Saturday, November 3, 2012

USA Fall 2012 Trip - Splendid Seattle & Portland Part 2 - Boeing Factory and Safeco Field

USA Fall 2012 Trip - Splendid Seattle & Portland Part 2 - Boeing Factory, Safeco Field and Space Needle



โปรแกรมเที่ยวในวันนี้ก็ค่อนข้างจะแน่นเหมือนกันครับ เที่ยวกันตั้งแต่เช้ายันดึกดื่นเลย โปรแกรมแรกในวันนี้คือการมุ่งหน้าไปยังโรงงาน Boeing หนึ่งในบริษัททำเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือตอนก่อนมาผมก็ค่อนข้างจะสับสนระหว่างโรงงาน Boeing นี่กับพิพิทธภัณฑ์เครื่องบินที่นึงที่มีนามว่า The Museum of Flight ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคนละเรื่องกันเลยครับ เจ้า Museum of Flight นั่นคือพิพิทธภัณฑ์แบบรวบรวม เครื่องบินโบราณ ๆ มาโชว์ แต่โรงงาน Boeing นี่ก็คือโรงงานผลิตเครื่องบินจริง ๆ เลย การเดินทางไปเจ้าตัวโรงงานนี่ถ้าไม่มีรถก็เรียกได้ว่าไม่น่าจะไปได้ครับเพราะโรงงานมันอยู่ไกลมาก ๆ ขับรถไป 20 นาทีจากตัวเมืองเลย (คิดถูกจริง ๆ ที่เช่ารถ) แต่ก่อนจะไปชมการสร้างเครื่องบินอันสุดแสนจะอลังการกัน เราไปกินข้าวเช้ากันก่อนดีกว่าครับ



ก่อนจะไปกินข้าวเช้า ขอผมเขียนถึงการค้นหาร้านอาหารในอเมริกาก่อนดีกว่า ถ้าแบ่งการค้นหาร้านอาหารทางอินเตอร์เน็ทเป็นยุคสมัยแล้ว ผมว่าการหาร้านอาหารต่าง ๆ ในบ้านเราก็เปรียบได้เหมือนกับการหาร้านจากสมุดหน้าเหลือง เพราะว่าที่อเมริกานี้ พอได้ลองค้นหาข้อมูลร้านอาหารบนเน็ทแล้วถึงได้รู้ว่า นี่สิถึงจะเรียกว่าการหาร้านบนอินเตอร์เน็ทของจริง เพราะนอกจากความฉลาดของ Google ที่ show ผลการค้นหาแบบ interactive มากกว่าที่โชว์ในบ้านเราแล้ว, ที่นี่ยังมีเว็บรวบรวมร้านอาหารเจ๋ง ๆ อยู่อีกหลายเว็บ ไม่ว่าจะ Zagat, Yelp, Urbanspoon หรือ Tripadviosr เองก็ตาม ซึ่งทุกเว็บนี่ก็จะมี interface ที่เจ๋ง ข้อมูลแน่นเพียงพอที่เราจะรู้จักร้าน ๆ นึงได้อย่างลึกซึ้ง แต่แค่นั้นยังไม่พอครับ ร้านอาหารที่อเมริกานี่เท่าที่ผมค้น ๆ มามีสัก 5% เองมั้งที่ไม่มีเว็บไซท์ของตัวเอง นอกนั้นมีหมด เว็บก็มีทั้งสวยเก๋บ้าง โบราณบ้านนอกบ้าง แต่สิ่งนึงที่ทุกเว็บมีคือจะมีเมนูอาหารของตัวเองอยู่บนหน้าเว็บ ซึ่งมันดีต่อผู้บริโภคมาก ๆ เพราะเราจะได้ตัดสินใจได้ถูกว่าเราอยากจะไปร้านนี้ดีมั้ยเมื่อได้ดูรายการอาหารแบบเจาะลึกแล้ว รวมถึงเราสามารถเลือกรายการอาหารไว้ได้เลย ไม่ต้องไปนั่งเลือกที่ร้าน เวลาที่ลูกค้าเยอะ หรืออะไรจะได้ไม่ต้องรอ ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 ข้อนี้ ผมว่าบ้านเรายังห่างไกลจากอเมริกาเค้าเยอะครับ ไม่ว่าจะตัว google เองที่ยังไม่ฉลาดเท่าที่อเมริกา, เว็บรวบรวมร้านอาหารที่ไม่เทพพอ (แต่ผมจะพยายามทำ BumRes ให้ดีที่สุดนะครับ T_T) และ ร้านอาหารที่ผมว่าในเมืองไทยมีสัก 10-20% เองมั้งที่มีเว็บไซต์ของตัวเอง และส่วนใหญ่มีก็ไม่ค่อยมีข้อมูลอะไร ไม่ค่อยมีเมนูของร้านโชว์ ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่อะไรครับผมก็แค่อยากให้เรามีการค้นหาร้านอาหารเทพ ๆ แบบอเมริกาบ้าง เพราะผมว่าร้านอาหารบ้านเราเจ๋ง ๆ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักก็มีอยู่เยอะอยู่นะผมว่า




2nd Shop
ชื่อร้าน Belle Epicurean - Seattle's best Parisian Bakery and Cafe
URL http://www.belleepicurean.com/
ประเภท Breakfast (Sandwich, Croissant) & Bakery Shop
ราคา 300 บาทโดยประมาณ 


ร้าน Belle Epicurean นี่เหมือนกับตอนเช้าจะขายอาหารเช้า ตอนเที่ยงกับเย็นจะขายอาหารจริงจับครับ



มีบริการน้ำดื่มให้ตักเองที่ด้านในร้านครับ



ร้านชื่อเก๋ ๆ นามว่า Belle Epicurean นี่ก็เป็นร้านที่แบบเปิดขายอาหารทั้งวัน แต่อาหารของร้านนี้ที่ผมเล็งเอาไว้คืออาหารเช้าที่จะเป็นพวกแซนด์วิช, ครัวซองต์ อะไรพวกนี้ครับ ร้านนี้เจ๋งมาก เปิดขายกันตั้งแต่ 6 โมงเช้าเป็นร้านที่ทำมาเพื่อขายอาหารเช้าจริง ๆ (ผมนึกถึงร้าน  cafe เก๋ ๆ แบบนี้ที่ไทยที่เปิด 6  โมงเช้าไม่ออก) ผมไปถึงร้านตอนประมาณสัก  8 โมง ไม่มีลูกค้าอยู่ในร้านเลยสักคน แต่ว่าระหว่างที่กินก็มีลูกค้าเข้ามาเรื่อย ๆ ครับแต่จะเป็นสั่งแบบ to go ซะเป็นส่วนใหญ่ ร้านนี้ก็เป็นเหมือนร้าน cafe ทั่ว ๆ ไปที่เราจะต้องไปสั่งอาหารที่ counter จ่ายเงินแล้วรอเอาอาหารมาเสิร์ฟครับ ผมกับพี่ไปยืน ๆ ดูอาหารที่ตู้กันค่อนข้างนาน คือไม่นานมาก แต่ก็นานพอที่จะเกรงใจพนักงาน คือคุณเธอรอจะรับออเดอร์ ๆ แต่พวกผมก็ไม่สั่งซักที (ขอโทษนะครับ พอดีไม่ค่อยคุ้นกับอาหาร) จนในที่สุดก็เลือกมาได้ 3 อย่าง คือตอนที่เลือกเสร็จ ผมก็นึกว่าเราจะกินแบบที่อยู่ในตู้เลย แต่เปล่าครับ ทางร้านต้องเอาไปอบต่อ ซึ่งแบบบอกตรง ๆ ว่าตอนอบเสร็จแล้วนำมาเสิร์ฟนี่หน้าตามันคนละเรื่องกับที่อยู่ในตู้เลยครับ

มี Bakery ด้วย เค้กเค้าน่ากินดี โดยเฉพาะ Macaron แต่ขอโทษเหอะครับ ตอนนั้น  8 โมงเช้า กินอะไรไม่ลง

เลือกในตู้ แล้วเค้าเอาไปอบต่อ

อันนี้แบบกินได้เลย


DOUBLE CHEESE - BREAKFAST CROQUE MONSIEUR w/ Truffle Aioli (9$)

ชิ้นนี้ของผมตอนอยู่ในตู้ก็เป็นแซนด์วิชธรรมดา ๆ มีแฮมกับชีสเหมือนแซนด์วิชทำกินเองง่าย ๆ อะไรแบบนั้น แต่แบบตอนที่เห็นแบบที่อบมาพร้อมกินแล้วนี่คนละเรื่องครับ ตัวชีสมาหลอมติดไปกับขนมปังที่ขอบเกรียม ๆ ตัวเนื้อแฮมก็แบบแอบหลอม ๆ รวมเป็นเนื้อเดียวไปกับทุกอย่างด้วย รวม ๆ แล้วมันก็คือแซนด์วิชที่เจ๋งมาก ทุกอย่างหลอมรวมเป็นก้อนเดียว ผมไม่เคยกินมาก่อนเลย ส่วนรสชาติ อร่อยประทับใจครับ ชอบ ๆ เกรียม ๆ มัน ๆ อร่อยยย




WARM PEPPER TURKEY - on rosemary croissant bun (8$)

อันนี้ของพ่อผม คล้าย ๆ ของผมเช่นเดียวกัน หน้าตาในตู้แบบนึงยกมาเสิร์ฟอีกแบบนึง ผมไม่ได้กินนะครับแต่พ่อผมก็บอกว่าอร่อย







BLACK FOREST HAM & GRUYERE CROISSANT (3.75$)

ส่วนอันนี้ของพี่ผม พี่ผมบอกว่าอร่อยดีเช่นกัน ผมไม่ได้ชิม แต่แอบแปลกใจว่าทำไมราคามันแตกต่างจากอันของผมกับของพี่จัง

มื้อนี้กินเสร็จอิ่มกำลังดีตามที่ควรจะเป็นกับอาหารเช้ามื้อนึง กินเสร็จพวกผมก็มุ่งหน้าไปโรงงานผลิตเครื่องบินอันแสนจะอลังการกันโดยพลันเลย โรงงาน Boeing นี่ก็จะมีอยู่ 2 ส่วนครับ ส่วนโรงงานจริง ๆ ที่จะมีไกด์ทัวร์บรรยายตลอดเวลาพาเราเที่ยวชมโรงงานเค้า กับอีกส่วนคือ เป็นส่วนจัดแสดงกึ่ง ๆ gallery, museum ประมาณนั้น ซึ่งตัวทัวร์นั้นจะจัดทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงและเริ่มต้น 9 โมง เสียค่าเข้าชม 19$ และสามารถเข้าชมส่วน Gallery ด้วยได้ พวกผมไปถึงรอบ  9:30 AM คนยังไม่ค่อยเยอะเท่า ในกลุ่มพอมีประมาณสัก 20  คนได้ ก็เลยทำให้ตลอดเวลาที่ไกด์พาไปยังจุดต่าง ๆ ก็เลยไม่ค่อยเบียดเสียด แย่งกันสักเท่าไรครับ

Boeing Museum ครับ

เครื่องบินจอดเรียรายอยู่มากมาย บ้างมีเจ้าของแล้ว บ้างรอให้ถูกจับจอง

ไม่มีธงชาติไทยครับ ผมลองดูแล้ว ประหลาดดี เพราะการบินไทยนี่จำได้ว่าการบินไทยก็มี boeing อยู่พอสมควร

อ้าวรอบ 10 โมง เขียนในตัว text ผิดครับ  -*-


ทัวร์เริ่มต้นโดยการพาไปดูวีดีโอแนะนำประวัติความเป็นมา และข้อมูลโดยสังเขปของ Boeing ประมาณ 15 นาที แล้วก็จะพาเราไปชมโรงงานกัน โดยกินระยะเวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมง และมีการเดินประมาณสัก 1 กิโลเมตรโดยประมาณ คือที่เหมือนกับว่ามันจะเดินเยอะนั้นเนื่องจากตัวโรงงาน Boeing นั้นมันใหญ่มาก  ๆ ครับตัว Guiness World Record นั้นได้บันทึกเอาไว้ว่าตึกโรงงานนี้เป็นตึกที่มี volume มากที่สุดในโลก ไกด์บอกว่าโรงงานของพวกเขานี่ใหญ่มาก ๆ ใหญ่ขนาดเอาสนามฟุตบอลมายัดลงไปได้ 50 สนาม (มั้ง ผมจำตัวเลขไม่ได้ แต่หลักหลายสิบสนามอ่ะครับ) แต่น่าเสียดายที่เค้าห้ามถ่ายรูปแบบเด็ดขาดเลย กล้องนั้นหมดสิทธิ์ชัวร์ และแม้แต่มือถือเองก็ยังไม่ให้เข้าอีก กันการรั่วไหลของสายการผลิตสุด ๆ ผมเลยไม่มีรูปจากในโรงงานเลยสักรูปเดียว คร่าว ๆ คือที่โรงงานนี้เค้าจะแยกสายการผลิตตามรุ่นของเครื่องบิน ซึ่งในปัจจุบันก็จะมีอยู่ 3 รุ่นที่อยู่ในสายการผลิต มี 747 รุ่นเก๋ากึ๊ก, 777 ที่เป็นที่นิยมช่วง10 ปีที่ผ่านมานี้และ 787 ที่เพิ่งจะส่งมอบลำแรกกันเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง


เครื่องยนต์ใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าความสูงผมอีก


น่าจะเครื่องละหลายร้อยล้าน หรือเป็นพันล้าน



แต่ละสายการผลิตเค้าก็จะผลิตโครงเครื่องบินแต่ละส่วนแยกกันก่อน แล้วก็ค่อยเอามาประกอบเข้าด้วยกัน พอประกอบเสร็จก็ไปติดตั้งเก้าอี้, ตกแต่งภายใน แล้วก็ทาสี สุดท้ายถึงจะติดตั้งเครื่องยนต์ ตัวเครื่องยนต์เครื่องบินนั้นก็จะมีอยู่ 3 ยี่ห้อหลัก ของ Boeing เองที่ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว แต่โดนศาลสั่งให้แตกไปเป็นบริษัทย่อย, GE และก็ Rolls-Royce ซึ่งตัวเครื่องยนต์นี้ไม่ใช่ว่าทาง Boeing จะสามารถติดตั้งได้เองเลย แต่จะเป็นตัวลูกค้าที่สั่งเครื่องบินจะเป็นคนกำหนด spec มาแทน ว่าเขาอยากได้เครื่องบินแบบไหนซึ่งเครื่องแต่ละอันก็จะแตกต่างกัน เช่น บินไกลบ่อย ๆ , บินใกล้ ๆ บ่อย ๆ, ทนอากาศหนาว หรืออะไรก็ว่าไป ผมก็ฟังไม่ค่อยทันเท่าไร เสร็จแล้วพอประกอบเสร็จทั้งหมดได้เป็นเครื่องบินลำนึง เค้าก็จะขับเครื่องบินออกไปหน้าโรงงาน แล้วก็บินไปส่งให้กับลูกค้าถึงที่เลย! ตอนผมไปมีเครื่อง 747 ลำนึงถูกบินขึ้นไปส่งให้ลูกค้า - Lufthansa สายการบินของเยอรมัน เจ๋งดีครับ

ไกด์บอกว่าหลายคนอยากรู้ราคาเครื่องบินพวกนี้ อืม ผมจำตัวเลขไม่ได้เป๊ะ ๆ นะครับ ตัว 747 เนี่ยประมาณลำละหมื่นล้านบาท, 777 ประมาณ 6000 ล้านบาทส่วน 787 ประมาณ 8000 ล้านบาท ได้ยินราคาแล้วก็ช็อคครับเนื่องจากว่ามันแพงมาก ๆ เมื่อเทียบกับประเทศอุตสาหกรรมแบบเราแล้ว ถ้าจะส่งออกสินค้าเกษตรกรรมให้ได้หมื่นล้านบาทนี่.. ผมนึกจำนวนไม่ออกเหมือนกัน สมมติว่าเป็นข้าวสาร ที่ราคาตันละ 10,000 บาท เราต้องส่งออกข้าว ล้านตันถึงจะเท่ากับ Boeing ทำ  747 ลำนึง ซึ่งชาวนาบ้านเราทำนาเฉลี่ยได้ปีละ 5 ตันก็คือต้องใช้ชาวนา 200,000 คนถึงจะส่งออกได้เงินเท่ากับเครื่องบิน 747 ลำนึง oh my god ชาวนา 200,000 คน! นั่นมันคือ 0.3% ของประชากรทั้งประเทศแล้วนะครับเนี่ย! แล้วอันนี้คือต่อหนึ่งปีด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้ว Boeing เค้าผลิตได้เดือนละหลายสิบลำ ปีละหลายร้อยลำ โอยไม่ยากจะคิด ไม่แปลกเลยที่ประเทศเราจะยากจนอยู่แบบนี้

Boeing รับทำเครื่องบินส่วนตัวด้วยครับ


อันนี้ที่นั่งของ 747 อันแสนจะคลาสสิค


รุ่นใหม่ล่าสุด ใช้วัสดุ Carbon Composite เบาขึ้น 30% ประหยัดน้ำมันขึ้นเยอะ


พอเสร็จจากส่วนทัวร์โรงงาน เราก็จะมีอิสระไปชมส่วนจัดแสดงต่อ ซึ่งก็จะมีรายละเอียดของเครื่องบินรุ่นต่าง ๆ ของ Boeing, เครื่องยนต์จริงและเครื่องยนต์จำลองยี่ห้อต่าง ๆ, ห้องโดยสารจำลอง และอะไรอีกเล็กน้อยครับ ส่วนจัดแสดงนี่เหมือนเป็นส่วนเติมเต็ม, ส่วนฆ่าเวลามากกว่า เพราะว่าพอไปดูในโรงงานมาแล้ว มันเจ๋งและอลังการกว่ากันเยอะครับ

พอเสร็จจากโรงงานโบอิ้ง เวลาก็ผ่านล่วงเลยไปเกือบเที่ยงแล้ว พวกผมก็พากันขับรถกลับเข้า downtown seattle เพื่อไปหาข้าวกินกัน ตอนแรกผมก็เล็งร้านอาหารอเมริกันร้านดังประจำเมืองนามว่า Metropolitan Grill เอาไว้ แต่เนื่องด้วยโปรแกรมเที่ยวถัดไปนั้นก็เป็นไกด์ทัวร์ที่ fix เวลาเอาไว้ตอนบ่าย 2 และมีแค่วันละรอบ จากที่กะจะนั่งกินชิล ๆ ก็เลยเปลี่ยนเป็นอาหารแบบจานด่วน, รีบ ๆ กินแทนและไปลงเอยกับอาหารเวียดนามจานด่วนเข้าครับ

3rd Shop
ชื่อร้าน Cafe Pho' - Authentic Vietnamese Cuisine
URL http://www.cafepho.com/
ประเภท อาหารเวียดนามจานด่วน, อาหารเอเซียน
ราคา 300 บาทโดยประมาณ





ไอ้น้ำพริก Sriracha นี่แทบทุกร้านเอเชียจะมีครับ แต่รู้สึกคนผลิตจะเป็นคนจีน เซ็งจริง ๆ


ร้าน Cafe Pho' นี่บอกตรง ๆ ว่าไม่ได้อยู่ในแผนการณ์อะไรสักนิดก่อนจะมากินเลยครับ พอดีพวกผมหาที่จอดรถที่ downtown เสร็จ เดินออกมาเจอ mall เล็ก ๆ ที่มีร้านอาหารตั้งรวม ๆ กันอยู่  4-5 ร้านและเห็นเจ้าร้าน Cafe Pho' นี่มีลูกค้านั่งอยู่เยอะดี และดูแล้วเป็นร้านอาหารจานด่วนซึ่งน่าจะทำเวลาได้ดีก็เลยตกลงเข้าไปกินกัน ร้านนี้ก็เหมือนร้านเอเชียส่วนใหญ่ คือเราต้องไปสั่งที่  counter ก่อน จ่ายเงิน แล้วก็ไปนั่งรถที่โต๊ะทางร้านก็จะยกอาหารมาให้ อาหารหลักของร้านนี้ก็ตามชื่อร้านครับจะเน้นขาย เฝอ หรือ ก๋วยเตี่ยวเวียดนามนั่นเอง แต่ก็จะมีอาหารเวียดนามอย่างอื่นขายด้วย ซึ่งค่อนข้างหลากหลายดีเหมือนกันเท่าที่ผมดูเมนู บางเมนู ที่เมืองไทยไม่น่าจะมีด้วยซ้ำ มื้อนี้เนื่องจากว่ารีบมาก ก็เลยสั่งเฝอกันไป 3 ชาม ส่วนพ่อผมนั้นชอบซี่โครงมาก เห็นมีอยู่ในเมนูก็เลยสั่งซี่โครงแหวกแนวจากชาวบ้านเขา

Meat Ball Phở - Phở Bò Viên 7.55$ Beef noodle soup with meat balls เฝอจานนี้ผมกับแม่สั่งเหมือนกัน เฝอที่ได้ เป็นชามใหญ่มาก ๆ ถ้าเทียบกับก๋วยเตี๋ยวบ้านเราแล้วก็คงประมาณสัก 3 เท่าของบ้านเราได้ แต่หน้าตานั้นออกจะเรียบง่ายมาก ๆ คือมีแค่ลูกชิ้นเนื้อกับเส้นก๋วยเตี๋ยวซึ่งเหมือนเส้นเล็กบ้านเรามาให้แค่นั้น แต่เราสามารถใส่ผักสด ๆ เพิ่มเติมได้ โดยทางร้านมีใบโหระพากับถั่วงอกมาให้ จานนี้หลังจากที่ไม่ได้กินอาหารไทยมานาน (10 วันได้ครับสำหรับผม) มื้อนี้เป็นมื้อที่ให้ความรู้สึกเป็นไทยที่สุดล่ะ รสชาติเฝอเค้าอร่อยดีครับ ผมชอบสุดคือชอบตัวน้ำแกง เป็นเหมือนน้ำซุปธรรมดา ๆ ต้มจากกระดูกหมู แต่ก็อร่อยกลมกล่อมดี ส่วนตัวลูกชิ้นเนื้อก็อร่อยดี สมกับเป็นเนื้อวัวของอเมริกา ประเทศแห่งการบริโภคเนื้อ ส่วนเส้นก๋วยเตี๋ยวนั้นเหมือนบ้านเราเลยครับ เหมือนมาก ๆ รวม ๆ แล้วชามนี้ก็เป็นก๋วยเตี๋ยวที่อร่อยพอประมาณเลย

เฝอ Meatball อร่อยดีครับ


ใส่ผักเข้าไปเพื่อสุขภาพ


เส้นเหมือนเส้นเล็กบ้านเราเลย และทางร้านลวกมานิ่มมาก ผมไม่ค่อยชอบ ชอบแข็ง ๆ


Sliced Steak Phở - Phở Tái 7.55$ Beef noodle soup with thinly sliced steak ส่วนชามนี้เป็นของพี่ผม เหมือนกับของผมและของแม่ทุกประการแค่เปลี่ยนจากลูกชิ้นเนื้อเป็นเนื้อ slice แทน ก็เหมือน ๆ กัน อร่อยระดับเดียวกัน

Beef Short-Ribs– Sườn Bò Nướng 8.95$ Marinated with garlic, shallots and black bean sauce ส่วนของพ่อผมเป็นข้าวสวยกินกับซี่โครงวัว อบซอส ผมได้กินซี่โครงมาซี่นึง อร่อยดี รสชาติจะคล้าย ๆ ซี่โครงทอดบ้านเรา แต่จะมีใส่เครื่องเทศมากกว่าหน่อย และก็จะแฉะ ๆ ฉ่ำ ๆ กว่าซี่โครงบ้านเรา พ่อผมชอบมากครับ กินจนเกลี้ยงแม้ว่าจะให้มาค่อนข้างเยอะ





มื้อเร่งด่วนยามเที่ยงของผมที่ Seattle มื้อนี้ก็ค่อนข้างโอเคครับ กับร้าน  Cafe Pho' แห่งนี้ อาหารราคาถูก รสชาติเหมือนเอเชียนต้นตำรับ ไม่ใช่เอเชียนดัดแปลงเฮงซวยเหมือนบางร้าน อาหาารวดเร็ว เหมาะแก่การรีบ ๆ กินเพื่อไปทำอะไรต่อ ร้านนี้มี 3 สาขาครับ ใครมาแถว seattle และนึกถึงอาหารเอเชียแท้ ๆ สะดวกสาขาไหนก็จัดได้เลยครับ

พอเสร็จจากร้าน Cafe Pho' พวกผมทำเวลากันได้ดีมาก ไปถึงสนาม Safeco Field เป้าหมายต่อไปตามกำหนดการเป๊ะ ๆ แต่เจ้ากรรมนายเวรใดกลั่นแกล้งไม่ทราบ ฝนดันตกลงมาระหว่างเดินไปสนามครับ ดีที่ตกมาตอนเกือบจะถึงด้านในแล้วก็เลยเปียกนิดหน่อย ตัวสนาม Safeco Field นี้ก็เป็นสนามเบสบอลเหย้าของทีมเบสบอลอาชีพ Seattle Mariners ทีมเบสบอลใน MLB ที่ระดับความเก่งก็อยู่ในระดับกลาง ๆ ทีมนึง ทีมนี้ช่วง 10 ปีหลังมานี้โด่งดังในหมู่คนญี่ปุ่นมาก ๆ เนื่องจากว่าทีมได้ซื้อตัว Ichiro Suzuki นักเบสบอลชาวญี่ปุ่นชื่อดังไปร่วมทีม ซึ่งคุณ Ichiro นี่ก็ไม่ได้เป็นนักเบสบอล ดาด ๆ ทั่วไป แต่พอไปถึงก็กลายเป็น Superstar  ของทีม Mariners เลยก็ว่าได้ ด้วยอัตราการตีที่สูง .3 กว่า ๆ และท่าตีอันเป็นเอกลักษณ์ (จนมีบริษัทเอา Ichiro ไปทำเป็นท่าในโฆษณา) โด่งดังทั้งที่อเมริกาเองและที่ญี่ปุ่นเอง จนสนาม Safeco Field แห่งนี้ รวมถึงที่เที่ยวอื่น ๆ ในเมือง Seattle เลยมีป้ายข้อความภาษาญี่ปุ่นกระจาย ๆ อยู่เต็มไปหมด เพราะคนญี่ปุ่นน่าจะมาดูคุณ  Ichiro นี่แข่งเยอะอยู่









ส่วนการพาทัวร์สนามนี้ ค่าเข้าชมรู้สึกจะคนละ  10$ นี่แหละครับ และก็กินเวลาประมาณเกือบ ๆ 2 ชั่วโมง ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าดีทีเดียว โดยเราจะได้เข้มชมทุกส่วนในสนาม ไม่ว่าจะห้องแต่งตัว, ห้องซ้อม, ห้องกินข้าว, ห้องน้ำ, Clubhouse ของสมาชิกชั้นสูงของทีม, Pressbox, ตัวสนามที่ใช้แข่ง,  ตัวที่นั่งของโค้ชและนักกีฬาข้างสนาม, ห้องแถลงข่าว คือไปครบหมดเลยครับ และระหว่างที่ไปยังจุดต่าง ๆ คุณไกด์ของเราก็จะบรรยาย ๆ ๆ แบบเจาะลึก บางอันก็มีสาระน่าสนใจบ้าง บางอันก็ลึกไปจนไม่เห็นจำเป็นจะต้องรู้ก็มี แต่โดยรวม ๆ แล้วถ้าเป็นคนดูเบสบอล การมาเยือนสนาม Safeco Field นี่ก็เรียกได้ว่าเจ๋งมากครับ เพราะแบบไปทุกห้อง และเจาะลึกจริง ๆ และที่สำคัญคือถูกด้วย

พอเสร็จจากสนาม  Safeco Field ผมก็บอกที่บ้านว่าผมไม่ไหวแล้วง่วงมาก เพราะตื่นมาตั้งแต่ตี 2 ขอตัวไปงีบที่โรงแรมก่อนเพราะว่าร้านอาหารที่จะไปกินในมื้อเย็นนั้นอยู่ใกล้โรงแรมมาก ๆ แบบเดินไป 5 นาทีถึง จึงเป็นที่มาของร้านที่ 4 ใน Trip นี้ครับ

4th Shop
ชื่อร้าน Lark
URL http://larkseattle.com/
ประเภท American (New)
ราคา 1,000 บาทโดยประมาณ








ร้าน Lark นี่ผมจัดให้อยู่ในประเภท American (New) ตามที่เว็บ Zagat, Yelp แยกร้านนี้เอาไว้ ซึ่งในทริปนี้ผมก็ได้กินร้านอาหารแบบ American (New) นี่อยู่แค่ร้าน Lark ร้านนี้ร้านเดียวเองมั้ง เลยไม่กล้าฟันธงลงไปว่าจริง ๆ มันคือร้านอาหารแบบไหน แต่ถ้าให้ประมาณการณ์แล้ว มันก็คือร้านอาหารอเมริกันที่แบบดัดแปลงอาหารให้หน้าตาสวยงามหน่อย, จานเล็กลงหน่อยเพื่อที่ลูกค้าจะได้สั่งหลาย ๆ จาน, มีรายการอาหารให้เลือกเยอะ และไม่ใช่อาหารแบบ traditional สิ้นค้นแบบอเมริกันธรรมดา และก็มีเครื่องดื่มให้เลือกดื่มเยอะ คู่กับอาหารไป คือเป็นประมาณลูกผสมฝรั่งเศสกับอเมริกันนั่นเอง

วันที่ผมไปพอดีมันอยู่ในช่วง Seattle Food Festival Week  อะไรประมาณนี้อยู่ ซึ่งร้านอาหารดัง ๆ เจ๋ง ๆ จะเข้าร่วมโครงการนี้โดยทุกร้านจะทำอาหาร 3 course 28$ ไว้บริการลูกค้า แต่รายละเอียดตัวอาหารก็จะแตกต่างไปตามร้านนั้น ๆ ไปเนื่องจากเจ้าเมนู 3 course 28$ นี่ราคาคุ้มดี แต่ว่าแม่ผมกินไม่ค่อยเยอะก็เลยสั่งกันไป 3 course บวกกับอาหารจานหลักมาอีกจานแทน (ซึ่งจริง ๆ แล้วตัวอาหารของเค้าก็มีให้เลือก course ละ 3 อย่างพอดี ก็เลยลงตัวพอดีด้วย)







มื้อนี้ไม่ขอบรรยายอาหารอะไรมากนะครับเนื่องจากว่าอาหารเยอะ และแต่ละจานก็ไม่ได้รสชาติโดดเด่นอะไรมาก รสชาติโดยรวมของร้าน Lark นี้ก็ถือว่าค่อนข้างดีครับ แต่ถามว่าดีแบบอร่อยเว่อร์เลยมั้ยก็เปล่า มีหลาย ๆ ร้านในบ้านเราที่เป็นร้านแนว ๆ นี้ modern ๆ , fusion ๆ ที่ผมว่าทำได้อร่อยพอ ๆ กันหรืออร่อยกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะสั่ง  3 course 28$ รึเปล่าเลยทำให้ทางร้านใช้วัตถุดิบที่ไม่ค่อยดีมาทำให้เรา เพราะว่าเจ้า Entree เดี่ยวที่สั่งไปนามว่า Mishima Ranch wagyu hanger steak crispy fingerling potatoes, black kale with bacon and foie gras Bearnaise sauce 22$ มันก็อร่อยดี เรียกได้ว่าอร่อยสุดในมื้อนี้ก็ว่าได้ แถมให้ปริมาณมาเยอะเกินราคาอีกต่างหาก และแน่นอนครับ เนื้อวัวที่อเมริกานั้นเทพอยู่แล้ว จานนี้ก็เลยไม่แปลกที่พวกผมทั้ง 4 คนจะชอบกัน อ้ออีกอย่างนึง ของหวานใน course 3 อย่างที่สั่งไป ผมว่าร้าน Lark ทำมาได้ดีมากครับ ดีกว่าของคาวใน course อย่างชัดเจน












สรุปแล้วร้าน Lark - Seattle นี่ไม่รู้จะตัดสินเค้ายังไงดี เพราะเจ้าอาหาร  3 Course ที่สั่งไปมันเหมือนเป็นอาหารเฉพาะกิจ ตัวเชฟเอง , พ่อครัวเอง อาจจะยังไม่เชี่ยวชาญดี รสชาติเลยยังไม่นิ่ง หรือไม่ก็ใช้วัตถุดิบไม่ดีเพราะราคามันถูก เพราะตัว Main Coure ที่อยู่ในเมนูหลักที่ได้นี่มันเป็นอะไรที่อร่อยกว่าแบบชัดเจนจริง ๆ แต่ร้านนี้เค้าคงเจ๋งจริงอะไรจริงล่ะครับ เพราะคะแนนรีวิวจากทุกเว็บสูงมาก และตอนผมไป ผมไปตอน 2 ทุ่มกว่า ๆ ลูกค้ายังเต็มร้านอยู่เลย ก็ถ้ามีโอกาสไป seattle อีกอาจจะลองไปซ้ำดูครับ

พอเสร็จจากมื้อเย็นนี้แล้ว ยังครับ การเที่ยวในวันนี้ยังไม่จบ พวกผมเดินทางไปยังสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็น Landmark ประจำเมือง Seattle เลยก็ว่าได้กับตัว Space Needle หอคอยจานบินประจำเมือง ตัว Space Needle นี่จะตั้งอยู่ที่ Seattle Center ย่านที่ฟังดูเหมือนจะอยู่ที่ Downtown แต่จริง ๆ นี่อยู่คนละฟากของเมืองกับ Downtown เลยก็ว่าได้ ซึ่งเพราะเหตุนี้ด้วยเลยทำให้ตัว Space Needle นั้นโดดเด่นกว่าปกติ เพราะเท่าที่ผ่าน ๆ มาเวลาขึ้นไปชมวิวตามตึกหรือหอคอยส่วนใหญ่ อาคารเหล่านี้มักจะชอบสร้างอยู่ในละแวกตึกสูง ๆ อยู่แล้วเลยทำให้วิวที่ได้มันโดนตึกบังไปเยอะอยู่ แต่กับ Space Needle นี่แบบเค้าตั้งตระหง่านเด่นอยู่ตึกเดียวเลยก็เลยทำให้ได้วิวดี และเจ้าหอคอยนี้เลยเด่นขึ้นไปอีก

ส่วนตัว Seattle Center ที่หอคอยนี้อยู่ก็เหมือนเป็นย่านที่รวมแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ นา ๆ ไว้ครับ ซึ่งผมเองก็ได้มาที่ Seattle Center อีกในวันพรุ่งนี้ก็ไว้เขียนถึงวันพรุ่งนี้ละกันนะครับเพราะวันนี้มันค่อนข้างยาวแล้ว การขึ้นไปชม Space Needle นี่ก็ไม่มีอะไรมากครับ จ่ายเงินแล้วก็ขึ้นลิฟท์แก้วเก๋ ๆ ที่แบบโปร่งใสรอบทิศทาง (วิวสวยตั้งแต่ยังไม่ถึงยอดกันเลย) ไปจนถึงด้านบน แล้วที่ด้านบนก็มีส่วนรอบนอกที่รับลมเต็ม ๆ กับส่วนด้านในที่จะมีจอทีวี, กล้องส่องทางไกล, แผนที่ข้อมูลต่าง ๆ ให้ดู ก็ไม่มีอะไรมากครับ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านก็คงเคยไปพวกอาคารสูง ๆ, ตึกสูง ๆ พวกนี้กันมาหมดแล้ว







พอเสร็จจาก Space Needle ผมก็ชวนที่บ้านไปยัง Supermarket ที่อยู่ใกล้ ๆ และได้คะแนนรีวิวดีมาก ๆ ที่นึงกันต่อซึ่งเจ้าซุปเปอร์นี้มีนามว่า Metropolitan Market บอกตรง ๆ ว่าก่อนหน้าที่จะไปที่ซุปเปอร์นี้ ผมล่ะตื่นเต้นอยากไปมาก ๆ เพราะว่าจำได้ว่าเมื่อ 13 ปีก่อนที่แม่พาไปซุปเปอร์ทีไร ผมก็ตื่นตาตื่นใจ และชอบที่ได้ไปเดินเล่นตลอด มางวดนี้ก็เหมือนกันครับ พอไปเดินแล้วก็ตื่นตาตื่นใจเหมือนเดิม ของแทบทุกอย่างบ้านเราจะไม่ค่อยมี และพวกผักนี่ก็มีแต่ผักก้านยาว ๆ หัวใหญ่ ๆ และดูสดมาก ๆ , เนื้อนี่ก็แบบเนื้อคุณภาพดี และมีขายครบครัน ไม่ใช่แบบเศษเนื้อ ๆ เหมือนบ้านเรา, ชีสก็มีให้เลือกเยอะประหนึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดังเรื่องชีส, เบียร์ไวน์นั้นผมเขียนไปเมื่อฉบับที่แล้วแล้วว่ามีเป็น 100 ยี่ห้อให้เลือก, และที่เด่นอีกอย่างก็คือตัวน้ำแร่ของเค้านี่แหละครับ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่อเมริกาผมว่าเค้าก็คงดื่มน้ำก็อกกัน แต่ที่ซุปเปอร์ที่ผมไป ๆ มาผมก็เห็นมีน้ำแร่อยู่เยอะมาก ๆ ขายอยู่ และน้ำแร่ของที่นี่ราคาถูกมาก ๆ เมื่อเทียบกับบ้านเรา อย่างน้ำแร่ Fiji ผมจำได้บ้านเราขวดละเป็นร้อยมั้งแต่ที่นี่แค่ 40 บาทเท่านั้น โอย ชอบจริง ๆ ครับ Grocery Store ของอเมริกา ไว้ผมไปแวะที่ไหนจะลงรูปพร้อมเขียนบรรยายใต้รูปเอาละกันนะครับ สำหรับ Part ที่ 2 ของผมที่ Seattle นี่ก็จบล่ะครับ ขอลาด้วยรูปเจ๋ง ๆ ของเจ้า Metropolitan Market นี่ละกัน ส่วนตอนต่อไป ติดตามอ่านต่อได้เลยครับ


ไปถึงเข้าใกล้ฮัลโลวีนพอดี ฟักทองเยอะมาก ทุก  Grocery Store เลย

Cheese นี่แต่ละที่ก็มีเยอะไม่แพ้กัน ดูเค้าชอบกินกันมาก

นมก็มีให้เลือกเยอะ size ใหญ่ทั้งนั้น

Yogurt ก็เยอะไม่แพ้กัน

อาหารแช่แข็งนี่เยอะกว่าบ้านเราเยอะมาก อลังการสุด ๆ 

ปลาดิบก็มีครับ Sashimi Grade บ้าง , เกรดธรรมดาบ้าง


ผักกับผลไม้เค้าดูสีสวย ๆ สด ๆ ลูกใหญ่ ๆ ไปหมด

อยากซื้อไปทำกินเองถ้ามีครัว

น้ำอัดลมมีแบบ diet แทบจะทุกยี่ห้อ


ไวน์ถูกมาก ผมไม่เห็นขวดไหนแพงเกิน 2000 บาทเลย ไม่เหมือนบ้านเราภาษีไวน์ 400% -*-

เบียร์เยอะแยะเช่นกัน ไม่รู้กี่ยี่ห้อต่อยี่ห้อ 

จะกินเบียร์ครบสงสัยต้องอยู่สักปีนึง

หรืออาจจะสักสองปีถึงจะกินครบหมด

น้ำแร่ที่นี่ถูกครับ

ขนมมีแต่หอใหญ่ ๆ จะซื้อมากินเล่นก็เลยคิดหนัก

Sushi นี่มีแทบจะทุก Super เหมือนกัน แต่ดูฝีมือการปั้น ดูเนื้อปลาแล้วไม่น่าอร่อย


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment