Shintori Japanese Restaurant at ZEN World Review
ชินโทริ ร้านอาหารญี่ปุ่น รีวิว
Overall Score 9/10
Taste 4.5/5
Ambiance 5/5
Service 5/5
Value 4/5
Shintori - Japanese Restaurant on Bumres.com (For more pictures, menu and info)
ในบริเวณ ZEN World หรือชั้น 17 - 20 ของตึก ZEN นี้หลาย ๆ ท่านคงคุ้นเคยกับ Greenspace ลานเบียร์ของ Heineken และร้านอาหาร Zense ร้านอาหารบรรยากาศดี ๆ วิวสวย ๆ ที่เปิดมาพร้อม ๆ กับที่ Central World สร้างเสร็จ แต่หลังจากที่ตึก ZEN โดนไฟไหม้ไปเมื่อสัก 3 ปีก่อน และตึกนี้ต้องมีการซ่อมแซม (จริง ๆ คือสร้างใหม่) ร้าน Zense และตัว Greenspace ก็เลยปิดตัวไปตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริเวณ ZEN World แห่งนี้ได้มีการเปลี่ยน concept และทำเป็นเหมือนสวรรค์ของคนรักอาหารขึ้นมาแทน โดยร้าน Zense อันโด่งดังนั้นยังคงมีอยู่แต่ได้มีการปรับโฉมเล็กน้อยให้ดู Modern ขึ้น และเพิ่มร้านอาหารญี่ปุ่น Shintori , เพิ่มร้านแนวนั่งชิลล์นั่งดื่ม นามว่า Horizon และ ณ ชั้นบนสุดหรือชั้น 20 (3 ร้านที่ผ่านมานี่คือ occupy ไปร้านละชั้นเลยครับ 17 - 19 ตามลำดับ) นั้นก็มีร้านแนวเต้น ๆ ฮิพ ๆ นามว่า Heaven ที่จะเป็นบาร์แบบเห็นกรุงเทพแบบ 360 องศา ไม่กี่แห่งในประเทศไทย เพิ่มเติมขึ้นมา คือเรียกได้ว่าทางห้าง ZEN นี่ตั้งใจทำออกมาให้เป็นสวรรค์แห่งการกินจริง ๆ สำหรับ 4 ชั้นนี้
รีวิวนี้เราก็จะไปกันที่ร้าน Shintori ร้านอาหารญี่ปุ่น ณ ชั้น 18 ของ ZEN World ร้านนี้นั้นมีต้นกำเนิดมาจากที่เซี่ยงไฮ้ ขยายสาขาไปที่ไทเป และล่าสุดก็มาเปิดที่กรุงเทพฯ โดยทาง ZEN นั้นได้ซื้อแบรนด์เข้ามาเปิด คือฟังดูอาจจะดูแปลก ๆ ที่ทำไมต้องไปซื้อแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นที่เมืองจีนมา แต่เท่าที่ผมรู้มา ร้านอาหารที่โด่งดังนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นร้านที่เปิดในสัญชาติของตัวเองก็ดังได้ อาทิ เช่นร้าน Blue Elephant ที่เริ่มโด่งดังจากเมืองบรัสเซลประเทศเบลเยี่ยม, ร้าน Nahm กรุง London ซึ่งทั้งสองร้านนี้ก็เป็นร้านอาหารไทยทั้งคู่ ซึ่งก็ดังได้โดยไม่ต้องเปิดที่ไทย และเนื่องด้วยเป็นการซื้อแบรนด์มาจากเซี่ยงไฮ้ ร้านสาขากรุงเทพฯ แห่งนี้เลยต้องมีการ QC, QA กันอย่างเข้มงวด โดยจะมีเชฟชาวจีนเป็นคนตรวจสอบคุณภาพอยู่เสมอ, มีคนจากเซี่ยงไฮ้บินมาตรวจ, อาหารแต่ละจานที่จะทำออกมาก็ต้องผ่านการ approve จากร้านแม่กันก่อน ตัวคุณภาพของร้านนี้ก็เลยค่อนข้างเข้มงวดไปตามระเบียบ
พูดกันถึงเรื่องบรรยากาศร้านกันก่อนละกัน ร้าน Shintori แห่งนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมรู้สึกว่ามีเอกลักษณ์อันโดดเด่นเป็นของตัวเองมาก ๆ คือพอเดินเข้าร้านปุ๊บก็จะเจอกับห้องโถง ส่วนรับประทานอาหารหลักขนาดใหญ่ ที่รายล้อมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ 4 ด้าน ด้านนึงคือ Sushi Bar หรือครัวเย็น , อีกด้านคือครัวร้อนขนาดใหญ่ที่ทำเป็นกระจกใสให้เราเห็นการทำงานของคนครัวทั้งหมด, อีกด้านคือบาร์เครื่องดื่มที่มีเครื่องดื่มให้เลือกสั่งเลือกดื่มกันเยอะมาก ส่วนอีกด้านนั้นก็จะเป็นวิวสวย ๆ ของกรุงเทพแบบ Panorama จากชั้น 18 คือแบบเรียกได้ว่านั่งโต๊ะไหน นั่งตรงไหนของร้านนี้ก็สามารถมีอะไรให้ดูให้มองได้หมดเลยล่ะครับ และนอกจากที่นั่ง Indoor นี้แล้ว ทางร้าน Shintori ก็มีที่นั่ง Outdoor จำนวนประมาณ 30 ที่นั่ง ที่จะได้รับลมเย็น ๆ ของกรุงเทพ ณ ชั้น 18 พร้อมวิวสวย ๆ ที่มองเห็นตึกสูง ๆ ของกรุงเทพ หลายตึก อืม คือจะเลือกนั่งด้านนอกหรือด้านใน สำหรับร้านนี้ผมก็รู้สึกว่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันครับ ไม่เหมือนกับบางร้านที่เราจะต้องแย่งกันนั่งด้านนอก หรือ ด้านใน อย่างใดอย่างนึง ไม่ได้ทำมาให้โดดเด่นพอกันแบบนี้
อาหารของทางร้าน Shintori นี้ทางร้านนิยามตัวเองเอาไว้ว่าเป็น Japanese Art Cuisine คือจะเน้นความสวยงามของอาหารเคียงคู่กันไปกับรสชาติ แต่จากที่ผมได้กินและได้เห็นเมนูแล้ว ผมขอนิยามเพิ่มให้อีกหน่อยว่าเป็น Contemporary Japanese Cuisine ด้วยละกัน เพราะอาหารแต่ละจานของทางร้านนั้นแบบ เป็นอาหารแบบประยุกต์ อาหารแนวใหม่ทั้งนั้น ซึ่งอาหารที่จะตกอยู่ในเกณฑ์นี้ได้สำหรับผมคือ หน้าตาต้องสวยงาม, ต้องเป็นอาหารที่ฉีกความเป็น traditional ออกมาได้แบบชัดเจน แต่ว่ายังคงความเป็นสัญชาติอาหารตัวเองได้อยู่ ซึ่งอาหารของร้าน Shintori แห่งนี้ก็ตรงตามนี้ทุกประการครับ อาหารของทางร้านมีให้เลือกไม่ค่อยเยอะ และจะเป็นอาหารญี่ปุ่นแนวที่ไม่(ค่อย) มีทางพบเจอที่ร้านไหนสักเท่าไร เนื่องจากเป็นอาหารที่รังสรรค์กันขึ้นมาเอง จะมีก็ตัว Sashimi , Sushi ที่คงจะหนี traditional ไปมากไม่ได้แค่นั้น จุดเด่นอีกอย่างของอาหารของร้านนี้คือตัวราคาครับ ก่อนมานี่ผมคิดเอาไว้ว่าราคาของที่นี่ต้องแพงมาก แต่เอาจริง ๆ แล้วราคาไม่ได้แพงสักเท่าไรเลย แพงกว่าร้านอาหารญี่ปุ่น Mainstream เล็กน้อยเอง ระดับราคาพอ ๆ กับพวกร้าน Sushi Bar เกรด B+ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วกรุงเทพอะไรงั้นเลย อืม
นอกจากอาหารแล้วทางร้านก็มีเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลายชนิด แน่นอนว่า Signature Cocktail ก็ต้องมีให้เลือกสั่งหลากหลายรสชาติแน่นอน แต่ว่าตัวเครื่องดื่ม Signature จริง ๆ ของร้านนี้นั้นคือตัว Sake ครับ ทางร้านมี Sake ให้เลือกน่าจะเป็นอันดันต้น ๆ ของร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพเลยก็ว่าได้ซึ่งมื้อนี้ทางร้านก็ฝากพวกผมมานำเสนอ 4 ตัว (คือผมไม่ได้ดื่มน่ะครับ เลยบอกไม่ได้ว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง -*-) ดังข้างล่างนี้
- Hakkisan Honjozo : Clean & straightforward : Niigata : Sake meter +5 : Acidity 1.1
- Hakutsuru Junmai : Dry, light-bodied : Hyogo : Sake meter +4 : Acidity 1.4
- Hakkaisan Junmai Ginjo : Medium Dry : Niigata : Sake meter +5 : Acidity 1.2
- Kubota Senju : Full-bodied : Niigata : Sake meter +6 : Acidity 1.2
ส่วนอาหารและเครื่องดื่มในมื้อนี้ก็ตามนี้ครับ
Gojira (Sake, midori, simple syrup, lime juice, lychee juice, mint leaves - 350 บาท) : รสชาติเด่นของแก้วนี้นั้นคือความหวานของลิ้นจี่ และได้ความสวยงามของตัว Midori เป็น Cocktail ที่อร่อยดีครับง่าย ๆ อารมณ์ประมาณพวก siganture cocktail จากร้านเทพ ๆ ทั้งหลายที่เคยดื่มมาประมาณนั้นครับ
Assorted sashimi set B 15 Pieces (ปลาดิบรวมชุด B 15 ชิ้น - 1,100 บาท) : จานนี้มีทั้งหมด 15 ชิ้น เห็นหน้าตาตอนแรกนี่บอกตรง ๆ ว่าคิดเอาไว้ว่าน่าจะประมาณ 2,000 บาทได้สำหรับ set นี้เพราะว่าตัวปลา, seafood ที่ให้มานี่มีแต่ของ premium ทั้งนั้นเลย ในจานนี้ก็จะประกอบด้วย Amaebi 3 ตัว (หวานอร่อย) , Madai 2 ชิ้น (สดดีครับ), Salmon 3 ชิ้น (น่าจะ Norway ลายสวย เนื้อมันอร่อย) , Hamachi 2 ชิ้น (คุณภาพดีมาก) , Hirame (อันนี้ผมไม่ค่อยชอบเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะเป็นปลาที่ค่อนข้างไร้รสชาติ แต่ก็คงดีมั้งครับ กินแล้วรู้สึกถึงความสดดี) , Akami (อร่อย เนื้อสด นุ่ม)
เนื้อลูกเต๋าหมักราดซอสมะกอกดำ (Black olive-flavored beef cubes - 650 บาท) : เนื้อแต่ละชิ้นนั้นหนัก 40 g และให้มาทั้งหมด 5 ชิ้นก็เลยเป็น 200 g โดยประมาณ เนื้อออสเตรเลีย 200 g ในราคาเพียง 650 บาท คุ้มมากทีเดียว ส่วนรสชาติจานนี้เนื้อนุ่มปานกลาง รสหมักมาแบบเน้นเค็มนิดนึง กะให้กินเอาสัมผัสจากเนื้อเป็นหลัก ส่วนผักกับแป้งที่ให้มาด้วยกันก็ช่วยแต่งให้หน้าตาสวยงามและเพิ่ม Texture เวลาเคี้ยวรวมกับเนื้อดีครับ
ข้าวอบปลาแซลมอน (Steamed rice with salmon dices - 250 บาท) : เป็นข้าวเหนียวญี่ปุ่นที่เอาไปคลุกกับเนื้อปลาแซลมอนมาก่อน แล้วก็เอาไปอบจนแห้ง แล้วก็โรยไข่ปลาแซลมอนมา จานนี้คล้าย ๆ กินข้าวเหนียวแบบไทย ๆ ผสมกับข้าวสวยครับ แห้ง ๆ แต่ก็มีความหนึบอยู่ เนื้อปลาแซลมอนให้มาน้อยไปนิด แต่เหมือนกับทางร้านต้องการให้กินเอารสชาติจากข้าวเป็นหลัก อืม ส่วนผักดองที่ให้มาด้วยกันนี่ผมชอบมาก ทั้งจัดเรียงมาสวยและอร่อย
Tofu cheese cake (โทฟูชีสเค้ก - 280 บาท) : ของหวานขึ้นชื่อของทางร้านเป็นการนำเอาเต้าหู้มาทำเป็นชีสเค้ก หน้าตาที่ออกมาก็คล้าย ๆ พวก Cheesecake ทั่วไปครับ แค่ไม่มีหน้าด้านบนอะไรมาก เค้กก้อนนี้อร่อยมาก หวาน เนียน นุ่ม ละมุนละไม หอมถั่วเหลือง สมกับที่เป็นของหวานขึ้นชื่อของทางร้านจริง ๆ
สรุป ร้าน Shintori ณ ชั้น 18 ของ ZEN World แห่งนี้ก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เจ๋งมาก ๆ ในทุกด้านเลยล่ะครับ เรื่องบรรยากาศร้าน แน่นอนคงยากที่จะหาร้านไหนมาทัดเทียมได้, การบริการก็ top notch ไม่มีที่ติอยู่แล้ว , ความหลากหลายของอาหารก็เยอะ และเป็นอาหารที่หากินที่ไหนไม่ค่อยได้ รสชาติอาหารนั้น สำหรับผม ค่อนข้างชอบเลย เป็นอาหารญี่ปุ่นที่กินแล้วรู้สึกเป็นอาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ดี อืม ถ้าสมมติอยากจะหามื้อพิเศษ โรแมนติค ๆ สักมื้อนึง ก่อนหน้านี้เราอาจจะนึกถึงแต่ร้านอาหารยุโรป, อาหารฝรั่งกัน ซึ่งร้าน Shintori แห่งนี้อาจจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นร้านแรก ๆ เลยมั้งที่สามารถไปสู้กับร้านยุโรปเหล่านั้นได้ อยากมองหาร้านเพื่อมื้อพิเศษแต่ไม่อยากกินอาหารฝรั่งก็มาลองร้านนี้กันได้เลยครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment