Wednesday, September 5, 2012

Taiwan 2012 Spring Trip by BumRes.com - Part 1

Taiwan 2012 Spring Trip by BumRes.com - Part 1


การไปไต้หวันของผมในครั้งนี้ก็มาอย่างไม่ค่อยจะคาดฝันและก็ไม่ได้กะจะไปสักเท่าไรครับ เพราะผมไม่ค่อยจะรู้จักประเทศนี้ดี รู้จักแค่ว่าเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์คอมชื่อดังของโลก (Asus, Gigabyte) และเป็นประเทศที่เจียง ไค เช็ค พาพรรคพวกหนีมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ แค่นั้น แค่นั้นจริง ๆ ไม่ได้รู้ถึงวัฒนธรรม, อาหารการกิน ผู้คนและอะไรอื่น ๆ เลย แต่หลังจากที่จบจากทริปนี้ ผมก็ได้รู้จักประเทศที่มีเสน่ห์และอาหารการกินอร่อยและถูกปากคนไทยแห่งนี้เพิ่มมากขึ้นพอสมควรและมีความคิดจะไปซ้ำประเทศนี้อีกสักรอบเมื่อมีโอกาสเอาซะอย่างนั้น ทำไมผมถึงคิดแบบนั้น? ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องอาหารนี่แหละครับ ประเทศนี้อาหารราคาไม่ค่อยแพง และก็อาหารค่อนข้างจะถูกปากผม เพราะเป็นอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง (Cantonese) ผสมกับจีนแผ่นดินใหญ่ และก็ราคาอาหารไม่แพง พอ ๆ กับบ้านเราเลย อย่างอื่น ๆ ก็มีส่วนบ้างแต่ก็ไม่เท่าเรื่องอาหารครับ ผมคิดเอาไว้ว่าถ้ามาคราวหน้า ก็กะจะตระเวณกินร้านอาหารที่ Taipei เป็นหลักล่ะครับ เพราะถ้าเอาเรื่องที่เที่ยว มาแค่ 4-5 วันนี่ ผมก็เที่ยวครบแล้วล่ะ ที่เที่ยวเค้าน้อยจริงอะไรจริง

ผมออกเดินทางจากสุวรรณภูมิเพื่อไปยัง Taipei City ด้วยสายการบิน KLM - Royal Dutch Airlines ด้วยราคาค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 10,000 บาท คือเกิดมาผมก็เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อสายการบินนี้ ไม่ต้องพูดถึงเคยนั่งรึเปล่าเลยด้วยซ้ำ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบนั่งสายการบินของพวกฝรั่งสักเท่าไร เพราะการบริการจะไม่ค่อยดี และอาหารก็จะค่อนข้างแย่ ผิดกับของเอเชียเราจะดีหมด และสังเกตว่าสายการบินเอเชีย ๆ เรานี่แหละที่มักจะครองตำแหน่งสายการบินยอดเยี่ยมด้านต่าง ๆ แต่เนื่องจากผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับทริปนี้เลยแม่ผมเป็นคนจัดการก็เลยต้องเลยตามเลยไป แต่ผิดคาดครับ สายการบินนี้จัดได้ว่าดีทีเดียว แม้ว่าตัว Flight attendent จะเหมือน ๆ กับสายการบินฝรั่งอื่น ๆ คือเน้นคนมีอายุหน่อย แต่เหล่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องรุ่นลายครามเหล่านี้กลับบริการดีและอัธยาศัย พูดจาดีแบบเหลือเชื่อจริง ๆ ชอบครับ ชอบกว่าของสายการบินเอเชียบางอันด้วยซ้ำเนื่องจากพูดอังกฤษชัดดี ส่วนอาหารบนเครื่องก็จัดได้ว่าพอรับได้ แม้ว่าจะนั่งแค่ 3 ชั่วโมงกว่า ๆ แต่ก็อาหารแบบจัดเต็มให้เลยหนึ่งมื้อ คือตอนแรกผมนึกว่าเจ้า KLM - Royal Dutch Airlines นี่เป็น Low Cost Airlines ซะด้วยซ้ำ เพราะเห็นราคาถูก เหอเหอ จะว่าไปแล้วผมก็งงเรื่องการตั้งราคาตั๋วเครื่องบินเหมือนกันนะ เพราะอย่างบินไปโตเกียว หรือ เกาหลี ส่วนใหญ่ถูกที่สุดก็ประมาณเกือบ ๆ สองหมื่นแล้ว ในขณะที่บินไปไต้หวัน ซึ่งอีกนิดเดียวก็จะถึงญี่ปุ่นแล้วกลับราคาแค่หมื่นเดียว ไม่นับที่บินไปฮ่องกงของสายการบินที่ไม่ใช่ Low Cost ที่ราคาส่วนใหญ่ก็อยู่ที่หนึ่งหมื่นบาทเท่ากับไปไต้หวัน แต่บินน้อยกว่าเยอะ งงครับงง

เครื่องพาพวกผมร่อนจอดลงที่สนามบิน  Taiwan Taoyuan International Airport ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมือง Taipei ประมาณเกือบ ๆ ชั่วโมง อ้อลืมพูดถึงเรื่องวีซ่า คือ คนไทยเรา เนื่องจากเป็นประเทศด้อยพัฒนา เวลาไปประเทศไหนที่เค้าเจริญกว่าก็เลยต้องมีการขอวีซ่ากันก่อน สำหรับ Taiwan หรือ Republic of China แห่งนี้ก็ไม่ยกเว้น ต้องไปขอวีซ่าไว้ก่อน ค่าวีซ่าก็ประมาณพันกว่าบาทพอ ๆ กับญี่ปุ่น แต่จะดีหน่อยตรงที่ว่าถ้าเรามีวีซ่าญี่ปุ่น หรือ อเมริกา (อันนี้คือที่ผมมีอยู่ใน Passport) ที่ยัง valid อยู่ เราก็ไม่ต้องไปขอวีซ่าไต้หวันก็ได้ แค่กรอก ๆ แบบฟอร์ม online แล้ว print แล้วเอาไปยื่นที่ตม.ไต้หวันก็แค่นั้น ซึ่งก็เรียกได้ว่าสะดวกดีเหมือนกัน แต่ก็ยังน้อยกว่าเกาหลีที่ไม่ต้องขอวีซ่าเลย และแน่นอนสะดวกกว่าญี่ปุ่นที่ก่อนหน้านี้ต้องไปขอทุกครั้งที่ไป แต่ว่าตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 55 ที่จะถึงนี้ (ตอนเขียนนี่เหลืออีก 10 กว่าวัน) ทางญี่ปุ่นก็ได้ออก Visa แบบ Multiple Entry ให้คนไทยแล้ว ต่อไปนี้การเดินทางไปประเทศแถบเอเชียทั้งหลายของคนไทยก็สบายขึ้นมาอย่างถนัดตาเลยล่ะครับ หุหุ

พอผ่านตม.เสร็จอะไรเสร็จ เป้าหมายแรกเลยก็คือไปซื้อซิมมือถือแบบใช้แล้วทิ้งครับ ที่ไต้หวันนี่ก็ดีอย่างคือมีเครือข่ายโทรศัพท์หลายเจ้าให้บริการซิมแบบเติมเงินแล้วใช้ 3 วัน 5 วันอะไรก็ว่าไป ของผมซื้อแบบใช้แต่ Data 5 วัน 500 บาทเท่านั้นถูกมากกกก เมื่อเทียบกับการเปิด International Roaming ที่โดน Truemove คิดวันละ 333 บาทนี่เรียกได้ว่าถูกกว่ากันคนละเรื่องเลย เสียดายครับที่ไอ้ซิมแบบนี้ไม่มีที่ญี่ปุ่น และเกาหลี (เท่าที่ผมรู้อ่ะนะ) ทำให้การไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเกาหลีแต่ละทีนี่ เปลืองตังค์กับเจ้าพวก Roaming เยอะเหลือเกิน ซิมก็ใช้เวลาไม่นานครับ 5 นาทีก็ได้แล้ว มีตรวจเอกสารเล็กน้อยว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวจริง (ไม่ใช่ก็ซื้อไม่ได้นะครับ) เสร็จแล้วก็นั่งรถเข้าเมือง ๆ ๆ  คือตอนเครื่องลงจอด ก็เป็นเวลา 20.00 น.ของไต้หวันแล้ว (เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง) กว่าจะนั่งรถไฟ โรงแรมก็ปาเข้าไป 3 ทุ่ม โรงแรมที่ผมพักคือโรงแรม  Brother Hotel พิกัด 25.051902,121.544678 ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและราคาที่พักก็ไม่ค่อยแพง 4000 บาทโดยประมาณ ห้องพักของโรงแรมก็ถือว่าใหญ่พอ ๆ กับกรุงเทพ และใหญ่กว่าโรงแรมในระดับราคาเดียวกันที่ญี่ปุ่นมากมายนัก คะแนนห้องพักสำหรับโรงแรม Brother Hotel @ Taipei นี่ก็เอาไปสัก 8.5/10 ละกันครับชอบ ๆ พอเก็บของเสร็จอะไรเสร็จ พวกผมก็เดินไปหาของกินกันทันที เพราะว่ามัน 3 ทุ่มกว่าแล้ว หลาย ๆ ร้านปิดแล้ว

สนามบินก็ค่อนข้างดีครับ คนไม่แออัด

แวะซื้อซิมกันสักหน่อย คนในกรุ๊บผมซื้อกันทุกคน

เนี่ยครับ ราคาไม่แพงเลย อ้อ 1 Taiwan Dollar ก็ประมาณ 1 บาทเราน่ะครับ (จริง ๆ 1.06 บาท คิด ๆ ซะว่าเท่ากันได้เลย

Check-in ที่โรงแรมต่อ โรงแรม Brother ผมมีร้าน Bakery ชื่อดังอยู่ด้านล่างด้วยครับ

Lobby ก็ค่อนข้างจะพลุกพล่านหน่อยเนื่องจากเป็นทางทะลุไปรถไฟฟ้าได้

มีห้องอาหารหลายห้องครับ ค่อนข้างครบครันเลย

ห้องพักใหญ่ดี

ของค่อนข้างทันสมัย มี  Internet ความเร็วสูงให้

ห้องน้ำใหญ่โต แต่ไม่มีที่ฉีดก้นอัตโนมัติแบบญี่ปุ่น



ครบครัน ๆ ๆ 

รีวิวร้านที่ 1 Nature Star HK Style Restaurant @ Taipei พิกัด 25.052089,121.545518

ร้านนี้ก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษตอนแรกหรอกครับ เดิน ๆ ไปจากโรงแรมแล้วเจอ ดูเมนูหน้าร้านเห็นน่าสนใจและราคาไม่ค่อยแพงดีก็เลยชวนกันจัดโดยพลัน ร้านนี้ดูจะเป็นอารมณ์ประมาณ ร้าน Franchise ชื่อดังของทางไต้หวันเค้า เพราะว่าเห็นเปิด 24 ชั่วโมง และอะไรต่าง ๆ นา ๆ ดูบ่งบอกถึงการเป็น Franchise ดี อาหารก็ให้อารมณ์คล้าย ๆ อาหารจีนบ้านเราพอสมควรครับ คือผมไปกินนานแล้ว จำรสชาติแต่ละจานเป๊ะ ๆ ไม่ได้ เลยไม่รู้จะเขียนบรรยายอะไรได้นัก จำได้แค่ว่า เจ้าเป็ดย่าง หนึ่งเดียวในมื้อนี้ อร่อยเยี่ยมเลยล่ะครับ ส่วนจานอื่น ๆ ก็อร่อยระดับภัตตาคารอาหารจีนบ้านเรา ค่าเสียหายมื้อนี้ก็ไม่แพงประมาณ 2500 บาท ถ้าผมไป Taipei คราวหน้าแล้วเกิดหิวตอนดึก ๆ ขึ้นมา แล้วนึกอะไรไม่ออก ผมก็คงจะกินร้านนี้อีกรอบล่ะครับ

เมนูหน้าร้าน อาหารจี๊น จีน ครับ

Naturestar HK Style Restaurant ผมอ่านออก 2 ตัว ตัวแรก ท้องฟ้า, ตัวสองดาว

ร้านสวยดีนะครับ แต่ไม่ค่อยมีคนเพราะไม่ใช่เวลากิน

ของกินเล่น ไม่อร่อยเลย



ติ่มซำก็มี แต่เวลาดึก ๆ แบบนี้ กินอาหารคาวดีกว่า

บ๊วยดองกินเล่น

ผัดคะน้าน้ำมันหอยฮ่องกง อร่อยครับ ผักนุ่มดี กรอบนอก นุ่มใน


ข้าวผัดอะไรสักอย่าง ไม่ผิดหวังที่เป็นฝีมีอคนจีนทำ ข้าวร่วน อร่อย

ถั่วแขกผัดพริก (หรือถั่วฝักยาวนะ) คนในโต๊ะชอบกันมากครับ แต่ผมเฉย ๆ

ประมาณไก่ต้มซีอิ๊ว อร่อยดี

จานนี้ชนะเลิศ เป็ดย่าง ๆ ๆ ๆ

อันนี้อะไรหว่าจำไม่ได้แล้ว

อันนี้ก็จำไม่ได้ว่าอะไร -*-

ร้านสวยดีนะครับ

พูดถึงไต้หวันกันสักเล็กน้อย เจ้าประเทศเกาะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งนี้ หลาย ๆ ท่านก็คงรู้ว่าเป็นประเทศที่นายพล เจียง ไค เช็ค ถูกประชาชนชาวจีนและ เหมา เจ๋อ ตุง ขับไล่มา ประเทศทั้ง 2 ต่างก็อ้างว่าตัวเองเป็นประเทศจีนด้วยกันทั้งคู่เลยทำให้ชื่อประเทศของทั้ง 2 ประเทศต่างกันนิดเดียวระหว่าง People's Republic of China (จีนแผ่นดินใหญ่) กับ Republic of China (Taiwan) (ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่นี่โชว์พลังแห่งประชาชนสุด ๆ) ที่ไต้หวันก็จะมีเมือง Taipei หรือไทเปย์เป็นเมืองหลวง และตั้งอยู่บริเวณส่วนยอด (ส่วนเหนือ) ของเกาะ ประเทศนี้เหมือนว่าความเจริญจะอยู่ด้านแถบซ้ายของเกาะทั้งหมด ส่วนด้านแถบขวาจะไม่ค่อยมีอะไรสักเท่าไร และตรงกลางของประเทศก็จะเป็นภูเขา ๆ ไม่ค่อยมีคนอยู่ แต่ก็จะไปที่เที่ยวทางธรรมชาติแทน การเดินทางภายในตัวเมือง Taipei เองก็ค่อนข้างสะดวกสบาย มีทั้งรถไฟฟ้า และรถใต้ดิน แผ่ขยายครอบคลุมจุดต่าง ๆ อย่างครบถ้วน (ดีกว่ากรุงเทพอ่ะครับ) และก็ถ้าจะเดินทางไปต่างเมือง ประเทศนี้ก็มีรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่ใช้เวลาวิ่งจากบนสุดไปล่างสุดแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น (เป็นรถไฟไทยนี่คงสัก 12 ชั่วโมง อ้อ เมื่อไรมันจะเลิกหน้าด้าน ถอนตัวออกไปซักทีนะครับไอ้การรถไฟไทยเนี่ย ล่าสุดเห็น ชูวิทย์ มาแฉเรื่องที่เอาสถานีมักกะสันทำเป็นบ่อนซะอย่างนั้น แล้วไหนจะเรื่องรถไฟตกรางเกิดอุบัติเหตุอีก เฮ้อ ญี่ปุ่นเค้าทำชินกังเซ็นมา 50 ปียังไม่มีรถไฟตกรางเลยซักครั้ง ขนาดวิ่งด้วยความเร็วที่เร็วกว่าไอ้รถเต่าเหล็กบ้านเรา 6 เท่า แต่นี่อะไรวะ วิ่งช้า ๆ ยังมามีอุบัตเหตุอีก เมื่อไรจะมีนักการเมืองที่กล้าพอที่จะปฏิรูปไอ้องค์กรเฮงซวยนี่สักที  โอ๊ยเบื่อ มีโอกาสผมขอเขียนด่าเรื่อย ๆ นะครับ ไม่ว่ากันนะ) อ้อ แล้วก็ภาษาที่ใช้ผมไม่แน่ใจว่าใช้จีนแบบไหน จีนแมนดารินรึเปล่าไม่รู้ แต่ว่าจะใช้ ตัวอักษรจีนแบบ Traditional เลย ไม่ใช่แบบ Simplified แบบจีนแผ่นดินใหญ่ ก็ใครที่รู้ตัวคันจิญี่ปุ่นก็พอจะอ่าน ๆ ได้บ้างครับ

แท็กซี่ที่ Taipei มีค่อนข้างเยอะพอ ๆ กับบ้านเรา แต่ Service ดีกว่าครับ เรียกไปไหนก็ไป รถก็เทพกว่า มี GPS กันทุกคัน ค่าโดยสารก็ไม่ค่อยแพง เริ่มต้น 70 บาทเท่านั้น ผมนั่งอยู่บ่อยเหมือนกัน ค่า taxi แพงสุดที่จ่ายรู้สึกจะ 300 กว่าบาทเนี่ยแหละครับ

Stadium  อะไรไม่รู้กลางเมืองเลย โดดเด่นมาก

เหล้า เบียร์ที่ไต้หวัน แพงกว่าไทยนิดนึงครับ 

แต่ไวน์นี่จะถูกกว่าหน่อย เหล้าจีน เต็มเลยแฮะ

มีของประเทศตัวเองค่อนข้างเยอะครับ ไม่ค่อยมียี่ห้อข้ามชาติ

หนังสือก็มีให้เลือกอ่านค่อนข้างเยอะ เยอะกว่าเมืองไทย แต่ก็น้อยกว่าญี่ปุ่น พูดถึงเรื่องหนังสือนี่ ผมรู้สึกว่าหนังสือเมืองไทยแพงมาก แพงกว่าค่าครองชีพอย่างตลกสิ้นดี เช่นแบบ คนทำงานค่าแรงขั้นต่ำได้วันละ 300 บาทซื้อนิยายได้ประมาณเล่มเดียว ในขณะที่ญี่ปุ่นค่าแรงขั้นต่ำ 1400 yen/ชั่วโมง ซื้อหนังสือได้ 2 เล่มล่ะ คือ ถ้าหนังสือไม่ถูก คนก็ไม่รู้จะไปซื้อหาอะไรมาประเทืองปัญญานะครับ อยากให้รัฐบาลช่วยรีบแก้ไขเรื่องนี้หน่อย

ถุงยางเยอะแยะไปหมดเลย หรือว่าคนประเทศนี้เค้าจะชอบเล่นสนุกกัน!

อาหารเช้าของโรงแรมที่เลวร้ายที่สุดที่ผมเคยกินมาคือที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ผมเคยไปที่เซี่ยงไฮ้ กับที่  กวางเจามา อาหารเช้าเฮงซวยมาก ๆ นอกจากจะไม่อร่อยแล้วยังมีแต่ผัก ๆ แทบไม่มีเนื้อเลยสักนิด มางวดนี้ผมก็เลยไม่ได้คาดหวังกับอาหารเช้าของโรงแรมที่พักสักเท่าไร แต่ผิดคาดครับ อาหารเช้าของโรงแรม Brother นี่เหมือนฟ้ากับเหวที่จีนแผ่นดินใหญ่เลย เป็นอาหารเช้าแบบมาเต็ม ทั้ง American Breakfast , Chinese Breakfast สามารถเลือกกินได้ตามใจ และมีให้เลือกมากมาย หลากหลายแบบ ต้องมีอะไรที่ถูกปากทุกคนชัวร์ อะไรประมาณนั้น และเนื่องจากการจัดเต็มของอาหารเช้าที่ไต้หวันนี่เอง คือทั้งมีให้เลือกเยอะด้วย, อร่อยด้วย ทำให้หลังจากที่ผมกลับจากทริปนี้ น้ำหนักผมก็ขึ้นไปประมาณ 4 กิโลได้ T_T คือทุกทีไปเที่ยวจะไม่กินอาหารเช้าโรงแรมอ่ะครับ เพราะถ้ามี option เลือกให้ไม่เอาอาหารเช้าแล้วถูกลง ผมก็จะเลือกแบบนั้น หรือถ้าโรงแรมไหนมีอาหารเช้า ผมก็มักจะเจอแบบกาก ๆ กินแทบไม่ได้ ผิดคาดจริง ๆ กับที่ Brothers Hotel @ Taipei แห่งนี้

American Breakfast

Chinese Breakfast

ผักแบบต่าง ๆ นี่ตัวอร่อยเลยล่ะครับ

ปรุงกันจนถูกใจ

ผมกินวันละ 2-3 จานแบบนี้ทุกเช้า ไม่อ้วนจะเอาเท่าไรล่ะครับ?




บรรยากาศห้องอาหารเช้า คนมาเรื่อย ๆ ครับ


คือการมาไต้หวันงวดนี้ ผมโดนแม่ผมลากให้มาเป็นเพื่อนด้วย เพราะแม่ผมจะมาดูงานมหาลัยต่าง ๆ ในไต้หวันนี่แหละครับ ระบบการศึกษาของไต้หวันก็คล้าย ๆ กับบ้านเราเป็น 12 grade แล้วก็เรียนมหาลัย แต่ว่ามหาลัยของที่นี่จะเป็นพวกวิทยาศาสตร์ซะส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีด้านศิลปะสักเท่าไร เพราะประเทศนี้ดูเหมือนจะเน้นการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเหนือสิ่งอื่นใด ผมก็ไม่ได้เข้าไปฟังด้วยสักเท่าไร มีแวะไปส่งแม่กับไปลากตัวแม่มาเที่ยวด้วยจากที่มหาลัยก็แค่นั้น ก็เลยไม่ขอกล่าวถึงอะไรมากละกันครับ


อันนี้มหาลัยที่ประชุม National Taiwan University of Science and Technology

มหาลัยเค้าก็น่าเรียนดีนะครับ



อันนี้โรงอาหารของเค้า ทำเป็นแนวจีนโบราณเลย ของเมืองไทยมีมหาลัยไหนทำเป็นเรือนไทยโบราณบ้างมั้ย ฮ่า ๆ

เด็กไต้หวัน มองเผิน ๆ คล้าย ๆ เด็กไทยมากครับ แค่ไม่มีชุดนิสิตนักศึกษา


เมืองนี้คนเค้าก็ปั่นจักรยานกันเยอะนะครับ ก็อย่างว่า เมืองเค้าเอื้ออำนวยให้กับการปั่น อย่างบ้านเรานี่ถ้าให้ปั่นก็คงไม่ไหว อย่างแรกเลยคือร้อน ปั่นเสร็จเหงื่อแตกพอดี อย่างที่ 2 คือถนนไม่ค่อยเอื้อต่อการปั่นเท่าไร

ตึกก็มีเก่า ๆ บ้างใหม่บ้างปน ๆ กันไป

ไม่ค่อยมีสะพานลอยครับ เป็นอุโมงค์ลอดถนนมากกว่า คล้าย ๆ เกาหลี


ขอทานก็มี เกาหลีกับญี่ปุ่นไม่มีนะรู้สึก

ร้านข้างถนนก็ค่อนข้างเยอะ อารมณ์ประมาณบ้านเรา




รีวิวร้านที่ 2  Kiwi Gourmet Burgers - KGB Burgers @ Taipei พิกัด 25.021931,121.527977

ร้านนี้(รวมถึงร้านอื่น ๆ ในทริปนี้ส่วนใหญ่) ผมค้นหามาจาก Tripadvisor  ครับ ตอนแรกคือหาร้านที่เดินไปได้จากมหาลัยที่จัดงานประชุม พอได้ร้านมาคร่าว ๆ ก็เริ่มสแกนหาร้านที่น่าสนใจแล้วก็มาได้เอาร้านนี้ KGB Burgers แห่งนี้เข้า คือโดยส่วนตัวผมเป็นคนชอบ Burger ที่ไม่ใช่ Burger แบบ Franchise ดาษดื่นแบบในบ้านเรา ซึ่งในบ้านเรามันก็ไม่ค่อยมีร้าน Burger เฉพาะทางแบบนี้สักเท่าไร (เท่าที่ผมนึกออกมีแค่ Iron Fairies, Hyde and Seek, Bangkok Burger Company​, Hawen มีที่ไหนอีกมั้ยครับ?)  เพราะร้านเบอร์เกอร์ไม่ใช่ Franchise แบบนี้ส่วนใหญ่จะใช้เนื้อจริง ๆ เนื้อก้อนใหญ่ และก็มีกรรมวิธีการปรุงที่แบบ ทำแต่ละก้อนสด ๆ ไม่ใช่เอาของที่ทำจากโรงงานมาโหมะ ๆ ลงบนเบอร์เกอร์ ซึ่งแบบมันอร่อยกว่าเบอร์เกอร์ franchise เยอะครับ

เบอร์เกอร์ร้าน KGB Burgers นี่ก็มีให้เลือก 20  กว่าแบบครับ และเราสามารถเพิ่มอีก 50 Taiwan Dollar จากเบอร์เกอร์ปกติก้อนนึงก็จะได้ เครื่องดื่มกับเฟรนฟรายด์แถมด้วยประหนึ่งว่าเป็น Set Lunch ราคาประหยัดอะไรประมาณนั้น ผมกับแม่ก็เลือกกินกันคนละก้อน มี Kiwi Burger เบอร์เกอร์ที่น่าจะอร่อยมาก เพราะถึงกับเอามาตั้งเป็นชื่อร้านเลย กับอะไรอีกอันนึงไม่รู้จำไม่ได้ล่ะครับ (คือเขียนรีวิวหลังไปมาร่วมเดือนนึงอ่ะครับ ขอโทษด้วย) รสชาติของเบอร์เกอร์ทั้ง 2 ก้อนในมื้อนี้ก็จัดได้ว่าอร่อยเยี่ยมครับ ไม่ผิดหวังจากที่ได้คะแนนดีใน Tripadvisor และไม่ผิดจากที่ผมกะเอาไว้เมื่อเห็นหน้าตา ร้านนี้เหมาะแก่การไปลิ้มลองเหมือนกันครับถ้าใครได้ไป Taiwan กับเบอร์เกอร์แปลก ๆ 20 กว่าแบบที่เห็นหน้าตาแล้วอาจจะไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่รสชาตินั้นจัดได้ว่าอร่อยดีทีเดียว ราคาก็ไม่ค่อยแพงด้วย ก้อนละประมาณ 300 บาทเท่านั้นครับ ดูพิกัดร้าน แล้วเดิน ๆ ไป, นั่ง Taxi กันไปได้เลยครับ

ร้านมีทั้ง open air และแอร์ คอนดิชั่น

ร้านออกแนววัยรุ่นหน่อย เพราะเจ้าของร้านยังสาว ๆ อยู่เลย

ก้อนละประมาณ 300 บาทครับ มีให้เลือกเยอะเหมือนกัน

ส่งโค้กกันมาคนละแก้ว เติมได้เรื่อย ๆ อีกต่างหาก

ขวดซอสมะเขือเทศแนวดีมั้ยครับ?

​Kiwi Burger มาแล้ว เนื้อเป็นเนื้อ กีวีเป็นกีวี มีชีสมาด้วย อร่อยดีครับ

ส่วนอันนี้ของแม่ผม อะไรก็ไม่รู้ ก็อร่อยดีเช่นกัน



ค่าเสียหายประมาณ 600 บาท ไม่แพงเลยเนอะ

ทางร้านมี Facebook นะครับ เข้าไปดูกันได้เลย

เมือง Taipei นี่เท่าที่ผมเดิน ๆ ดูในวันแรกที่ไปถึง ผมรู้สึกว่ามันเป็นเมืองลูกผสมระหว่างเมืองไทยกับญี่ปุ่นยังไงก็ไม่รู้ คือเมืองมีรถไฟฟ้าครอบคลุม ค่อนข้างจะทุกจุดของเมือง, มี Taxi รถเท่ ๆ วิ่งกันเยอะ ผู้คนก็ขี่จักรยานกันเยอะ และบ้านเมืองก็ดูสะอาดดี อันนี้คือคล้าย ๆ ที่ญี่ปุ่น แต่ว่าที่คล้าย ๆ บ้านเราก็คือ ผู้คนจะไม่ค่อยเป็นระเบียบกันสักเท่าไร ข้ามถนนตรงไหนก็ข้าม, กลับรถตรงไหนก็กลับ ร้านรถเข็นข้างถนนก็มีอยู่เยอะ และบางจุดของเมืองก็ไม่สะอาด ดูเก่า ๆ เสื่อมโทรมอย่างน่าตกใจ แต่โดยรวมแล้วก็ดีครับ ดีกว่ากรุงเทพในหลาย ๆ ด้านเลย เป้าหมายต่อไปหลังจากกินข้าวกันเสร็จคือการเดินทางไปวัด Longshan ครับ

วัด Longshan พิกัด 25.03704, 121.49996 


วัด Longshan หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Mengjia Longshan Temple นี่ก็เป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองคนไต้หวันมานานแล้วการเดินทางไปวัดนี้จาก KGB Burgers ที่ผมเพิ่งไปกินมา ก็ไม่ยากเลยครับ นั่ง Taxi รวดเดียวถึงเลย! ฮ่า ๆ คือถ้าเป็นญี่ปุ่นนี่ผมคงต้องถ่อไปขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือรถไฟเอา แต่ผมเห็นค่าแท็กซี่ที่แสนจะถูกของไต้หวันก็เลยลองนั่งสักหน่อย ค่ารถแท็กซี่รู้สึกจะประมาณเกือบ ๆ 200 บาทแค่นั้นเองครับ สะดวกดี นั่งประมาณสัก 4-5 กิโลเมตรได้ แถมคนขับคนแรกที่ผมนั่ง Taxi นี่พูดอังกฤษคล่องมากครับ พยายามชวนผมกับแม่คุยใหญ่เลย (ในขณะที่คันหลัง ๆ ที่นั่ง บางคนพูดอังกฤษไม่ได้เลย -*-) วัดนี้ก็เป็นวัดที่อยู่คู่บ้านคู่เมือง เมือง Taipei มาได้เกือบ ๆ 300 ปีแล้ว ผ่านสงคราม, ไฟไหม้ พังเสียหาย ทั้งบางส่วนหรือทั้งหมด แต่จนแล้วจนรอด คนไต้หวันก็ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างวัดที่มีสไตล์สถาปัตยกรรมแบบ Southern Chinese แห่งนี้กันขึ้นมาจนสำเร็จและอยู่ยั้งยืนยงมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา วัดนี่ก็ไม่ได้มีอะไรมากครับ ไม่ได้สวยงามอลังการ, ไม่ได้สะอาดเอี่ยมเรียบร้อย แต่ก็เป็นวัดที่ดูมีเสน่ห์ดีเพราะว่ามีคนไต้หวัน ไปกราบไหว้ บูชากันค่อนข้างเยอะ ไปไต้หวันก็ไปแวะวัดนี้สักหน่อยก็โอเคนะครับ จะได้เห็นวิถีชีวิตคนไต้หวันดี



อยากลองกินนะครับอาหารข้างทาง แต่คนไต้หวันไม่เหมือนคนฮ่องกงครับ พูดอังกฤษกันไม่ค่อยได้ (อย่างน้อยก็พวกชาวบ้าน คนแก่น่ะครับ)

Taxi เค้าล้ำยุคดีนะครับ 

ถึงแล้ววัด Longshan Taipei

ต้องผ่านประตู 2 ขั้น


คนไปกราบไหว้กันเยอะดี 


สไตล์การตกแต่งเค้าก็จะแปลก ๆ ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


คล้าย ๆ พวงมาลัยบ้านเรามั้ย?

จะว่าไปก็สวยดีเหมือนกันนะครับว่ามั้ย?


ด้านหน้าวัดมีน้ำพุสวย ๆ ให้ดู

อันนี้เหมือนจะเป็น ตรอกของถูก อะไรประมาณนั้น ไม่ได้เดินเข้าไปครับ คนเยอะ อยู่หน้าวัดเลย

วัดขงจื้อ Taipei Confucius Temple พิกัด 25.072344, 121.516074

เสร็จจากวัดนึง ก็ไปอีกวัดนึงต่อเลย (เที่ยวกับผม ส่วนใหญ่ก็จะชอบไปวัดนี่แหละครับ เพราะว่าแม่ผม ไม่ก็เพื่อนแม่ผมจะไปด้วย คนแก่ ไปเที่ยวไหนมากไม่ได้นอกจากวัด) วัดนี้ก็จะแตกต่างจากวัด Longshan หน่อยคือจะเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์ Fujian แทน ซึ่งผมว่าวัดนี้สวยกว่าวัด Longshan และก็ดูสงบดี ไม่รู้จะบรรยายอะไรมากครับ เอาเป็นว่าก็เป็นวัดที่สวยและแปลก หาดูไม่ได้ในเมืองไทย ค่าเข้าชมก็ไม่ต้องเสีย (ไม่เหมือนวัดที่ญี่ปุ่น วัดไหนดัง ๆ นี่เก็บค่าเข้าชมหมดฮ่วย) ก็ไป Taipei City ก็ลองแวะกันไปดูครับ อยู่ในตัวเมืองด้วย เดินทางสะดวก

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple


Taipei Confucius Temple

Taipei Confucius Temple

Chaing Kai-Shak Memorial Hall พิกัด 25.03471, 121.52175 

ที่เที่ยวสุดท้ายของวันแรกของผม ณ Taipei City ก็คือ Chaing Kai-Shak Memorial Hall หรืออนุสรณ์สถานของเจียง ไค เช็ค ผู้นำตลอดกาลของไต้หวันนั่นเอง คือ แว่บแรกที่ผมได้เห้นอนุสรณสถานแห่งนี้ ผมก็ได้แต่อึ้งครับ เพราะไม่ค่อยได้เห็นอะไรที่มันอลังการงานช้างแบบนี้มานานแล้ว (ล่าสุดก็นครวัดนครธม หลายปีมาแล้ว) คือ Chain Kai-Shak Memorial Hall นี่แบบเป็นอะไรที่อลังการจริง ๆ ครับ แค่ประตูทางเข้านี่ก็แบบใหญ่โตมโหฬารจนคนกลายเป็นมด (ดูรูปประกอบ) เมื่อไปยืนอยู่ใต้ประตู และก็พื้นที่ว่าง ๆ จากประตูไปยังตึกกลางที่เป็นส่วนจัดแสดงก็ใหญ่โต กว้างขวาง และพอไปถึงตัวตึกกลาง เราก็ต้องเดินขึ้นบันไดกี่ขั้นไม่รู้ 80 กว่าขั้น ตามอายุของ เจียง ไค เช็ค เพื่อเข้าไปตื่นตะลึงกับรูปปั้นขนาดใหญ่ของจอมพลผู้นี้ต่ออีก และทุก ๆ ชั่วโมง จะมีการเปลี่ยนเวรยามทหารที่เฝ้าอยู่หน้ารูปปั้นจำนวน 2 คน ซึ่งการเปลี่ยนเวรยามของเค้านั้น ไม่ใช่แค่การเดินมาตบบ่าว่า "เฮ้ย เวรกูล่ะ" อะไรแบบนั้น  แต่เป็นการแสดงอันสุดแสนจะเท่ มีการเดินสวนสนามอันเป็นเอกลักษณ์, ควงปืน, ร้องกล่าวทำความเคารพ กินระยะเวลาประมาณ 10 นาทีกว่าจะเปลี่ยนเวรกันได้ อันนี้ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการมายัง Chaing Kai-Shak Memorial Hall แห่งนี้ทีเดียวครับ เพราะมันเป็นอะไรที่เท่ดีจริง ๆ (คนดูเยอะด้วย)

และพอลงชั้นล่างของตึกกลาง ก็จะพบส่วนจัดแสดงต่า ๆ เกี่ยวกับชีวิตของจอมพลอันแสนจะเกรียงไกรผู้นี้ ซึ่งผมว่าทำได้ดีมากเลยครับ ให้ข้อมูลละเอียดดี แบ่งเป็น Timeline   ตั้งแต่ตอนเจียงยังเด็ก ๆ และก็ไล่มาเรื่อย ๆ เยอะดี มีสมบัติ, การจัดแสดง (เช่นห้องทำงาน) ซึ่งทำได้เหมือนจริงดี เอาเป็นว่าที่นี่เป็นพิพิทธภัณฑ์ที่ทำได้ดีมากเลยทีเดียวล่ะครับ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ ฟรี! ใครไป Taipei City แวะไปที่นี่ก็ดีครับ ฆ่าเวลาได้ 2 ชั่วโมงโดยประมาณเลยเชียวแหละ

แค่ประตูทางเข้าก็อลังการแล้ว


จะมีตึกแบบนี้ 2 ข้างทาง ลานกว้างหน้าตึกกลางครับ เหมือนจะเป็นสำนักงาน


ตึกกลาง ส่วนจัดแสดง พร้อมบันไดเท่าอายุของเจียง


รูปปั้นไม่ได้เล้กเลยนะครับ ใหญ่มากนะนั่น คนรอดูทหารเปลี่ยนเวรยามกัน

ระหว่างที่อยู่เวร ก็จะยืนนิ่ไม่ไหวติงเลยล่ะครับ เท่ดี

รูปปั้นของจอมพลที่เหล่าคนไต้หวันเชิดชู

แบบจำลองของ Memorial Hall แห่งนี้ครับ ใหญ่โตอลังการจริง ๆ

รูปใหญ่ยักษ์

รถ Cadilliac กันกระสุนคันใหญ่ยักษ์ที่เจียงเคยใช้เป็นพาหนะ

เห็นบอกหนัก 2  ตันกว่า

ห้องทำงานโคตรสวยครับ

พอเสร็จจาก Chaing Kai-Shak Memorial Hall ผมกับแม่ก็เดินทางไปยังร้านอาหารที่เป็นเป้าหมายในมื้อเย็นต่อ ร้านนี้ได้ข้อมูลมาจาก Blog ของชาวอเมริกันคนนึงที่มาประจำอยุ่ไต้หวัน ชื่อ blog ว่า Hungry in Taipei อะไรประมาณนี้อ่ะครับ เป็น Blog ที่ค่อนข้างดี แบ่งหมวดหมู่ร้าน, ให้คะแนนร้านไว้อย่างลงตัวดี ผมได้หลาย ๆ ร้านในทริปนี้ก็เพราะคุณเธอคนนี้ด้วยล่ะครับ ต้องขอบคุณล่วงหน้าจริง ๆ อ้อ ก่อนจะไปกินร้านนี้ ผมก็เดินหา Wifi hot spot ที่จะช่วยปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ให้ถ้าเรามี LAN ให้เสียบ คือก่อนหน้านี้ผมมีปัญหามากเพราะว่า Macbook Air ของผมมันไม่มีช่องเสียบ LAN (รู้สึกว่า Macbook Pro ตัวใหม่ที่กำลังจะออกก็จะไม่มีเหมือนกันนะครับ) แล้วโรงแรมที่ญี่ปุ่น หรือแม้แต่เกาหลี และไต้หวันเองก็ตาม ดันจะชอบมีอินเตอร์เน็ทแบบ LAN ไม่มี Wi-Fi ให้ ก่อนหน้านี้ผมเลยลำบากต้องให้ iPhone ผมปล่อยสัญญาณ Personal Hotspot เอา และมันก็ช้า ๆ ไม่ทันใจ มางวดนี้ทนไม่ไหวก็เลยไปซื้อมาอันนี้เป็นยี่ห้อ  Edimax ของไต้หวันเองหลังจาก trip ไต้หวันนี่ ผมก็ใช้มาได้อีก 2-3 ทริปแล้ว ก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกันนะครับ เผื่อว่าใครยังไม่รู้ อ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าทำไมที่ไต้หวันนี่เค้าถึงงกถุงพลาสติคกันมากนะครับ ผมไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อแบบซื้อเยอะมาก หรือ แม้แต่ซื้อเจ้า Wi-Fi Hot Spot อันละเกือบ 2000 บาทนี่ก็ตาม พนักงานดันไม่ให้ถุงพลาสติคผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมขอเค้าแล้ว เค้าก็บอกว่าไม่มี! อันนี้ก็รู้สึกว่าจะเป็นนโยบายเดียวกันกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพราะตอนนั้นผมไปเซี่ยงไฮ้ ซื้ออะไรก็ไม่มีถุงพลาสติคให้เช่นกัน คือมันก็ดีต่อสิ่งแวดล้อมอยู่หรอกนะ แต่ว่าไอ้ผมมันก็นักท่องเที่ยวตาสีตาสา ไม่รู้เรื่อง เวลาไปซื้ออะไรแบบนี้ทีก็เลยเซ็ง เพราะไม่ได้เตรียมถุงผ้าหรือถุงของตัวเองไป -*-  ก็ใครไปจีนแผ่นดินใหญ่ หรือจีนแผ่นดินเล็ก จะซื้อของจากร้านไหนก็ตาม แนะนำให้พกถุงของตัวเองไปด้วยนะครับ

รีวิวร้านที่ 3 ร้านอาหารจีน He Feng Chinese Restaurant พิกัด 25.059726,121.544688

ร้านนี้ก็ตามที่บอก รู้จักได้จาก blog ของแม่นางชาวอเมริกันคนนึง และก็ต้องขอขอบคุณแม่นางท่านนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่ามื้อนี้ อร่อยจริงอะไรจริงครับ ร้านนี้ ให้บอกการเดินทางโดยรถไฟฟ้า ผมก็คงบอกไม่ถูก เพราะว่าผมนั่งรถ Taxi เอา ก็เอาพิกัดร้านไป search ใน google maps เอาละกันนะครับ พิกัดเป๊ะเลยทีเดียว ร้าน He Feng นี่ก็เป็นร้านอาหารจีนที่ขายอาหารจีนสไตล์ไหนก็ไม่รู้ เป็นสไตล์ที่ผมว่าไม่ใช่สไตล์จีนแต้จิ๋วแบบไทย อาจจะเป็นสไตล์จีนฮ่องกง (Cantonese) หรืออะไรก็ตาม แต่ที่รู้และแน่ใจอย่างเดียวคือ อร่อยครับ!

อาหารในมื้อนี้ก็สั่งไม่เยอะครับสั่งไป 3 อย่างเนื่องจากพนักงานบอกว่า ปริมาณอาหารเยอะ ลองสั่งมากินก่อน ไม่อิ่มค่อยสั่งเพิ่ม อ้อพนักงานพูดอังกฤษได้ดีทีเดียวครับร้านนี้ หลาย ๆ ร้านอาหารในไต้หวัน พนักงานพูดอังกฤษกันได้ดีหมด ต่างจากที่ญี่ปุ่นที่หาพนักงานพูดอังกฤษได้ยากเหลือเกิน อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งข้อดีของการมาไต้หวันล่ะครับ อาหารจานแรกก็เป็น ประมาณเนื้อผัดเปรี้ยวหวาน ซึ่งแบบอร่อยดีครับ รสชาติคล้าย ๆ ผัดเปรี้ยวหวานแบบไทย ๆ แต่จะรสจัดกว่าหน่อย ไม่รู้เพราะพริกไทยหรือเปล่า อย่างที่ 2 เป็นบะหมี่ผัดสไตล์ฮกเกี้ยนรึเปล่าไม่แน่ใจ แล้วก็โปะเนื้อกุ้งมานิดหน่อย จานนี้เห็นหน้าตาตอนแรกแล้วก็คิดว่าคง fail แน่ ๆ แต่ที่ไหนได้ครับ พอได้กินซู้ดแรกเท่านั้นแหละ คำว่าอร่อยก็ลอยเข้ามาใน Cerebrum ของผมเต็มเลย คือมันอร่อยผิดจากหน้าตามากครับ อารมณ์เหมือนประมาณกินผัดซีอิ๊วผสมโกยซีหมี่ (น้ำขลุกขลิก ๆ หน่อย) และกินเส้นที่  texture แปลก ๆ หน่อยประมาณนั้น เจ๋งดีครับ ส่วนอาหารจานสุดท้ายเป็น เนื้อตุ๋น จานนี้เห็นหน้าตาตอนแรก ผมก็เดาได้ว่าต้องอร่อย เพราะแบบเนื้อตุ๋นมาสวยงาม และก็ส่วนใหญ่อาหารตุ๋น ๆ นี่รสชาติมักจะดีอยู่แล้วเพราะมันได้รสชาติจากอะไรต่อมิอะไรที่หลั่งไหลออกมาจากตัววัตถุดิบที่เกิดจากกรรมวิธีการตุ๋น พอได้กิน มันก็อร่อยจริง ๆ ครับ เนื้อนุ่มอร่อย น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยดีแท้

พอสั่ง check bill ทางร้านก็มียกของหวานที่เป็นประมาณพุดดิ้งนมกับน้ำฝรั่งมาให้ผมกับแม่กินด้วย ก็ถือว่าเป็น surprise เพราะถ้าเป็นร้านในไทย ก็คงจะไม่มีอะไรแบบนี้ เพราะ 2 อย่างนี้อาจจะตีราคาได้เป็นประมาณ 100 บาทเลยทีเดียว ค่าเสียหายมื้อนี้จำได้ว่า 2000 ต้น ๆ บาท ก็ไม่ได้แพง ไม่ได้ถูก เมื่อเทียบกับปริมาณอาหารและรสชาติอาหารที่ได้รับครับ ร้านนี้ก็ดูจะเป็นร้านที่ค่อนข้างดังสำหรับคน Taipei เหมือนกันเพราะว่าวันที่ผมไปมีคิวจองทุกโต๊ะ แต่พอดีโต๊ะที่ผมได้นั่ง ลูกค้าจองไว้ 2 ทุ่ม ผมบอกพนักงานว่าผมกินเสร็จก่อนชัวร์เค้าก็เลยให้นั่ง (ผมไปถึงตอนห้าโมงครึ่ง) และก็ระหว่างกินก็มีลูกค้าหลายโต๊ะที่พาฝรั่งมาเลี้ยรับรอง ก็น่าจะเป็นอะไรที่การันตีได้ว่าอร่อยจริงอะไรจริง ไม่งั้นคงไม่พามาเลี้ยงหรอก ดังนั้น ใครไป Taipei City อย่าลืมจัดร้าน He Feng Chinese Restaurant แห่งนี้ซะหน่อยล่ะครับ อ้อ โทรจองด้วยก็จะดีมากเลย


He Feng Chinese Restaurant @ Taipei City

ไปตอนร้านเปิดเลย ยังไม่มีลูกค้ามา เลยได้โต๊ะด้วย


โต๊ะนี้มีคนไต้หวันพาลูกค้าฝรั่งมาเลี้ยงรับรอง สั่งอาหารกันเยอะน่าดูเลย

ไปเมืองไหนก็ต้องสั่งเบียร์เมืองนั้นครับ ก็รสชาติดีนะ

ผักดองกินเล่น ไม่อร่อยอีกแล้ว เหมือนร้านจีนเมื่อวานเลย -*-

เนื้อผัดเปรี้ยวหวาน มีใส่เครื่องในหรืออะไรก็ไม่รู้แปลก ๆ มาด้วย อร่อยดีครับ

ข้าวสวย เหมือนข้าวหอมมะลิชั้นดีบ้านเรา

หมี่ผัดอะไรก็ไม่รู้ หน้าตาดูไม่ค่อยน่าอร่อย แต่อร่อยอย่างเหลือเชื่อ

เนื้อตุ๋น อร่อย ๆ ๆ ๆ เนื้อนุ่มมาก

พุดดิ้งนมมั้งครับ ก็ดีนะ

น้ำฝรั่งของแถม

ร้านเนื้อย่างชื่อดังจากญี่ปุ่น Gyu Kaku มีมาเปิดที่ไต้หวันด้วย (ที่ไทยก็มีเปิดสาขาแรกที่ ธนิยะแล้วครับ)

จบวันแรกอย่างค่อนข้างจะชิล ๆ สำหรับผมและแม่ ได้ไปเที่ยวสถานที่เที่ยวเด่น ๆ ของไต้หวัน, ได้กินอาหารอร่อย ๆ ทั้ง 2 มื้อ แล้วการเดินทางในวันนึง ๆ จะต้องการอะไรมากกว่านี้ล่ะว่ามั้ยครับ? Part ที่ 2 ผมก็จะยังคงพาไปกิน ไปเที่ยวไต้หวันกันต่อ ตามไปอ่านกันได้เลยครับ





--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment