Tuesday, April 3, 2012

การทำวีซ่าอเมริกาแบบท่องเที่ยว (B1-B2) โดยละเอียด

การทำวีซ่าอเมริกาแบบท่องเที่ยว (B1-B2) โดยละเอียด



พอดีผมเพิ่งมีโอกาสไปทำวีซ่าอเมริกามาเมื่ออาทิตย์ก่อน รู้สึกว่าขั้นตอนของกระบวนการนี้เป็นอะไรที่ไม่ได้มีเขียนไว้ในเว็บเยอะเหมือนกัน ผมก็เลยจะมาแจกแจงรายละเอียดโดยละเอียดในที่นี้สักหน่อยดีกว่า (แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวกับรีวิวร้านอาหาร แต่ก็น่าจะพอมีประโยชน์กับหลาย ๆ ท่านนะครับ)

1. ก่อนอื่นเลยก่อนจะทำวีซ่าเราก็ต้องดูก่อนว่าเราอยู่ในหมวดไหนของวีซ่า ซึ่งวีซ่าแบบท่องเที่ยวหรือแบบไปงานประชุม, เรียนภาษาเล่น ๆ ก็จะเป็นแบบ B1 กับ B2 สองอย่างนี้และส่วนใหญ่คนที่ไปทำก็จะทำ 2 แบบนี้กันแทบทุกคน (ที่ผมไปยืน ๆ ฟังคนถูกสัมภาษณ์น่ะครับ) หรือถ้าไม่แน่ใจว่าของตัวเองเป็นแบบไหนก็เข้าไปดูที่เวบของสถานกงสุลอเมริกาก่อนที่นี่ เลือกประเภทวีซ่า

2. พอเลือกได้เสร็จ เราก็ต้องไปกรอกใบสมัคร Online ที่หน้านี้ กรอกใบสมัครวีซ่าอเมริกา Online  การกรอกข้อมูลค่อนข้างจะกินเวลานาน คือทางสถานฑูตถามข้อมูลเยอะมาก ๆ ละเอียดสุด ๆ ประหนึ่งว่าเราจะไปสมัครงานกับเค้าหรือเข้าเรียนกับเค้าประมาณนั้น ก็กรอก ๆ ไปเรื่อย ๆ ครับถ้าเกิดว่าจะให้ชัวร์ก็จดเลขใบสมัคร ID ของเราระหว่างกรอกที่ปรากฎอยู่ด้านขวาบนไปด้วย เพราะสมมติเน็ทหลุด หรือจะกลับมากรอกใหม่ ก็จะได้มากรอกต่อจากเดิมเลย ตอนกรอกก็จะมีให้  upload โหลดรูปของเรา online  ด้วยเพื่อทดสอบว่ารูปของเราผ่านรึเปล่าตอนไปสมัครจริงจะได้ไม่มีปัญหา ก็กรอก ๆ ๆ ๆ จนครบ อัพรูปจนครบ แล้วก็ print ใบหน้ายืนยันการกรอกข้อมูลออกมาเก็บไว้ครับ


ตัวอย่างใบ DS-160


3. ขั้นตอนต่อไปคือการนัดวันสัมภาษณ์ ขั้นตอนนี้ก่อนจะนัดได้เราต้องซื้อ PIN ก่อน ซึ่งช่องทางในการซื้อ PIN ก็จะมี 3 ช่องทาง

3.1 ซื้อ online ที่นี่ ซื้อ PIN USA VISA ซึ่งช่องทางนี้จะเป็นช่องทางที่สะดวกที่สุดแล้วและเสียค่าใช้จ่าย 12 เหรียญ
3.2 ซื้อทาง Call Center ก็โทรไปที่เบอร์นี้ 001-800-13-202-2457 ซึ่งทั้ง 2 ช่องทางนี้จะต้องใช้บัตรเครดิตในการจ่ายค่า PIN และแบบโทรไป Call Center นี่จะเสียค่าพนักงานเค้าเพิ่มเป็น 20$ ส่วนถ้าใครไม่มีบัตรเครดิต หรือไม่อยากใช้บัตรเครดิต
3.3 แบบสุดท้ายก็คือไปจ่ายที่ไปรษรีย์ให้พี่ไปรษณีย์เค้าดำเนินเรื่องให้เลย

จะแบบ แรกหรือแบบสองก็ได้ และทั้งสองแบบก็เสียเงินเท่ากับแบบทำเองครับ ข้อแนะนำสำหรับขั้นตอนนี้คือ ถ้าไม่อยากจะรอวันสัมภาษณ์นาน ตอนกรอกวันเดินทางในขั้นตอนที่ 2. ผมแนะนำให้กรอกเป็นวันที่จะเดินทางไปเร็ว ๆ นี้เพราะว่าอยากผมจองตั้งแต่เดือนมกราคม กว่าจะมีวันว่างก็ซัดไปเดือนมีนาคม เพราะผมกรอกไว้ว่าผมจะเดินทางไปเดือนพฤษภาคม ในขณะที่คนรู้จักผมคนนึง สมัครหลังผมนัดวันหลังผม แต่กรอกว่าจะไปต้นเดือนเมษาก็เลยได้นัดวัดก่อนผมตั้งนาน อันนี้ผมว่าน่จะเป็นหลักการระบายไม่ให้คนไปกระจุกในแต่ละวันของทางสถานฑูตเค้า (เพราะวัน ๆ นึงผมว่าคนทะลักเดือดน่าดู เพราะอย่างตอนผมไปนี่ก็ทะลักมาก) ก็พอนัดวันเสร็จอะไรเสร็จ ก็จด ๆ ไว้

เคล็ดลับเรื่องการนัดเวลา คือตอนเรานัดวันสัมภาษณ์ เค้าจะมีให้เลือกเวลาสัมภาษณ์ด้วย จากประสบการณ์ผม ผมแนะนำให้เลือกเวลาที่เช้าที่สุดไปเลย ยิ่งเช้าได้เท่าไรยิ่งดี (รู้สึกว่าเช้าสุดจะได้ 7.30 น.มั้ง)  เพราะอะไรน่ะเหรอครับ? เดี๋ยวลองตามอ่านต่อไปในข้อ 5 นะครับ

4. จ่ายเงินค่าวีซ่า พอนัดวันเสร็จแล้ว เราก็ต้องไปจ่ายเงินค่าวีซ่ากันต่อ วีซ่าแบบท่องเที่ยวค่าใช้จ่ายก็จะอยู่ที่  140$ (ประมาณ 4200 บาท) และเราสามารถไปจ่ายได้ที่ไปรษณีย์สาขาต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตอนกรอกใบจ่ายเงิน ก็มีให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราเล็กน้อยที่ไปรษณีย์จะมีตัวอย่างอยู่ กรอกผิดก็ไม่เป็นไร กรอกใหม่ได้มีใบให้กรอกเหลือเฟือครับ กรอกเสร็จจ่ายตังค์เราจะได้ใบสีฟ้า ๆ เป็นใบเสร็จไว้เป็นหลักฐานการจ่ายเงิน ก็เก็บใบนี้ให้ดีครับ เพราะมันมีมูลค่าถึง 4000 กว่าบาท พอเสร็จแล้วเราก็นั่งรถเวลาที่จะไปสัมภาษณ์

ตัวอย่างใบเสร็จที่ต้องนำไปด้วยตอนวันสัมภาษณ์



5. วันสัมภาษณ์

5.1 ก่อนจะไปสัมภาษณ์ก็เตรียมเอกสารไปให้ครบ ๆ ครับ พวกเอกสารต่าง ๆ ที่จะช่วยให้เราได้วีซ่าที่ควรจะมีก็เช่น จดหมายรับรองเงินเดือน, จดหมายรับรองการทำงาน, สมุดบัญชี, โฉนดที่ดิน, ใบหุ้น หรืออะไรต่าง ๆ ที่เป็นสิ่งบอกฐานะของเราก็แบก ๆ ไปให้หมดครับ อย่างตัวผมเอง ผมไม่ได้ทำงาน เล่นหุ้นเป็นหลัก มีเงินในธนาคารเล็กน้อย ผมก็ print ใบหุ้นผมไปพร้อมเอาสมุดบัญชีธนาคารไป ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเขาจะเรียกดูหรอกครับเพราะว่าเคยมีวีซ่าอเมริกามาก่อนหน้านี้แล้ว  2 อัน แต่ไป ๆ มา ๆ ตอนสัมภาษณ์เค้าก็เรียกดูอยู่ดี อ้อ ใครมีวีซ่าในเล่มเก่าก็เอาเล่มเก่าไปด้วยนะครับ ช่วยได้เยอะ แต่อย่างของผม มีอยู่ในเล่มเก่าแต่ดันลืมเอาไป -​​_-' ทางเจ้าหน้าที่กงสุลก็ถาม ๆ มาแล้วเหมือนเค้าจะพิมพ์ search ได้ครับ ก็ใครลืมเอาไปก็ไม่ต้องกังวลไป แต่ให้ชัวร์ก็เอาไปด้วยก็ดีครับ

แผนที่สถานฑูตอเมริกา อยู่ตรงถนนวิทยุครับ ตอนผมไปผมจอดรถที่โรงแรม ​Plaza Athenee แล้วก็เดินไปเอา พอเสร็จธุระก็เอาไปให้พนักงานที่ Lobby ปั๊มบัตรจอดรถได้โดยไม่เสียตังค์ใด ๆ


5.2 พอเตรียมเอกสาร เสร็จวันสัมภาษณ์เราก็เดินทางไปที่สถานฑูตก่อนเลย ซึ่งจริง ๆ แล้วเราไปก่อนเวลานัดสักครึ่งชั่วโมงก็พอนะครับ อย่างของผมนัดไว้ 8.15 ผมไปประมาณ 7.30 พอประมาณสัก 7.45 ก็จะมีพนักงานชาวไทยของสถานฑูตมาเรียก ๆ ถาม ๆ และก็ให้ไปตั้งแถวใหม่ที่ไม่ใช่แถวคิวเดิม และก็จะทยอย ๆ กันเข้าไป ซึ่งประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ เนื่องจาก เวลานัดสัมภาษณ์เนี่ย มันเขียน ๆ ไปงั้นแหละครับไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยเพราะอย่างผมนัด 8.15 กว่าผมจะได้สัมภาษณ์ซัดไปเที่ยงตรง!! คือสิ่งที่ทำให้เสียเวลา เป็นคอขวดของกระบวนการ มันคือการไปรอสัมภาษณ์จากเจ้าหน้าที่กงสุลสหรัฐฯนี่แหละครับ คือคนนึงเนี่ยส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 10 - 15 นาทีต่อคน อย่างตอนผมเข้าไปผมได้คิวที่ 58 ก็ลงคิดดูครับจาก 8.15 น.กลายเป็น 12.00  ได้ยังไงก็ไม่ทราบ (ผมเห็นคนหลัง ๆ คนบางคนคิวเป็น 100 ไม่รู้ว่าจะเสร็จกี่โมงนั่น)

5.2 ขั้นตอนก่อนสัมภาษณ์ ตอนก่อนสัมภาษณ์เราก็ต้องผ่านการตรวจค้นตัวและสิ่งของก่อน ซึ่งพวกอะไรที่เป็นโลหะ ๆ หรือของใช้ electronics ทั้งหลาย ทางยามประจำสถานฑูตจะเก็บเอาไปหมดเลยครับไม่ว่าจะ iPad, iPhone, Kindle หรืออะไรก็ตามที่มันจะช่วยฆ่าเวลาของเราได้ เราจะถูกริบเอาไปหมด T_T ดังนั้นถ้าไม่อยากจะไปรอแบบเซ็ง ๆ ไม่มีอะไรทำ ผมแนะนำให้เอาหนังสือไปอ่านรอครับ แต่จริง ๆ แล้วในห้องสัมภาษณ์ก็จะมีคอมให้เล่นซึ่งต่อเน็ทไว้ด้วย 2 เครื่อง เราก็สามารถไปเล่นคอมรอแก้เซ็งได้ แต่อาจจะแก้ไม่ได้ถ้ามีคนไปนั่งเก้าอี้จองเอาไว้ (เพราะคนล้นทะลักจริง ๆ) ขั้นตอนนี้พอผ่านยามไปแล้ว ก็จะมีพนักงานคนไทยมาจัดเรียงเอกสารของเราอีกรอบนึง แล้วก็จะไปยังตู้สัมภาษณ์เบื้องต้นจากพนักงานไทยต่อ โดยขั้นตอนนี้จะมีการเก็บรอยนิ้วมือของเราไว้ พร้อมตรวจเอกสารเบื้องต้นอีกรอบ สัมภาษณ์ ๆ พอเป็นพิธี แล้วเราก็จะได้บัตรคิวมา

5.3 ขั้นตอนสัมภาษณ์  ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่เสียเวลาที่สุดเนื่องจากว่าเราต้องไปรอให้คนอื่นถูกสัมภาษณ์จนเสร็จตามคิวก่อน โดยตอนผมไปมีพนักงานกงสุลสหรัฐอเมริกาอยู่ 3 คน แต่ละคนก็จะใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 10 - 15 นาทีตามที่พิมพ์บอกไปแล้ว ซึ่งการสัมภาษณ์ก็จะสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย หรือ อังกฤษตามที่เราเลือกไว้ตอนกรอกใบสมัคร แต่ยังไงก็ตาม ถ้าเรากรอกภาษาอังกฤษไปแล้วพูดไม่ได้ เค้าก็จะพูดไทยกับเรา เพราะพนักงานกงสุลทุกคนนี่พูดไทยดีมาก ดีแบบน่าจะอยู่ไทยมาหลายปีกันเลยล่ะ สำหรับตัวผมเองผมเลือกภาษาไทยไป แต่เจ้าหน้าที่กงสุลสาวที่สัมภาษณ์ผมนี่ก็กวนดี ตอนแรกก็คุยกับผมเป็นภาษาไทย พอซักผมไปซักผมมาดันคุยเป็นภาษาอังกฤษ ผมก็แบบ เค้าคุยไทยมาผมก็คุยไทยกลับ เค้าคุยอังกฤษมาผมก็คุยอังกฤษกับ ส่วนคำถามที่ใช้สัมภาษณ์นี่ก็จะเป็นเรื่องเบสิค ๆ ทั่วไป เช่น พ่อแม่ทำงานอะไร, เราทำงานอะไรอยู่, จะไปเที่ยวที่ไหน, ทำไมถึงอยากไป, เรียนจบอะไรมา, คือเป็นคำถามที่ถ้าเราตอบไปตามความเป็นจริงมันก็ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน แต่มันจะมีปัญหากับคนที่โกหกกับเจ้าหน้าที่ เนื่องจากข้อมูลทุกอย่างที่เรากรอกไว้ ทางเจ้าหน้าที่จะเปิดดูได้ รวมถึงข้อมูลเพิ่มเติม เค้าก็จะ search เน็ทดูเดี๋ยวนั้นเลยถ้าเค้าไม่แน่ใจ

อย่างของผมนี่ตอนกรอกผมกรอกไว้ว่าจะไปหาแฟนที่ Iowa แต่ตอนไปสัมภาษณ์บอกว่าจะไปแค่ West Coast ไม่ได้ไป  Iowa คุณเธอก็เลยถามผมใหญ่เลยครับ ผมก็ตอบ ๆ ไปว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้ไปมั้ย ตอนแรกกรอกเผื่อ ๆ ไป, หาตั๋วเครื่องบินไม่ได้ อะไรก็ว่าไป เกือบซวยเหมือนกันผม -*- พอโดนสัมภาษณ์เสร็จ ถ้าของเราผ่านเราก็จะถูกริบหนังสือเดินทางไป และจากที่ผมยืนรอและเห็นคนถูกสัมภาษณ์มากมาย ผมไม่เห็นคนไหนที่จะไม่ผ่านเลยครับ ก็เลยงง ๆ เพราะเห็นหลายคนบอกว่าวีซ่าอเมริกาขอยากอย่างโน้นอย่างนี้

 5.4 จ่ายเงินค่าซองไปรษณีย์และรอรับวีซ่า หลังจากสัมภาษณ์เสร็จและโดนริบหนังสือเดินทางไปแล้ว เราก็จะต้องเดินออกมาจากค่าซองไปรษณีย์ EMS 75 บาทตรงด้านนอก กรอกชื่อเสร็จจ่ายเงิน ก็รอรับหนังสือเดินทางของเราคืนได้เลย ของผมไปขอวันจันทร์ วันพุธผมก็ได้แล้ว รวดเร็วสะดวกสบาย หรือถ้าใครไม่สะดวกรับที่บ้านก็ไปเอาที่ไปรษณีย์รองเมืองก็ได้ครับแต่ก็จะเสียค่าไปรษณีย์ 75 บาทเท่ากัน

สรุป

1. ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับการขอวีซ่าอเมริกาคือ  ค่า PIN สำหรับจองคิวนัดสัมภาษณ์ 15$ + ค่าขอวีซ่า 140$ + ค่าไปรษณีย์  75 บาท + ค่าเดินทางไปสถานฑูต 100 บาทเบ็ดเสร็จแล้วก็ประมาณ 5000 บาทพอดี (ถ้าไม่ได้วีซ่าก็จะถูกริบเงินไปเลยทั้งหมดยกเว้นค่าไปรษณีย์ 75 บาท)

2. เคล็ดลับในการที่จะไม่เสียเวลาคือ เขียนไปในใบสมัคร online ว่าจะเดินทางเร็ว ๆ นี้ เพื่อจะได้วันสัมภาษณ์เร็ว ๆ , จองรอบสัมภาษณ์ให้เช้าที่สุด และไปก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมงพอ ถ้าไม่อยากเสียเวลามาก

3. เตรียมเอกสารแสดงฐานะทั้งหมดทั้งมวลที่มีไป , กรอกข้อมูลใบสมัคร online ตามความเป็นจริง, ตอบคำถามตามความเป็นจริง , เตรียมหนังสือไปอ่านฆ่าเวลาด้วย พวกของ IT เขาห้ามเอาเข้าไปหมดเลย

แค่นี้เราก็จะได้วีซ่ามาไว้ในครอบครองล่ะครับ อ้อ วีซ่าของผมได้ 10 ปี และถามเพื่อน ๆ ก็ได้ 10 ปีกันหมด ก็ถือว่ายอมลำบากยอมเสียเงิน 10 ปีครั้งก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากครับ อย่างญี่ปุ่นนี่ไปทีนึงก็ต้องไปขอทีนึง น่ารำคาญกว่ากันตั้งเยอะ ตอนนี้ผมก็ได้วีซ่ามาแล้ว ไว้เดี๋ยวปลาย ๆ ปีผมไปเที่ยวอเมริกาแล้วจะมารีวิวให้ได้อ่านกันนะครับ


ตัวอย่างวีซ่าอเมริกา







--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

No comments:

Post a Comment