Tuesday, June 5, 2012

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11

วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับเพราะทั้งวันผมมัวแต่สาละวนกับการย้ายของออกจาก apartment ของเต้ แต่ก็ทำให้ได้รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น (หรือคนต่างแดนในญี่ปุ่นด้วย) ผมกับม่ำตื่นนอนอย่างอู้ ๆ  เพราะขี้เกียจไปยกของ เต้นัดพวกผมไว้ 8 โมงแต่พวกผมไปกัน 10 โมง (ฮา) พอไปถึงนึกว่าจะมีการขนของอะไรไปบ้างแล้ว แต่เปล่าเลยครับ แทบจะไม่มีเลย ผมกับม่ำและอีก 2 คนก็เลยเริ่มลงมือยก ๆ ๆ ขน ๆ ๆ กันตั้งแต่ 10 โมงยันบ่ายโมงเลยทีเดียว (ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยครับเนื่องจากยุ่ง)

Apartment ของที่ญี่ปุ่นนี่ก็จะมีขนาดประมาณหอพักนักศึกษาที่ไทยเราครับ คือประมาณวางเตียง, วางตู้ ก็แทบจะเต็มห้องแล้ว ห้องน้ำก็เล็ก ๆ แค่พอให้มีที่ยืน อะไรประมาณนั้น แต่ว่าระบบรักษาความปลอดภัยของเค้าจะค่อนข้างดีหน่อย มีกล้องวงจรปิดทุกที่ ประตูหลักเป็นประตูอัตโนมัติ และแม้แต่ตัวล็อคห้องเองก็จะเป็นตัวล็อคระบบดิจิตอลอย่างดี

คนญี่ปุ่นจะค่อนข้างย้ายบ้านกันบ่อยไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากการย้ายที่ทำงาน, เข้ามหาลัย, ย้ายภูมิลำเนา และอื่น ๆ และจากการที่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมีรถของตัวเอง ส่วนใหญ่เวลาย้ายบ้านก็เลยจะใช้บริการรถบรรทุกแบบเช่าเอา การย้ายบ้านของคนญี่ปุ่นเป็นอะไรที่มีบ่อยมาก ๆ จนบริษัทย้ายบ้านของญี่ปุ่นเรียกได้ว่ามีกันเยอะมากและแต่ละเจ้าก็ทำกันจริงจัง หลายท่านอาจจะเคยดู TV Champion ที่มีแข่งกันย้ายบ้าน แบบเบ็ดเสร็จ บริการดังกล่าวจะเป็นการบริการแบบที่ราคาแพงที่สุดคือเราไม่ต้องทำอะไรเลย พนักงานจะมาจัดการให้หมด ไม่ว่าจะหนังสือในชั้นหนังสือ, จานชามมีดส้อม ทุกอย่างเมื่อไปอยู่ที่บ้านใหม่จะเรียงตัวกันเหมือนเดิม (พนักงานจะถ่ายรูปเก็บไว้) ส่วนบริการแบบรอง ๆ ลงมาก็คือให้เค้ามาเก็บของให้ แต่ว่าเราไป unpack เอาเองที่บ้านใหม่, แค่ขับรถมาและช่วยขนของขึ้นรถเท่านั้นเราต้อง pack ลงกล่องเอาเอง ซึ่งแน่นอนครับว่า เต้ใช้บริการแบบหลัง เพราะมีคนขนของอยู่ตั้งเยอะแยะแล้วจะไปเปลืองตังค์ทำไม (ใช่ซี่) โดยกลุ่มคนไทยที่ญี่ปุ่นจะมีตาลุงคนนึงซึ่งจะเป็นคนที่คนไทยชอบเรียกใช้บริการอยู่เสมอชื่อลุงยามาดะ ตาลุงนี่จะมีรถบรรทุกคันเล็ก ๆ ซึ่งจะคิดราคาต่อ 1 เที่ยวคือ 5000 yen โดยประมาณ ซึ่งส่วนใหญ่ห้อง ๆ นึงก็จะขนกัน 2 เที่ยวถึงจะหมด แต่สำหรับห้องเต้ซัดกันไป 3 เที่ยวเลยทีเดียว อืม คร่าว ๆ สำหรับการย้ายบ้านก็คงเป็นประมาณนี้ แต่มีสิ่งนึงที่ผมอยากจะเตือนคนที่ถูกเพื่อนใช้ให้ไปขนของ คือส่วนใหญ่นักศึกษาจะเรียนจบกันช่วง Summer และต้องขนของออกกันช่วงนั้น ซึ่งช่วงเวลานี้มันเป็นช่วงเวลาที่ร้อนตับแลบที่สุดของปีพอดี มันเลยเป็นการขนของที่ทรมานมาก ๆ ซึ่งตัวผมเองประสบพบเจอมาแล้ว และไม่คิดจะเจออีกเลย (ถ้าไม่จำเป็น) เหงื่อผมออกเป็นสายน้ำ ประดุจว่าผมอาบน้ำตลอดเวลาอะไรแบบนั้นเลยล่ะครับ


พอขนของกันเสร็จ เราก็ไปกินร้านอาหารแถว ๆ หอเต้กัน ก็ไปเจอเอาร้านอาหารจีนร้านนึง ซึ่งมื้อนี้ก็ถือว่าเป็นอาหารจีนมื้อแรกของผมตั้งแต่มาญี่ปุ่นประมาณ 20 วัน (2 trip) เลยล่ะครับ ร้านนี้ก็เป็นร้านอาหารจีนที่ค่อนข้างจะจีนจ๋าอยู่ รสชาติโดยรวมก็โอเคครับ แต่ผมจำรายละเอียดเมนูไม่ได้หรอกเนื่องจากว่าอ่านไม่ออก ใช้วิธีจิ้ม ๆ ๆ เอา ยังไงก็ดูรูปประกอบแทนละกันนะครับ











ยังครับใช่ว่าขนของลงรถแล้วมันจะจบ พวกผมต้องขนของจากรถขึ้นไปยังหอใหม่ของเต้ด้วย ซึ่งทั้งหอใหม่และหอเก่าของเต้นี่มันก็เจ้ากรรมเหลือเกิน ไม่มีลิฟท์ทั้งคู่และห้องของเต้กันอยู่ชั้น 4 ทั้งคู่! พวกผมเหงื่อแตกเหงื่อแตนขนของกันกว่าจะเสร็จก็ร่วม ๆ 6 โมง แล้วก็ชวนกันไปกินร้านซูชิสายพาน หรือ Kaiten Sushi แถว ๆ นั้นกันครับ เนื่องจากผม request เองเพราะมา trip นี้ยังไม่ได้กินซูชิสายพานเลย

ร้านนี้ผมอ่านชื่อร้านไม่ออก อยู่ตรงแถว ๆ Oomachi ที่พักของผม ได้คะแนน 3.00 จาก r.tabelog ซึ่งก็ถือว่าเป็นคะแนนที่กำลังดี กินแล้วมักจะไม่ผิดหวัง พวกเราก็เลยชวนกันไปกิน แต่ปรากฎว่าซูชิของร้านนี้ค่อนข้าง fail ครับ คุณภาพของปลาไม่ค่อยดี และพ่อครัวซูชิก็ปั้นแบบรีบ ๆ คำนี้ใช้เวลาไม่เกิน 3 วินาที ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้เพราะว่าไม่ค่อยมีลูกค้าอยู่แล้ว แต่เดาว่าพ่อครัวน่าจะปั้นลวก ๆ แบบนี้จนเป็นนิสัยไปแล้ว สรุป ร้านนี้ก็แค่พอกินได้ครับ ดีกว่าร้านซูชิสายพานบ้านเรา แต่เทียบกับ Midori Sushi, Sushi Zenmai ใน ทริปนี้ที่ผมเพิ่งกินมาไม่ได้เลย

หน้าร้าน อ่านชื่อร้านไม่ออกครับ ขออภัยมา ณ ที่นี้

เบียร์โปรโมชั่นอีกแล้วครับท่าน ผมจัดไป 2 แก้วครับมื้อนี้

อีตานักปั้นคนนี้นี่แหละครับ ปั้นลวก ๆ เหลือเกิน

ราคา ก็ถือว่าไม่แพงเลยครับเมื่อคิดเป็นค่าครองชีพญี่ปุ่น หรือถ้าเทียบกับซูชิบ้านเราก็ไม่แพงเช่นกัน

เปิดด้วยไข่หวาน อร่อยธรรมดา

แซลมอนลายไม่ค่อยสวยว่ามั้ยครับ แต่ก็พอกินได้

เบียร์สดนั้น ยังไงก็อร่อยยยยยยย โอย ผมอยากไปญี่ปุ่นเพื่อไปกินเบียร์สดยังได้เลยนะครับจะว่าไป

ฮามาจิก็ไม่ค่อยสวย ธรรมดา ๆ อีกเช่นกัน

ทางร้านตั้งชื่อว่าแซลมอนออโรรา หรือแซลมอนติดมัน อร่อยกว่าแบบธรรมดาหน่อย แต่ก็แพงขึ้นเช่นกัน

ปลาโคโฮดะ ลายไม่สวยเลย ธรรมดา ๆ อีกเช่นกัน

ปลาหมึกกล้วย

สามสหาย ไม่รู้มันเข้ากันตรงไหน งง แต่ละอันธรรมดา ๆ ครับ

จำไม่ได้ล่ะครับว่าคืออะไร

มี Anago ที่ไหนจะน่าเกลียดกว่านี้อีกมั้ยครับ? (แต่รสชาติดีนะครับ)

สามหอย มีโอตาเตะ , หอยแครง และก็อะไรอีกหอยไม่รู้ ธรรมดา ๆ

ดูพี่แกจัดคำมาสิครับ น่าเขกกบาลจัง แต่ก็อร่อยดีนะครับปลาชิราโอะ หรือปลาข้าวสาร(?) คำนี้

ซาบะดอง Fail เอาจานสุดท้าย

ผลงานผม อิ่มเป็นบ้า

ประมาณ 5000 yen ครับค่าเสียหาย




หลังจากที่เราอิ่มท้องกับซูชิ ค่ำคืนสุดท้าย ณ ญี่ปุ่นหน้าร้อน 2011 ของเราก็ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่ามันต้องยาววววถึงเช้าวันใหม่ พวกเราไปเริ่มต้นราตรีอันแสนยาวไกลที่ร้านคาราโอเกะแบบญี่ปุ่น (ต่อไปนี้จะไม่มีรูปนะครับ บรรยายล้วน ๆ -*-) ร้านคาราโอเกะที่ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในเมือง ในตึกสูง ๆ และอยู่ที่ชั้นสูง ๆ ของตึก โดยจะเป็นห้องขนาดเล็กนั่งกันได้ 6-8 คน โดยค่าเสียหายส่วนใหญ่จะคิดเป็นต่อหัว เหมาทั้งคืน 2000 yen ชั่วโมงละ 500 yen อะไรประมาณนี้ ร้านคาราโอเกะที่นี่ค่อนข้างเป็นที่นิยมครับเพราะไปที่ไหนก็เจอ แต่แน่นอนว่าเราคนไทย น้อยคนคงจะร้องเพลงญี่ปุ่นได้ แต่เค้าก็มีเพลงฝรั่งไว้บริการเช่นเดียวกันครับ ส่วนพวกเครื่องดื่มกับอาหารนี่ก็จะคล้าย ๆ บ้านเราครับ สั่งเข้าไปกินได้ บางร้านมีราคาแบบรวมเครื่องดื่มบุฟเฟ่ต์แล้วก็มี (soft drink , non-alcohol นะครับ)

พอร้องคาราโอเกะกันเสร็จ เราก็ไปที่ Camelot Club ดังประจำย่าน Shibuya Tokyo กันต่อเลยครับ บอกตรง ๆ ว่านี่เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมได้เข้าคลับต่างประเทศ รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว club Camelot แห่งนี้ก็คงเหมือน club อื่น ๆ ในประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทย หรือพูดอีกนัยนึงคือ คลับที่ประเทศไทยประหลาดนั่นเอง คือคลับที่อื่นเราจะต้องเสียค่าผ่านประตู และจะได้เป็นคูปองไปแลก drink ได้ 1 drink ในขณะที่เมืองไทยไม่ใช่แบบนั้น ทุก ๆ ท่านก็คงรู้อยู่ว่าเป็นอย่างไรประเทศไทย ซึ่งค่าแรกเข้านั้นก็แล้วแต่ช่วงเวลา แล้วแต่เพศ เช่นที่ Camelot นี่ช่วงหัวค่ำ ผู้ชายจะเสียค่าเข้า 1000 yen แล้วก็ได้ 1 drink มั้ง แต่พอหลัง 4 ทุ่มก็จะกลายเป็นเสีย 3000 yen และได้ 1 drink เหมือนเดิม ในขณะที่ผู้หญิงรู้สึกว่าจะไม่เสียค่าเข้าเลยไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน ส่วนเครื่องดื่มก็ต้องเดินไปสั่งเอาที่บาร์ โดยที่นี่คิด drink ละ 500 yen และก็ได้มาเป็นแก้วพลาสติคกัง ๆ ส่วนดนตรี ที่นี่ก็จะแบ่งเป็น 2 zone ครับ เป็น hip-hop กับเป็น pop-rock (มั้ง) ก็ชอบแบบไหนก็อยู่ zone นั้นได้เลย และ club เมืองนอกส่วนใหญ่จะไม่มีโต๊ะครับ ยืนอย่างเดียวแต่ที่ Camelot นี่ดีหน่อย มีโต๊ะอยู่ตรงขอบ ๆ ห้องให้พอได้นั่งบ้าง

พวกเราก็มันส์กันถึงประมาณตี 3 (ผมไม่เจอสาวญี่ปุ่นสวย ๆ เลยครับ เศร้า) ก็เริ่มเหนื่อยกัน แต่แบบยังกลับบ้านไม่ได้เนื่องจากไม่มีรถไฟ ก็เลยไปร้องคาราโอเกะกันต่อแปบนึง (อ่านว่า นั่งหลับ คาราโอเกะ สำหรับผม) แล้วพอตี 5 ก็เดินไปสถานีรถไฟกัน ด้วยฤทธิ์เหล้าทั้งจากที่คลับ และที่ห้องคาราโอเกะ ทำให้ผมและม่ำและคนอื่น ๆ ค่อนข้างกรึ่ม และเดินร้องเพลงหน่วง ของ room39 กันเสียงดังกลางห้าแยก Shibuya กันเลยล่ะครับ เป็นอะไรที่มันส์มาก (เสียดายไม่ได้ถ่ายวีดีโอไว้) พวกเรากลับถึงห้องกันประมาณ 6 โมงกว่า แยกย้านกันอาบน้ำกว่าจะได้นอนก็ร่วม ๆ 7 โมง ซึ่งเราไม่เจียมตัวเลยว่าพรุ่งนี้จริง ๆ เราก็มีโปรแกรมให้เที่ยวต่ออีกนะ (โว้ย)

ติดตามอ่านตอนต่อไปได้ที่ลิงค์นี้ครับ


Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series

Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment