Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
เช้าวันที่ 5 ผมตื่นขึ้นมาตอน 8 โมงเช้า และมีอาหารจาก 7-11 มาส่งให้ถึงห้อง เปล่าครับ ผมไม่ได้ใช้บริการ Room Service ผมใช้บริการ เต้ กับ สุ ที่พักอยู่ห้องข้าง ๆ ครับ (คือคุณเธอ 2 คนตื่นเร็วมากประมาณ 7.30 มาถามว่าจะกินอะไรมั้ยจะไปซื้อให้ที่ 7-11) หลังจากอาบน้ำและ กินของรองท้องเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปยังป้อมปราการ 5 แฉกกันครับ (ชื่อญี่ปุ่นผมจำไม่ได้ล่ะ) ป้อมนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง Hakodate โดยจะมีหอคอยที่สูงประมาณสักตึก 50 ชั้นพาเราขึ้นไปดูวิวของเมืองแบบ 360 องศา โดยมีป้อมปราการ 5 แฉกอยู่ติดกับหอคอยและเป็น วิวที่สวยงาม และบนหอคอยแน่นอนครับว่ามีประวัติศาสตาร์เกี่ยวกับป้อม, มีของฝาก, ของกิน ตามสไตล์ของสถานที่ท่องเที่ยวเค้าล่ะครับ โชคดีที่วันนี้ขึ้นไปแล้วไม่มีหมอกเหมือนเมื่อวานที่ไปภูเขา Hakodate ทำให้เห็นเมืองได้ทั่วและไกลสุด ๆ รวมถึงเห็นภูเขา Hakodate ลิบ ๆ ด้วย พร้อมหมอกสุมตัวอยู่บริเวณยอดเขาดังเช่นเมื่อคืน (นี่ถ้าทู่ซี้อยู่รอดูให้ได้เมื่อคืน ก็สงสัยจะไม่ได้ดูอยู่ดีนะครับ)
|
อาหารเช้าของผม น่ากินและอร่อยครับ ตามที่เคยบอกครับ อาหารใน 7-11 ของญี่ปุ่น ก็สามารถช่วยห้คุณประทังชีวิตได้สบาย ๆ |
|
ซื้อตั๋วขึ้นไปหอคอยป้อมห้าแฉกครับ |
|
ราคา ค่าเข้าชมที่ญี่ปุ่นนี่แพงตลอดเลย เฮ้อ |
|
วิวสวยครับ ฟ้าโปร่ง มีเมฆเป็นส่วนมาก ฝนฟ้าคะนองไม่กระจาย |
|
คนด้านบนก็เยอะดีเหมือนกัน แต่ไม่ถึงกับเบียดเสียด |
|
พวกโมเดล ๆ นี่มีเต็มหอคอยเลยครับ แต่พอดีอ่านไม่ออก เลยไม่รู้ว่าคือไร |
|
มองลงไปเห็นป้อมห้าแฉกอันสวยงาม ตามที่บอกครับถ้ามาหน้าใบไม้ร่วง, ซากุระน่าจะสวย |
|
อันนี้แบบจำลอง |
|
เจ้าเทือกเขา Hakodate ตัวแสบ ก็ยังคงมีหมอก (หรือเมฆ? หรือควัน?) มาสุมตัวอยู่บนยอดเช่นเคย |
|
ไอศครีมอะไรไม่รู้ครับจำไม่ได้ล่ะ จำได้แค่ว่าอร่อยยย |
|
หอคอยถือได้ว่าสูง |
พอเสร็จจากหอคอย เราก็ลงไปเดินเล่นในตัวป้อมต่อครับ (ส่วนที่ขึ้นไปหอคอยจะเสียเงิน ในขณะที่การเข้ามาชมในป้อมจะฟรีครับ) ภายในป้อมก็จะเป็นสวน ๆ คล้าย ๆ สวนสาธารณะ แล้วก็มีบ้านทรงญี่ปุ่นอยู่ใจกลาง ซึ่งผมไม่รู้ว่าข้างในเป็นอะไร เพราะมันต้องเสียค่าเข้า ก็เลยไม่เป็นไร ถ่ายรูปข้างนอกนี่ก็ได้ ผมว่าถ้ามาป้อม 5 แฉกนี่ตอนหน้าซากุระบาน นี่คงจะเป็นอะไรที่สวยมาก ๆ หรือแม้แต่หน้าใบไม้เปลี่ยนสีผมว่าก็น่าจะงดงามไม่แพ้กัน แต่ผมไปหน้าร้อน ก็ดีไปอีกแบบ อากาศเย็น ๆ ชิล ๆ ลมพัดโกรกตลอดเวลา
|
ข้ามสะพานเข้าไปภายในป้อมห้าแฉกครับ อากาศดีมาก ไม่มีแดด อากาศเย็น ชิล |
|
ผ่านร่มไม้ |
|
กระโดดเย้ยหอคอยซักหน่อย |
|
ในนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไรครับ แต่เป็นอาคารอยู่ใจกลางเลย เสียค่าเข้า ผมก็เลยไม่เข้า |
|
สวนสวยและร่มรื่นมากครับ ชิลลล |
|
อีกหนึ่งแบบจำลอง |
หลังจากเอื่อย ๆ เฉื่อย ๆ อยู่ในป้อม เวลาก็ล่วงเลยเข้าไปเกือบเที่ยงแล้ว พวกเราเลยไปหาอะไรกินกัน และลงเอยที่ร้านราเมนใกล้ ๆ ป้อมนั่นเอง ร้านชื่อ Ajisai เป็นร้านที่ได้คะแนนใน r.tabelog อยู่เยอะเหมือนกัน ร้านเปิดเวลา 11.30 น.พอดี และมีคนรอต่อคิวอยู่ประมาณ 10 คน พวกผมเห็นว่ามีคนต่อคิวก่อนร้านเปิดแบบนี้ ก็น่าจะดี ก็เลยไปต่อกับเค้าบ้าง 11.30 ปุ๊บพนักงานก็เปิดประตูให้ขึ้นไปกัน อาหารของร้านนี้เป็นราเมน สไตล์ไหนไม่รู้ แต่ผมว่าค่อนข้างจะแปลกประหลาดกว่าที่เคยกิน ๆ มาและก็มีให้เลือกเยอะพอตัวเลยทีเดียว ส่วนเรื่องรสชาติ ก็อร่อยดีครับ แม้จะไม่ประทับใจเท่าอิจิรัง แต่ก็อร่อยกว่าร้านราเมนหลาย ๆ ร้านในบ้านเราแหละครับ สนนราคาก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (อ่านว่า แพง สำหรับคนไทย) คือชามละประมาณ 700 - 800 yen แต่ทีเด็ดคงเป็น portion ที่ให้มาเยอะมากก เยอะกันจนกินไม่หมด ร้านนี้ถ้าใครจะตามไปกิน ก็อยู่แถว ๆ หอคอยเลยครับ หาดูไม่ยาก
|
เมนูคร่าว ๆ |
|
ไม่พลาดอยู่แล้วสำหรับเบียร์สด |
|
ผักดองก็ขั้นเทพครับที่ญี่ปุ่น |
|
ก๋วยเตี๋ยวอลูมิไร้ (อะไรไม่รู้) คล้าย ๆ ราดหน้า อร่อยดี |
|
อุด้งแกงกะหรี่ กินแล้วอ้วนโฮก แกงกะหรี่เข้มข้นเกินไป (ไม่ค่อย) หน่อย ก็เลยเลี่ยน ๆ กินกันไม่หมดครับ |
|
อีกหนึ่งมุม ให้เยอะมากกก |
|
อันนี้ Tsukemen หรือราเมนจิ้มจุ่มนั่นเอง ทำมาน่ากินมากก ครับ |
|
เส้นจะใหญ่ ๆ หน่อย ไว้ดูดซับน้ำซุป |
|
จำไม่ได้ล่ะครับว่าคืออะไร แต่เห็นหน้าตาแล้วน่าจะอร่อยนะครับ |
|
ครัวเป็นครัวเปิดเหมือนหลาย ๆ ร้านราเมน ทำกันชามต่อชามครับ พนักงานแข็งขันดีมากด้วย |
กินราเมนกันเสร็จก็ได้เวลาเดินทางกันต่ออีกแล้ว ชีพจรลงเท้าจริง ๆ ครับกับทริบนี้ เป้าหมายต่อไปคือเมือง Sapporo เมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะฮอกไกโด และใหญ่เป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น (เมื่อนับจากประชากร) เมืองนี้ตั้งตัวเองอยู่ตรงตำแหน่งที่ค่อนข้างจะเป็นศูนย์กลางของเกาะฮอกไกโด ครับจึงไม่แปลกที่จะมีประชากรมาอาศัยกันอยู่เยอะเพราะเดินทางไปเมืองอื่น ๆ ค่อนข้างสะดวก พวกเรา เดินทางไปถึงซับโปโรเกือบ ๆ 3 โมงเย็น เอากระเป๋าไปฝากที่ Locker กันเสร็จก็เปลี่ยนรถเพื่อไป Otaru กันต่อเลยครับ เนื่องจากมีโปรแกรมจะไปดูดอกไม้ไฟกัน
|
ฟุตบาท ณ Otaru ของขายเต็ม เนื่องจากมีเทศกาลดอกไม้ไฟ |
|
ของกินก็มีเยอะ อันนี้เมลอนซีกละ 200 yen แพงดีแท้ครับ |
|
คนเยอะจริง ๆ ตำรวจยืนคุมแทบจะทุกแยก |
|
คลอง Otaru คลองอันสุดแสนจะคลาสสิค |
|
มีคนเดินกันค่อนข้างขวักไขว่ริมคลอง |
|
แต่ก็ไม่เยอะเท่าคนที่มุ่งหน้าไปจับจองที่ดูดอกไม้ไฟกัน |
|
นั่งเรือชมเมืองก็มี ให้เดาราคา น่าจะหฤโหดอยู่ |
Otaru เป็นเมืองที่อยู่ติดทะเล และอยู่ทางด้านซ้ายบนของ Sapporo เมืองนี้ค่อนข้างจะเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สงบ ๆ เมืองนึง แต่วันนี้ไม่ค่อยสงบนักเพราะจะมีงานดอกไม้ไฟ อันยิ่งใหญ่ประจำปีของเมือง ผู้คนแห่แหนกันมาจากเมืองอื่น ๆ เยอะ (รถไฟที่ผมนั่งจาก Sapporo มา แน่นอ่ะครับ) และมีผู้ชายผู้หญิงใส่ชุดยูกาตะกันค่อนข้างเยอะ ผมเห็นกลุ่มผู้หญิงใส่ชุดยูกาตะเดินด้วย กันก็เยอะ เห็นคู่รักชายหญิงใส่ยูกาตะเดินด้วยกันก็พอสมควร แต่ไม่ยักกะเห็นผู้ชายกับผู้ชายเดินด้วยกัน (หึหึ) ผมว่าชุดยูกาตะของผู้ชายนี่ก็เท่ไม่หยอกเลยนะครับ ยิ่งใครที่แบบหุ่นดี ๆ ตัวสูง ๆ หน่อยนี่เท่ชะมัด เลย ทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นย้อนยุคทั้งหลายแหล่ ที่แบบซามุไรทุกคนจะใส่ชุดแบบนี้ เห็นแล้วก็อยากจะไปเช่ามาใส่จังเล้ย
|
จุดศูนย์กลางประจำเมือง มี Tourist Info และอุณหภูมิบอก เพื่อนผมเคยมาตอนหน้าหนาว เห็นบอกตัวเลข ลงไปอยู่ที่ -13 องศา |
|
น้องหมาทำไมเบื่อนักก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่อากาศออกจะแสนดี |
พูดถึงเทศกาลดอกไม้ไฟ ที่ญี่ปุ่นเค้าถือว่าช่วงหน้าร้อนของเค้านี่จะเป็นประเพณีเลยที่แต่ละเมือง จะมีการจุดดอกไม้ไฟของตัวเค้าเอง เมืองไหนใหญ่หน่อยก็จุดเป็นเขต ๆ ไป (เช่นที่โตเกียว) โดยจุดนึง ปีนึงก็จะจุดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีการจุดซ้ำ ใครอยากดูหลายครั้งในรอบปี ก็จะต้องเดินทางไปเมืองต่าง ๆ กันเอาเอง การจุดดอกไม้ไฟของญี่ปุ่นนี่ ค่อนข้างจะถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ประจำเมืองครับ เพราะแค่ค่าดอกไม้ไฟ เพื่อนผมบอกว่าลูกนึงก็ประมาณหมื่นเยนแล้ว แล้วงานนึงนี่จุดกันประมาณเป็นร้อย ๆ เป็นพัน ๆ ลูก ก็เฉลี่ยแล้วก็จะอยู่ที่ 100 ล้านเยนต่องานโดยประมาณ อย่างของที่ Otaru นี่ก็เป็น งานที่ถือว่า ยิ่งใหญ่ที่สุดของเกาะฮอกไกโดแล้ว (เพื่อนผมว่ามาอีกที) คนหลายหมื่นคนจะมารวมตัวกันดูในแต่ละปีครับ และปีนี้ยิ่งจัดเยอะเป็นพิเศษเนื่องจากว่า เทศกาลดอกไม้ไฟได้ลดจำนวนการจัดลงเนื่องจากเหตุ แผ่นดินไหวตอนเดือนมีนาคม รัฐบาลต้องเจียดงบประมาณไปบูรณะตัวเมือง ทำให้งบการยิงดอกไม้ไฟน้อยลง ทำให้งานยิ่งน้อย คนในแต่ละงานก็ยิ่งเยอะครับ ทำให้ Otaru ที่ควรจะเป็นเมืองเงียบ ๆ กลายเป็นเมืองที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนอย่างมาก
|
วัยรุ่นใส่ชุดประจำชาติกันเยอะครับ ผมแยกไม่ค่อยออกเหมือนกันระหว่างยูกาตะกับกิโมโน เห็นบอกให้ดูที่บั้งด้านหลัง ถ้าอลังการ ๆ หน่อยก็จะเป็นกิโมโน |
|
ไอศครีมและของหวานมีขายเยอะมาก ราคาไม่ค่อยแพง |
|
ร้านขายเสื้อผ้าก็เยอะ |
|
เห็นหลายคู่ครับ หนุ่มสาวใส่ชุดยูกาตะออกมาเดินสวีทกัน ผู้ชายใส่ยูกาตะนี่เป็นอะไรที่เท่มากครับ ผมกะจะใส่ pre-wedding ด้วยนะเนี่ย หุหุ |
|
ชายคนนี้กำลังแกะหอยเม่นอยู่ |
|
ในร้านมีหอยอื่น ๆ อยู่ด้วย หอยส่วนใหญ่ตัวใหญ่ ๆ เขื่อง ๆ ทั้งนั้นครับ |
|
แต่พระเอกของเราคือเจ้านี่ หอยเม่นที่ตะกี้เพิ่งดิ้น ๆ อยู่ในน้ำ ถูกชำแหละแกะเปลือกมาให้พวกผมกินกัน เหยาะโชยุเล็กน้อย แล้วก็เอาตะเกียบพุ้ย ๆ กินครับ อร่อยเป็นบ้า สดจริงอะไรจริง |
|
เกลี้ยงได้กว่านี้อีกมั้ย (ถ้าไม่ได้ยกขึ้นมาดูด) |
พวกผมไปถึง Otaru ประมาณ 4 โมง งานดอกไม้ไฟเริ่มตอน 1 ทุ่มก็เลยมีเวลาให้เดินเล่น ชมเมืองกัน ที่ Otaru นี่ก็ไม่มีอะไรให้เที่ยวมากครับ เมืองเค้าจะเป็นเมืองพ่อค้าเก่า จะมีโกดังอายุหลายร้อยปีให้เดินดู มีร้านรวงสไตล์โบราณ ๆ ตั้งเรียงรายกัน แทรกตัวด้วยอาคารสมัยใหม่ แล้วก็มีคนลากเกวียนแบบที่อยู่ตามจุดท่องเที่ยวตามเมืองต่าง ๆ ด้วย สิ่งที่เป็นของขึ้นชื่อสำหรับ Otaru ก็คงเป็นปลาดิบหรือซูชิครับ มีร้าน ๆ นึงของที่นี่ได้แชมป์ TV Champion ซึ่งตอนแรกผมกะจะไปกินร้านนี้ แต่จดที่ไกด์บุ๊คบอกมันเหมือนจะผิดหรือผมโง่เองเพราะหายังไงก็หาไม่เจอครับ T_T ก็เลยไม่ได้กิน ที่ Otaru นี่ร้านอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซูชินี่มีให้เลือกกินเยอะมาก ๆ แต่ละร้านก็ราคาไม่แพงเลย พวกเราก็เดินกันไปเดินกันมา น้ำลายหกไป น้ำลายหกมา แล้วก็ไปหยุดตรงที่ร้าน ๆ นึงด้านหน้าร้านมี หอยเม่นเป็น ๆ กำลังนอนแช่ตัวอยู่ในน้ำครับ ผมเห็นราคาแปะไว้อยู่ที่ตัวละ 500 yen ผมก็ตาลุกวาวขึ้นมา (ก่อนไปเพิ่งกินที่ Tokyo Grill ตัวเดียวเกือบ 1000 บาทแพงกว่ากันประมาณเกือบ 2 เท่า) ก็เลยชวนเพื่อน ๆ หยุดกินกันสักหน่อย ตอนแรกนึกว่าจะกินแค่คนเดียว (คนอื่นไม่ค่อยกล้ากิน) แต่แบบทางร้านบังคับให้ซื้อ 3 ตัว 1,000 yen (ยิ่งถูกเข้าไปใหญ่) ทุกคนเลยได้กินกันหมดครับ ตอนแรกก็ยึกยัก ๆ กันหมด (รวมถึงผมด้วย) แต่พอได้กินกันเข้าไปคนละคำแล้วเท่านั้นแหละ น้องหอยเม่นนี่แทบจะปิดตัวเองแทบไม่ทันเลย (จริง ๆ ก็ปิดไม่ได้แล้วล่ะครับโดนผ่าชำแหละมาแล้ว) เนื้อ หวาน หอม อร่อยมาก ๆ ครับ สมกับที่ยังดิ้น ๆ อยู่ตะกี้
|
ครั้งที่ 2 ของผมกับร้าน Sushi Zenmai คนรอเต็มร้าน ผมต้องรอคิวเกือบ 30 นาที |
|
พ่อครัวทำกันมือเป็นระวิง |
|
ร้านแม้ว่าจะมีที่นั่งเหลือ แต่พนักงานก็จะไม่เปิดมาให้นั่ง เนื่องจากกลัวมานั่งแล้ว ลูกค้าจะเยอะเกินแล้วพ่อครัวจะปั้นซูชิให้ไม่ทัน ให้ลูกค้ายืนรอหน้าร้านดีกว่า ก็ถือว่าเป็น tactic ที่ค่อนข้างใส่ใจความรู้สึกลูกค้าครับ เพราะการรอหน้าร้าน กับการรออาหาร แน่นอนว่าอย่างหลังมันหงุดหงิดกว่าอยู่แล้น |
|
Anago สุดอร่อยตัวใหญ่ยักษ์ประจำการ(ในปากผม) เรียบร้อย |
|
ซูชิสดอร่อยสมกับเป็นเมืองติดทะเล และขึ้นชื่อเรื่องซูชิ |
|
สั่งกันมามากหน้าหลายตา |
|
Maguro ไม่ค่อยอร่อยนัก |
|
แต่อย่างอื่นอร่อยมาก |
|
โดยเฉพาะเจ้าหอยเม่น และไข่แซลมอน |
|
Otoro ของร้านนี้จะแปลก ๆ หน่อย คือไม่ได้เป็นไขมันแทรกเป็นลายหินอ่อน แต่มาเป็นก้อนเลย ไม่ค่อยชอบครับ สั่ง 2 ทีเจอ 2 ทีน่าจะเป็นทูน่าเลี้ยง ไม่ใช่ wild tuna |
|
เม็ดอะไรน่ะ กลม ๆ ใส ๆ โอยย น่ากิน |
|
สาว ๆ เพื่อนร่วมก๊วนผม พอดีคุณเธอเลี่ยนปลาดิบเลยสั่งสลัดมาแก้เลี่ยน |
|
แต่ผมไม่มีวันเลี่ยนเมื่อเจอแซลมอนลายสวยงามขนาดนี้ |
พอกินหอยเม่นเสร็จ พวกเราก็เดินหาร้านซูชิ TV Champion กันต่อ (ตะกี้เล่าข้ามไปหน่อยครับ) เดินไปเดินมา หาไม่เจอซักทีก็เลยไปลงเอยที่ร้าน Sushi Zenmai แทน ร้านนี้เป็นร้านที่มีสาขาอยู่ทั่ว ญี่ปุ่นครับ ผมเคยกินสาขาที่อาซาคุสะ, โตเกียวมาก่อนแล้ว เจ้าของร้าน ๆ นี้จะชอบเอาตัวเองเป็น Presenter (คล้าย ๆ ตันโออิชิ) อารมณ์ประมาณว่า “ข้าคือ กูรูแห่งปลาทูน่า ข้าสามารถรู้ได้หมดว่า ทูน่าตัวไหนดีไม่ดี” อะไรประมาณนั้น ราคาของที่นี่ก็ไม่ค่อยแพงเท่าไรครับ (ถูกกว่า Midori Sushi ที่เพิ่งกินมานิดหน่อย) และก็เมนูมีให้เลือกค่อนข้างเยอะ พวกเรานั่งกินปลาดิบกันไปอย่างเอร็ดอร่อย (ไม่รู้ว่าอร่อยกว่าที่อื่นเพราะเป็น Otaru ด้วยรึเปล่า) แล้วอยู่ดี ๆ ก็ได้ยินเสียง ตูม ๆ ๆ พอหันไปดู ดอกไม้ไฟเริ่มยิงกันแล้ว! ชิบหอยแล้ว ทุ่มนึงแล้ว (ตรงเวลาจริง ๆ พี่ยุ่น) พวกเราเลยรีบเช็คบิลและวิ่ง ไปยังจุดที่เค้ายิงดอกไม้ไฟกันโดยพลัน
พอไปถึงก็ช็อคครับ เพราะคนมาจากไหนไม่รู้ เยอะมาก ๆ น่าจะหลายหมื่นคนตามที่ข้อมูล เคลมเอาไว้ในทุก ๆ ปี คือผมเดินหาที่หยุดยืนเป็นระยะทางไกลมาก กิโลกว่า 2 กิโล ไม่มีที่ไหนที่จะมีที่ให้ยืนดูดี ๆ เลยล่ะครับ (ถูกแย่งไปหมดแล้ว) คนญี่ปุ่นหลาย ๆ คนนี่ก็จริงจังมาก เอาเสื่อมาปูนั่งดูกัน, มีเหล้ายาปลาปิ้งหอบมากัน แต่ถึงแม้จะเบียดเสียดกันแค่ไหน จุดที่ควรจะนั่งดู ทุกคนก็จะนั่งดูไม่ยืนให้บังคนอื่นจริง ๆ (เป็นระเบียบมาก) และงานนี้นอกจากคนจะเยอะแล้ว ทางเมืองก็ได้จัดให้มันยิ่งใหญ่เข้าไปอีกโดยจะมีพวกซุ้มคล้าย ๆ งานวัดตั้งอยู่เยอะพอตัว ซุ้มพวกนี้ก็จะขายอาหาร, เครื่องดื่ม, มีเกมให้เล่นอะไรพวกนี้ ก็เรียกได้ว่า สมกับเป็นงานยิ่งใหญ่ที่สุด ประจำเกาะเหนือนี่ได้เลยล่ะครับ
ดอกไม้ไฟลูกแล้วลูกเล่าถูกยิงไประเบิดขึ้นบนฟ้า แทบทุกลูกที่ผมเดินผ่านคนญี่ปุ่น พวกเขาก็จะอุทานกันว่า คีเหร่ ๆๆๆ (ไม่ได้แปลว่าขี้เหร่ แต่แปลว่าสวย) ไม่ก็ โอ้ววววว กัน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่ชอบอุทาน พอใกล้จะครบเวลา 1 ชั่วโมงที่ยิงดอกไม้ไฟ พวกผมยังหาทำเล กันไม่ได้สักที ก็เลยตัดสินใจ ของทำนิสัยพี่ไทย ไปยืน ๆ แทรก ๆ แบบ(ค่อนข้าง) น่าเกลียดกับคนกลุ่มนึง หน่อยละกัน ดอกไม้ไฟนี่ก็เหมือนการแสดงอย่างนึงครับ ที่จะค่อย ๆ เพิ่มความอลังการ, ความสนุกขึ้นเรื่อย ๆ และตอนสุดท้ายก็จะอลังการที่สุด (Finale) ซึ่งเกิดมาผมก็ไม่เคยดูดอกไม้ไฟที่ไหนแต่พอได้เห็น Finale ของที่ Otaru นี่เข้าให้เท่านั้นแหละ ชอบมาก ๆ เลยครับ มันสวย มันยิ่งใหญ่ มันอลังการสุด ๆ จริง ๆ (ไม่ได้ถ่ายรูปดอกไม้ไฟมาเลยครับ เพราะไม่มีขาตั้งกล้อง และก็คนเยอะครับถ่ายลำบาก รวมถึงบรรยากาศงานวัดด้วย เนื่องจากเบียดและรีบมากไม่มีเวลา T_T)
|
สถานี Asahigawa เงียบเหงาเพราะดึกมากแล้ว |
|
เมืองก็เงียบเหงาเพราะดึกมากแล้ว |
|
ถึงแล้ว Toyoko Inn โรงแรมคู่บุญนักเดินทางประจำญี่ปุ่น |
|
เช็คอินค่อนข้างวุ่นวาย ตรวจพาสปอร์ต ตรวจโน่นตรวจนี่ |
|
แล้วก็ได้ห้องในที่สุด |
|
มีชุดนอนให้ด้วย ตามแบบฉบับโรงแรมญี่ปุ่น |
ซาบซึ้งอยู่กับดอกไม้ไฟสีทอง Finale อันอลังการอยู่ได้ไม่นาน ผมก็ต้องรีบวิ่งกลับไปที่สถานีรถไฟ เพื่อจะขึ้นรถกลับไปที่ Sapporo กันต่อ พวกผมวิ่ง ครับ เน้นว่าวิ่งนะครับ ไม่ได้เดินเร็ว หรือกึ่งเดินกึ่งวิ่ง จากริมท่าเรือไปยังสถานีรถไฟ ระยะทาง 2 กม.กัน โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที! การวิ่งไม่ได้เป็นการวิ่งธรรมดาด้วยครับ เป็นการวิ่งแบบวิ่งขึ้นเนิน และก็หอบของกันพะรุงพะรัง (โดยเฉพาะผม กล้องหนักมาก T_T) Taxi ก็เรียกไม่ได้เพราะถนนแทบทุกเส้นปิดหมด แต่ก็โชคดีครับที่ไปถึงก่อนรถไฟจะเทียบชานชาลา 3 นาทีพอดี เพราะถ้าไม่ทันเที่ยวนี้ พวกผมมีสิทธิ์ได้นอนข้างถนนแน่ ๆ (ไม่มีรถไฟเที่ยวต่อไปแล้ว) พอได้ขึ้นรถไฟแล้ว ก็นึกถึงสำนวนที่พูดกันว่า รถไฟขบวนสุดท้ายขึ้นมาทันพลัน การที่ได้ขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายก็คงเหมือน อะไรที่เฉียดฉิวและรอดตัว ไปอย่างสุด ๆ ในขณะที่คนตกรถไฟขบวนสุดท้าย มันก็คงจะไม่มีโอกาสให้แก้ตัวกันอีกแล้ว
พวกผมนั่งไปถึง Sapporo ไปเอากระเป๋าที่ Locker เสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟไปยัง Asahikawa กันต่อ ไม่น่าเชื่อครับว่าจะมีคนไป Asahikawa อะไรกันเยอะนักหนา จนพวกผมไม่มีที่นั่ง ต้องไปยืน ๆ นั่ง ๆ กันตรงส่วนต่อระหว่างโบกี้เลยครับ (นี่กูจ่ายเงินอย่างถูกต้องนะเฟ้ย) แต่ก็ไม่เป็นไรมากครับ เพราะโชคดีที่ อากาศของเกาะเหนือในหน้าร้อนกำลังเย็นสบายดี ก็เลยพอกล้อมแกล้มกันเป็นเวลาชั่วโมง ๆ นิด ๆ จนถึง Asahikawa กันได้
โรงแรมที่พวกเราจะซุกหัวนอนในคืนนี้นั้นคือโรงแรม Toyoko Inn ครับ เป็นโรงแรมที่มีสาขาอยู่มากมายในญี่ปุ่น และสาขาส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับสถานี JR ใหญ่ ๆ ใครที่กำลังมองหาโรงแรมที่จะพัก ผมว่าโรงแรมเครือนี้เป็นอะไรที่ดีมากครับ สามารถจองห้องผ่าน internet ผ่านเว็บไซต์ของโรงแรมได้โดยไม่ต้องเสียค่าจอง และก็โรงแรมมี service ที่ดีกว่าชาวบ้านหน่อยคือ มีอาหารเช้าให้ครับ (แม้จะเป็นอาหารเช้าที่ค่อนข้างเลวร้ายเมื่อเทียบกับโรงแรมที่บ้านเรา แต่ก็ดีกว่าหลาย ๆ โรงแรมที่คิดตังค์เพิ่มอีกต่างหากครับ) ผมซื้อเบียร์ไปกินกับม่ำคนละกระป๋อง แล้วก็แยกย้ายกันอาบน้ำ นอนโดยพลัน ผ่านไปอีก 1 วันที่ได้สอนให้เรียนรู้ว่า ชีวิตมันคือการเดินทางจริง ๆ เลยครับเจ้านายยยย
|
ห้องน้ำเล็กมาก เป็นแบบประกอบมาแล้วมายัดโครมลงในห้องทุกอัน แม้จะเล็กแต่อุปกรณ์ครบครันครับ |
|
หนัง AV ก็มีให้ดู คนนี้มีใครไม่รู้จักมั้ย? (Yuma Asami ครับผม) |
|
มีให้เลือกเยอะมาก สมกับเป็นธุรกิจถูกกฎหมาย ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัย |
ติดตามตอนที่ 6 ได้ตามลิงค์นี้ครับ
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com Series
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Introduction
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 1
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 2
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 3
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 4
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 5
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 6
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 7
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 8
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 9
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 10
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 11
Japan Summer Trip 2011 by BumRes.com - Day 12
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร
No comments:
Post a Comment