Saturday, November 10, 2012

USA Fall 2012 Trip - Splendid Seattle & Portland Part 3 - Pike Place Market, Chihuly Garden and Glass, Seattle Aquarium and More

USA Fall 2012 Trip - Splendid Seattle & Portland Part 3 - Pike Place Market, Chihuly Garden and Glass, Seattle Aquarium and More



หลังจากที่เที่ยวเต็ม ๆ วันแบบโปรแกรมเต็มเอี๊ยดวันแรกที่ Seattle ไปแล้ว วันที่สองนี้โปรแกรมก็อัดแน่นพอ ๆ กันครับ โปรแกรมแรกในวันนี้คือการเดินทางไปยัง Pike Place Market ตลาดสดแบบ Public แห่งแรกของโลก (เค้าว่ากันแบบนั้น) ที่เปิดทำการมา 100 กว่าปีแล้ว ตลาดสดประจำเมือง Seattle แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ถ้าใครมาที่เมืองนี้ก็ต้องแวะมากัน ซึ่งก็รวมถึงพวกผมด้วย ที่ตลาดนี้ก็จะเหมือน ๆ ตลาดสดอืน ๆ ในโลกล่ะครับ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างมากจะมีพิเศษหน่อย (สำหรับผม) ก็คือ ตลาดนี้จะมี ร้านอาหารทะเลสด ๆ อยู่หลายร้านเลย และแต่ละร้านก็แบบมีสัตว์ทะเลตัวใหญ่ ๆ อลังการ แบบที่หาไม่ได้ที่อื่นตลาด Pike Place Market นี้ก็คล้าย ๆ Tsukiji Fish Market ที่ญี่ปุ่นล่ะครับ เพียงแต่ว่าไม่ใหญ่โต ไม่อลังการเท่ากับที่นั่นก็แค่นั้น (ก็อย่างว่า ประชากรต่างกันร่วม 10 เท่า) แต่ความอลังการของ  seafood ของที่นี่ก็ทำให้ผมแอบตกใจเหมือนกันครับ สมกับเป็นเมืองแห่งอาหารทะเล ส่งออก seafood ไปยังทั่วอเมริกาประมาณ  70%  ของประเทศ เสียดายที่โรงแรมของผมมันไม่มีครัวแบบจริงจัง ไม่งั้นก็คงจะซื้อเจ้า seafood ตัวใหญ่ ๆ จ้ำม่ำ ๆ ราคาไม่ค่อยแพงพวกนี้ไปบรรเลงกินกันเองที่โรงแรมแล้ว T_T








นอกเหนือจากร้านขายอาหารทะเลสด ๆ ก็จะมีพวกผักผลไม้สด ๆ , butcher shop และอะไรต่าง ๆ นา ๆ ที่เป็นของสดครบครันหมดครับ ส่วนถ้าเราเดินลงไปชั้นล่างหน่อยก็จะเปลี่ยนจากตลาดสดกลายเป็นเหมือนตลาดนัดจตุจักรบ้านเราแทน คือจะรวมร้านรวงต่าง ๆ นา ๆ ร้อยพ่อพันแม่ แบบไม่รู้ว่าแต่ละร้านมาตั้งรวมกันอยู่ได้อย่างไรในตลาดแห่งนี้ ส่วนฝั่งตรงข้ามกับ zone ขายอาหารสดของตลาดก็จะมี ร้านประเภท cafe ตั้งเรียงรายกันอยู่เป็น 10 ๆ ร้าน มีร้านขนมปัง, อาหารจีน, อาหารเวียดนาม, ร้าน  wine testing และร้านอาหารแนวกินแบบซื้อกลับเล็ก ๆ น้อย รวมไปถึงร้าน Starbucks สาขาแรกก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ด้วย แน่นอนครับ ร้าน Starbucks สาขาแรกก็เป็นอีกหนึ่งที่ที่คนที่มาที่ (หลายที่จัง) seattle จะต้องมาแวะเวียนกัน พวกผมก็ไปแวะซื้อกาแฟมากินแก้วนึง แล้วก็ซื้อแก้วกาแฟมา 2 แก้วครับ (แก้วกาแฟของ starbucks  ที่อเมริกาจะมีเขียนเอาไว้ว่าเป็นของเมืองไหนรัฐไหน มีเพื่อนผมคนนึงสะสมอยู่ เค้ามี 30 กว่าอันล่ะ) หลังจากที่เดิน ๆ เล่น ดูโน่นดูนี่แล้ว ท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาครับก็เลยนำมาซึ่งร้านลำดับที่ 4 ในทริปนี้









4th Shop
ชื่อร้าน Lowell's - Restaurant & Bar
URL http://www.eatatlowells.com/
ประเภท อาหารอเมริกันทั่วไป, อาหารเช้า
ราคา 400 บาทโดยประมาณ








ร้าน Lowell's นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ค่อนข้างดัง ถึง ดังมากประจำ Pike Place Market เค้าล่ะครับ เนื่องจากว่าร้านนี้เปิดทำการมานานมาก ๆ แล้ว และเป็นร้านขนาดใหญ่ อยู่กลางตลาดเลย หาไม่เจอนี่คงยากกว่าหาเจอ ร้านนี้นอกจากตัวอาหารที่เปิดขายกันตั้งแต่เช้า มีบริการ อาหารเช้า, เที่ยง, เย็น แบบครบครันแล้ว บรรยากาศของร้านนี้ก็ยังเรียกได้ว่าเด็ดสะระตี่อีกด้วย คือร้านนี้จะมี 3 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีที่นั่งที่สามารถมองเห็นทะเลสวย ๆ ของ seattle กินอาหารไป ดูวิวสวย ๆ กับน้ำทะเลสีคราม ๆ (สีไม่เหมือนบ้านเรา) เป็นอะไรที่ฟินดีแท้เหลาครับ

มื้อนี้เนื่องจากว่าพวกผมไปกินกันประมาณ 9 โมงกว่า ๆ ก็เลยมีเมนูอาหารเช้าไว้คอยบริการอยู่ ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าเห็นเมนูอาหารเช้าของร้านนี้แล้วก็แอบทึ่งในความอลังการครับ คือประมาณว่าจะเยอะไปไหน จะมีให้เลือกเยอะไปมั้ย แล้วทำไมราคาอาหารเช้าถึงแพงแบบนี้ หลังจากที่ดู ๆ รายการอาหารกันสักพัก และเห็นราคาที่แบบแพงพอ ๆ กับมื้อเย็นบางร้าน ก็เลยคิดว่า อาหารมันจะต้องจานใหญ่แน่ ๆ ซึ่งพอสั่งอาหารเสร็จ เอาเลข order ไปวางที่โต๊ะ รอแปบนึง พนักงานก็จะเดินอาหารมาให้ และพอเห็นอาหารแค่นั้นแหล่ะครับ อืม มันเยอะจริง ๆ ด้วย คิดถูกจริง ๆ ที่สั่งไป 2 จานแต่กินกัน 4 คน








จานแรกที่ได้เป็น LOWELL’S SIGNATURE EGG’S BENEDICTS alderwood smoked salmon 17$ อาหารที่บอกตรง ๆ ว่าผมหาอร่อยกินยากเหลือเกินที่เมืองไทย เห็นเจ้าเมนูนี้ทางร้าน Lowell's จะดูภูมิใจในตัวเองเหลือเกินก็เลยสั่งดูสักหน่อย จริง ๆ เค้ามีให้เอา egg benedict ไป pairing กับอะไรอย่างอื่นได้อีก 3-4 แบบครับ แต่แน่นอน ผมเลือก salmon เพราะมันคงเป็นอะไรที่น่าจะสด อร่อย สมกับที่มากินถึง Pike Place Market แบบนี้ ตัวรสชาติ ผมบอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันยังไง มันก็เป็นอาหารเช้าที่รสชาติดีตามแบบฉบับอาหารเช้าจานนึงอ่ะครับ กินแล้วเหมือนกับกินเพลิน ๆ เรียกให้กระเพาะตื่นเฉย ๆ อืม ไม่ได้มีอะไรให้ติดใจเลยครับ

ส่วนอีกจานเป็น Lowell’s breakfast bowl bacon, cheddar and green onion strata, poached eggs and hash browns potatoes, topped with our sausage gravy 12$ จานนี้ก็คล้าย ๆ กันกับจาน Egg Benedict ทุกอย่างเลยครับ ไม่ว่าจะเรื่องรสชาติ, หน้าตา, ความเบา เหมือนเป็นจานฝาแฝดที่เปลี่ยนแค่ตัวองค์ประกอบ, วัตถุดิบในจานแค่นั้น อืม ไม่รู้ว่าทางร้านทำได้ยังไงรสชาติมันถึงได้คล้ายกันขนาดนี้ สรุปร้าน Lowell's @ Pike Place Market นี่ก็เป็นร้านที่แบบถ้าใครไปที่นี่ก็แวะไปกินก็ดีครับ อาหารเช้าเค้าจานใหญ่ จัดหนักกินคุ้มดี วิวร้านก็สวย แต่แบบเรื่องรสชาติ (สำหรับผม) ไม่ต่างจากกิน  breakfast  ตามโรงแรมตะวันตกสักเท่าไรนัก (ฮา)

พอกินข้าวเสร็จมีพลังงานขึ้นมา เป้าหมายต่อไปของพวกผมก็คือไปยังส่วนที่เรียกว่า Waterfront  ของเมือง Seattle ซึ่งเป็นอีกหนึ่งย่านท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเลย การเดินทางจาก Pike Place Market ก็ไม่ยากครับ เดินเอา เดินมุ่งหน้าไปทางทะเล ก็จะถึงเอง อ้อ Pike Place Market นี่เดินทางสะดวกนะครับ จะนั่งรถรางมาลงก็ได้ หรือถ้าขับรถมาแบบผมก็ไปจอดที่ที่จอดรถของตลาดได้เลย ค่าจอดรถเรียกได้ว่าถูก เมื่อเทียบกับค่าจอดรถในย่าน Downtown และมี promotion early bird หรือจอดวันเสาร์, อาทิตย์อีก ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่

ที่ Seattle Waterfront นี้ก็จะมี แหล่งท่องเที่ยวหลากหลายครับ ที่แรกที่ผมไปคือ Seattle Aquarium คือเจ้า  Aquarium นี่ถ้าถามผมว่ามันดีมั้ย เจ๋งมั้ย ก็ตอบได้ง่าย ๆ ว่าค่อนข้างธรรมดามากครับ เมื่อเทียบกับตัว Aquarium ตามที่มีอยู่ในเอเชียทั้งหลายแหล่ที่ผมเคยไปมาแล้ว เรียกได้ว่าค่อนข้างจะชิดซ้าย ทั้งในเรื่องความหลากหลายของสัตว์ทะเล, ความอลังการของตู้ปลา และการแสดงโชว์ ไม่ค่อยมีอะไรเลยครับ เหมือนแบบถ้าจะไปที่นี่ก็ไปฆ่าเวลาเฉย ๆ แต่ถ้าใครเคยไปที่เจ๋ง ๆ กว่านี้มาแล้วไม่ว่าจะ Siam Ocean World บ้านเรา, Aquarium ที่ Osaka หรือ Okinawa แล้ว ที่นี่ถือว่าธรรมดามาก ๆ ครับ ไม่ต้องเสียเวลามาหรอกถ้าเวลาไม่ค่อยมี สิ่งที่ผมว่าเจ๋งที่สุดที่นี่คือ เค้าจะมีเหมือนเป็นบ่อน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก แล้วก็จะมีปลา, ปลาดาว อยู่ในบ่อ ซึ่งเค้าอนุญาตให้เราจับเล่นได้ อืมก็แปลกดี ผมก็ไปลองจับ ๆ ปลาดาวเล่นดู เห็นเด็ก ๆ ก็สนุกสนาน กันดีด้วย อ้อ ๆ ที่นี่อาจจะดีกว่า Aquarium ที่ญี่ปุ่น หรือ ฮ่องกง ตรงที่ ภาษาอังกฤษ ล่ะครับ ฟังรู้เรื่อง อ่านออก ได้ความรู้เยอะดีแท้












เสร็จจาก Aquarium เวลาก็ซัดไปเที่ยงกว่า พวกผมก็เลยเดิน ๆ เล่นที่  Waterfront กันต่อ ย่านนี้นอกจาก  Aquarium แล้วก็จะมี Mall เล็ก ๆ , ร้านอาหาร, ชิงช้าสวรรค์ และก็ท่าเรือ จุดเด่นของย่านนี้ผมว่าน่าจะเป็นที่ตัวร้านอาหารซะมากกว่าครับ เพราะว่ามีร้านเจ๋ง ๆ น่าเข้าไปนั่งเยอะพอตัว ไม่ว่าจะร้าน seafood แบบอเมริกันแท้ ๆ ,  oyster bar, หรือ bar ริมน้ำเก๋ ๆ หรือแม้แต่จะไปกินอาหารบนเรือพร้อมกับล่องเรือชมอ่าว Seattle ไปก็ยังได้ ร้านอาหารเค้าครบครันจริง ๆ แต่ร้านอาหารที่พวกผมจะไปฝากท้องกันนั้นคือร้าน ที่เล็งเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว...






5th Shop
ชื่อร้าน Crab Pot Seafood - Seattle
URL http://www.thecrabpotseattle.com/
ประเภท Seafood (American Style)
ราคา 800  บาทโดยประมาณ







ร้านนี้เป็นร้านที่ผมเล็งเอาไว้เมื่อนานมาก ๆ แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ดูรายการ Man Vs Food ช่วง Season แรก ๆ คือถ้าใครเคยดู อาจจะพอนึกออกกับร้านที่แบบจะเอาอาหารทะเลแบบต่าง ๆ มาคลุก ๆ รวมกันในกะละมัง แล้วก็มาเทต่อหน้าเรา โดยจะให้ค้อน, ผ้ากันเปื้อน เป็นอุปกรณ์ในการกินของเรา ฟังดูแล้วคุ้น ๆ มั้ยครับ? ร้านที่ว่านี้ก็คือร้าน Crab Pot Seafood ที่ตั้งอยู่ในห้าง Miner's Land Mall ห้างเล็ก ๆ ริมทะเล บริเวณ Waterfront ของ Seattle นั่นเอง

ร้านนี้ก่อนผมจะมาก็ search ๆ หาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนจะมากินอยู่พอสมควรครับ เห็นคะแนนรีวิวจากคนอเมริกันตามเว็บร้านอาหารต่าง ๆ แล้วเห็นคะแนนไม่ค่อยดีเท่าไร คือได้คะแนนกลาง ๆ แทบทุกร้าน แต่มีเว็บ Tripadvisor ที่คะแนนส่วนใหญ่น่าจะมาจากนักท่องเที่ยว ร้านนี้กลับได้คะแนนสูงก็เลย อืม มาลองดูหน่อยละกัน

มื้อนี้เริ่มต้นด้วย หอยนางรมสด ๆ 6 ตัว (6 Oysters - 12$) ความสดของหอยนั้นเรียกได้ว่าไม่มีที่ติครับ สด หอมน้ำทะเล ยอดเยี่ยมมาก เสียดายที่น้ำจิ้มของทางร้านมีแต่น้ำจิ้มแบบฝรั่ง ๆ ถ้ามีน้ำจิ้ม seafood แซ่บ ๆ แบบบ้านเรานี่ยิ่งจะสุดยอดเข้าไปใหญ่

อย่างที่ 2 เป็น Salmon Tacos - 9.95$ จานนี้สั่งเพราะแบบเห็นแปลกดีครับ  Tacos ส่วนใหญ่เห็นจะจับคู่กับสัตว์บก แต่ร้านนี้คงกะว่าข้าเป็นร้านอาหารทะเลก็ต้องเอา Tacos  มาจับคู่กับอาหารทะเลได้สิ รสชาติจานนี้ธรรมดา ๆ ครับ Tacos ออกแนวแห้ง ๆ ด้วย ตัว Salmon ก็ธรรมดา ๆ grill มากำลังดี ความสดก็ไม่ได้มากอะไร จานนี้เสมือนกินเติมเต็มกระเพาะครับ










ส่วนอย่างสุดท้ายและเป็น hi-light ของมื้อนี้คือ Crab + Shrimp - 42$ หรือเจ้ารวมมิตรอาหารทะเลที่ว่านั่นเอง คือพ่อผมสั่งแบบ กุ้ง กับ ปู ผสมกันก็ได้ปริมาณมาแบบที่ถ้าไม่สั่งอะไรอย่างอื่นเลย กิน 2  คนก็คงกำลังพอดี ๆ ท้องล่ะครับ ผมว่าทางร้าน Crab Pot Seafood นี่น่าจะเอากุ้งกับปูไปนึ่งก่อน แล้วก็เอาไปคลุก ๆ กับซอสสูตรเฉพาะของทางร้าน เหมือนจะมี ปาปริก้า, พริกไทย และก็เกลือประมาณนี้ ก่อนจะเอามาเทลงต่อหน้าเรา ความสด ความอร่อย ก็ถือว่าทำได้ดีครับ แต่ถ้าถามว่าประทับใจกว่าอาหารทะเลสด ๆ บ้านเรามั้ย? ก็ตอบว่าไม่ครับ  seafood บ้านเราอร่อยกว่าแบบชัดเจนเลย ไม่ว่าจะตัวปูดำ (ปูทะเล) บ้านเราที่เนื้อแน่นกว่า หวานกว่า หรือกุ้งที่บ้านเราตัวใหญ่กว่า และมีมันกุ้งอัดมาแน่น ๆ กว่า และที่สำคัญมีน้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บด้วย!

สรุป มื้อเที่ยงแบบจัดแบบกลาง ๆ ของพวกผมที่ร้าน Crab Pot Seafood นี่ก็ถือว่าโอเคล่ะครับ อาหารทะเลสดสมกับเป็นร้านที่ตั้งตัวเองอยู่ในเมืองแห่งอาหารทะเลแบบนี้ แต่ก็นะ กับ  80$ ที่จ่ายไป ถ้าเอาไปกินที่เมืองไทยกับร้านริมทะเลแบบนี้ กินสะใจกว่ากันเยอะครับ!

หลังจากอิ่มท้องกัน พวกเราก็ย้านตัวเองพร้อมกระเพาะที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากเมื่อเช้า ไปยัง Pier ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน (ห้าง Miner's Land Mall นี่รู้สึกจะอยู่ที่ Pier 57) ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าคือ Pier อะไรแต่แบบเดินไม่กี่นาทีก็ถึงล่ะครับ เพื่อไปนั่งเรือชมเมือง Seattle กัน เรือที่พาเราไปนั้นเป็นของบริษัทนามว่า Argosy ซึ่งบริษัทนี้เท่าที่ผมจำได้ก็จะมีเรือแบบนั่งชมเมืองวันละ 2 เที่ยว ชมใกล้ ๆ หน่อย แค่วนรอบ Phuket Sound (อ่าวเล็ก ๆ ที่กั้นกลางระหว่างเมือง Seattle กับ Olympics National Park) กับอีกแบบที่ไกลหน่อยและใช้เวลาเดินทางมากกว่ากันเท่านึง นอกจากเรือล่องชมเมืองแล้ว ก็จะมี Dining Cruise ไว้บริการอีกด้วย แต่รู้สึกว่าจะมีแต่มื้อเย็น และราคาก็ดูเหมือนจะแพงพอตัวอยู่ครับ










เรือ Argosy Cruise ที่ผมนั่งก็พาพวกผมวนรอบ ๆ Phuket Sound โดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึง พาผ่านย่าน Downtown, และก็ย่าน Seattle City Center และก็วนไปดูพวกท่าเรือ, เรือบรรทุกสินค้า วันที่ผมไป โชคดี แดดจ้า ฟ้าเปิด ก็เลยได้วิวที่ค่อนข้างดี และเหมือนว่า แมวน้ำ  (sea lion) 3-4  ตัวจะเห็นด้วยกับผม มีขึ้นมาอาบแดดเล่นกันตรงบริเวณเหมือนเป็นซากปรักหักพังกลางน้ำด้วย ไกด์บอกว่า แมวน้ำที่ Seattle นี่มีเยอะ แต่ไม่บ่อยที่มันจะขึ้นมาอาบแดดแบบนี้ เรียกได้ว่าลูกเรือในวันนั้นโชคดีมากที่ได้เห็น เจ้า Argosy Cruise  นี่ผมว่าก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกันครับ ถ้าแดดดี ๆ ฟ้าเปิด ๆ เพราะว่าตัวไกด์นั้นรู้ประวัติความเป็นมา และรายละเอียดต่าง ๆ ของเมืองดีมาก ถ้ามานั่งเรือนี้วันแรก ๆ แบบผมมา ก็จะได้ความรู้ ได้เข้าใจตัวเมือง และจะได้เที่ยวได้สนุกขึ้นด้วย

พอเสร็จจากการล่องเรือชมเมือง พวกผมก็เดินทางต่อไปยัง Seattle City Center ที่เป็นที่ตั้งของ Attractions ต่าง ๆ มากมาย และเมื่อวานผมก็ไปยัง Space Needle มาแล้ว วันนี้ โปรแกรมที่จะไปและอยู่ในย่าน Seattle Center นี้ก็มี  3 ที่ไล่เรียงกันไปเลยกับ EMP Museum , Chihuly Garden and Glass และ Pacific Science Center










ที่แรก ​EMP Museum ที่นี่จะเป็นประมาณพิพิทธภัณฑ์เกี่ยวกับหนังและดนตรี ส่วนจัดแสดงถาวรเท่า ๆ ที่ผมเดินดูก็จะมีพวก ชุด, เครื่องแต่งกาย, โมเดล เท่ ๆ จากในหนังมาตั้งโชว์ มีประวัติเกี่ยวกับดนตรีในสหรัฐอเมริกา, มีต้นไม้กีตาร์สุดเท่ตั้งเด่นเป็นสง่า, มีจอทีวีใหญ่ ๆ ฉาย Music Video ไปเรื่อย ๆ ส่วน ส่วนจัดแสดงที่เป็นแบบเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตอนผมไปก็มีเกี่ยวกับวง  Nirvana ที่ทางพิพิทธภัณฑ์ใช้คำว่า Nirvana - Bring punk to the mass ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะผมจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ แนวเพลงของ Nirvana นี่เป็นวงแรกเลยมั้งที่ดังติดตลาด ส่วนส่วนจัดแสดงของหนังตอนผมไปก็ต้อนรับ Halloween พอดี เป็นเกี่ยวกับหนังสยองขวัญต่าง ๆ โดยรวมแล้วเจ้า EMP Museum นี่ก็เจ๋งดีครับ และคงหาพิพิทธภัณฑ์แนวนี้ยากในโลกนี้ ก็มา Seattle  ก็น่าแวะมาหน่อยครับ แต่น่าเสียดายที่ผมก็ไม่ได้ผูกพันกับดนตรีของอเมริกา หรือหนังอเมริกาสมัยเก่ามาก ก็เลยยังเข้าถึงไม่มากเท่าไร คนที่รู้เรื่องดี โตมากับอะไรพวกนี้ เผลอ ๆ จะอินไปกับที่นี่มาก ๆ เลยก็เป็นได้นะ
















ที่ ๆ 2 ใน Seattle City Center ก็คือ Chihuly Garden and Glass ที่นี่ผมตั้งใจจะมาให้ได้เนื่องจากว่าใน Tripadvisor ที่นี่ได้โหวตให้เป็นที่ 1 จากแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด 300 กว่าแห่งใน Seattle และได้คะแนนสูงมากจริง ๆ ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าก่อนจะเข้าไป หรือแม้แต่ตอนจ่ายเงินค่าตั๋วแล้วก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันคืออะไร จนพอเข้าไปได้เห็นประติมากรรม, สถาปัตยกรรม และจะเรียกว่าอะไรดี สิ่งประดิษฐ์ ละกัน ที่แสนจะสวยงามและอลังการ และทั้งหมดทำมาจากแก้วในที่แห่งนี้แล้ว บอกได้คำเดียวครับว่า ถ้ามา Seattle ยังไงก็ต้องมาที่นี่ให้ได้ ไม่งั้นเรียกว่ามาไม่ถึง เพราะว่าแต่ละห้อง, แต่ละสิ่ง แต่ละ Theme ที่ผมเดินผ่าน พร้อมถูกสะกดจิตด้วยความสวยงามของความหลากหลายสี และรูปร่างอันสวยงามของแก้วแบบต่าง ๆ มันแบบ..สวยจริง ๆ ครับ ผมเองก็เป็นคนไม่รู้ในศิลปะอะไรมาก ยังทึ่ง ยึง Amazing กับอะไรต่อมิอะไรที่ได้เห็นที่นี่จริง ๆ แนะนำครับ แนะนำจริง ๆ

ส่วนที่ ๆ 3 นี่หลังจากที่ทึ่งและตื่นตะลึงกับ Chihuly Garden and Glass มา ที่ที่ 3 นี่ออกแนวเซ็ง ๆ ครับกับ Pacific Science Center ที่นี่ชื่ออาจจะฟังดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่เอาจริง ๆ แล้วมันก็คือ พิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กแค่นั้นล่ะครับ ที่นี่จะแบ่งเป็น  4 ตึก 3 ตึกจะเป็นส่วนจัดแสดงถาวร ส่วนอีกตึกนึงก็จะเป็นส่วนจัดแสดงตามเทศกาล ระหว่างที่ผมเป็นมีจัดแสดง King Tut หรือ  King Tutankaman กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอียิปต์อยู่ ซึ่งพอดีมันต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มอีก 10 กว่าเหรียญมั้ง พวกผมเลยไม่ไปดูกัน ดูพวกส่วนจัดแสดงถาวรกันแทน ก็ตามที่เขียนไว้ข้างต้นครับ ส่วนจัดแสดงพวกนี้จะเน้นไปที่เด็ก ๆ มากกว่า ไม่ว่าจะเรื่อง ไดไนเสาร์, อวกาศ หรือความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ คือส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่ผู้ใหญ่รู้กันอยู่แล้ว หรือไม่ก็เคยเห็นที่อื่นมาแล้วน่ะครับ ก็ Fail ไปอันนี้








พอเสร็จจากที่ Seattle City Center นี้ พวกผมก็กลับไปที่ Pike Place Market ที่ที่รถจอดอยู่ และก็คุยกันเอาไว้ก่อนแล้วว่าจะแวะซื้ออาหารทะเลสด ๆ แบบที่ไม่ต้องปรุงไปกินกัน ก็เลยได้เป็น หอยนางรมสด ๆ 20 ตัว พร้อมปลาแซลมอน King Alaska  อะไรเนี่ยแหละ ไปแล่กินแบบ Sashimi กัน ก็เลยกลายเป็นมื้อเย็นที่แบบอร่อย สด ประหยัดตังค์ดีครับ พอกินกันเสร็จ อาการ Jet Lag  ของผมยังไม่หายดี ผมก็เลยม่อยหลับไปตั้งแต่ประมาณสัก 2 ทุ่มได้ ซึ่งเจ้าอาการ Jet Lag นี่ก็หายเป็นปลิดทิ้งพอพ้นคืนนี้ไปครับ อืม โชคดีจริง ๆ ปรับตัวแค่ไม่กี่วัน ส่วนโปรแกรมพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามอ่านต่อได้เลยครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment