Saturday, June 8, 2013

Shio Yoshoku Review

Shio Yoshoku - Cafe and Restaurant at Sukhumvit 49, Bangkok

ชิโอะ โยโชคุ - ร้านอาหารญี่ปุ่น คาเฟ่ ของหวาน สุขุมวิท 49




Overall Score  7.5/10
Taste   3.5/5
Ambiance  4/5
Service  4/5
Value   3/5

SHIO - Yoshoku - Japanese & Western Restaurant on BumRes.com (For more pictures, menu and info)



แม้ว่าร้านอาหารญี่ปุ่นในกรุงเทพบ้านเรา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งย่าน ทองหล่อ, พร้อมพงษ์) จะมีกันเยอะแยะมากมายมหาศาล หลากหลายแนว ครบทุกรส ทุกรูปแบบที่คุณใฝ่หาแล้ว แต่กับร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ Yoshoku หรือสไตล์ญี่ปุ่นผสมตะวันตกนั้น เท่าที่ผมนึกออกมันยังไม่มีร้านแบบนี้ในกรุงเทพฯ หรือในประเทศไทยเลยสักร้านเดียวเลยนะเนี่ย? อาหารสไตล์ Yoshoku ถ้าเปรียบกับบ้านเรามันก็คืออาหารสไตล์กุ๊กช็อบ หรืออาหารจีนที่ได้รับวัฒนธรรมจากตะวันตกมานั่นเอง (พวกซี่โครงหมูอบถั่วลันเตา, สลัดเนื้อสัน อะไรแนว ๆ นี้) ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเองหลังจากที่เปิดประเทศ ตอนที่โดนเรือดำยักษ์ของอเมริกามาปิดอ่าวโตเกียวเมื่อประมาณ 1850 และได้รับวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างเข้ามา รวมไปถึงวัฒนธรรมอาหารด้วย อาหารญี่ปุ่นแนวใหม่หรือ Yoshoku ก็เลยถือกำเนิดขึ้นมานั่นเอง อาหารแนวนี้หลัก ๆ ก็จะมีพวก Omu Rice หรือข้าวห่อไข่ ที่พัฒนามาจากตัว Omelette , แกงกะหรี่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากพวกสตูว์ และกะหรี่ ๆ แบบอินเดีย และพวก Tonkatsu ที่ได้รับอิทธิพลจากพวกหมูชุบแป้งทอดสไตล์เยอรมันและอิตาเลียน

ตัวอาหาร Yoshoku เองที่ญี่ปุ่นก็ถือว่าค่อนข้างจะแพร่หลายอยู่พอสมควร บางชนิดแพร่หลายซะจนหลาย ๆ คน (อาจจะคนญี่ปุ่นเองด้วย) คิดว่าเป็นอาหารของชาติตัวเองเรียบร้อยโรงเรียนพี่ยุ่นไปแล้ว แต่กับอาหารแนว Cook Shop บ้านเรา ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนับวันมันถึงเสื่อมความนิยมลง ร้านที่ขายอาหารแนว ๆ นี้นับวันก็มีน้อยลงไป หลาย ๆ ร้านปิดตัวไป จนตอนนี้เหลือแต่ร้านเก่าแก่ ๆ เท่านั้นที่ขายอาหารประเภทนี้แล้ว (ไม่เห็นร้านที่เปิดใหม่ ๆ ขายอาหารแนวนี้สักเท่าไร) ซึ่งจุดนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพราะตัวผมเองก็คิด่วาพวกอาหารกุีกช็อปนี่มันก็อร่อยดีอยู่นะ







ร้าน Shio Yoshoku - Cafe & Restaurant ในรีวิวฉบับนี้ ก็จากชื่อร้าน ก็นั่นแหละครับ เป็นอาหารสไตล์ญี่ปุ่น-ตะวันตกแบบที่ว่านี่แหละ ร้านนี้เป็นร้านเปิดใหม่ที่เพิ่งเปิดมาได้แค่ 4 เดือนเท่านั้น ร้านตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 49 ถ้าขับมาจากฝั่งถนนสุขุมวิท ร้านก็จะอยู่ซ้ายมือก่อนถึงรพ.สมิติเวชเล็กน้อย (ร้านมีที่จอดรถของตัวเอง 10 กว่าที่ได้) ร้านนี้ก็น่าจะเป็นร้านอาหาร Yoshoku หนึ่งเดียวในกรุงเทพฯ ในตอนนี้จริง ๆ ตัวร้านนั้นเปิดทำการ 3 ช่วง ตอนกลางวันจะเป็น set lunch ราคาประหยัด, ตอนบ่ายจะเป็น tea time ขายพวกเค้กและชา, กาแฟ ส่วนตอนเย็นก็จะเป็นอาหาร Yoshoku แบบจัดหนัก ๆ ก็เรียกได้ว่าครบครัน ครบถ้วนเกินหน้าร้านน้องใหม่หลาย ๆ ร้านเลย

(ตัวเชฟใหญ่และเจ้าของร้าน คุณญาดา นั้น เป็นเชฟคนไทยที่ได้ไปร่ำเรียนการทำอาหารที่ญี่ปุ่นและคงจะติดอกติดใจอาหารแนว ญี่ปุ่น-ตะวันตก นี้ก็เลยกลับมาเปิดร้านสไตล์นี้เป็นคนแรก)

บรรยากาศของร้าน Shio Yoshoku - สุขุมวิท 49 แห่งนี้เป็นร้านที่บรรยากาศดีมาก ๆ ครับ ร้านใหญ่โต โอ่โถง แบ่งออกเป็น 2 zone โซน indoor dining ติดแอร์ขนาดใหญ่ มีโต๊ะประมาณสัก 20 โต๊ะ และส่วน al fresco dining อีกประมาณ 4 โต๊ะ ไว้รองรับลูกค้าญี่ปุ่น ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่ชอบสูบบุหรี่ ประมาณนี้ ส่วนตัวอาหารของร้านนี้ ตัว set lunch นั้นก็จะมีให้เลือกอยู่ 2 ราคา เริ่มต้นที่ประมาณ 259 บาท และ 359  บาท โดยจะมีอาหารให้เลือกไม่เหมือนกัน และก็แถมพวกสลัดกับ soft drink ให้กิน ส่วนตัวมื้อเย็นนั้นก็จะเป็นอาหาร a la carte สไตล์ Yoshoku ที่แบ่งหมวดหมู่ตามอาหารตะวันตก คือเป็น appetizer, sandwich, salad, grilled, pasta อะไรแนว ๆ นี้ และเนื่องจากตอนบ่าย ร้าน Shio Yoshoku แห่งนี้จะมีการผันตัวเองเป็นร้านเสิร์ฟชายามบ่ายด้วย ก็เลยมีเค้กสูตรเด็ดลูกผสมระหว่างญี่ปุ่น-ตะวันตก สูตรเด็ดของตัวเองเคียงข้างไปกับพวกขนมญี่ปุ่นยอดนิยม (Roll, Strawberry Shortcake) อีกด้วย อืม ครบครัน โดนใจมั้ยล่ะครับ?




สำหรับรีวิวมื้อนี้ก็จะไปจับที่ตัวอาหารมื้อเย็นเป็นหลักครับ ก็มาเริ่มกันเลยละกัน

เครื่องดื่ม ในมื้อนี้ได้เป็น cocktail มา 2 แก้วครับ

  • Midori Sour - 280 บาท : cocktail แบบเบา ๆ ผู้ชายกินได้ (แต่อยากได้แรง ๆ กว่านี้) ผู้หญิงกินดี (ผู้หญิงน่าจะชอบครับ สีสวย และก็รสไม่แรงมาก และก็มีความหวานเยอะหน่อย)
  • Japanese Ume Mojito - 280 บาท : cocktail สูตรเฉพาะของทางร้านที่มีการเติมบ๊วย เหล้าบ๊วยลงไปใน cocktail คลาสสิค ๆ แบบ Mojito ซึ่งก็ออกมาเป็น Mojito ที่รสชาติประหลาด ๆ หน่อย กินเข้าไปอึกแรกแอบประหลาด แต่กิน ไปช่วงหลัง ๆ ก็อร่อยดีครับ ซ่า ๆ เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ระคนกันไปหมด อืม






อาหารนั้นได้มาทั้งหมด 5 อย่าง
  • Salmon Carpaccio (Thinly sliced salmon with a touch of spice from mix bell pepper and onion, served with ponzu dressing - 320 บาท) : จานนี้เปิดฉากมาแบบไม่ค่อยประทับใจเท่าไร เนื้อปลาแซลมอนแล่มาบางไปนิด (แต่ก็เข้าใจนะว่ามันเป็นสไตล์ Carpaccio ต้องการให้เด่นที่ซอสมากกว่า) และแบบซอสที่เทมาจนท่วมด้วยกันนั้นรสชาติมันประหลาดสุด ๆ มันแบบ ขม ๆ เปรี้ยว ๆ รสชาติแหม่ง ๆ ไม่ได้ทำให้เนื้ออร่อยขึ้นมาเลย ผักที่โรย ๆ แต่งหน้ามาก็แปลก ๆ ครับ น่าจะเป็นผักชนิดเดียวไปเลยดีกว่า อันนี้เหมือนโรยมาเพื่อความสวยงาม แต่กินไปแล้วเหมือนมาทำลายรสชาติไรงี้





  • โคร็อกเกะ ปู  (Crab Cream Croquette - light crispy outer panko shell with a creamy crab sauce and crab meat inside - 450 บาท) : ก็เป็นโคร็อคเกะ ที่ค่อนข้างมาตรฐานนิดนึง ทำมาได้ค่อนข้างดีครับ มาแบบชิ้นใหญ่ ๆ อวบอิ่ม และผิวนอกก็ทอดมากรอบแบบนุ่ม ๆ (งงมั้ยครับ?) กำลังดี แต่ไส้ในเหมือนกับว่าน่าจะยัด ๆ มาให้เต็มตัวโคร็อคเกะได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะแบบจริง ๆ ไส้ในรสชาติค่อนข้างดีล่ะ ขาดแค่แบบเวลากัดไปแต่ละคำอยากจะเจอไส้ทุกคำแค่นั้น
  • ข้าวแกงกะหรี่ผัดแห้ง (Dried Curry Rice - a tasty curry fried rice dish with ground pork, scramble eggs and fresh vegetables - 270 บาท) : จานนี้ก็แปลกดีครับ คล้าย ๆ เป็น  omurice ผสมกับ kare (กะหรี่) ประมาณนั้นเลย รสชาติค่อนข้างมาตรฐาน ไม่ได้พิเศษอะไรมาก ได้ความแปลกใหม่จากการได้กินอาหาร Yoshoku 2 ประเภทในคำ ๆ เดียว ในจาน ๆ เดียว ประมาณนั้น





  • Beef Stew (Slow cooked beef ideally served with mashed potatoes, boiled vegetables, and steamed rice - 550 บาท)  : อันนี้ก็เป็นสตูว์ที่ค่อนข้างจะอร่อยดีทีเดียวเลย อารมณ์ประมาณสตูว์ตามร้านอาหารฝรั่งดี ๆ จานนึง รสชาติมาตรฐาน เนื้อนุ่ม และชิ้นใหญ่ ๆ chunky ๆ ดี ส่วนทีเด็ดนั้นกลับไม่ใช่ตัวเนื้อครับ แต่เป็นตัวผักที่ให้มาด้วยกันไม่ว่าจะ baby carrot, ฟักทอง หรือตัวถั่นลันเตา ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมกับเพื่อนรู้สึกว่าผักมันอร่อยโดดเด่นมาก ๆ กินไปแต่ละคำนี่แบบหอมหวาน อร่อยสุด ๆ เลย และจานนี้เพื่อความพิเศษไปอีกนิดโดยการมีข้าวสวยมาให้กินคู่กับสตูว์ คล้าย ๆ กินข้าวแกงกะหรี่อะไรแบบนั้น ซึ่งก็ช่วยเพิ่มความอร่อยขึ้นมาอีกครับ สตูว์นี่มันเป็นอะไรที่เหมาะกับข้าวสวยจริง ๆ นะ แหม่ (แอบสงสัยเหมือนกันว่าพวกฝรั่งกินสตูว์กับอะไรนอกจากกับเส้นพาสต้า?)
  • Kurobuta Saute (Sauteed Berkshire pork served with Japanese style sauce and grilled vegetables - 440 บาท) : อันนี้เป็นอาหารคาวที่ปิดท้ายได้อย่างลงตัวครับ ตัวเนื้อหมูคุโรบูตะ เอาไปทอดมาจนสุกกำลังดี และก็ปรุงรสมาด้วยซอสหวาน ๆ ในแบบที่ผมไม่เคยเจอในอาหารคาวจานไหนมาก่อน ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่อร่อยนะครับ มันอร่อยลงตัวมากเลย และแน่นอนครับ จานนี้มีผักแบบที่ใส่มาในจานสตูว์เนื้อเช่นกัน และผักย่างมาสุกกำลังดี และก็หอมอร่อยเหมือนกัน โอย ฟินครับ ตัว main course ของที่นี่ 2 อย่าง




ของหวานนั้นได้มาเป็นเค้ก 3 ชิ้นครับ
  • Strawberry Shortcake (3 layered sponge cake with cream and fresh sliced strawberries in between - 170 บาท) : เค้กยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น ร้าน Shio Yoshoku ทำมาได้อร่อยดีครับ อร่อยแบบมาตรฐานสไตล์ญี่ปุ่น ครีมไม่ได้หอมมาก แต่ก็นุ่ม ๆ เช่นเดียวกันกับเนื้อเค้ก ประมาณนั้น
  • SHIO Caramel Rare Cheesecake (Japanese style no-bake cheesecake with salted caramel cream inside - 150 บาท) : อันนี้ทีเด็ดเลยครับ ชีสเค้กมาแบบไม่ได้เอาไปอบ ก็เลยออกมาเป็นชีสเค้กที่นุ่มมาก ๆ และก็ยังเพิ่มความพิเศษด้วยการยัดคาราเมลก้อนลงไป และปล่อยให้มาละลายตอนที่ลูกค้าตัดกิน โอ้โห อร่อยมาก ๆ ครับ ทั้งชีสเค้ก ทั้งคาราเมล ไม่ได้กินเค้กอร่อย ๆ ขนาดนี้นานมาก ๆ แล้ว
  • Mixed Fruit Mille Crepe (Layered mille crepe filled with fresh cream and various kinds of fruit (มิลล์เครปผลไม้รวม - 185 บาท) : เป็นเคร้ปที่ประกอบด้วยผลไม้ 4 ชนิด มีกล้วย, กีวี, สตรอเบอรี่, แคนตาลูป ซึ่งเจ้าเค้กก้อนนี้โดดเด่นที่ตัวผลไม้ครับ ผลไม้หลากหลายและให้มาเยอะดี แต่ว่าตัวแป้งแห้งไปและก็ไม่ค่อยมีรสสัมผสสักเท่าไร แป้งหนาไป ประมาณนั้น อร่อยเพราะผลไม้อย่างเดียวจริง ๆ









สรุป ร้าน Shio Yoshoku Cafe & Restaurant ร้านนี้ ค่อนข้างเป็นร้านที่ดีร้านนึงเลยล่ะครับ จุดเด่นสำหรับร้านนี้แน่นอนว่าคือเรื่องตัว อาหารที่เป็นอาหารสไตล์แปลกใหม่ ไม่มีที่ร้านอื่นในเมืองไทยมาก่อน (หมายถึงไม่มีแบบเน้นอาหารแนว ๆ นี้) แต่ก็เป็นอาหารสไตล์ที่ไม่ได้แหวกแนว อะไรมาก แบบที่คนไทยไม่ค่อยคุ้นเคย คือแบบ ยังคงกินได้ดีอยู่ อะไรงี้ บรรยากาศร้านก็ทำได้ดีมาก ๆ โอ่โถ่งโล่งสบาย พร้อมการบริการดี ๆ จากพนักงานที่เทรนมาดี เอาจริง ๆ แล้วรสชาติอาหารของร้านนี้อาจจะไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก แต่จากราคาที่ไม่ค่อยแพง และเมนูบางอย่างก็อร่อยโดดเด่นเหนือเมนูอื่นจริง ๆ กอปรกับเมนูที่มีให้เลือกเยอะ ผมก็เลยคิดว่าจริง ๆ แล้วร้านนี้ถ้ามาสั่งให้ถูกเมนู เผลอ ๆ จะได้เมนูที่อร่อยเด็ดครบ course เอาได้เหมือนกันนะ เอาล่ะครับ ใครอยากจะลองอาหารสไตล์ Yoshoku แบบที่ไม่ต้องบินไปกินไกลถึงญี่ปุ่น มาจัดร้าน Shio - สุขุมวิท 49 แห่งนี้กันได้เลย!

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment