Sky Tree (Tokyo Tower อันใหม่ของญี่ปุ่น) คราวนี้ผมมาเป็นการจัดแสดงเกี่ยวกับ 73 คำถามเกี่ยวกับความตาย! คืออารมณ์ประมาณว่า "ถ้าคุณรู้ว่าคุณเป็นโรคร้ายถึงแก่ความตายคุณจะบอกคนรู้จักมั้ย" "ถ้าโลกจะแตกคุณจะหนีออกจากเมืองรึเปล่า" อะไรแบบนี้ จัดแสดงเป็นทั้งด้านนามธรรมและรูปธรรมเชิงวิทยาศาสตร์ ผมว่ายังไม่ค่อยเจ๋งเท่าไร เพราะแบบ บางข้อมันนามธรรมเกิ๊น นี่พิพิทธพัณฑ์วิทยาศาสตร์นะเว้ยเฮ้ย  ส่วนชั้น 3 และชั้น 5 นั้นยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ผมมาเมื่อคราวที่แล้ว ก็รบกวนไปดูรีวิวของคราวที่แล้วจะดีกว่านะครับ มามิไรคังคราวที่แล้ว ผมจำได้ว่าแทบจะไม่มีคน ไม่มีรถจอดที่ลานจอดรถเลยแทบจะสักคันนึง แต่มาวันนี้ รถจอดเต็ม ผมต้องต่อคิวซื้อบัตร และต้องไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ดูโน่นดูนี่กับเด็กกะเปี๊ยกตาตี่ (แต่น่ารัก) เหนื่อยครับ วันนี้เลยไม่ค่อยได้ดู นั่ง ๆ รอเพื่อนซะมากกว่า

ไปที่โรงอาบน้ำกันซักหน่อย ค่าเข้ารู้สึกจะ 3000 - 4000 เยน ไม่ไหวแพงเกิน แต่อ่าน ๆ สเปคแล้วน่าจะเจ๋งครับ

ทางเข้าทำได้ดูย้อนยุคดี

ข้าง ๆ กันเหมือนจะมีคาเฟ่ของสุนัข 

ฝนเริ่มมาอีกรอบ T_T

ใบพัดของเรือที่ไม่ใช้แล้ว ใหญ่มาก ๆ ครับ หลุดเข้าไปนี่คงโดนปั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น

เรือ Soya เปิดให้ขึ้นไปชมได้ ค่าเข้าชม 300 เยน

เรือจำลองแบบต่าง ๆ ในพิพิทธภัณฑ์ชั่วคราวครับ


ไปที่ไหนคนก็เยอะวันนี้

เรือใบแบบโบราณก็มี


พอเสร็จจากมิไรคัง ฝนเจ้ากรรมก็ดันตกลงมาอีก ทำให้งานวันนี้เริ่มกร่อยขึ้นมาอีกแล้ว ผมชวนเพื่อนไปที่ Monogatari Onsen ออนเซ็นเท่ ๆ ที่มาตั้งอยู่ที่ Odaiba ได้ยังไงก็ไม่ทราบ ค่าเข้านั้นก็แสนแพง 2900 yen ผมก็เลยแบบขอถ่ายรูปด้านหน้าแทนละกัน แต่เท่าที่อ่านมา เหมือนว่าที่นี่จะมีบ่อน้ำร้อนหลากหลายแบบมาก คือจ่ายเงินไปรวดเดียว สามารถอยู่ได้ทั้งวัน แช่ไปแช่มา เปลี่ยนบ่อไปบ่อมาได้เลย แต่พอดี ผมก็ไม่ได้เป็คนพิศวาสการแช่น้ำร้อนนักก็เลยไม่ขอลองดีกว่า เดินเลยจาก Onsen Monogatari ไปเล็กน้อยก็จะเจอกับพิพิทธพันฑ์ Maritime อะไรสักอย่าง ซึ่งเป็นส่วนจัดแสดงเกี่ยวกับเรือ ในยุคต่าง ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วส่วนจัดแสดงหลักที่สร้างอาคารเป็นรูปเรือลำใหญ่นั้นปิดปรับปรุงและยังไม่มีกำหนดเปิดอยู่ ส่วนจัดแสดงจะมีแค่ส่วนเล็ก ๆ (มาก) ส่วนนึงที่มีโมเดลเรือกับ Simulation แบบต่าง ๆ ให้ลองเล่นกัน ซึ่งก็ไม่ได้น่าสนใจมาก แต่ว่าค่าเข้าฟรีแค่นั้นครับ และก็ข้าง ๆ ส่วนจัดแสดง จะมีเรือรบ หรือเรือกู้ภัยลำใหญ่ยักษ์ ที่ปลดระวางแล้ว จอดอยู่ให้คนเข้าไปเยี่ยมชม ถ่ายรูปกันได้ในราคา 300 yen แต่พอดี ตอนผมไปถึง ฝนตกมาหนักพอดี ก็เลยไม่ได้ขึ้นไปดูในเรือกัน เพราะจะเปียกไปมากกว่าเดิมเปล่า ๆ

ไปขึ้นชิงช้าสวรรค์กันหน่อย เพิ่งจะเคยขึ้นเนี่ยแหละผม

คนขึ้นเยอะเหมือนกัน

ตู้นึงนั่งได้ 5 คน และจะลดเหลือ 3000 เยนต่อตู้ประหยัดไป 600 เยนโดยรวม -*-

อันนี้ภาพเบลอ ๆ มัว ๆ จะบนชิงช้าสวรรค์

มัวและเบลอมาก ไม่รู้จะขึ้นไปทำไมเหมือนกัน

ไปที่เมือง Edo กันต่อ คนญี่ปุ่นนี่นึกอะไรไม่ออกก็จะทำย้อนยุคไว้ก่อนนะครับ

คนเยอะเหมือนเคย

อันนี้หนึ่งในร้านทาโกะยากิในพิพิทธภัณฑ์ทาโกะยากิ

ซื้อมาลองกินจานนึง ก็อร่อยดีนะครับ


พอเสร็จจากที่ Maritime Museum แห่งนี้ ผมก็ตามเพื่อนไปที่พื้นที่บริเวณ Venus Fort ที่จะรวม ๆ ทั้งห้าง  Venus Fort ที่แต่งภายในสวน ๆ เหมือน ​Venetian , Show Room รถยนต์  Toyota แบบล้ำยุค ที่มีส่วนโชว์รถธรรมดา ๆ , ส่วนให้ทดลองขับรถยนต์รุ่นต่าง ๆ , ส่วนให้ลองขับรถอนาคต ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ผมชอบที่สุดที่ Odaiba ล่ะเสียแต่ว่า วันที่ไป คนจะเยอะไปไหนไม่รู้ และรถค่อนข้างซ้ำกับปีที่แล้วที่ผมมาครับ ผมก็เลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก และเดินเลยไปหน่อยก็จะมีชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ที่น่าจะใหญ่เป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น (เคยสูงสุดและใหญ่สุด) และ Game Center และปาจิงโกะขนาดใหญ่อยู่ เพื่อนญี่ปุ่นผมที่ไปด้วยกัน ชวนขึ้นชิงช้าสวรรค์ เนื่องจากถ้าขึ้นกันเยอะ ๆ 5 คนต่อ 1 กระเช้า จะได้ส่วนลดเหลือ 3000 yen จากราคาเต็ม 1 คน 900 yen ผมก็เลยขึ้นไปด้วย แต่แบบ ตอนขึ้นไป ฝนตกอยู่ ฟ้าครึ้ม ฝ้าเกาะกระจกชิงช้าสวรรค์ เลยมองอะไรแทบไม่เห็น ก็ได้แต่นั่งคุย นั่งแกล้งกันบนนั้น ไม่ค่อยได้ดูวิวซักเท่าไร แต่ว่าตอนที่อยู่ข้างบนสุดนี่ก็สูงดีนะครับ ถ้าวิวสวย ๆ นี่คงสวนมากถึงมากที่สุดเลยล่ะ เจ้าชิงช้าสวรรค์นี่ใช้เวลา 16 นาที ก็ถือว่าไม่ถูกไม่แพงล่ะมั้งครับ เสร็จจากชิงช้าสวรรค์ เราก็ไปกันที่ห้าง Aqua City หรืออะไรสักอย่างใกล้ ๆ กันต่อ ที่ชั้น 3 ของห้างจะมีส่วนที่ทำเป็นเหมือนเมือง Edo   ย้อนยุค มีสินค้าเก๋ ๆ ขาย, มีบ้านผีสิงแบบผีญี่ปุ่น, มี Tagoyaki Museum ก็เดินได้เพลิน ๆ ฆ่าเวลาได้ดีเหมือนกันครับที่นี่ (แต่วันที่ผมไป คนเยอะไปหน่อย เดินไปก็ชนคนอื่นไป -*-) พอเสร็จจาก Odaiba พวกเราก็เดินทางกลับไปที่ Shimbashi  กันต่อเพื่อไปหาข้าวเย็นกินกัน

รีวิวร้านที่ 6 ชื่อร้าน อ่านไม่ออก แต่เป็นร้านแนว Yakisakana หรือปลาย่างสไตล์ญี่ปุ่น



คือรู้สึกว่าชื่อร้านของร้านที่ 5 นี่ว่าแย่แล้ว ร้านที่  6 นี่แย่กว่าอีกนะครับว่ามั้ย ฮ่า ๆ ร้านนี้เป็นร้านที่เพื่อนชาวญี่ปุ่นผมพาเดินดุ่ม ๆ เข้าไปนั่ง ผมเซฟพิกัดร้านและถ่ายรูปหน้าร้านมาไว้ เพราะว่าอะไร? เพราะว่าร้านนี้เค้าเจ๋งมากครับ! อร่อยดี โดยร้านนี้จะอยู่ใกล้ ๆ สถานี Shimbashi เดินประมาณสัก 5 นาที พิกัดร้านจะตามนี้ 35.664982,139.759250 (เอาไปใส่ใน google maps ได้เลยครับ) ร้านนี้ตอนเข้าไปนั่งแรก ๆ ผมนึกว่าเป็นร้านแนว Izakaya แต่แบบตอนเดินผ่านเคาน์เตอร์ของร้าน เห็นมีอาหารทะเลสด ๆ วางไว้เต็ม และมีตะแกรงวาง ๆ ไว้อยู่เยอะ ก็เลยชักไม่ค่อยแน่ใจ ก็เลยมาถามเพื่อนญี่ปุ่น เพื่อนก็บอกว่าร้านนี้เป็นร้านปลาย่าง(อาหารทะเลย่าง) หรือ Yakisakana ที่อาหารหลักจะเป็น ปลาญี่ปุ่นแบบต่าง ๆ ไปย่าง, ทอด มาให้เรา แต่ก็จะมีอาหารสไตล์ Izakaya ที่ค่อนข้างจะครบครันเช่นกัน (พวก Yakitori, tempura)

อ่านตัวคันจิตัวหน้าไม่ออก แต่สามตัวหลังอ่านว่า Bataya ครับ เปิดมา 55 ปีแล้วรึเปล่า?

ไข่หวานเป็น appetizer อร่อยเยี่ยมเลยทีเดียว

เบียร์ Sapporo เย็น ๆ กดไปทั้งหมด 5 แก้วคืนนั้น

ผักดองอร่อย ๆ กินรออาหารมา


เมนูอาหารของร้านนี้ผมอ่านไม่ออกเลยจริง ๆ เนื่องจากเป็นตัวคันจิหมดไม่มีรูปเลยสักนิด ก็เลยปล่อยให้เพื่อนญี่ปุ่นที่ไปด้วยกันเป็นคนสั่งคนเดียว ผมไม่ไปก้าวก่ายใด ๆ ทั้งสิ้น อาหารอย่างแรกที่ได้เป็นผักดองรวม คือ หลายคนเห็นรูป หรืออ่านเจอคงยี้ อะไรก็แค่ผักดอง แต่ผมอยากจะบอกว่าผักดองที่ญี่ปุ่นนี่ไม่ใช่ขี้ไก่นะครับ อร่อยแบบ ผมยอมกินแต่ผักดองทั้งมื้อเลยก็ยังได้เลยประมาณนั้น คือมีเพื่อนผมคนนึงที่อยู่ญี่ปุ่น 3  ปีเคยจัดอันดับให้ผมฟังว่ามีอะไรที่ชอบที่ญี่ปุ่นบ้าง เพื่อนคนนี้จัดให้ผักดองเป็นของชอบอันดับ 4 ของเค้านะครับ! (อันดับ 1 รู้สึกจะ Snowboard, 2 จะ Maguro, 3 จะผู้หญิง) เจ้าผักดองจานแรกที่ได้นี่ก็อร่อยไม่ผิดหวังที่เป็นผักดองญี่ปุ่น อร่อย เปรี้ยวตามผักที่ควรจะเปรี้ยว หวานตามผักที่ควรจะหวาน โอย เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยราคาถูกที่อร่อยดีแท้

เริ่มต้นจานหลักกันด้วย ปลาฮอกเกะตัวโต สด ๆ อร่อยมาก ๆๆ

เบียร์มาเป็นสายน้ำครับวันนี้


อาหารจานที่ 2 เป็นปลาฮกเกะย่าง ซึ่งเมื่อวานผมเพิ่งกินที่ร้าน Kino Kura Jr. มาหมาด ๆ ก็แบบแอบเซ็งเล็กน้อยที่เพื่อนผมสั่งไป แต่พอเห็นหน้าตาปลาที่แบบตัวใหญ่มากกกก ใหญ่กว่าของร้าน Kinno Kura Jr.  สัก 50 - 60 % ได้ ความรู้สึกอยากกินก็เริ่มถาโถมเข้ามา และพอได้กินคำแรกเท่านั้นล่ะครับคำว่า Fin มันก็ตกตูมลงมาบนหัวผมทันที เพราะว่ามันแบบอร่อยมากกก อร่อยแบบสดมาก ย่างมากำลังดี เนื้อหวาน นุ่ม สด ร่วม และทาเกลือมากำลังดีเค็ม ๆ ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเลย เพื่อนคนไทยผมที่ไปด้วยกัน 4 คนต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามันสุดยอดมาก ๆ เจ้าปลาฮกเกะตัวยักษ์นี้  ส่วนจานที่ 3 ก็เป็นสลัดปลาข้าวสาร ที่หน้าตาก็ดูธรรมดา ๆ เหมือนสลัดผักญี่ปุ่นที่ไทย แต่แบบพอคลุก ๆ สลัดนี่ซักหน่อย ปลาข้าวสารมันก็หล่นพรึ่บลงมาจากยอดกอง ทางร้านให้มาเยอะมากกก และสลัดจานนี้ก็อร่อยเยี่ยมอีกเช่นกัน โดยมีดัชนีชี้วัดคือ เพื่อน ๆ ผมทุกคนพยายามดึงเจ้าสลัดจานนี้ไปใกล้ตัวเองตลอดเวลา ฮ่า ๆ

สลัดปลาข้าวสารมั้ง เห็นปลาข้าวสารป่ะครับ หมก ๆ อยู่ด้านบนสลัด

ปลาไข่ย่าง ก็ดีครับ

ปิ้ง ๆ ย่าง ๆ แบบรวมบ้าง อร่อยดีครับ


อาหารจานที่ 4 เป็น ปลาไข่ ชื่อญี่ปุ่นว่าอะไรจำไม่ได้ล่ะครับ ชิโมะ ๆ (น่าจะ Shishamo) อะไรประมาณนี้ย่าง ก็จัดได้ว่าอร่อยอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมาก ที่ประทับใจก็คงจะเป็นความใหญ่ของปลาไข่ที่แบบใหญ่กว่าปลาไข่เราสัก 2 เท่าได้ คือมันใหญ่จนแบบเห็นแล้วต้องถามเพื่อความชัวร์ว่านี่คือปลาไข่รึเปล่า และเจ้าปลานี่นอนอ้าปากกลม ๆ ของมันมาเลย ผมเดาว่าที่มันอ้ามาแบบนี้เพราะทางร้านเอาไปย่างกันแบบสด ๆ รึเปล่ามันเลยอ้าปากมา! อาหารจานที่ 5 เป็น ยากิโทริรวม มีเนื้อส่วนกึ๋น, ตับ, ปีกไก่, หนังไก่ และเห็ดหอมมา จานใหญ่มาก คืออยากจะบอกว่าผมกินยากิโทริที่เมืองไทยมาก็มักจะไม่เจอไม่อร่อยอยู่แล้ว กินที่ญี่ปุ่นนี่ยิ่งไปกันใหญ่ครับมีแต่อร่อยมากไม่ก็อร่อยน้อยเท่านั้น ซึ่งเจ้าจานนี้เป็นแบบแรกครับ แม้ว่าจานจะใหญ่ ก็หมดลงในเวลาไม่นาน

อันนี้ปลา Hata Hata ย่าง

Yagi Udon ครับเพื่อนญี่ปุ่นผมบอกมา อร่อยอีกแล้ว


อาหารจานที่ 6 เป็นปลาฮาตะ ฮาตะ ย่าง เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินและได้กินนี่แหละครับ จานนี้ก็คล้าย ๆ ปลาไข่ย่าง ต่างกันตรงที่ก้างจะเยอะกว่าและตัวใหญ่กว่า แต่ให้รสชาติ, texture เหมือน ๆ กัน อาหารจานที่ 7 เป็นอะไรที่ไม่เคยกินอีกแล้ว อุด้งย่าง (เพื่อนผมเรียกมันว่า Yakiudon) คือเหมือนเอาเส้นอุด้งไปผัด ๆ กับกระทะมากกว่าจะย่าง และคลุกมากับหมูและแครอท เห็นหน้าตาตอนแรกก็แบบ อี๊ นี่มันก็แค่ udon กาก ๆ จานนึงรึเปล่า แต่พอได้กินแล้วนี่แบบ เฮ้ยยยยย ทำไมมันอร่อยแบบนี้ udon เส้นเหนียวหนึบ รสชาติเค็ม ๆ กลมกล่อมกำลังดี มากับหมูแผ่นรสชาติดี เนื้อนุ่ม แม้ว่าจานนี้จะเยอะ(อีกแล้ว) ก็หมดลงในเวลาไม่นานอีกแล้น

หน่อไม้ญี่ปุ่นแบบ Tempura บ้างก็ดีนะครับ แต่อยากได้แบบพวกเนื้อสัตว์, ปลามากกว่า

อันนี้จำไม่ได้แล้ว เป็นประมาณเอาของต้ม ๆ น่ะครับ


เข้าสู่อาหาร 2 จานสุดท้าย จานรองสุดท้ายจานแรกเป็น หน่อไม้ญี่ปุ่นเทมปุระ ซึ่งจานนี้น่าจะเป็นจานที่ fail ที่สุดในมื้อครับ ส่วนนึงเพราะว่ามันเป็นผักโง่ ๆ และอีกส่วนนึงคือจานอื่น ๆ มันเทพเกินไป -*- ส่วนจานสุดท้ายนี่ดีหน่อย เป็นอารมณ์ประมาณชาบูทำสำเร็จมาให้ เป็นหมู, ผักกับน้ำซุปและเส้นแปลก ๆ ที่คล้าย ๆ เส้นหมี่บ้านเรา ซึ่งผมจำไม่ได้ว่าคนญี่ปุ่นเรียกว่าอะไร คือผมถามแล้ว แต่ผมจำไม่ได้ เนื่องจากว่ากินเบียร์ ณ จุดนั้นไปแล้ว 5 แก้วใหญ่ -*- จานนี้ก็อร่อยดีครับ ซด ๆ กิน ๆ แก้เมาได้ดีในระดับนึง

สรุป ร้านนี้ อร่อยมาก เทพมาก ค่าเสียหายก็ไม่ค่อยแพง กินกันเยอะทั้งอาหารและเครื่องดื่ม (เฉลี่ยแล้วกินเบียร์กันคนละ 5 แก้ว) แต่ค่าเสียหายอยู่ที่ประมาณ 3000 yen เท่านั้น ใครที่มาแถว Shimbashi มองหาร้านแนวที่หาไม่ค่อยได้ในเมืองไทย ก็แนะนำมาจัดร้านนี้ได้นะครับ อ้อ เท่าที่ผมเดินดูแถว ๆ Shimbashi นี่รู้สึกว่าจะมีร้านแนว Izakaya ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เห็นร้านนึงมีเบียร์สด 180 yen โฆษณาไว้หน้าร้านด้วย ย่านนี้ผมไม่เคยมา มาก่อน แต่อีกหน่อยคิดว่าน่าจะเป็น ย่านที่ผมต้องลองแวะมาบ่อยขึ้นหน่อยซะแล้วสิ! (ย่านนี้น่าจะเป็นย่านอารมณ์ประมาณ office เยอะ ๆ มีร้านอาหารไว้รองรับคนก่อนจะกลับบ้านเยอะ ๆ)

หลังจากกินกันเสร็จ แต่ละคนอิ่ม และกรึ่มกันกำลังดี เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่ม เพื่อนผมหลายคนต้องรีบกลับ ตอนแรกว่าจะไปต่อคาราโอเกะกัน แต่แบบ เพื่อนคนไทยผมหอปิดเที่ยงคืน เพื่อนญี่ปุ่นผมบางคนอยู่ไซตามะ, บางคนอยู่ชิบะ ใช้เวลาเดินทางกลับบ้าน 2 ชั่วโมง ก็เลยตกลงกันว่า แยกย้ายกันกลับดีกว่า ตอนก่อนกลับ คนญี่ปุ่นจะมีพิธีเหมือนกับว่าปาร์ตี้เลิกแล้วคือจับมือล้อมกันเป็นวงกลม และให้คนที่เป็นเจ้ามือ หรือผู้อาวุโสสุดพูดนำว่า ยบบบบ คนอื่น ๆ ก็พูดตาม เสร็จแล้วก็ตบมือ ว่า ปัง  ก็จะเป็นการจบพิธีอย่างเป็นทางการ ซึ่งผมว่าก็ดีแล้วเพราะว่าตอนนี้ ผมก็กำลังกรึ่มจากอาหารเลิศรสแบบไคเซกิของอีก 3 วันถัดมาจากรีวิวนี้อยู่ ยังไงก็ลองติดตามอ่านกันต่อหน่อยนะครับ อยากให้เห็นอาหารเทพ ๆ มื้อนี้จริง ๆ สำหรับวันนี้ เอ้า มาครับทุกคน มายืนเป็นวงกลม เอ้า ยบบบ ปัง


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment