Saturday, September 8, 2012

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 14

Japan Spring Trip 2012 by BumRes.com - Day 14

วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายในทริปของผมแล้ว โปรแกรมวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ เดิน Shopping เบา ๆ ย่าน Akihabara , Ginza แล้วก็ตระเวณกินร้านเจ๋ง ๆ อีก 3 ร้าน , ไปสวนสวย ๆ 1 สวนแล้วก็ศาลเจ้างาม ๆ อีก 1 แห่ง แล้วก็อำลาทริปดี ๆ ยามฤดูใบไม้ผลิ ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผมเริ่มต้นวันค่อนข้างสายเล็กน้อย เพราะกะว่าจะ check-in แล้วออกไปทีเดียวเลย เท่าที่สังเกตในทริปนี้ รู้สึกว่าโรงแรมที่ญี่ปุ่นนี่จะให้ check-out เร็วกว่าเมืองไทยคือสิบโมงก็ต้องรีบออกจากห้องกันแล้ว และก็ให้ check-in ได้บ่าย 3 กันเลย เมื่อเทียบกับบ้านเราที่ check-out เที่ยง, check-in บ่าย 2 ซะเป็นส่วนใหญ่ โรงแรมบ้านเรานี่ใจดีกว่ากันพอตัวเลยนะครับเนี่ย ผม check-out เสร็จอะไรเสร็จ ฝากกระเป๋า กับทางโรงแรมเอาไว้ ก็นั่รถไฟสาย Yamanote จาก Hamamatsucho   ไปยัง Akihabara ต่อทันที

เป้าหมายในวันนี้คือไปเดินเจ้าตึก Yodobashi Camera อันใหญ่ยักษ์ ตั้งตระหง่านอยู่กลางย่านนี้ (เคยเห็นเจ้าตึกนี้ที่ใหญ่โตพอกันก็ที่ Osaka ครับ) จริง ๆ เป้าหมายของผมคือตามหากระเป๋ากล้องที่แบบลงตัวกับอุปกรณ์กล้องผม และก็ลองไปลูบ ๆ คลำ ๆ เจ้า Nikon D800 กับ Canon 5D Mark III สักหน่อย เพราะที่เมืองไทย ไม่ค่อยมีร้านที่มีกระเป๋ากล้องตัวจริงให้เลือกเยอะแบบที่ญี่ปุ่นแบบนี้ (ที่ญี่ปุ่นนี่ร้านขายกล้องแต่ละร้านกระเป๋าเยอะมากกก อย่างที่ Yodobashi ที่ผมไปนี่มีทั้งหมด 4 ช่องให้เลือกหยิบกันเลย) และก็กล้องแพง ๆ ที่เมืองไทยจะไม่ค่อยมีให้ลองเล่นกัน แต่ที่ญี่ปุ่นนี่จะมีวางให้ลองเล่นกันได้เต็มที่เลย ไม่ว่าจะ Nikon D4, D800 Canon 5D Mark III หรืออะไรก็ตาม

ผมลูบ ๆ คลำ ๆ ลอง ๆ กล้องเสร็จ ไปยืนเลือกกระเป๋าอยู่นานสองนาน ไม่ได้กระเป๋าที่ถูกใจ ก็เดินกลับออกมาอย่างตัวเปล่าจาก ​Yodobashi แล้วก็ไปเดิน ๆ สำรวจย่าน Akihabara นี่กันสักหน่อย ก็ไปเจอกับร้าน AKB48 Cafe & Shop ร้านของวงดนตรี girl group ชื่อดังของญี่ปุ่น ที่จะมีมาแสดง  Mini Concert กันทุกวัน วงนี้ผมก็ไม่ได้รู้จักอะไรมาก แต่เห็นว่าเป็นเด็กผู้หญิง  48 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อย แข่ง ๆ กันโชว์ผลงาน และก็สลับเปลี่ยนหมุนเวียนคนในวงกันไปเรื่อย ๆ (คือถ้าแก่แล้วจะโดนคัดออก เพราะวงนี้เน้นเด็ก) เคยดูทีวีถ่ายทอดสด เห็นเด็ก ๆ ผู้หญิงญี่ปุ่น คลั่งไคล้ วงนี้กันมาก กรี๊ดกร๊าดกันสุด ๆ แต่ตอนที่ผมไปเป็นตอนเที่ยงเหมือนกับว่าร้านจะยังไม่เปิด ก็เลยไม่เห็นลูกค้าเลย จริง ๆ อยากเห็นลูกค้านะครับว่าจะเป็นพวกไหนบ้างมีพวก Otaku มากน้อยแค่ไหน และใกล้ ๆ กันก็มี Gundam Cafe ที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าด้านในจะมีหุ่นกันดั้มตั้งอยู่เยอะแค่ไหน, เมนูอาหารจะเป็นกันดั้ม ๆ กันขนาดไหน แต่ที่มั่นใจเลยคือ สาวเสิร์ฟแต่งชุด ​Maid น่ารักดีทีเดียวครับ (ไม่ได้ถ่ายรูปมา) จริง ๆ อยากเข้าไปลองนั่งดูนะครับ แต่ว่าผมไปกับแม่ ถ้าเข้าไปนั่งก็อาจจะดูไม่ค่อยเหมาะนัก เดิน ๆ ไป เดิน ๆ มาก็มาถึงร้านในมื้อเที่ยงนี้จนได้

AKB48 Cafe & Shop พอดีผมไม่ค่อยชอบวงนี้เท่าไร หน้าตายังไม่น่ารักเท่าวงเกาหลี ถ้ามี SNSD Cafe & Shop นี่ผมจะรีบวิ่งเข้าไปเลย ฮ่า ๆ

พอดีไม่ใช่สาวก Gundam เช่นกัน เฮ้อ อยากให้มีร้าน Final Fantasy อะไรพวกนี้

ห้าง Yodobashi อันแสนจะอลังการ ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านเรานี่ชิดซ้ายไปเลย

รีวิวร้านที่ 25 まぐろ問屋 十代目彌左エ門 - Akihabara, Tokyo (http://r.tabelog.com/tokyo/A1310/A131001/13018899/)

จริง ๆ ผมตั้งใจเอาไว้ว่าวันสุดท้าย ยังไง ๆ ก็ต้องขอกิน Sushi, Sashimi กับราเมนปิดท้ายซักหน่อย เมื่อคืนนั่งเลือกอยู่นานแล้วก็มาได้เอาร้านนี้ ร้านนี้ก็ตั้งอยู่ที่ห้าง อะไรไม่รู้ห้างเล็ก ๆ ตรงด้านหน้าของ yodobashi เลย ร้านมีคำว่า Maguro อยู่ด้วย ส่วนคำอื่นผมไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร แต่ให้เดา ร้านนี้น่าจะภูมิใจในตัวปลาทูน่า หรือ Maguro ของตัวเองมาก ๆ ถึงกับเอาชื่อนี้มาตั้งเลย ร้านนี้ก็จะคล้าย ๆ ร้าน Sushi เกรดดี ๆ หน่อยคือจะมี Set Lunch ราคาประหยัด ที่ราคาจะค่อนข้างแตกต่างจากมื้อเย็นมาก ๆ เอาไว้คอยบริการลูกค้า โดย Set Lunch ของที่นี่มีทั้งหมด 8 อย่างให้เลือกครับ ผมกับแม่ก็เลยเลือกกันมา  3 Set แบ่ง ๆ กันกิน


Set แรกเป็น Chirashi Sushi Set ก็จะมีข้าวชามเล้ก ๆ ที่โปะด้วยปลาดิบมาพร้อมกับซุปมิโสะร้อน ๆ ของในจานก็มีอะไรที่ค่อนข้างจะ basic หากินได้ทั่ว ๆ ไป เช่น Salmon , Hotate, Uni, Ikura และ Ika แต่มีที่ไม่พิเศษหน่อยก็คือเจ้า Botan Ebi หรือกุ้งโบตั๋นที่แบบตัวใหญ่มาก ๆ ใหญ่แบบผมไม่เคยเห็นใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ใหญ่จนทำให้ดูเหมือนว่าชามในรูปมันเล็กไปกว่าความเป็นจริงเยอะเลยล่ะครับ ใหญ่จนผมสามารถเอาหัวมาดูดเอามันกุ้งต่อได้อย่างสะใจ ชอบ ๆ ความสดความอร่อยของทุกอย่างในจานนี้ ดีทีเดียวเลยล่ะครับ สมกับเป็นร้านที่ได้คะแนนดี

Set ที่สองเป็น Chutoro แบบ Sashimi กินกับไข่ลวก, ข้าวสวยและมันภูเขา (Yamaimo) แน่นอนครับ ร้านที่เอาชื่อ Maguro ไปตั้งเป็นชื่อร้าน Chutoro ก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว ถ้านับแค่เฉพาะเนื้อปลามันก็อร่อยดีอยู่หรอกครับ แต่พอเอาไปกินกับไข่ลวก, มันภูเขา กับข้าวสวย แล้วมันแอบแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน คือผมไม่ค่อยชินอ่ะครับ แต่ก็ถือว่าโอเคอยู่สำหรับ Set นี้ ส่วน Set สุดท้ายเป็น  Set Sushi รวมที่จะเน้น ๆ เนื้อปลา Maguro สักหน่อย มีมาทั้งหมด 8 คำ (ดูรูปประกอบครับ) Set นี้ผมชอบที่สุดเลยเพราะว่ามันเป็นการกินแบบค่อนข้างจะ Traditional สักหน่อย และก็ maguro ของทางร้านนี้มันอร่อยไม่ผิดหวังอยู่แล้ว ชอบครับชอบ

เบ็ดเสร็จมื้อนี้ อิ่มอร่อยประทับใจ เสียไปประมาณ 5000 yen เท่านั้นแต่ได้ Maguro คุณภาพดีหลายชิ้นกลับมาแบบนี้เรียกว่าคุ้มค่าสุด ๆ จริง ๆ ใครที่ไปแถว Akihabara และอยากได้ร้านปลาดิบฝากท้องคุณภาพดี จัดร้านนี้สักหน่อยก็ไม่น่าจะผิดหวังครับ まぐろ問屋 十代目彌左エ門


เบียร์สดเย็น ๆ แก้วรองสุดท้ายสำหรับมือ้นี้ ยังคงไม่ผิดหวัง

ร้านที่ญี่ปุ่นนี่ หลาย ๆ ร้านจะจัดเป็นคอก ๆ เป็นห้องส่วนตัวครับ ก็แปลกดี ทั้ง ๆ ที่พื้นที่ก็ไม่ค่อยมีแต่ก็ยังพยายามทำแบบนี้กัน

Chirashi Sushi อร่อยแน่นอน เห็นลายเนื้อปลาขนาดนี้แล้ว

คือชามไม่ได้เล็กนะครับ แค่กุ้งมันตัวใหญ่แค่นั้นเลยทำให้สัดส่วนชามดูเล็กลงไป

Chutoro Set ยอดเยี่ยมเช่นกัน

ซูมเข้าไปสักหน่อย ให้มาหลายชิ้นดีครับ เป็นที่ไทยคงชิ้นละประมาณ 200 บาท

Sushi Set เน้น Maguro อร่อย ๆ ครับ


อีกสักรูปกับเจ้ากุ้งโบตั๋นยักษ์

ไม่รู้หอยอะไรเหมือนกันครับ คล้าย ๆ หอยลาย ให้มาเต็มถ้วยเลย

หน้าร้านครับ ดูภูมิใจใน Maguro จริง ๆ อะไรจริง 

กระเป๋ากล้องที่ญี่ปุ่นนี่เหมาะแก่การมาเลือกซื้อมากครับ เพราะว่ามันเยอะ เยอะแบบเยอะจริง ๆ ต้องมีอันไหนที่ถูกใจบ้างแหละ แต่พอดีผมมีหลายใบแล้ว ทั้งเป้, สะพายข้าง, คล้องเอว พยายามหาเป้ที่ลงตัวสุด ๆ อยู่ แต่มาคราวนี้ก็ยังหาไม่เจอ -*-

ร้านขาย CD เพลงของญี่ปุ่นยังมีเปิดอยู่หลายที่นะครับ ผมเดาว่าเพราะคนญี่ปุ่นไม่ซื้อของผิดลิขสิทธิ์และการฟังเพลงจาก CD จะได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด คนญี่ปุ่นน่าจะมีหลายคนที่เป็นพวก Audiophile ครับ


พอกินกันเสร็จ พวกผมก็มุ่งหน้าไปยัง Tokyo Dome กันต่อ ที่ไปนี่ก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ พอดีผมอ่านการ์ตูนมาหลายเรื่อง รู้จักเจ้า Tokyo Dome นี่มาก็สิบกว่าปีแล้ว แต่ไม่ได้มีโอกาสมาสักที ที่ Tokyo Dome เนี่ยก็ไม่ได้มีแค่ตัวโดมเท่านั้นครับ แต่จะเหมือนเป็นเมืองย่อย ๆ เลย ประกอบด้วย ตัว Tokyo Dome ที่เป็นส่วนจัดการแสดงต่าง ๆ นา ๆ และเป็นสังเวียนเหย้าของทีมเบสบอลอาชีพ 2  ทีมของโตเกียว แบบ Indoor ทำให้สามารถจัดได้โดยไม่ต้องกลัวสภาวะดินฟ้าอากาศต่าง ๆ และใหญ่โตสะใจ จุคนได้ถึง 55,000 คน, สวนสนุกและร้านของเล่น, game arcade และ LaQua สวนน้ำกลางเมืองที่ไม่ได้มีแค่สวนน้ำแต่จะมีออนเซ็น มีอะไรให้แช่เล่นกันด้วยและที่สุดท้าย Koshikawa Korakuen สวนสวย ๆ ที่อยู่ติดกับ  Tokyo Dome

การเดินทางจาก Akihabara ก็ง่าย ๆ ครับนั่ง JR สายสีเหลือง Chuo Line ผ่านกลางเมืองไปลงป้าย Suidobashi แล้วก็เดินอีกนิดหน่อยก็ถึง วันที่ผมไป พอดีที่ Tokyo Dome ไม่ได้มีส่วนจัดแสดงอะไร ก็เลยไม่ค่อยมีคนเท่าไร มีแต่คนมานั่งเล่น ๆ ตรงบริเวณสวนสนุก และก็มีคนเล่นเครื่องเล่นกันบ้างเล็กน้อย ส่วนตัว LaQua สวนน้ำขนาดยักษ์นั้นผมไม่ได้เข้าไป เนื่องจากเสียค่าเข้าแพง 2500 yen และก็ถ้าเข้าไปจะไม่มีเวลาทำอย่างอื่น แต่คิดว่าคราวหน้าจะลองมาเล่นดูนะครับ ก็เดิน ๆ เล่น ๆ อยู่แปบนึงแถวนี้ และก็ไปจบลงที่เป้าหมายหลัก  Koshikawa Korakuen สวนอันแสนจะสวยงามที่มาตั้งอยู่ใจกลางเมืองแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่ทราบ ที่สวนนี้จะต้องเสียค่าเข้า 300 yen ราคามาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยวเชิงสงบจิตสงบใจ (เช่นวัดต่าง ๆ ก็เสียราคาเท่านี้) สวนนี้ตอนแรกผมก็นึกว่าเล็ก ๆ ครับ แต่ที่ไหนได้ ใหญ่โตมโหฬารเลยทีเดียว กว่าผมจะเดินทั่วแบบทั่วจริง ๆ ก็ซัดไปร่วมชั่วโมง สวนจะแบ่งเป็นจุดต่าง ๆ เช่นเป็นบึงดอกบัว, สะพานข้ามคลองสวย ๆ , บึงใหญ่กลางสวน อะไรแบบนี้ เดินจากจุดนึงไปอีกจุดนึงก็จะเจออะไรที่แตกต่างกันออกไป คนมาเที่ยวสวนนี้กันเยอะครับ โดยเฉพาะพวกฝรั่ง เสร็จจากสวน Koshikawa Korakuen นี่ผมก็มุ่งหน้าไปยังจุดสุดท้าย Meji Shrine ศาลเจ้าขนาดใหญ่ยักษ์กลางเมือง(อีกแล้ว)ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สถานี Harajuku เลย

ที่ Meiji Shrine นี่หลาย ๆ คนน่าจะเคยมากันแล้ว แต่ผมมา Tokyo 3 รอบก่อนหน้า ไม่ได้แวะมาเลยสักที ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็เป็นศาลเจ้าสำคัญของทางโตเกียว สมัยก่อนที่ตั้งที่อยู่ตรงนี้ก็เรียกได้ว่าบ้านนอกมาก (ประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว) แต่พอความเจริญอันหยุดไม่อยู่ของโตเกียวแผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ ศาลเจ้าอันแสนจะร่มรื่นย์แห่งนี้ก็กลายเป็นศาลเจ้ากลางเมืองไปโดยปริยาย พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็ขอบ่นถึงประเทศไทยอีกสักหน่อยครับ คือไม่รู้ทำไมเหมือนกัน จริง ๆ แล้วผมว่าวัดที่ไทยเนี่ย น่าจะมีที่ดินของตัวเองเยอะกว่านี้เยอะ แต่แบบเหมือนแต่ละวัด ที่จะหดหาย ๆ ลงไป อาจจะเพราะเจอคนรุกราน, วัดเอาไปปล่อยให้คนภายนอกเช่า หรือมีนักการเมืองชั่ว ๆ บางคนมาเอาที่สงฆ์ไปทำเป็นสนามกอล์ฟอะไรแบบนี้ คือผมสังเกตเนี่ย ศาลเจ้าแต่ละแห่ง หรือวัดแต่ละแห่งของที่ญี่ปุ่นมันจะใหญ่โต ร่มรื่นย์กันมาก ๆ มันเลยเหมือนเป็นที่มาพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน และเป็นที่ที่สร้างอากาศบริสุทธิ์ให้กับตัวเมือง สร้างพื้นที่สีเขียวให้กับตัวเมือง แต่บ่นไปก็คงทำอะไรไม่ได้ครับ เพราะวัดเมืองไทย มันโดนรุกรานไปนานแล้ว เซ็ง

Meiji Shrine นี่ก็มีทางเข้าได้ 2 ทางจากทิศใต้หรือทิศเหนือ แต่ทั้งสองทางก็จะเป็นการเดินผ่านสองข้างทางที่อุดมไปด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรและไปบรรจบลงตรงศาลเจ้าอันแสนจะสวยงามใจกลางพื้นที่แห่งนี้ ก็ใครมา Harajuku ไปเดินดูแฟชั่น ดูเด็กแต่ง Cosplay แนว ๆ แล้ว ก็มาสงบจิตสงบใจกันต่อที่ Meiji Shrine ไม่ให้จิตใจมันฟุ้งซ่านก็น่าจะเป็นการดีนะครับ เดินทางสะดวกดี


แผนผังคร่าว ๆ ก็ใหญ่โตดีนะครับ


สวนสนุก ไม่ค่อยมีคน ไม่รู้ทำไม เพราะกลางวันวันธรรมดารึเปล่า

เครื่องเล่นที่เหมือนจะเสียว แต่ก็ไม่น่าจะเสียวครับ ลากเราขึ้นไปสูง ๆ แล้วก็ทิ้งดิ่งเราลงมา

Tokyo Dome หามุมถ่ายแบบครบ ๆ ไม่ได้เลยครับ แต่ของจริงอลังการดีนะ ไม่รู้ว่าด้านล่างจะมีเวทีประลงยุทธ์ของบากิอยู่จริงรึเปล่า

ไปที่ไหนก็มีชิงช้าสวรรค์

LaQua ดูอลังการดี แต่ค่าเข้าแพ๊งแพง ถ้าจะเข้า ต้องเอาให้คุ้ม ยอมเสียเวลา 1 วันไรงี้

สนามเด็กเล่น ที่สะอาดเอี่ยม มีแม่พาลูกมาเล่นอยู่คู่นึงครับ เมืองไทยมีมั้ยเน้อ สนามเด็กเล่น สวย ๆ กลางเมืองแบบนี้?

สวน Koshikawa Korakuen ครับ มองเห็น Tokyo Dome อยู่ใกล้ ๆ

สวนก็สวยดี ใหญ่โตดี











Meiji Shrine ครับ Torii ใหญ่โตอลังการมาก มีหลายอันด้วย และดูไม่เหมือนที่อื่นที่จะเป็นสีแดง


ถังสาเกนี่เห็นเอามาเป็นเครื่องประดับหลายที่แล้วล่ะครับ ก็สวยดีนะ

ถึงแล้วตัวศาลเจ้าหลัก

คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร





รีวิวร้านที่ 25 Ramen เทพ ๆ ณ Shinjuku ร้าน 風雲児  (http://r.tabelog.com/tokyo/A1304/A130401/13044091/)

จาก Meiji Shrine ผมกับแม่ก็เดินทางไปยังร้านที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ประจำทริปนี้ ร้าน ราเมน 風雲児 Ramen ที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานี Shinjuku นิดเดียว ร้านนี้น่าจะเป็นร้านที่ได้คะแนนสูงที่สุดใน r.tabelog ที่ผมเคยกินในชีวิตนี้ คือได้คะแนนสูงถึง 3.88 และถ้าเอาเฉพาะมื้อเย็นที่ผมมากินนั้นได้ถึง 3.95 คะแนนเลยทีเดียว! ร้านนี้เปิด 17.00 น. แต่กว่าผมจะเดินจาก Meiji Shrine ไปยังร้านนี้ที่กินระยะทางร่วม ๆ 2 กิโลเมตร ก็ซัดเข้าไป 17.30 น.แล้ว พอไปถึงก็ต้องตกใจเพราะมีลูกค้ายืนต่อแถวกันทะลักออกมาจนถึงประตูร้าน (และเหมือนจะดูรูปจากไหนมาไม่รู้ ถ้าวันเสาร์อาทิตย์นี่ยาวไปจนถึงหัวมุมถนนเลยทีเดียว) แต่พอดีวันนี้ผมมีเวลาค่อนข้างเหลือเฟือ ก็เลยไม่ได้ตื่นตระหนกใด ๆ ไม่ได้กลัวว่าจะต้องอดกิน ก็ไปจ่ายเงินกดเอา coupon มา 2 ใบ Tsukmen 950 yen 1 ใบ และ Ramen 950 yen 1 ใบ

ต่อแถวอยู่ไม่นาน ประมาณสัก  30 นาที ระหว่างต่อแถว ผมก็เห็นเจ้าของร้านโชว์ลีลาสะเด็ดเส้นราเมนที่โคตรจะเท่ไปหลายรอบ เห็นพนักงานหน้าตาหล่อเหลาคนนี้มาส่งยิ้มรับออเดอร์ของลูกค้าที่แถวค่อย ๆ ร่นไปทีละ 2-3 คน เห็นพนักงานผู้หญิงที่ยิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวขอบคุณลูกค้าทุกคน, กล่าวต้อนรับลูกค้าทุกคน เก็บจาน, เก็บแก้ว, หยิบแก้วน้ำให้ลูกค้า ได้ยินเสียงลูกค้าดูดเส้นกันซวบ ๆๆๆๆ โดยไม่อายใคร เมื่อรวมทั้งหมดนี่เข้าด้วยกัน ความอยากอาหารของผมมันก็เลยทะลุถึงจุดเดือดขึ้นมา และในที่สุด ผมก็ได้ไปนั่งที่ counter กลางร้าน ได้เห็นลีลาการทำราเมนของเจ้าของร้านแบบชัด ๆ ringside กันเลยทเดียว

นั่งไปสักพัก ราเมนของผมก็มาวางอยู่ตรงหน้า พร้อม ๆ กันกับ Tsukemen ของแม่ผม น้ำซุปของร้านนี้จะเป็นน้ำซุปโครงไก่ผสมกับปลาที่ตัวน้ำซุปจะ thick มากเข้มข้นสุด ๆ เข้มข้นจนแบบน้ำแทบจะกลายเป็นของหนืดมากกว่าของเหลวแล้ว ผมก็กินน้ำที่เข้มข้น ๆ แบบนี้มาหลายร้าน แต่มักจะไม่ชอบเพราะมันจะเข้มข้นไป เค็มไปบ้าง จนไม่อร่อย แต่กับร้านนี้นี่มันไม่ใช่เลย มันเป็นความเข้มข้นที่ลงตัวดีสุด ๆ ส่วนเส้นราเมนของร้านนี้ก็เป็นเส้นราเมนขนาดปกติ ที่น่าจะมีสูตรพิเศษอะไรสักอย่าง เพราะเส้นมันจะหนึบ ๆ กว่าร้านอื่น (เท่าที่อ่านการ์ตูนมา ส่วนใหญ่ ร้านราเมนจะไม่ทำเส้นเอง แต่จะสั่งจากโรงงานผลิตเส้น โดยจะระบุสเปคของเส้นไปตามที่ต้องการ และให้โรงงานทำเส้นออกมาและนำมาส่งให้วันต่อวัน ซึ่งแบบนี้ก็จะแพงหน่อย แต่ถ้าซื้อตามสเปคของเส้นที่โรงงานผลิตไว้อยู่แล้ว แบบนี้ก็จะถูกกว่า) และแบบเส้นแต่ละจานจะต้มกันสด ๆ เห็นเจ้าของร้านใช้ stopwatch  จับเวลาทุกอันไว้ น่าจะ 100 วินาทีหรือไงเนี่ยแหละครับ และตอนสะเด็ดเส้นนี่ลีลาเค้าสุด ๆ จริง ๆ อยากให้ไปลองดูกันเองที่ร้าน ซึ่งเส้นมันหนึบ ๆ ก็เลยดูดน้ำซุปขึ้นมาได้ดีด้วย ส่วนพวกเครื่องเคียง ร้านนี้ผมว่าอยู่ในขั้นธรรมดา ๆ ไม่ได้โดดเด่นเท่าไร คือหมูชาชูของร้านที่ผมกินที่ Ueno อร่อยกว่าร้านนี้พอสมควร แต่ไข่ต้มร้านนี้จะยางมะตูมดีกว่าหน่อย (ประมาณ Bankara บ้านเรา)

สรุปร้าน 風雲児 @ Shinjuku, Tokyo แห่งนี้ เค้ามีดีตรงน้ำซุปกับเส้นครับ ซึ่งเจ้าของร้านเค้าก็คงจะคิดดีแล้ว ให้ 2 อย่างนี้เป็นพระเอกน่าจะดีกว่าให้อย่างอื่นเป็นพระเอก เพราะมันเป็นอะไรที่เป็นองค์ประกอบหลักที่เยอะที่สุดของราเมนอยู่แล้ว ร้านนี้ไม่ควรพลาดครับ ผมคุยกับเพื่อนที่เคยไปกินร้านนี้กันมา ทุกคนก็ชอบกันหมด และแน่นอน ผมกับแม่ก็ชอบมาก จนไปคราวหน้าต้องไปซ้ำแน่นอน


แถวยาวมาถึงหน้าประตูพอดีครับ

แต่ละคนก็กินกันไป ประมาณ 15 นาทีต่อคนครับ

Tsukemen ของแม่ผม

ให้เส้นเยอะมากครับ เส้นอร่อยจริง ๆ

น้ำซุป Tsukemen มาแบบอุ่น ๆ อร่อยดีครับ
เตรียมกินครับ


ราเมนก็อร่อย น้ำซุปสุดยอดมาก

ไข่ยางมะตูมกำลังดี


รีวิวร้านที่ 26 ร้าน 麺匠の心つくし つるとんたん 羽田空港店 @ Haneda International Terminal (http://www.tsurutontan.co.jp/haneda/) , (http://r.tabelog.com/tokyo/A1315/A131504/13117663/)

คือหลังจากที่กิน Ramen ร้านก่อนหน้าเสร็จ ผมก็กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากโรงแรมไว้ แล้วก็นั่ง Monorail ตรงมายัง Haneda International Terminal ต่อทันที เพราะว่ามีอีกหนึ่งร้านเป้าหมายที่เล็ง ๆ เอาไว้ว่าจะมากินให้ได้อยู่ที่อาคารผู้โดยสารแห่งนี้ ผมไปถึง Terminal ตอนประมาณ 2 ทุ่มนิด ๆ คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ ๆ มันเป็นอะไรที่พูดยาก เอ๊ย คิดเอาไว้ว่า เจ้าร้าน Udon ชื่อดังแห่งนี้ คงไม่น่าจะมีลูกค้าเท่าไร เพราะมันดึกแล้ว แต่คิดผิดครับ มีลูกค้าต่อคิวกันอยู่ร่วม ๆ สิบคนเลย! ผมกับแม่กลัวจะตกเครื่องเลยไปทำเรื่อง check-in กับสายการบินจนเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาลุ้นดูอีกครั้ง พอ load กระเป๋าเสร็จอะไรเสร็จ ร่วม ๆ 3 ทุ่มก็เลยลองแวะขึ้นไปดูอีกรอบ เหมือน Gourmet God จะช่วยเหลือผมอีกแล้ว เพราะแถวไม่เหลือแล้ว เข้าไปในร้านก็มีพนักงานมาพาไปที่นั่งอย่างสบายใจไม่ต้องรอคิว

อ้อ พูดถึง Haneda International Terminal นี่บริเวณชั้น 4 ของห้าง จะตกแต่งเป็นคล้าย ๆ ร้านรวงสมัย Edo รวม ๆ ตัวกัน ซึ่งร้าน 麺匠の心つくし ของผมก็เป็นหนึ่งในร้านดังกล่าว อาหารที่ขาย ณ ชั้น 4 ของสนามบินฮาเนดะแห่งนี้ ก็จะมีแต่อาหารญี่ปุ่นนะครับ (เพื่อให้เข้ากับ theme Edo) เท่าที่ผมเห็นก็มีร้านข้าวหน้าปลาไหล, ร้านซูชิ, ร้านโซบะ, ร้านอาหารเซ็ท อะไรพวกนั้น ซึ่งเจ้าร้าน 麺匠の心つくし แห่งนี้จะเน้น ๆ อาหารที่ทำจากเส้นซะเยอะ แต่ก็จะมีอาหารญี่ปุ่นแบบอื่นด้วย และมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียว

มื้อนี้ ผมกินได้ไม่เยอะครับ เพราะยังอิ่มจากราเมนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้อยู่ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะมากิน Udon ร้านนี้ให้ได้เพราะดูรูป เห็นคะแนนของทางร้านแล้วแบบมันอดใจไม่อยู่จริง ๆ ก็เลยสั่ง Udon เย็นกับเทมปุระไปชุดนึง (1400 yen) ร้านนี้ตอนแรกผมเห็นอาหารเทียมที่ทำโชว์อยู่ด้านใน เห็นขนาดจานแล้วแบบ เฮ้ย จานใหญ่จังวะ แต่ไม่คิดว่าของจริงก็เป็นขนาดเดียวกันคือแบบ จานมันใหญ่จริง ๆ ครับ อลังการ แต่ว่าปริมาณก็ไม่ได้เยอะอะไรมากครับ แค่ทำตัวภาชนะให้มันอลังการ ๆ ไว้ก่อนเฉย ๆ

พอกิน Udon เส้นใหญ่ ๆ ในกะละมังไม้อันใหญ่เข้าไปคำแรก ผมก็สรุปได้ทันทีว่ามันเป็น Udon ที่อร่อยมาก สมกับที่ร้านนี้ได้คะแนนเกือบ  4 และลูกค้าแน่นเต็มร้านแม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบ ๆ 4 ทุ่มแล้วก็ตาม คือแบบอุด้งมันเหนียวหนึบอร่อย และก็ทำมาเส้นนึงกินได้คำนึงพอดี ๆ ไม่ต้องไปกัด ไปตัดให้เสียอารมณ์ และเมื่อกินกับ Tempura กุ้งที่ทอดมาสด ๆ แล้วมันก็เป็นอะไรที่เข้ากันอย่าลงตัว แม้ว่าผมจะอิ่มจุกจากราเมนชามใหญ่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่มาเจออาหารอร่อยแบบนี้เข้าไป ผมก็สามารถกินให้หมดลงได้อย่างไม่ยากเย็นเลยล่ะครับ

สรุปร้าน 麺匠の心つくし つるとんたん 羽田空港店 นี่ถ้าใครมาขึ้นเครื่องที่ Haneda ผมแนะนำให้จัดครับ อาจจะเอาเป็นมื้อเย็นก่อนขึ้นเครื่องก็ได้ ถ้าใครไม่ชอบ Udon เมนูอื่น ๆ เค้าก็มีให้เลือกเยอะครับ


อาหารเทียมหน้าร้าน ชามใหญ่เท่าของจริง

นี่ขนาด 4 ทุ่มคนยังเยอะขนาดนี้เลยครับ

เบียร์สดแก้วสุดท้าย สั่งลา ผมละชอบเบียร์สดญี่ปุ่นจริง ๆ

มาแล้วชุด Udon ของผม ใหญ่โตอลังการ

เทมปุระทำสด ๆ เลยอร่อย

เทียบกับ iPhone ของผมสักหน่อย

เส้นเหนียวหนึบ


สรุปทริปนี้ ก็จบลงได้อย่าง Gourmet ๆ ๆ มาก ๆ เพราะ14 วันที่ผมอยู่ญี่ปุ่น ผมกดอาหารจานหลักไปถึง 26 มื้อหลัก (ไม่รวมมื้อย่อย ๆ โง่ ๆ เช่นโซบะชามเล็ก ๆ ไรงี้นะครับ) ตอนแรกที่กลับมาถึงไทย แอบกลัวว่าน้ำหนักจะขึ้นรึเปล่า เพราะงวดที่แล้วไปไต้หวันแค่ 5 วันน้ำหนักผมขึ้นมา  4 กิโล T_T แต่พอชั่งแล้วก็โล่งใจครับ น้ำหนักขึ้นมาไม่ถึงโลเท่านั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าเดินเยอะ วัน ๆ นึงอย่างต่ำก็ 6 กิโลขึ้นไป บางวันเดินเป็น 10 กิโล และก็เบียร์สดไม่ค่อยได้กินสักเท่าไร กินมื้อละแก้วเต็มที่

ความประทับใจต่อประเทศญี่ปุ่นของผม ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดไม่เสื่อมคลายเช่นเดิม แม้ว่าช่วง 3  เดือนที่ผ่านมาผมจะมีโอกาสได้ไปยังประเทศเกาหลี, ไต้หวันมา และแอบ ๆ ปันใจให้กับ 2 ประเทศนั้นไป เพราะว่าประเทศ 2 แห่งนั้นก็เป็นอะไรที่น่ารักดีเหมือนกัน แต่แน่นอนพอมาซ้ำที่ญี่ปุ่น ได้มากินอาหารรสชาติดี ๆ , ได้เห็นบ้านเมืองที่เป็นระเบียบสะอาดเรียบร้อย , เห็นผู้คนที่มารยาทดียิ้มแย้มแจ่มใส อาการนอกใจของผมก็เป็นอันต้องหมดลงอย่างไม่ยากเย็น ทริปนี้ผมแอบรู้สึกภูมิใจด้วยเล็กน้อยที่เล็ง ๆ ร้านอาหารไหนไว้ ก็สามารถหาเจอทุกร้าน รวมถึงเป็นคนพาเพื่อน ๆ, พาแม่เที่ยวได้แบบค่อนข้างจะลงตัว แบ่งเวลาเที่ยวแต่ละวันแต่ละจุดได้เป็นอย่างดี อืม สำหรับรีวิวทริปของผมครั้งนี้ก็คงต้องบอกลากันไปตรงนี้แล้วล่ะครับ เจอกันใหม่ประมาณเดือนตุลาคม ผมซื้อตั๋วจะไปตะลุยกินแถวโอซาก้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ!




--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment