BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Friday, May 23, 2014

Guangzhou Travel - A Journey of Food Gourmand

บันทึกการเดินทาง ณ เมือง Guangzhou กับงาน Canton Fair และอาหารการกินอื่น ๆ


พอดีเดือนที่แล้วมีโอกาสได้ไปเที่ยวกวางโจวมาครับ ได้ไปงาน Canton Fair งานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก, ได้นอนโรงแรม Shangri-la Guangzhou โรงแรมดี ๆ ประจำเมืองและก็ได้ไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ ในเมือง + กินร้านอาหารอร่อยหลายร้าน ก็เลยจะมาขอเขียนแชร์บันทึกนักเดินทางกันเหมือนเช่นเคย คราวนี้จะต่างจากครั้งก่อน ๆ หน้าซักหน่อย ครั้งก่อน ๆ หน้าผมจะเขียนเป็นวัน ๆ ไปแต่คราวนี้จะขอเขียนแบ่งเป็น section แทน

section 1 จะเป็นบทนำ + รีวิวที่พักที่ผมไปมา
section 2 จะเป็นรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมไปมา
section 3 จะเป็นรีวิวร้านอาหารทั้งหมดที่ผมได้ไปกินมา

ก็ประมาณนี้ล่ะครับมาเริ่มกันเลยดีกว่า

Introduction

วีซ่าจีน : คนไทยเวลาจะไปเที่ยวที่ไหนส่วนใหญ่ก็จะต้องขอวีซ่ากันแทบจะทั้งนั้นกับประเทศจีนนี่ก็เช่นกันครับคนไทยทั่วไปต้องขอวีซ่าหมดยกเว้นถ้ามีหนังสือเดินทางราชการนี่จะไม่ต้องขอเข้าประเทศไปได้เลย (อย่างของแม่ผมนี่เป็นต้น) วีซ่าของจีนนี่เราจะต้องไปทำกันที่แถว ๆ ต้นถนนรัชดาภิเษกตรงตึกเก่า ๆ ข้าง ๆ ซอยรัชดา 1 ซอยที่อยู่ติด(ก่อนถึง)กับสถานฑูตจีนนั่นเอง เราสามารถไปทำได้เฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น ตอนผมไปก็ไปถึงประมาณ 10 โมง นั่งรอคิวประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วก็ไปยื่นเอกสารแปบเดียวก็เสร็จล่ะครับ อีก 2-3 วันก็ได้ไปรับหนังสือเดินทางคืน เสียเงินไปประมาณ 1,000 บาทสำหรับ single entry ซึ่งวีซ่าจีนนั้นมีให้เลือกอีก 2 ประเภทคือไป 2 ครั้งกับไปหลายครั้งก็ถ้าใครไปบ่อย ๆ ก็ทำแบบหลังก็น่าจะถูกกว่านะครับ


คือขอเขียนถึงสถานฑูตนึงหน่อย พอดีเพิ่งไปขอวีซ่ามานั่นก็คือสถานฑูตเยอรมัน ผมเซ็งกับพนักงานรับเอกสารที่สถานฑูตเยอรมันมากครับ พูดจาแย่ ทำเหมือนเราเป็นบุคคลคนละชั้นกับนาง พูดจาแบบหาเรื่องสุด ๆ ผมเชื่อว่าถ้าคนที่ไปขอวีซ่าไม่ต้องง้อว่าจะต้องยื่นนี่คงจะมีด่ากลับกันไปแล้ว แต่นี่พวกเค้าเห็นว่าเราตอบโต้อะไรไม่ได้ก็เลยยิ่งลำพองใจพูดจาไม่ดีใส่เราอีกเรื่อย ๆ เฮ้อ เซ็ง ยังคงจำฝังใจจนถึงวันนี้

การเดินทาง : ทริปนี้ผมนั่งการบินไทยไป ค่าตั๋วคนละประมาณ 10,000 บาท นั่งไป 3 ชั่วโมง ก็เรียกได้ว่าค่าตั๋วแพงกว่าไปฮ่องกงหน่อย ระยะเวลาบินเท่า ๆ กัน พอไปถึงสนามบินไบหยุน ก็ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองที่เจอพนักงานค่อนข้างจะขึงขังจริงจังกว่าทุก ๆ ที่ที่ผมเคยไปมาเลย (เหมือนเป็นทหารเลยครับพนักงานตม.) รับกระเป๋าแล้วก็ไปขึ้นรถลีมูซีนเข้าเมืองต่อ ผมก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วการเดินทางเข้าเมืองนั้นมีวิธีไหนอีกบ้าง แต่เท่าที่ดูมาคร่าว ๆ ก็เห็นมีรถไฟฟ้า, มีรถบัสไว้บริการเหมือนกับเมืองอื่น ๆ นะครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเรื่องการเดินทางเข้าเมือง



รีวิวโรงแรม Shangri-la Guangzhou

โรงแรมที่ผมไปพักตลอดทริปนี้คือโรงแรม Shangri-la Guangzhou ครับ โรงแรมนี้เป็นโรงแรม 5 ดาวเชนดังที่หลาย ๆ คนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว สาขาส่วนใหญ่ของโรงแรมนี้จะอยู่ที่ประเทศจีนนี่แหละแต่ว่าทางโรงแรมเองก็มีสาขาอยู่ตามเมืองสำคัญ ๆ หลาย ๆ แห่งในโลกด้วยเช่นกัน รวมถึงที่กรุงเทพและเชียงใหม่บ้านเราด้วย สาขาที่เมืองกวางโจวนี้เพิ่งเปิดมาได้ไม่นานนัก เปิดเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมา (เทียบกับบ้านเราที่เปิดมาร่วม 30 ปีแล้วที่นี่เหมือนเป็นโรงแรมใหม่กิ๊กเลยว่ามั้ยครับ) โรงแรมนี้ค่อนข้างจะต่างจากโรงแรม 5 ดาวแบรนด์ดัง ๆ แบรนด์อื่นในเมือง กวางโจว - Guangzhou ที่จะไปกระจุกตัวกันอยู่ในย่าน downtown ของเมือง ทำเลของโรงแรมนี้ตั้งอยู่ติดกันกับ Canton Fair Complex เลย คือเรียกได้ว่าถ้าใครมีจุดประสงค์ที่จะมางาน Canton Fair แล้วโรงแรมนี้น่าจะเป็นโรงแรมที่เหมาะสมที่สุดแล้วล่ะครับเพราะว่าเดินไปงานได้เลย (โรงแรม 5 ดาวอื่น ๆ นี่คือต้องนั่ง taxi มาประมาณ 15 - 20 นาทีแทบทั้งนั้นเลยครับ)



1. ห้องพัก

ห้องพักของโรงแรมนี้ก็จะมีให้เลือกมากมายสมกับเป็นโรงแรม 5 ดาวขนาดใหญ่ ในทริปนี้ผมมีโอกาสพักที่ห้อง Premier River View Room ห้องที่มีปริมาณเยอะที่สุดในโรงแรม (320 ห้อง) และมีขนาด 42 ตร.ม. และก็มีโอกาสได้ไปดูห้องพักแบบอื่น ๆ ในโรงแรมอีกหลายห้องเลยก็มาไล่เรียงกันไปทีละห้องกับห้องที่ผมมีโอกาสได้ไปดูมาละกัน



ห้องที่ผมได้พัก (Premier River View Room - 42 square meter) ก็จะเป็นเตียงขนาด queen size 2 เตียง ห้องใหญ่โตกว่าโรงแรม 5 ดาวของที่ญี่ปุ่นหรือที่ฮ่องกงที่ผมเคยไปพักมา (ที่ไทยเคยไปนอนที่ W มาทีนึงครับจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเล็กกว่าหน่อยพอลอง search ดูก็เล็กกว่าจริง ๆ 1 ตร.ม. ฮ่า ๆๆ) facility ของห้องก็ครบครัน ไล่ดูตามรูปไปเลยดูกว่าครับ


โต๊ะทำงาน, ทีวี, ตู้เย็นพร้อมสรรพ


โซฟาไว้นั่งพักพร้อมผลไม้สด ๆ มาเติมทุกวัน + วิวแบบ panorama


ห้องน้ำพื้นหินอ่อนพร้อมอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่


ห้องขนาดใหญ่ 42 ตร.ม. ใหญ่โต สวยงาม อยู่แล้วมีความสุขมาก


ห้อง Horizon Deluxe Suite (มี 2 ห้อง 174 ตร.ม.) ห้องนี้ก็จะเป็นห้องระดับบน ๆ ของโรงแรมแล้วล่ะครับในห้องก็จะประกอบด้วยห้องรับแขกขนาดใหญ่, ห้องนอน, ห้องน้ำที่ซอยย่อยเป็น 2 ห้อง และก็จะได้เห็นวิวแบบ panorama ของแม่น้ำ Pearl River ของเมืองแบบเต็ม ๆ ตาเนื่องจากว่าห้องจะอยู่ที่มุมตึกพอดิบพอดี




ห้อง Shangri-La Suite (Presidentail Suite มี 1 ห้องในโรงแรม 305 ตร.ม.) ห้องนี้ก็จะเป็นห้องที่ดีที่สุดในโรงแรมนี้แล้วล่ะครับ แขกที่มาพักห้องนี้ก็จะเป็นระดับ Super VIP ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศหรือว่าดาราดังระดับโลก ห้องนี้สวยงามอลังการสมกับเป็นห้องที่ดีที่สุดของโรงแรมจริง ๆ มีห้องรับประทานอาหารส่วนตัว, ห้องครัว, ห้องรับแขกขนาดใหญ่โตอลังการ , โต๊ะทำงานที่จัดส่วนไว้กึ่ง ๆ เป็นห้องทำงานและก็ห้องน้ำขนาดใหญ่พื้นหินอ่อนสุดคลาสสิค คือเกิดมาก็เพิ่งเคยเข้าห้องระดับ top สุดของโรงแรม 5 ดาวก็ครั้งนี้นี่แหละครับเคยเห็นแต่ราคาที่แพงเว่อร์ ๆ แล้วรู้สึกว่าทำไมถึงต้องตั้งกันแพงขนาดนั้น พอได้มาเดินดู ได้สัมผัสแล้วก็รู้สึกว่ามันไม่ได้แพงแต่อย่างใดเลย สมน้ำสมเนื้อมากกว่า









ผมก็มีโอกาสได้ไปดู 2 ห้องนี้นี่แหละครับ ส่วนห้องประเภทอื่น ๆ ของทางโรงแรมก็จะมีดังต่อไปนี้


Deluxe Room (150 ห้อง 42 ตร.ม.)



Horizon Club Premier Suite (5 ห้อง 131 ตร.ม.)



Horizon Deluxe River View Room (48 ห้อง 44 ตร.ม.)


Yangcheng Suite (Specialty Suite) (1 ห้อง 261 ตร.ม.)



2. ห้องอาหาร

ที่โรงแรม Shangri-la Guangzhou แห่งนี้ก็คล้าย ๆ กับสาขาที่กรุงเทพฯ ครับมีห้องอาหารให้เลือกเยอะ  แขกสามารถกินนอนอยู่ในโรงแรมได้เลยไม่ต้องไปขวนขวายหาอาหารจากที่อื่น ก็มาไล่เรียงแต่ละห้องอาหารของที่นี่กันไปเลยดีกว่า


WOK TOO Cafe (356 ที่นั่ง, ประเภทอาหารนานาชาติ) ห้องอาหารนี้ก็จะเป็น all-day dining ของทางโรงแรมนี้เค้าล่ะครับ ช่วงเช้าก็จะบริการอาหารเช้าให้กับแขกของทางโรงแรมเป็นหลัก ส่วนตอนเที่ยงกับตอนเย็นก็จะเป็นอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ เหมือน ๆ กับห้องอาหาร all-day dining ทุกที่ในโรงแรม 5 ดาวบ้านเรา ราคาอาหารสำหรับมื้อเช้า, กลางวัน และเย็น ของที่นี่คือ 188 , 318, 418 หยวนตามลำดับ (มี service charge ด้วย 15%) พอคูณออกมาเป็นเงินบาทแล้วราคาก็พอ ๆ กับที่ไทยเนอะ ประมาณ 2,400 บาท






ผมมีโอกาสได้กินห้องอาหารที่นี่ในมื้อเช้ามื้อนึง ไลน์อาหารของเค้าเลิศหรูอลังการมากครับ แบ่งเป็นซุ้ม ๆ ได้ประมาณสักเกือบ 10 ซุ้มเลย ตั้งแต่ขนมปังสิบกว่าชนิด, อาหารจานเดียวแบบจีน ๆ พวกก๋วยเตี๋ยวกับข้าวต้มอะไรพวกนี้, อาหารเช้าสไตล์ตะวันตก (ไส้กรอก, แฮม, เบคอน), ซุ้มไข่ที่มีพ่อครัวประจำอยู่ 2 คนและสามารถทำไข่ได้ทุกรูปแบบ, ซุ้มพวกอาหารเช้าแบบ cereal ที่มีให้เลือกเยอะมาก ๆ, ซุ้มน้ำผลไม้ที่แบบมีน้ำผลไม้คั้นกันสด ๆ ให้หยิบไปดื่มกันแบบเป็นขวดเลย คือโดยส่วนตัวผมเป็นพวกจะไม่ค่อยได้กินอาหารเช้าของโรงแรมสักเท่าไร (เพราะขี้เกียจตื่น และก็ไม่อยากกินอาหารเช้ามาก เก็บท้องไปกินอาหารอร่อย ๆ ตามร้านอาหารที่เล็งเอาไว้มากกว่า) แต่พอได้เดินดูไลน์อาหารของที่ WOK TOO Cafe แห่งนี้แล้วรู้สึกว่าถ้าไม่ได้มานี่คงจะพลาดอะไรดี ๆ ไปแบบไม่น่าพลาดเลยจริง ๆ






ตัวห้องอาหารจะมีที่นั่ง 2 zone คือ al fresco dining และก็ที่นั่งห้องแอร์ด้านใน ทุกเช้าที่ผมไปกิน แขกของทางโรงแรมที่มารับประทานอาหารเช้าที่นี่จะค่อนข้างเยอะมาก ๆ คือที่นั่ง 356 ที่นั่งนี่แทบจะไม่มีเหลือเลยก็ว่าได้ (ก็นะเป็นช่วงที่จัดงาน Canton Fair พอดี) ผมได้ที่นั่งแบบริม ๆ ของที่นั่งด้านนอก นั่งกันแบบสบาย ๆ ลมเย็น ๆ (อากาศดีมาก 23 องศา) หาบรรยากาศชิล ๆ แบบนี้ที่กรุงเทพไม่ค่อยได้สักเท่าไร ยกเว้นแค่ช่วงหน้าหนาวเนอะ ส่วนอาหารที่ผมได้กินก็อร่อยดีครับ ใช้ของดีมาทำ และก็ทำมาคุณภาพดีสมกับระดับของโรงแรมจริง ๆ แต่ละเช้าที่ไปกินนี่กินเสร็จแล้วทำให้มีแรงเที่ยวทั้งวันเลยจริง ๆ เพราะว่ากินเยอะมาก ฮ่า ๆๆ






Summer Palace (302 ที่นั่ง, ห้องอาหารจีน) : ห้องอาหารจีนของโรงแรม Shangri-la แต่ละสาขานั้นก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นห้องอาหาร flagship ประจำโรงแรมเลยก็ว่าได้เพราะว่าโรงแรมนี้ก็เป็นแบรนด์จีน ห้องอาหารจีนก็เลยเป็นอะไรที่หลายคนคาดหวังกันเอาไว้เวลามากิน ซึ่งสาขาที่กรุงเทพนั้นตัวผมเองเคยไปกินมาทีนึง ผมว่าเค้าทำได้ดีมาก ๆ ทั้งบรรยากาศ, รสชาติอาหารและการบริการ ซึ่งของสาขาที่ Guangzhou นี่ก็เช่นเดียวกันครับ อาหารรสชาติดี, บรรยากาศเยี่ยม และก็พนักงานบริการดีมาก (พูดอังกฤษดีมากด้วย) ผมมีโอกาสได้ทานที่ห้องอาหารนี้มื้อนึง ตัวรีวิวจะอยู่ใน section รวมร้านอาหาร section ที่ 3 ของบทความนี้นะครับตามไปอ่านกันได้เลย




นอกจาก 2 ห้องอาหารนี้แล้วที่โรงแรมนี้ก็จะมีห้องอาหารหลักอีก 3 ห้องไล่เรียงกันไปเล้ย

Nadaman (120 ที่นั่ง, ห้องอาหารญี่ปุ่น)



il Forno (84 ที่นั่ง, ห้องอาหารอิตาเลียน)



coolThai (88 ที่นั่ง, ห้องอาหารไทย)



ซึ่งนอกจากห้องอาหารหลักของทางโรงแรมแล้วโรงแรม Shangri-la Guangzhou แห่งนี้ก็จะมี "Horizon Club Lounge" ไว้บริการกับแขกที่พักในห้องประเภทที่มีคำว่า Horizon นำหน้าด้วย (หรือว่าจะซื้อบริการใช้ lounge นี้ด้วยก็ได้เช่นกัน) ตัวเลานจ์แห่งนี้จะตั้งอยู่ที่ชั้น 31 ของโรงแรม และกินพื้นที่เกือบทั้งชั้น ผนังของเลานจ์จะเป็นกระจกทั้งหมดทำให้ได้วิว panorama ของแม่น้ำ Pearl River และเมือง Guangzhou แบบสุดลูกหูลูกตาสุด ๆ ที่เลานจ์แห่งนี้ก็จะมีบริการ iMac จอ 27 นิ้วให้ใช้กันฟรี ๆ 2 เครื่อง, มีหนังสือให้อ่าน, มี soft drink, beer และ snack ให้ดื่ม/กินกันทั้งวัน และก็มีที่นั่งให้เลือกหลากหลายรูปแบบทั้งโต๊ะแบบนั่งเอกขนกหรือว่าโต๊ะแบบเอาคอมมาตั้งทำงานได้ คือตัวผมเองก็ไม่เคยใช้บริการ lounge ของทางโรงแรมมาก่อนนะครับแต่พอมาใช้ของที่นี่แล้วติดใจมาก บรรยากาศมันดีกว่านั่งในห้องเยอะเลย และก็มีเครื่องดื่ม, ของกินเล่นบริการกันฟรี ๆ อีกด้วย






ที่ Horizon Club Lounge แห่งนี้มีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือตอนเช้าจะมีบริการอาหารเช้าเสิร์ฟกันแบบจริงจังด้วย และก็ตอนเย็นก็จะมีบริการอาหารเย็นแบบเป็นแนว tapas , ของกินเล่นแต่กินจนอิ่มได้ด้วยเช่นกัน คือถ้าใครมีสิทธิ์มาใช้บริการที่เลานจ์แห่งนี้ได้ผมว่าค่อนข้างคุ้มมากครับ คือไม่ต้องเสียเงินค่าข้าวอะไรเลยตลอดเวลาที่มาพักที่โรงแรมยังได้เลย แถมยังได้วิวสวย ๆ กับที่นั่งแสนสบายด้วย (และเนื่องด้วยเหตุนี้ผมจึงมาใช้บริการที่เลานจ์นี้หลายครั้งมากครับ ฮ่า ๆๆ)











3. Facilities ของทางโรงแรม


โรงแรม Shangri-la Guangzhou แห่งนี้ก็จะมี facilities ต่าง ๆ มากมายครบครันสมระดับของทางโรงแรมเค้า ตัวผมเองมีโอกาสได้ไปใช้บริการหลายอย่างอยู่เหมือนกันก็มาไล่เรียงกันไปเลยดีกว่า

สระว่ายน้ำ - ทางโรงแรมจะมีสระว่ายน้ำ 2 สระ indoor และ outdoor แต่ละสระก็เป็นสระขนาดใหญ่มาตรฐาน 25 เมตรขึ้นไปทั้ง 2 สระ (แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นสระน้ำเกลือ) และนอกจากสระมาตรฐานแล้วก็มีสระเด็กด้วยเช่นกันครับ สระว่ายน้ำของที่นี่เค้าครบจริง ๆ






สนามเทนนิส - จะเป็นสนามเทนนิสแบบ outdoor มีอุปกรณ์ให้ยืมฟรีแต่ว่าต้องจองกันไปก่อน

ลู่วิ่ง jogging - จะเป็นลู่ขนาดใหญ่ด้านหลังโรงแรมจะเป็นลู่ที่วิ่งเลาะสนามหญ้าของทางโรงแรมและก็มีต้นไม้ปกคลุม ๆ วิ่งกันแบบชิล ๆ เย็น ๆ ร่มรื่นย์ ๆ กันเลย



Putting Green - สนามไว้พัตต์กอล์ฟ

ฟิตเนส - ที่อุปกรณ์ครบครัน มีพนักงานประจำยิมคอยเซฟเรา, ให้คำแนะนำเรา



CHI, The Spa - สปาของแชงกรีลานั้นจะใช้ชื่อเดียวกันหมดทุกสาขา package spa นั้นก็ครบครันสมระดับสปาในโรงแรมครับ




ตลอด 5 วัน 4 คืนที่ผมพักที่โรงแรม Shangri-la Guangzhou แห่งนี้ ก็เป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่ปกติแล้วผมจะไม่ค่อยได้รับหรือสนใจจากโรงแรมที่ไปพักเวลาไปเที่ยวต่างประเทศสักเท่าไร คือส่วนใหญ่เวลาไปเที่ยวโรงแรมจะเหมือนเป็นที่ไว้ซุกหัวนอนอย่างเดียวจริง ๆ ออกจากโรงแรมเช้า ๆ กลับมาดึก ๆ ไม่ได้ใช้ facilities อะไรของโรงแรมเลย ซึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แล้วก็น่าจะเป็นแบบผมทั้งนั้นล่ะมั้ง แต่ถ้าใครที่แบบอยากจะไปพักผ่อนจริง ๆ มีเที่ยวนอกโรงแรมบ้าง แต่ก็อยู่ในโรงแรมบ้าง ผมว่าการเลือกโรงแรมระดับ 5 ดาวนั้นเป็นอะไรที่จะทำให้ทริปนั้น ๆ เป็นทริปที่ชิล และเพลิดเพลินเจริญใจไปอีกแบบได้เลยนะครับ ซึ่งถ้าใครมาที่เมืองกวางโจวนี้และก็มาแบบมีงาน Canton Fair เป็นจุดประสงค์หลัก ยังไง ๆ โรงแรม Shangri-la Guangzhou แห่งนี้ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีโรงแรมไหนสู้ได้นะครับเพราะทำเลของที่นี่เค้าสุดยอดจริง ๆ ไม่ต้องลำบากในการเดินทางไปงาน, มาคุยเจรจาธุรกิจกันต่อได้ที่โรงแรมถ้าคุยในงานไม่จบ, โรงแรมมีบริการทำบัตรเข้างานให้ ยิ่งถ้าใครไปงานหลาย ๆ วันก็จะยิ่งเห็นถึงความสะดวกสบาย ที่โรงแรมแห่งนี้จะมอบให้ได้ยิ่งขึ้นไปอีก แต่เรื่องทำเลนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นล่ะครับ องค์ประกอบโดยรวมของโรงแรมนี้ทั้งหมดเค้ายังยอดเยี่ยมอีกด้วย ไม่น่าแปลกใจล่ะครับว่าทำไมโรงแรมนี้ถึงได้คะแนนรีวิวอันดับต้น ๆ ของเว็บจองโรงแรมเจ้าดังทุกที่เลย

ก็เป็นอันจบ section ที่ 1 ของผมล่ะครับไปต่อกันที่ section 2 กันต่อเลย


Canton Fair

- Introduction :

China Import & Export Fair หรือ Canton Fair นั้นหลาย ๆ คนคงรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะว่าเป็นงานแสดงสินค้า (trade fair) ที่ใหญ่ที่สุดในจีน แต่ใหญ่เป็นอันดับที่เท่าไรในโลกก็ไม่รู้เหมือนกันรู้แค่ว่าเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ผมเคยไปล่ะ งานนี้จะมีจัดปีละ 2 ครั้งช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง โดยแต่ละครั้งนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 phase | phase นึงจะกินระยะเวลา 5 วันและสินค้าที่นำมาแสดงในแต่ละ phase นั้นจะแตกต่างกันออกไปหรือพูดง่าย ๆ ก็คือเหมือนมี 3 งานย่อย ๆ ในแต่ละครั้งก็ไม่ผิดนักล่ะครับ งานจะจัดแสดงอยู่ที่ Pazhou Complex อยู่ติดกับโรงแรม Shangri-la ที่ผมไปพักเลยแบบเดินมาที่งานได้เลยอะไรแบบนั้น การเดินทางจากใน downtown หรือจากที่อื่น ๆ ก็อาจจะนั่ง taxi มาหรือไม่ก็นั่งรถไฟฟ้ามาลงป้าย Pazhou เดินมาอีกนิดนึงก็จะถึงตัวงานเลย








แต่ช้าก่อนครับมาถึงหน้างานแล้วใช่ว่าจะเข้าถึงตัวงานได้ง่าย ๆ ต้องเดินผ่านจุดลงทะเบียน, ตรวจ securities กันก่อนซึ่งแค่ 2 อย่างนี้ก็แบบกินพื้นที่พอ ๆ กับงานย่อย ๆ ในบ้านเราได้แล้วมั้ง และพอผ่านกันเข้ามาแล้วถึงจะเข้าไปในตัวงานได้ ผมค่อย ๆ พบเจอกับความอลังการของงานขึ้นเรื่อย ๆ พอยิ่งเดินเข้าไป คร่าว ๆ สำหรับแผนผังของตัวงาน China Import & Export Fair นี้ก็คือจะมีอาคารใหญ่ ๆ 3 อาคาร และในแต่ละอาคารก็จะแบ่งเป็น hall ย่อย ๆ อีก 16 hall แต่ละ hall ก็จะแบ่งเป็น 2 ชั้นอีก ถ้าพูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่ค่อยใหญ่แต่ hall นึงของที่นี่ก็เทียบได้กับศูนย์สิริกิต์ครึ่งนึงอ่ะครับ คือทั้งหมดมี 16 x 2 (2 ชั้น) = 32 hall ก็เทียบได้กับศูนย์สิริกิติ์ 16 ศูนย์นั่นเอง โอว ว้าว แม่เจ้า ใหญ่ดีมั้ยล่ะครับ และคือขนาดใหญ่ขนาดนี้ก็ยังไม่พอที่จะจัดเป็นงานเดียวต้องซอยย่อยเป็น 3 phase อีกต่างหาก








ซึ่งจุดนี้ก็ดูไม่ค่อยน่าแปลกใจสักเท่าไรนะครับเพราะว่าพี่จีนนี่เค้าทำอะไรเค้าทำจริงจัง ยิ่งใหญ่ทั้งนั้นเลยหลัง ๆ มานี่ ซึ่งถ้ามองว่าจีนเค้าเป็นทวีป ๆ นึง (ขนาดพอ ๆ กับประเทศอเมริกา) มีคนจะแตะ 1,400,000,000 ล้านคนแล้ว ถ้าเค้าจะทำอะไรทีก็คงต้องทำให้ยิ่งใหญ่แบบนี้ล่ะมั้ง งานช่วงที่ผมไปนั้นเป็น phase 3 จะมีสินค้ามาจัดแสดงตามนี้คือ Office Supplies | Cases & Bags | Recreation Products | Food | Medicines, Medical Devices and Health Products | Shoes | Textiles & Garments ซึ่งตัวผมเองจริง ๆ อยากจะมา phase แรกมากกว่าแต่พอดีมาว่างเอาช่วงนี้ก็มา phase นี้ก็ไม่เป็นไรมีสินค้าบางอย่างที่น่าจะแวะมาดูอยู่

บูธแต่ละบูธที่มาจัดงานนี่ก็ยิ่งใหญ่อลังการมากครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดบูธซะดูดีแบบนี้ เหมือนกับว่าจะเป็นบูธถาวรมากกว่าบูธชั่วคราวที่ใช้อยู่แค่ 5 วันยังไงยังงั้นเลย และตอนแรกผมนึกว่างานนี้จะคนพลุกพล่าน เดินกันแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ (จริง ๆ คือไหล่เบียดไหล่) เหมือนพวกงานที่ศูนย์สิริกิติ์บ้านเราที่คนไปกันเยอะ แต่เปล่าเลยครับ งานค่อนข้างโปร่งโล่งสบาย เดินกันแบบชิล ๆ บูธแต่ละบูธก็ไม่ต้องไปรุมไปแย่งกัน ออกแนวค่อนข้างว่างมีคนพร้อมให้เราไปคุยด้วยอยู่เสมอด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ ว่านี่จะเป็นงานที่มีคนมาแสนกว่าคนและมีผู้จัดแสดงมากกว่า 22,000 เจ้าแบบนี้ ซึ่งจุดนี้อาจจะต้องขอบคุณพื้นที่จัดงานที่กินพื้นที่ประมาณ 1 ล้านตร.ม.นี้ก็เป็นได้ครับ

- วิธีการสมัคร :

คงต้องเขียนถึงวิธีการสมัครเข้างานนี้สักหน่อยเพราะตัวผมเองก็คลำอยู่นานคือขั้นตอนแรกเลยคือต้องไปลงทะเบียนที่หน้าเว็บ http://www.cantonfair.org.cn/en/ ตรงส่วน Buyer E-Service Tool (BEST) ลงทะเบียนให้ครบ upload รูปเข้าไป แล้วก็ปริ๊นท์ใบสมัครออกมา พอได้ใบสมัครเสร็จก็เอาไปที่จุดลงทะเบียนต่าง ๆ ในจีนซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามีที่ไหนบ้างแต่ที่รู้ชัวร์ ๆ คือโรงแรมชั้นนำหลาย ๆ ที่ในเมืองจะมีห้องไว้สำหรับออกบัตรเข้างานให้กับคนเข้างานโดยเฉพาะ เราก็เอาใบสมัครที่เราปริ๊นท์ออกมา พร้อม หนังสือเดินทาง ไปให้ที่จุดให้บริการนี้นั่งรอแปบนึงเค้าก็จะออกบัตรห้อยคอเข้างานให้เราเรียบร้อย เดินเข้าไปในงานได้เลยไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติม แต่จากที่อ่าน ๆ + เดินผ่าน ก็รู้สึกว่าถ้าใครไม่ได้ลงทะเบียนมาก่อนก็สามารถไปลงทะเบียนหน้างานได้เลย ดูเค้ามีบริการแบบครบวงจรไว้รองรับคนเข้างานอยู่แล้ว



ตัวบัตรห้อยเข้างานนี่ค่อนข้างสำคัญมากนะครับเพราะว่าทุกคนที่อยู่ในตัวงานจะต้องมีบัตรห้อยไว้อยู่เสมอ โดยสายห้อยบัตร, ตัวหน้าบัตรจะแบ่งสีตามประเภทของผู้เข้าร่วมงาน

Buyer : ก็คือพวกผม หรือพวกที่ไปติดต่อธุรกิจเพื่อที่จะสั่งของไปขายต่อนั่นเอง
Exhibitor : คือพวกคนที่มาจัดแสดง
Securities : พวกทหาร, ยาม, ตำรวจ, รปภ. ทุกคนก็ไม่มีข้อยกเว้นต้องห้อยป้ายเหมือนกันหมด

คือที่สำคัญก็เพราะว่าทั่วทั้งงานจะมีกลุ่มที่ 3 คอยเดินตรวจอยู่ตลอดเวลา ผมเห็นคนนึงไม่ห้อยบัตร ทหารก็ปรี่เข้าไปหาเลย คุย ๆ ด้วยแปบนึง (ฟังไม่ออก) สุดท้ายเค้าโดนทหารลากออกมาจากงานเลย โหดขิง ๆ ใครที่ไปในงานนี้ยังไงก็ห้อยไว้ตลอดเวลาไว้นะครับ

อ้อที่สำคัญที่สุด บัตรห้อยคอนี่เราทำ "ฟรี" นะครับไม่ต้องเสียอะไรเลย (ถ้าเป็นคนจีนจะเข้างานต้องเสีย 1,000 บาท) และก็สามารถเข้างานได้เรื่อย ๆ กี่ครั้งก็ได้ด้วย

- รายละเอียดร้านค้าและการเจรจาธุรกิจ

ร้านค้า, โรงงาน, ผู้ประกอบการที่ไปจัดแสดงในงาน China Import & Export Fair แห่งนี้นี่บอกตรง ๆ ว่าผม "ไม่รู้จักเลยสักเจ้าเดียว" เพราะว่าแต่ละเจ้าที่มานี่คือเป็นบริษัทจีนล้วน ๆ เลย อ้อ จะว่าไปรู้จัก Tsing Tao อยู่ยี่ห้อนึงครับ ฮ่า ๆๆ ตัวบริษัท, ห้างร้านที่มาจัดแสดงก็จะแบ่งออกเป็นบูธใหญ่บิ๊กเบิ้มที่จะอยู่ตรงโถงทางเดินตรงกลาง hall ส่วนพวกเจ้าเล็ก ๆ ก็จะอยู่ในบูธเล็ก ๆ ที่ต้องเดินเข้าซอยเล็กไป








งานนี้โดยรวมผมก็ชอบนะครับแต่มีแอบผิดหวังเล็กน้อยตรงเรื่อง "นวัตกรรม" ของสินค้าที่มาจัดแสดง คือแต่ละ hall สมมติเป็น "Office Supplies" ทั้ง hall ก็จะมีแต่สินค้าเหมือน ๆ กัน คือ ปากกา, ดินสอ, ดินสอสี, หนังสือ, สมุด, แม็กเย็บกระดาษ, กรรไกร อะไรพวกนี้ คือจะมีแต่ของพื้น ๆ ที่เราสามารถหาซื้อได้ตามห้าง, ตามร้านค้าทั่ว ๆ ไป เท่าที่ผมเดินดูจนทั่วยังไม่เห็นอะไรที่เป็น "นวัตกรรม" เลยสักอย่างเดียว คือความรู้สึกว้าวในการเดินเข้าไปในแต่ละ hall นั้นจะมีอยู่แปบเดียว พอเจอบูธที่จัดซ้ำ ๆ กันรัว ๆ ก็เริ่มเบื่อเริ่มเซ็ง เดินไป hall ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกตอนเดินดูก็จะประมาณนี้ล่ะครับขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่เหมือนกับเดินงานแสดงสินค้าเฉพาะทางในบ้านเราสักเท่าไรที่จะมีสินค้าใหม่ ๆ แปลก ๆ โดน ๆ กระจายอยู่ทั่วงาน

ส่วนใครที่จะมาติดต่อธุรกิจกับบริษัทที่มาจัดแสดงก็ไม่ต้องห่วงอุปสรรคทางด้านภาษามากนักครับ เท่าที่ผมเข้าไปคุยมาประมาณ 6-7 บูธแต่ละบูธจะมีอย่างน้อย 1 คนที่พูดอังกฤษสื่อสารกับเรารู้เรื่องจนปิด deal ได้ทั้งนั้น คืออาจจะไม่ได้แบบพูดคล่องปร๋อเป็นฝรั่งอะไรมาก แต่ใช้รูปสินค้า + ภาษามือ + การเขียน ก็สื่อสารกันรู้เรื่องปิดการขายกันได้อย่างสบาย ๆ แต่ว่าถ้าใครอยากจะลงรายละเอียดสินค้าแบบลึก ๆ ที่นี่เค้าก็มีบริการล่ามให้นะครับรู้สึกว่าจะเสียตังค์ 1,000 บาทโดยประมาณต่อล่าม 1 คน/ 1 วัน แต่ตอนก่อนมาผมก็หา ๆ มาไว้เหมือนกันก็ได้ล่ามคนนึงอยู่ที่ 500 บาท/วัน แต่ว่าก็ต้องมาเสียค่าเข้างานอีก 1,000 บาทเพิ่มเติมอีก สรุปก็คือถ้าใครอยากได้ล่ามก็มาติดต่อเอาในงานนี่เลยน่าจะดีกว่า






ส่วนถ้าใครอยากจะไปสั่งของมาขายจริง ๆ ผมว่าก็น่าสนใจดีนะครับของหลาย ๆ อย่างราคาถูกมาก เช่นที่ผมถามมาก็มี เป้นักเรียนใบละ 15 บาท, รองเท้าคู่ละ 20 บาท, ดินสอสีกล่องละ 30 บาทอะไรงี้ แต่จำนวนที่ต้องสั่งนี่ส่วนใหญ่ก็จะเท่า ๆ กันคือต้องสั่งรวม ๆ กัน order ละ แสนบาทขึ้นไปโดยประมาณ เช่น กระเป๋าก็ต้องสั่ง 5,000 ใบ เสื้อหนาวก็ต้องสั่ง 500 ตัวอะไรงี้ ระยะเวลาการผลิตก็เท่า ๆ กันหมดคือ 1 เดือนส่วนเรื่องการ shipping อันนี้เราต้องจัดการเองเค้าจะบรรจุเข้าตู้ container ให้อย่างเดียว

คร่าว ๆ ก็คงประมาณนี้ล่ะมั้งครับกับงาน China Import & Export Fair - Canton Fair ผมรู้สึกว่าใครจะไปเดินเล่นก็ได้, ใครจะไปเจรจาจริงจังก็น่าเหมาะเหม็ง เป็นงานที่ช่วยฆ่าเวลาได้เป็นอย่างดีจริง ๆ




ที่เที่ยวในทริป

ทริปนี้ผมไม่ได้ไปที่เที่ยวเยอะตามที่ตั้งใจเอาไว้เนื่องจากว่านอนตื่นสายทุกวัน + 2 วันหลังที่วางแพลนไว้จะไปหลายที่ฝนเจ้ากรรมก็ดันเทกระหน่ำลงมาทั้งวันซะอย่างนั้น ที่เที่ยวในทริปนี้ผมก็ไม่ได้หามาจากไหนเป็นพิเศษหาจาก tripadvisor เอาเพราะว่าง่ายดีมีจัดอันดับมาให้แล้ว, พิกัดของแต่ละสถานที่เที่ยวก็ตรงดี ก็มาไล่เรียงที่เที่ยวที่ผมได้ไปมาในทริปนี้กันหน่อยละกัน

- Sacred Heart Cathedral

โบสถ์นี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อจีนเขียนว่ายังไงตอนเรียก taxi ยื่นรูปโบสถ์นี้กับชื่ออังกฤษให้คนขับดูเค้าก็ไม่รู้จักจนพนักงานหน้าโรงแรมต้องไปไล่ถามมาให้ว่าภาษาจีนเรียกว่าอะไรก่อนที่จะมาบอกคนขับ taxi ให้แล้วเขาถึงจะรู้เรื่อง โบสถ์นี้จะตั้งอยู่ใกล้ ๆ แม่น้ำ ใกล้ ๆ กับพวกถนน shopping , ถนนคนเดินของเมือง plan สำหรับการไปเที่ยวโบสถ์นี้ของผมก็คือไปถ่ายรูปบวกเดินเล่นเสร็จก็ไปเดินถนนคนเดินกันต่อ นั่ง taxiจากโรงแรมประมาณสัก 30 นาที พวกผมก็ถูก taxi บอกให้ลงแล้วเดินต่อกันเอาเองนะเพราะว่าถนนที่จะไปต่อมัน one way ก็ถ้าไม่เชื่อ taxi ก็คงไม่ได้เพราะแกถีบส่งขนาดนี้ พอลงเสร็จก็เดินไปอีกประมาณ 5 นาทีก็เริ่มเห็นยอดโบสถ์อยู่กลาย ๆ เริ่มเห็นพ่อค้าแม่ขาย อาแปะ อาซิ้ม เปิดร้านขายของแบบ streetfood กันเรียงรายไปตามทาง พอเดินไปถึงโบสถ์ก็เจอคนมาเที่ยวที่นี่กันค่อนข้างพอสมควรแต่ก็ไม่ได้เยอะไม่ได้เบียดเสียดแออัดเหมือนที่เที่ยวดัง ๆ ของญี่ปุ่น









ที่ด้านนอกบอกก็จะเป็นลานกว้าง ๆ ให้เราถ่ายรูปโบสถ์กันได้โดยสะดวกส่วนด้านในก็มีแม่ชี (?) กำลังเทศนา เผยแพร่ธรรมะกันอยู่ มีคนนั่งฟังกันอยู่บ้างไม่ถึงกับบางตาแต่ก็ไม่ถึงกับหนาตา ด้านในโบสถ์ก็สวยงามไปอีกแบบนึง มีกระจกที่เป่าเป็นลวดลายสวย ๆ แบบคริสต์ (เป็น nanotechnology ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน) และก็มีรูปปั้นสวย ๆ หลายชิ้น โบสถ์นี้คร่าว ๆ ก็คงประมาณนี้ล่ะครับ เน้นมาถ่ายรูปซึมซับเอาบรรยกาศสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคริสตศาสนาที่บ้านเราไม่ค่อยมีเท่าไร

- Beijing Road

ถนนคนเดินหรือ shopping street ของเมืองนี้เท่าที่แฟนผมหาข้อมูลมาก็จะมีอยู่ 2 ที่คือ Beijing Road (คนจีนอ่านว่าเป่ยจิงลู่) กับอีกที่คือ Shang Xia Jiu (ไม่รู้อ่านว่าอะไรเหมือนกัน) ซึ่งทั้งสองที่นี้เท่าทีรู้มาคือ ที่หลังนั้นจะขายพวกของไม่ค่อยหรูและก็ขายของก็อบเยอะ คล้าย ๆ เซิ่นเจิ้น วัยรุ่นจะเดินกันเยอะกว่า ตัวผมเองมีเวลาไปเดินแค่ Beijing Road ที่เดียวเลยไม่ชัวร์เหมือนกันว่า Shang Xia Jiu นั้นเป็นอย่างไรเป็นตามที่เค้าล่ำลือกันรึเปล่า


ที่ Beijing Road นี่ก็เป็นถนนที่ยาวประมาณสัก 2 block ถนน ทั้งสองข้างก็จะจะมีร้านรวงตั้งอยู่เต็มไปหมด ร้านที่เยอะที่สุดก็น่าจะเป็นร้านเสื้อผ้าที่ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์คนจีนเอง มีแบรนด์ที่อินเตอร์ ๆ แต่ไม่ถึงกับ worldwide ตั้งอยู่บ้างแต่ก็น้อยกว่าแบรนด์จีนเยอะครับ แล้วก็จะมีพวกร้านขนม, ร้านอาหารปน ๆ กระจาย ๆ กันอยู่ เท่าที่ผมและแฟนเดินดูแล้ว ไม่ค่อยมีของอะไรน่าสนใจให้เลือกซื้อเลือกเดินสักเท่าไรนะ คือเสื้อผ้าแฟนผมบอกว่าแม้ว่าราคาจะถูกจริงแต่แบบเชยมาก ส่วนพวกขนม, ของฝาก, ของชำร่วยก็ไม่ค่อยมีขายเท่าไร ไม่ค่อยเหมือนพวกถนนคนเดินของญี่ปุ่นที่มักจะมีร้านของฝากตั้งอยู่เยอะ

พวกผมได้ของติดไม้ติดมือมาเล็กน้อยเป็นใบชาแบบต่าง ๆ แปลก ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจากร้านใบชาโดยเฉพาะ แล้วก็ได้ขนมแบบจีน ๆ มา 2 ห่อ แค่นี้เองครับ มันมีแต่ของไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไรอ่ะเมื่อเทียบกับเมืองอื่น ๆ ที่เคยไปมา เหอ เหอ

- Chimelong Circus

บริเวณด้านใต้ ๆ ของเมือง Guangzhou จะมี..อืมใช้คำว่าอะไรดี "อาณาจักร" ละกันอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่า Chimelong Tourism Resort ในรีสอร์ทแห่งนี้จะประกอบด้วย theme park/hotel หลัก ๆ อยู่ 7 แห่งคือ

1. Chime-Long Paradise : สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดของจีน, ทุนก่อสร้าง 5,000 ล้านบาท และถูกจัดให้เป็น AAAAA scenic area จากรัฐบาลจีน (เรทติ้งว่าที่เที่ยวไหนเจ๋งเรทสูงสุดของประเทศเค้า)
2. Chime-Long International Circus : โชว์ละครสัตว์สุดยิ่งใหญ่อลังการ มีจำนวนนักแสดงเยอะที่สุดในโลก กับโรงละครขนาดที่นั่ง 8,000 ที่นั่ง จัดวันละครั้ง (ถ้าวันหยุดจะเพิ่มรอบสูงสุดถึง 3 รอบ)
3. Panyu Xiangjiang Safari Park : สวนสัตว์ที่ใหญ่สุดในเอเชีย มีสัตว์มากกว่า 20,000 ชนิดรวมถึงแพนด้า 5 ตัวด้วย!
4. Chime-Long Water Park : สวนน้ำที่ใหญ่สุดในเอเชีย ถูกออกแบบและก่อสร้างโดยบริษัทดีไซน์สวนน้ำชั้นนำของโลก
5. Guangzhou Crocodile Park : ฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีจระเข้กว่า 100,000 ตัวหรือกว่า 70% ของจระเข้ในเมืองจีนมากองอยู่ที่นี่หมด!
6. Chime Long Golf Center : ศูนย์ฝึกซ้อมกอล์ฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
7. Chime Long Hotel : โรงแรมประจำ resort

คือบอกตรง ๆ ว่าตอนก่อนมาผมก็ไม่รู้หรอกว่าทั้งหมดนี้มันคือเจ้าของเดียวกัน เพราะเห็นว่าบางอย่างเป็นคนละชื่อและก็ไม่คิดว่าจะมี resort ไหนที่จะใจป้ำทำซะยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้ (คือแต่ละอันของเค้านี่ที่สุดในโลกหรือไม่ก็ที่สุดในจีนทั้งนั้น) แต่คือเท่าที่อ่าน ๆ ดูเค้าบอกว่า resort แห่งนี้เป็นที่นิยมของเมืองที่อยู่ละแวกนี้ในการมาเป็นที่พักผ่อสุดสัปดาห์มา ซึ่งเมืองที่อยู่ในละแวกนี้ถ้านับรวม ๆ กันก็จะประกอบด้วย  Shenzhen (10.36 million), Dongguan (8.22 million), Foshan (7.19 million), Jiangmen (4.45 million), Zhongshan (3.12 million) และเมือง Guangzhou เองอีก 13 ล้านคน + กับคนฮ่องกงและมาเก๊าที่เค้าบอกว่าเป็นกลุ่มลูกค้ามือหนักที่สุดที่มายังรีสอร์ทนี้ที่มีประชากรอีก 7 ล้านคนแล้ว เบ็ดเสร็จ potential ของ resort แห่งนี้คือกลุ่มลูกค้า 50 ล้านคนโดยประมาณ 50 ล้านคนในรัศมีการขับรถประมาณ 2-3 ชั่วโมง คือกำลังซื้อเค้าเยอะและมหาศาลแบบนี้ก็คงไม่น่าแปลกที่ทางเครือ Chime-Long จะลงทุนสร้าง อาณาจักร resort ขนาดดใหญ่ยักษ์แห่งนี้ขึ้นมา






คือถ้าเอาจริง ๆ แล้วผมว่าถ้าอยากจะเที่ยวที่นี่ให้ครบคงต้องมาอยู่สัก 4 วันล่ะครับถึงจะอยู่ครบซึ่งทางรีสอร์ทก็เหมือนจะรู้มีการสร้างโรงแรมเตรียมเอาไว้ให้เลย และเนื่องจากว่าตัวผมเองไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับที่นี่มากนักนึกว่าชิล ๆ เที่ยววันเดียวก็น่าจะครบหมดกลายเป็นว่า fail ครับ ตอนแรกตั้งใจจะมาสวนสัตว์กับดู circus ก็น่าจะกำลังดี แต่พอไปถึงที่ resort นี้ตอนประมาณ 3 โมงจะขอซื้อตั๋วแบบ combination 2 อย่างพนักงานบอกว่าสวนสัตว์เข้าไม่ได้แล้ว เพราะว่าปิด 6 โมง ผมก็เลยงง ๆ ว่าอีกตั้ง 3 ชั่วโมงนี่น่าทำไมไม่ให้เค้าแต่นางก็พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ก็เลยไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอันใดถึงไม่ให้เข้า ซึ่งถ้าให้เดาก็น่าจะเป็นมันเลยเวลาเข้าไปแล้วเพราะว่าสวนสัตว์เค้าใหญ่และต้องใช้รถเข้าไปดู อดดูฝูงแพนด้าเลยผม ฮือ ๆ ก็เลยต้องทำใจเหลือแค่ดู circus อย่างเดียว

ก็จากจุดประชาสัมพันธ์ด้านหน้า resort ที่จะอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าเลย ทาง resort จะมีบริการ shuttle bus พาไปยังจุดต่าง ๆ ของโรงแรมrพวผมก็นั่งไปลงป้าย Circus แล้วก็ไปซื้อตั๋วกัน ตั๋วของที่นี่เค้าจะแบ่งราคาตามที่นั่งไล่เรียงกันไปตั้งแต่ที่นั่งกิตติมศักดิ์ > VIP > First Class > Normal seat ซึ่งถ้าเป็น 3 แบบแรกนี่จะมีระบุที่นั่งไว้ในบัตรเลยไม่ต้องไปแย่งที่นั่งกับใคร แต่ถ้าแบบถูกสุดหรือแบบธรรมดานั้นจะไม่มีระบุที่นั่งต้องไปแย่งที่นั่งกัน เนื่องจากว่าผมชวดการเข้าสวนสัตว์ไปแล้วก็เลยคิดว่าไหน ๆ มาแล้วก็ดูที่นั่งดี ๆ ไปเลยดีกว่าก็เลยเลือกแบบ VIP ไป ซึ่งที่นั่งแบบ VIP นี้จะแพงกว่าที่นั่งปกติ 200 หยวนหรือประมาณ 1,000 บาท ส่วนที่นั่งปกติในวันนั้นเนื่องจากเป็นวันหยุดราชการค่าตั๋วเลยแพงกว่าปกติจำไม่ได้ว่าเท่าไรแต่รวม ๆ แล้วจ่ายค่าตั๋วไปคนละประมาณเกือบ 3,000 บาท ซึ่งพอเอามาเทียบกับของ Phuket FantaSea ของบ้านเราที่ขายอยู่ 1,800 บาทแล้วราคาก็ดูจะพอ ๆ กันนะครับ (ลบค่าที่นั่ง VIP ออกพันนึง) (คือผมเคยไปดู Phuket FantaSea มาทีนึงแต่จำไม่ได้ว่าจ่ายไปเท่าไร เพื่อนผมเป็นจัดแจง)







แต่ประเด็นคือผมซื้อบัตรเสร็จตอนประมาณสี่โมงกว่า ๆ แต่การแสดงมีตอน 2 ทุ่ม! ก็ไม่รู้จะทำอะไรกันระหว่างนั้นเพราะไปที่ไหนไม่ได้เลยก็เลยไปนั่งหลับกันที่ lobby โรงแรม Chimelong ที่อยู่ใกล้ ๆ กันกับ circus นี่แทน พอประมาณสัก 6 โมงพวกผมก็เดินมากินข้าวกันที่ร้านอาหารของ circus ที่จะให้บริการอาหารแบบ self-service มีอาหารจีนหน้าตาไม่ค่อยคุ้นหลายอย่าง ก็หยิบมา 3 อย่างมาลองกินกัน นั่ง ๆ กินกันเสร็จก็เป็นเวลาประตูเปิด ทุ่มนึงพอดีก็เลยชวนกันเข้าไปในโรงละครของเค้ากันเลย รายละเอียดการแสดงก็คงไม่ขอเขียนบรรยายอะไรมากครับ สรุปสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ การแสดงเจ๋งดีครับ หลากหลาย อลังการงานสร้าง และก็กินระยะเวลาคุ้มค่าดี (ชั่วโมงครึ่ง) คืออารมณ์หลังดูเสร็จนี่ประมาณของ Phuket FantaSea เลยมั้งถ้าจำไม่ผิด

พอเสร็จจากดูละครสัตว์คนดูทั้งหลายแหล่รวมทั้งผมก็รีบกรูกันออกมาเพื่อหารถกลับกัน คือบอกตรง ๆ ผมกลุ้มใจมากเรื่องหารถกลับเพราะอยู่มา 3 วันแล้ว เริ่มรู้ว่า taxi ที่นี่ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน แต่เหมือนฟ้าจะเมตตาผมนะครับระหว่างที่เดินออกไปมีพ่อหนุ่มคนนึงมายืนพูดว่า taxi ๆ ๆ อยู่ พวกผมก็เลยเดินเข้าไปคุยบอกจุดหมายปลาทาง เค้าก็บอกกลับมาว่า "100 หยวนเพ่" ผมก็คิดสะระตะในใจถ้านั่ง taxi กลับเข้าเมืองไปเองน่าจะประมาณ 60 หยวนแล้ว + ค่ารถเข้ามาก็ 20 หยวนล่ะ อืม ก็นั่ง ๆ ไปละกันขี้งกไปแล้วเดี๋ยวไม่รู้ว่าจะไปหารถได้ที่ไหน ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าพ่อหนุ่มคนนี้เป็น taxi มายืนหาลูกค้าตรงนี้เองแต่เปล่าเลยครับ เหมือนเค้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่มาหาลำไพ่พิเศษ เพราะรถของเค้าคือรถธรรมดา ๆ เลย พ่อหนุ่มคนนี้บริการดีครับ ขับรถนุ่ม รถสะอาดและกลิ่นหอมดี และพาพวกผมไปสั่งยังจุดหมายได้ตามที่ตกลงกันไว้





- Taigoo Hui & Downtown

ปกติถ้าเาไปเมืองไหนสักเมืองนึงก็คงจะต้องไป downtown ของเมืองหรือย่านที่เจริญที่สุดในเมืองกันใช่มั้ยครับ? ซึ่งย่านนี้ของเมือง Guangzhou ก็จะกินพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเริ่มตั้งแต่ตรงไหนถึงตรงไหน แต่ขออุปโลกเอาเองละกันว่าคือที่ห้าง Taigoo Hui ที่ผมจะขอเขียนถึงสักหน่อยแห่งนี้ เพราะว่าโรงแรม 5 ดาวแบรนด์ดังทั้งหลายแหล่ ตึกสูง ๆ ก็ล้วนตั้งอยู่ในย่านนี้หมด





ห้าง Taigoo Hui แห่งนี้ก็เหมือนจะเป็น flagship department ของเมืองเค้าประมาณ Central Embassy ที่เพิ่งเปิดใหม่ของกรุงเทพฯ อะไรแบบนั้น ห้างเค้าหรูมาก มีร้านอาหารเยอะ shop brand-name น่าจะมีครบทุกยี่ห้อ (แต่ผมเดินไม่ทั่วห้างใหญ่เหลือเกิน) แต่สิ่งที่ผมสนใจในห้างนี้หาใช่ช้อปดีไซเนอร์อะไรพวกนี้หรอกครับแต่เป็นตัวร้านอาหารในห้างนี้ต่างหาก ห้างนี้มีร้านอาหารเยอะมาก มีแต่ร้านน่ากิน ๆ ทั้งนั้น น่าเสียดายที่ผมมีโอกาสได้กินแค่ 2 ร้านจากประมาณ 6 ร้านที่ดู guide แนะนำของทางห้างมา เอาเป็นว่าถ้าใครอยากจะมาหาของกินในเมืองนี้ ลองมาตั้งต้นที่ห้างนี้ดูก็ได้ครับ

ส่วนย่าน downtown ในเมืองนี้ผมก็รู้สึกว่ามันคล้าย ๆ เมืองนอกมากกว่า Hong Kong ที่อยู่ใกล้ ๆ กันมากเลยเพราะว่าถนนใหญ่มาก ฟุตบาธก็ใหญ่ commercial building (ห้องแถว) , ห้างร้านก็ใหญ่โต ไม่ได้จำกัดจำเขี่ยที่พักเหมือนกับฮ่องก ผมมีโอกาสได้เดินเล็กน้อยก็ชอบดีนะครับ

- อนุสาวรีย์ 5 แพะ





ที่เมือง Guangzhou นี้เป็นเมืองที่น่าจะเรียกได้ว่าเจริญแต่ก็มีความ green ที่สุดที่ผมเคยไปมาเลยมั้ง พื้นที่สีเขียว, สวนสาธารณะมีกระจายตัวอยู่ทั่วเมือง ถนนหนทางสองข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ปกคลุมเยอะมาก แต่จากพื้นที่สีเขียวทั้งหลายทั้งปวงนี้ มีอยู่ที่นึงที่เค้าว่าเจ๋งที่สุดของเมืองนั่นก็คือ "Yuexiu Park" สวนสาธารณะบิ๊กเบิ้มที่เป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่เก่าที่สุดของเมืองนี้เค้า ในสวนสาธารณะนี้จะมี attraction น่าสนใจต่าง ๆ มากมาย เกือบ 10 อย่างคือถ้าจะมาเที่ยวที่นี่น่าจะต้องใช้เวลาสัก 1 วันเต็ม ๆ ถึงจะเที่ยวหมด แต่เนื่องจากว่าผมมีเวลาอยู่ที่สวนนี้แค่ 1 ชั่วโมงก็เลยเลือกที่จะไปชม/ไปถ่ายรูปสิ่งก่อสร้างที่เด่นที่สุดของที่นี่แทนนั่นก็คือ "อนุสาวรีย์ 5 แพะ" เจ้าอนุสาวรีย์นี้ก็สวยและเจ๋งดีครับ และเป็นสิงก่อสร้างที่เป็นเหมือนตำนานการกำเนิดของเมืองนี้ก็ว่าได้ เอาจริง ๆ แล้วผมแอบเสียดายอยู่เหมือนกันที่มีเวลาที่นี่แค่แปบเดียวเพราะว่าวันที่ไปนี่อากาศเย็นดีมาก ฝนตกปรอย ๆ แดดไม่มี ฟ้าครึ้ม เหมาะแก่การดินเล่น outdoor เป็นอย่างมาก ถ้าใครจะมาที่นี่แล้วกะเที่ยวให้ครบก็เผื่อ ๆ เวลาไว้สักหน่อยละกันครับ

-  Guangdong Museum











พิพิทธภัณฑ์ประจำเมืองหรืออาจจะประจำมณฑลด้วยซ้ำ (ไม่งั้นคงไม่เอาชื่อมณฑลมาตั้งหรอก) เป็นพิพิทธภัณฑ์ขนาดใหญ่ สร้างมาแบบสวยงามอลังการ แค่เห็นตึกก็รู้แล้วว่าด้านในต้องเจ๋งอะไรแบบนั้น ภายในก็จะแบ่งเป็นส่วนจัดแสดงหลายอย่างครับ ทั้งแบบเอาพวกเครื่องปั้น, งานศิลปกรรมมาวาง ๆ ตั้งให้ดู หรือแบบทำเป็นห้องจำลอง, สถานที่จำลองกันขึ้นมาเลย พิพิทธภัณฑ์แห่งนี้เค้าทำดีมากครับ ไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลย ดีกว่าที่ไต้หวันที่ผมเคยไปมา แต่ดีกว่าที่ญี่ปุ่นในแง่ที่ว่าคนไม่เยอะ เดินดูกันแบบสบาย ๆ ชิล ๆ และที่สำคัญที่สุดคือค่าเข้าชม "ฟรี" คือถ้าใครไม่รู้จะทำอะไรเวลามาเมืองนี้ มาเที่ยวเล่นที่นี่เถอะครับมันสามารถเผาผลาญเวลาได้ 3-4 ชั่วโมงสบาย ๆ และไม่ได้เป็นเวลาที่สูญเปล่านะครับเป็น quality time แบบฟรี ๆ ที่ยากจะหาได้จริง ๆ จากการท่องเที่ยวบนโลกใบนี้

- Guangzhou Library





ห้องสมุดแห่งนี้จะอยู่ติดกันกับตัว Guangdong Museum เลย คือถ้าใครมาที่นึงก็น่าจะแวะไปอีกที่นึงด้วยครับ แต่ถ้าถามผม .. ห้องสมุดนี่ไม่ต้องใช้เวลาอะไรกับมันมากนักก็ได้ครับ ห้องสมุดแห่งนี้สำหรับผมแล้วผมรู้สึกว่ามันจะมีดีแค่ความสวยงามอย่างเดียวแค่นั้นแหละ เพราะว่าหนังสือภายในห้องสมุดแห่งนี้...ไม่มีหนังสือภาษาอังกฤษเลย(โว้ย) หาอะไรอ่านไม่ได้เลยครับ ผมเดินเล่น ดูหนังสือไปมาอยู่ 2 ชั่วโมงแบบเซ็ง ๆ จบแค่นั้นสำหรับที่นี่ แต่ในทางกลับกันถ้าเกิดว่าคุณ ๆ สามารถอ่านภาษาจีนได้ห้องสมุดแห่งนี้นี่จะเหมือนเป็นสวรรค์เลยล่ะครับ อย่างแรกเลยที่นี่เค้าไม่คิดค่าเข้าหรือ "ฟรี" นั่นเอง อย่างที่สองห้องสมุดแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้นมีหนังสือเป็นล้าน ๆ เล่ม และนอกจากหนังสือแล้วก็มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ฟรี, มีทีวีที่จะมีการสแกนพวกนิตยสารเล่มใหม่ ๆ มาให้อ่านกันบนทีวีจอยักษ์, มีที่นั่งดี ๆ หลายแบบให้เลือกนั่ง(หรือนอน)กันได้ตามสะดวก โอว หอสมุดแห่งชาติบ้านเรานี่ไม่ติดฝุ่นเลยล่ะครับ ฮ่า ๆๆ

section ที่ 2 สำหรับทริปนี้ก็จบล่ะครับไปต่อกันที่ section ที่ 3 กันต่อเลย

ร้านอาหารในทริปนี้

- Introduction

 ก่อนจะเข้ารีวิวร้านอาหาร(และของหวาน)ทั้ง 10 ร้านในทริปนี้ของผมก็คงต้องขอเขียนถึงวัฒนธรรมการกินของคนเมือง Guangzhou - กวางโจว ที่แตกต่างไปจากเมืองไทยหรือมีอะไรที่ผมรู้สึกอยากจะเขียนถึงสักหน่อยเพราะมันเป็นธรรมเนียมของผมไปแล้วในการไปรีวิวเมืองใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยไปมาก่อนมาไล่เรียงกันไปเลยดีกว่า

"น้ำเปล่าเย็น ๆ , น้ำแข็ง , เบียร์เย็น ๆ คืออะไรกวางโจวชนไม่รู้จัก" : เรื่องวัฒนธรรมดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ นี่เราก็ไม่สามารถพบเจอได้ที่ Guangzhou - กวางโจว เช่นเดียวกันกับฮ่องกง (และน่าจะเมืองอื่น ๆ ในประเทศจีนด้วยเช่นเดียวกัน) คนที่นี่เค้าจะดื่มน้ำชากันแทนน้ำเปล่าอย่างที่เรารู้ ๆ กันแต่น้ำชาของที่นี่จะไม่ได้ฟรีเหมือนที่ญี่ปุ่น (ส่วนใหญ่ มีบางร้านที่ญี่ปุ่นที่คิดตังค์ค่าน้ำชาเช่นเดียวกัน) เท่าที่ผมไปเจอมาส่วนใหญ่ก็จะคิดหัวละ 6 หยวนหรือประมาณ 30 บาทและก็สามารถเติมได้เรื่อย ๆ โดยจะนำน้ำชามาวางแหมะลงบนโต๊ะกานึงให้เรารินดื่มกันเองเป็นส่วนใหญ่ ตัวน้ำเปล่านี่ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีให้สั่งมั้ยแต่ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่น่าจะฟรีและก็ไม่น่าจะมีน้ำเปล่า + น้ำแข็งเพราะว่าคนที่นี่เค้าดูจะไม่ดื่มน้ำแข็งกันจริง ๆ ผมอยู่ที่นี่ตลอด 5 วันนี้ไม่ได้ดื่มน้ำใส่น้ำแข็งเลยจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะดื่มแต่น้ำชาร้อน ๆ อย่างเดียวครับ อาหารหมดความอร่อยไปพอดี มีบางมื้อสั่งเบียร์เย็น ๆ มาดื่มบ้างแต่เบียร์ที่นี่ก็หาได้เย็นเจี๊ยบเหมือนที่ญี่ปุ่นหรือบ้านเราเช่นเดียวกัน เบียร์ที่นี่เค้าจะอุ่น ๆ กว่าบ้านเราหน่อยน่าจะอุณหภูมิประมาณเกือบ ๆ 10 องศา ซึ่งจุดนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เสิร์ฟมาให้เย็นเจี๊ยบไปเลย อ้อและก็เบียร์ของที่นี่ผมได้ลองไปสองยี่ห้อเป็นเบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อ Pearl River (แม่น้ำไข่มุกที่ผ่ากลางเมืองเลย) กับอีกยี่ห้อนึงจำไม่ได้ เบียร์ที่นี่เค้าไม่ค่อยมีฟองสักเท่าไรครับ และยิ่งเบียร์ไม่ค่อยเย็นเท่าไรด้วยความรู้สึกตอนดื่มเบียร์เลยไม่ค่อยฟิน ไม่ค่อยฉ่ำเหมือนบ้านเราสักเท่าไร



"เมนูจะเยอะไปมั้ย? มีให้เยอะมีให้สั่งแต่ของหมดต้องเปลี่ยนรายการอาหารบ่อยเหลือเกิ๊น" : คือถ้าเอาจริง ๆ บ้านเรา ร้านอาหารไทย หรือ อาหารจีน ส่วนใหญ่เมนูก็มักจะมีรายการอาหารให้สั่งกันเยอะ ๆ 100 - 200 เมนูกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วแต่ก็ไม่ใช่ทุกร้านที่จะเป็นแบบนั้น แต่คือที่นี่ 100 - 200 รายการนี่ถือว่าเป็นข้อบังคับเลยมั้งเพราะไม่ว่าจะร้านไหนที่ผมได้มีโอกาสไปกินก็มีเมนูเยอะแยะอลังการแบบนี้หมดเลย ไม่ว่าจะร้านอาหารจีน, อาหารญี่ปุ่น หรืออาหารเวียดนาม (ร้านอาหารฝรั่งไม่มีโอกาสไปกินเลยครับแต่แอบ ๆ ดูเมนูของร้านอิตาเลียนร้านนึงที่เล็งเอาไว้ ก็รู้สึกว่าเมนูค่อนข้างเยอะนะครับน่าจะเกิน 100 เมนูเช่นเดียวกัน) และคือเมนูของที่นี่จะไม่ได้เป็นรายชื่อตัวอักษรอย่างบ้านเราที่มักจะมีเมนูแบบนี้เป็นหลักแต่ทุกรายการจะมีรูปอาหารสวย ๆ ผูกคู่กับชื่ออาหารไว้หมดเลย บางรายการนี่คือเต็ม ๆ ไปเลย 1 หน้า แต่ส่วนใหญ่ก็จะ 3-4 รายการต่อหน้า ทำให้เมนูที่ออกมาเล่มนึงนี่หนาปึ๊กมาก ๆ เลยล่ะครับ (ช่างถ่ายรูปอาหารที่ Guangzhou - กวางโจว นี่น่าจะมีงานให้ทำไม่หยุดหย่อนนะเนี่ยดูแล้ว แต่เมื่อเมนูเยอะแยะมากมายขนาดนี้ก็มีข้อเสียที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ตามมาคือ หลาย ๆ รายการอาหารที่ผมสั่งไปมันจะ "ไม่มี" (ภาษาจีนพูดว่า"เหม่ยโหย่ว" ผมได้ยินบ่อยมาก) และก็ต้องมานั่งดูเมนูสุดแสนอลังการของแต่ละร้านแล้วก็เลือกใหม่ ทำให้การสั่งเมนูแต่ละทีนี่เหนื่อยครับกว่าจะเลือกได้ส่วนใหญ่จะ 10 - 15 นาทีทั้งนั้นเลย




"ตี 3 ตี 4 กับการยัดอาหารเข้าปากถือเป็นเรื่องปกติ" : คือเมืองใหญ่ ๆ ในโลกนี้เท่าที่ผมเคยไปมา (รวมถึงกรุงเทพด้วย) ผู้คนก็มักจะกินข้าวกันจนดึกจนดื่นกันเป็นเรื่องปกติ (น่าจะเพราะเลิกงานกันดึก หรือไม่ก็กว่าจะฝ่ารถติดไปด้วย) แต่คือส่วนใหญ่ก็มักจะแบบไม่เกินเที่ยงคืนร้านอาหารที่เป็นกิจลักษณะก็มักจะปิดพักผ่อนกันแล้ว (ไม่นับพวกร้านที่เปิดดึกเป็นหลักอย่างพวก izakaya หรือว่าข้าวต้มโต้รุ่งในบ้านเรานะครับ) แต่คือร้านในทริปนี้ที่ผมได้ไปรีวิวหรือว่าหาข้อมูลไว้ก่อนจะไปรีวิว หลาย ๆ ร้านนี่คือเปิดทำการกันจน "เกือบเช้า!" คือคนฮ่องกงที่ผมว่ากินอาหารกันดึกแล้วมาเจอคน Guangzhou - กวางโจว นี่คือกลายเป็นเด็ก ๆ ไปเลยก็ว่าได้ครับ มีบางมื้อที่ผมไปกินตอนเที่ยงคืนกว่า, บางมื้อไปตอน 3-4 ทุ่ม บางมื้อไปตอนหกโมง ลูกค้าก็ล้วนแล้วแต่จะแน่นขนัดร้านอยู่ร่ำไป และคือ กลุ่มลูกค้าที่มากันดึก ๆ นี่มีครบทุกรูปแบบนะครับไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่หิ้วลูกเห็ดเล็กแดงมาด้วย, คู่รัก หรือ กลุ่มเพื่อน ซึ่งหลาย ๆ โต๊ะส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งกันแบบชิล ๆ นั่งคุย นั่งเม้าท์กันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้แบบตั้งใจมารีบกินรีบกลับแต่อย่างใด ซึ่งจุดนี้ผมว่าน่าจะมาจากการที่บ้านของคนที่นี่เค้าไม่ค่อยจะมีบ้านเป็นหลัง ๆ หรือบ้านน่าอยู่สักเท่าไร จะอยู่กันบนคอนโดหรือ apartment เป็นหลัก ก็เลยน่าจะไม่ค่อยอยากกลับบ้านกัน



"เอ๊ะนี่มันราคาอาหารที่กรุงเทพรึเปล่าเนี่ย?" : ราคาอาหารของที่เมืองนี้สั้น ๆ ง่าย ๆ คือไม่ค่อยต่างจากกรุงเทพเท่าไรนัก อาหารที่ผมไปกิน ๆ มาส่วนใหญ่จะเป็นภัตตาคาร ราคาอาหารพอหารออกมาแล้วก็จะเท่า ๆ กับบ้านเรานี่แหละคนละ 500 - 1,000 บาทโดยประมาณถ้าไม่ได้สั่งอะไรวิริศมาหรามากนัก ส่วนพวกร้านข้างถนน, ร้านห้องแถว น่าเสียดายที่ทริปนี้ผมไม่ได้ไปกินเลยเนื่องจากไม่มีเวลาไปเดินย่าน street food + คิดไว้ว่าอุตส่าห์มาทั้งทีไปกินร้านเป็นกิจลักษณะดีกว่าอย่าไปกินร้านห้องแถวเลย (ไม่รู้คิดถูกรึเปล่า เหอ เหอ) แต่มีโอกาสได้ซื้ออาหารรถเข็นทีนึงนะครับเป็นปลาหมึกเสียบไม้ปิ้งย่าง ไม้ละ 10 กว่าบาทมั้งเทียบกับบ้านเราแล้วก็ถูกกว่านิดนึง แต่ก็ได้ลองแค่อย่างเดียวเลยไม่อยากสรุปว่าจริง ๆ แล้ว street food ของที่นี่เค้าแพงกว่าเรารึเปล่า (แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าอาหารรถเข็นของบ้านเรามันแพงจังเลยนะ บางอย่างแพงกว่าในร้านห้องแถวอีก -*-) ก็โดยรวมแล้วมาเมือง Guangzhou - กวางโจว นี่แล้วก็ให้ feeling คล้าย ๆ กรุงเทพฯล่ะครับ จับจ่ายใช้สอยด้านความเลิศรสกันได้คล่อง ๆ ไม่ต้องคิดหนักเหมือนตอนไปญี่ปุ่น, ฮ่องกง หรือประเทศโลกตะวันตกอะไรพวกนั้น



"Lost in Translation" : ปัญหาเรื่องการสื่อสารไม่ได้กับประเทศที่ไม่คิดจะพูดภาษาอังกฤษเลยแม้แต่นิดเดียวนี่ก็น่าจะเป็นปัญหาหลักของมวลมหาประชาชน เอ๊ย มวลมนุษยชาติ เลยก็ว่าได้นะครับ เท่าที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าที่ญี่ปุ่นจะค่อนข้างมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เด็กเสิร์ฟส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นที่พูดอังกฤษไม่ได้ก็จะพยายามพูดบ้างหรือไม่ก็พยายามหาตัวช่วย ใช้ภาษากายอย่างเต็มที่มาประกอบการสื่อสารซึ่งก็ช่วยให้ผ่านพ้นสถานการณ์กระอักกระอ่วมไปได้ทุกครั้ง แต่กับที่กวางโจวนี่เด็กเสิร์ฟเค้าไม่ค่อยจะมีความพยายามที่จะใช้ภาษาอังกฤษกันสักเท่าไร แม้แต่ Yes, No นี่บางคนยังไม่ยอมพูดเลยด้วยซ้ำ (ผมเลยต้องเรียนภาษาจีนง่าย ๆ แทน เอาไม่เอา, มีไม่มี, นี่คืออะไร อะไรงี้) แต่คือยังดีที่เมนูอาหารของที่นี่เค้ามีรูปประกอบดี พวกผมก็เลยเอาตัวรอดมาได้นี่แหละครับ ก็ไม่ใช่อะไร อยากให้ทุกท่านที่ไปเมืองนี้เตรียมใจไว้หน่อยละกันว่าจะมีอุปสรรคเรื่องนี้

ทั้งหมดนี้ก็คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับอาหารการกินที่ผมประสบพบเจอในเมืองนี้นะครับ มาเข้ารีวิวร้านอาหารทั้ง 10 ร้านกันเลยดีกว่า ไล่เรียงไปตามลำดับเวลาที่ผมกินนะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

1st Restaurant : Bing Sheng Seafood Restaurant (Head Office)
Cuisine Type : Cantonese
Price Range (per person) : 500 - 2,000 บาท
Location (Lat, Long) : 23.105317, 113.286399
Website : http://www.bingsheng.com/



ร้าน Bing Sheng นั้นเป็นร้านที่ค่อนข้างโด่งดังที่เมือง Guangzhou - กวางโจวนี้มีสาขาของร้านนี้ตั้งอยู่เยอะมาก เท่าที่ผมรู้นี่ก็ประมาณ 4 สาขาขึ้นไปได้ ส่วนร้านในรีวิวนี้ก็เป็นสาขาหลักของทางร้านเลย (head office) ผมไปถึงร้านประมาณเกือบ ๆ เที่ยงคืนน่าแปลกใจมากที่คนยังนั่งกันเต็มร้านอยู่และระหว่างที่นั่งกินก็ยังคงมีลูกค้ามาเรื่อย ๆ เพราะว่าร้านนี้เค้าปิดตี 4 คือไอ้ประเด็นที่ปิดตี 4 นี่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไรแต่ที่แปลกใจก็น่าจะเป็นเรื่องที่ทำไมคนที่นี่เค้าถึงกินข้าวกันดีขนาดนี้ คือมันไม่ได้เป็นอาหารแบบเบา ๆ อาหารจานเดียวง่าย ๆ ด้วยไง มันเป็นอาหารแบบจัดหนักจัดเต็ม เป็นอาหารพวกกับข้าวอะไรแบบนั้นเลย



ตัวร้านแบ่งเป็น 2 zone ทั้ง 2 zone นั้นไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันเลย ตกแต่งสไตล์หรู ๆ แบบจีน ๆ เป็นโต๊ะขนาดใหญ่ โต๊ะจีนแทบทั้งหมด ผมเดินเข้าไป 2 คนกับแฟนนี่ตอนแรกนึกว่าเค้าจะไม่ให้กินด้วยซ้ำเพราะแทบไม่เห็นโต๊ะไหนมาต่ำกว่า 4 คนเลย เหอ เหอ อาหารของทางร้านนี้จะว่ายังไงดี เหมือนจะเน้นไปที่ seafood ครับเมนูอาหารเยอะมากอลังการสุด ๆ ผมเปิดดูประมาณ 10 นาทีได้กว่าจะเลิกสั่งได้เพราะว่าแต่ละอย่างนั้นแปลกไม่เคยเจอที่เมืองไทยและก็ถ่ายรูปมาได้น่ากินสุด ๆ แทบทั้งหมด ตอนแรกสั่งไป 4 อย่างก่อนเพราะไม่รู้แต่ละจานใหญ่แค่ไหน ปรากฏว่าอย่างนึงที่สั่งไปมันหมด แล้วพอดีแฟนผมเกิดอาการคลื่นไส้ขึ้นมาพอดี (ไม่ได้แพ้ท้องนะครับ) นางกินอะไรไม่ได้เลย ก็เลย cancel ไปแล้วเหลือ 3 อย่างพอและกลายเป็นผมคนเดียวที่กินทั้ง 3 อย่างนี้ โอย อิ่มอ้วกเลยครับ

มะเขือยาวเผาราดด้วยซอสมิโซะ (ชื่ออาหารตั้งเอง) : เป็นอะไรคล้ายๆ อาหารอีสานบ้านเราครับที่จะมีนำมะเขือยาวไปย่าง/เผา แล้วก็ราดน้ำมา แต่บ้านเราจะราดน้ำยำ อันนี้จะราดน้ำที่รสชาติหวาน ๆ เค็ม ๆ คล้าย ๆ miso ก็อร่อยดีนะครับ ราคาไม่แพง ให้เยอะดีด้วย






ปลานึ่งกับกระเทียมในหม้อดิน (ชื่ออาหารตั้งเองอีกแล้ว) : จานนี้ก็แปลกอีกแล้วครับไม่เคยเจอเป็นการนำปลาที่คล้าย ๆ ปลากะพง น่าจะ family เดียวกันเอาไปนึ่งกับกระเทียมจำนวนมากจนค่อนข้างแห้งแก๋แด๋ เนื้อปลาแต่ละคำกินแล้วแบบหนังปลามันแห้ง ๆ ติดตะเกียบไงไม่รู้ เนื้อปลาก็แห้งไปกินแล้วไม่ค่อยอร่อยเท่าไร และรสชาติโดยรวมมันค่อนข้างจืด และปลาก็แบบสับมาแบบแนวขวางไม่ได้ตามยาว แต่ละชิ้น, แต่ละส่วนที่กินนี่ก้างเยอะแยะไปหมด จานนี้กินไม่มีความสุขในการกินและก็ไม่ค่อยอร่อยเลย

ซึ่งโครงหมูอบซอสเปรี้ยวหวาน (ชื่ออาหารตั้งเอง) : อีกหนึ่งหม้อดินประจำมื้อ จานนี้ให้ซี่โครงหมูมาเยอะมาก ซอสเปรี้ยวหวานอร่อย เคลือบตัวซี่โครงหมูมาแบบดีมาก เคลือบทั่วจริง ๆ ตัวเนื้อซี่โครงหมูก็อร่อยดี แต่มีข้อให้ติอย่างนึงคือซี่โครงหมูหั่นมาอีท่าไหนไม่รู้ กระดูกติดเนื้อแบบแทะลำบากมากครับ ไม่เคยเจอการหั่นแบบนี้ในไทยสักเท่าไร เป็นอีกหนึ่งจานที่กินลำบากแต่ยังดีที่อร่อยครับ





มื้อนี้ค่าเสียหาย 182 หยวนหรือประมาณเกือบ ๆ พันบ่ายกับอาหาร 3 อย่าง, มีน้ำชาเติมได้เรื่อย ๆ และก็บรรยากาศร้านที่ค่อนข้างหรู ค่อนข้างเหลา ผมว่าราคาไม่แพงเลยนะร้านนี้ ส่วนรสชาติก็อร่อยพอใช้ได้ 2 อย่าง อร่อยต่ำกว่ามาตรฐานนิดนึงอย่างนึง (แต่ก็ยังพอกินได้) ก็เลยไม่น่าแปลกใจที่ทำไมร้านนี้ถึงประสบความสำเร็จในเมือง Guangzhou - กวางโจว นี้ เฮ้อ ถ้าไม่ติดตรงที่มีอุปสรรคด้านการคุยกับพนักงานนี่มื้อนี้น่าจะได้อะไรที่ตรงใจเยอะกว่านี้เยอะครับ (คือจริง ๆ สั่งไปหลายอย่างแต่เค้าก็บอกว่าหมด ๆ อยู่ตลอดเลย)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

2nd Restaurant : Kung Fu
Cuisine Type : Cantonese (?)
Price Range (per person) : 100 - 300 บาท
Location (Lat, Long) : 23.103344, 113.356273



ร้านนี้จริง ๆ ไม่ค่อยอยากรีวิวเลยครับแต่ถ้าข้ามไปก็จะกลายเป็นดูว่าเป็นคนสองมาตรฐานก็รีวิวสักหน่อยละกันกับร้าน Kungfu นี่ ร้านนี้จากการคาดเดาน่าจะเป็น franchise fast food ชื่อดังประจำเมือง Guangzhou - กวางโจว (หรืออาจจะภูมิภาค, ประเทศด้วยซ้ำ) เพราะว่าตอนที่เดิน ๆ เล่นในเมืองนั้นผมก็เห็นร้านนี้อยู่เยอะเหมือนกัน ร้าน Kungfu ในรีวิวนี้เป็นร้านที่ตั้งอยู่ที่บริเวณงาน Canton Fair นี่แหละ ซึ่งที่ศูนย์จัดแสดงสินค้าแห่งนี้ก็เหมือนกับที่อื่น ๆ ที่จะมี food zone, food court ไว้บริการคนที่มาเข้างาน ร้านที่อยู่ในโซนนี้ก็มีกันค่อนข้างเยอะมีร้านที่เป็นทั้ง international brand เช่น McDonald's และก็ร้านแบรนด์จีน ผสมคละเคล้ากันไป ร้านมีอยู่ประมาณสิบกว่าร้านซึ่งผมกับแฟนก็เดินดูเดินเลือกกันจนสุดท้ายมาลงเอยที่ร้าน Kungfu นี่แหละ

สาเหตุนึงที่เลือกกินร้านนี้เพราะว่าตัวรูปเมนูของทางร้านนั้นทำไว้ดูดีมาก อารมณ์เป็นประมาณเซตอาหารจีนเป็นข้าวหน้าซี่โครงหมูเสิร์ฟกับพวกซุปและผักดองอะไรแบบนี้ แต่ผมก็ลืมไปว่าคนจีนนั้นชอบสร้างภาพสินค้าตัวเองอยู่แล้ว อาหารที่ผมเห็นในภาพเมนูกับที่ได้รับนี่มันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริง ๆ ครับผมกับแฟนสั่งกันไปคนละชุดมาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

ชุดข้าวสวยกับหมูสามชั้นพะโล้กับผักดองและซุปกระดูกหมู (ประมาณ 300 บาท) : ชุดอาหารนี้มีอย่างเดียวที่ผมขอชมละกันคือเรา packing ของเค้า ผมได้รับมาเป็นถุงพลาสติคที่ด้านในใส่ชามพลาสติคมา 2 ชาม ซึ่ง 2 ชามนี้สามารถถอดแยกร่างออกจากกันได้เป็นชามใหญ่กับจานเล็ก ๆ อีกต่อนึง ซึ่งตัวจานเล็ก ๆ 2 จานก็จะใส่ตัวผักดองที่ไม่ค่อยอร่อยรสชาติเผ็ด ๆ เค็ม ๆ มา กับอีกจานจะใส่ตัวหมูสามชั้นพะโล้มา ส่วนด้านล่างอันนึงก็จะเป็นซุปกระดูกหมูส่วนอีกอันนึงเป็นข้าวสวย ของแฟนผมก็เหมือนกันทุกอย่างต่างกันแค่ตัวกับข้าวหลักนั้นจะเป็นซี่โครงหมูผัดพริกแกง, พะแนงซี่โครงหมูแทน (ประมาณ 300 บาทเช่นกัน) มาไล่เรียงรสชาติแต่ละอย่างไปดีกว่า






ผักดอง : เอิ่ม รสชาติพิลึกครับ เผ็ด เค้ม และก็ผักเละ ๆ อะไรก็ไม่รู้
ข้าวสวย : เป็นข้าวสวยเกรด B หรือ C เลยก็ว่าได้ ไม่อร่อย แห้งแก๋แด๋ อารมณ์ประมาณข้าวหอมของพวกร้านข้าวแกง, ร้านตามสั่งราคาถูก ๆ คุณภาพแย่ ๆ บ้านเราประมาณนั้นอ่ะครับ (แต่ของบ้านเรายังดีกว่านิดนึงนะ)
หมูสามชั้นพะโล้ : เอิ่ม เค็มปี๋ หมูได้มาเป็นเศษหมู ผักดองที่ใส่มาก็คุณภาพแย่ ๆ เหมือนกับที่ให้มาในอีกจานแยกนึง โอวมายก็อด หมูพะโล้บ้านเราอร่อยกว่าเยอะครับ
ซี่โครงหมูผัดพริกแกง : อันนี้ของแฟนผม ผมกินแล้วก็ไม่อร่อยอีกล่ะ พะแนง/ผัดพริก บ้านเราอร่อยกว่าชัดเจนเลย และที่สำคัญคือตัวซี่โครงหมูที่ให้มานี่มีแต่กระดูก แทบจะไม่มีเนื้อเลยฮ่วย

สรุป ร้าน Kungfu นี่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเลี่ยงเถอะครับ ผมกับแฟนนี่แทบจะกระเดือกกันไม่ลงเลย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนจีนถึงนิยมร้านนี้กัน เพราะอย่างตอนผมไปสาเหตุนึงที่พวกผมเลือกร้านนี้ก็เพราะว่ามีลูกค้าเยอะนี่แหละ คือรสชาติไม่ถูกปากคนไทย, ของคุณภาพไม่ดี, อุปกรณ์การกินเลวร้าย อะไรกันมาให้กินกับจานพลาสติค เฮ้อ ใครเจอร้านนี้แนะนำให้เดินผ่านไปดีกว่าครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

3rd Restaurant : Wuu's Hong Kong Cuisine
Cuisine Type : Cantonese
Price Range (per person) : 500 - 2,000 บาท
Location (Lat, Long) : 23.135576, 113.333538





ร้าน Wuu's Hong Kong Cuisine นี่ผมรู้จักจาก Tripadvisor.com เป็นร้านอาหารจีนที่ได้คะแนนอันดับต้น ๆ ของเมืองเลยในเว็บนี้ ทำเลร้านค่อนข้างดีมากอยู่ในย่าน downtown เลยอยู่ในห้าง Taikoo Hui แต่ว่าจะอยู่บริเวณด้านหน้าของห้างไม่ได้อยู่ในส่วนตัวอาคาร ตอนแรกผมก็เดินหาแล้วงง ๆ เหมือนกันแล้วคือพอเจอร้านแล้วก็เกือบจะเข้าผิดอีเพราะว่าร้านนี้เค้าจะแบ่งเป็นร้านย่อย 3 ร้านในทำเลเดียวกันประกอบด้วยร้านแนวสุกี้ยากี้, ร้านของหวาน และก็ร้านอาหารจีนฮ่องกง ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีสีต่างกัน, มีคำโปรยด้านล่างต่างกันซึ่งร้านที่ผมตั้งใจจะมากินนั้นจะเป็นสีแดง และมีคำว่า Hong Kong Cuisine อยู่ด้านล่างชื่อร้าน Wuu

ผมไปถึงร้านตอนประมาณ 3 ทุ่มลูกค้าค่อนข้างแน่นร้านแต่ก็ยังไม่ถึงกับแน่นมากนัก ไม่ต้องรอคิว ทั้ง ๆ ที่หน้าร้านนั้นมีเก้าอี้ไว้นั่งรอคิวค่อนข้างเยอะเลย ตอนพนักงานพาเดินไปที่โต๊ะนั้นตอนแรกผมก็นึกว่าร้านนี้เป็นร้านเล็ก ๆ แต่ที่ไหนได้ครับร้านค่อนข้างใหญ่เลย เดินวกวนหลายตลบกว่าจะไปถึงโต๊ะผม อาหารของทางร้านนี้ก็จะเป็นอาหารจีนแนวฮ่องกง มีเมนูให้เลือกเยอะแยะอลังการอีกแล้ว และก็จิ้มเมนูไปหลายอย่างแต่ก็ไม่มีของต้องเปลี่ยนหลายอย่างอีกแล้ว (และจะทำเมนูไว้เยอะ ๆ ทำไมนิ) อาหารราคาไม่ค่อยแพงมากนะครับพอ ๆ กับร้านอาหารจีนมีระดับหน่อยในบ้านเรา และก็มีอาหารหน้าตาแปลก ๆ ไม่เคยพบเจอที่ไหนหลายอย่างเลย มื้อนี้ก็มีอาหาร 4 อย่างครับ ตอนแรกนึกว่าน้อยไปแต่ที่ไหนได้กลายเป็นกินไม่หมดซะอย่างนั้นเพราะว่าแต่ละจานนั้นให้มาค่อนข้างเยอะเลย




ขอพูดถึงเครื่องดื่มก่อนมี 2 อย่างที่สั่งไปคือ San Miguel Light อันนี้ก็เหมือนบ้านเรานี่แหละครับ ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยแตกต่างกันมากนักในด้านรสชาติและคุณภาพแต่ที่ต่างชัดเจนก็ตัวภาชนะนี่แหละครับ ทางร้านให้มาเป็นแก้วป้อม ๆ เตี้ย ๆ อารมณ์ประมาณแก้วน้ำชา, แก้วเหล้า รินแก้วแบบนี้แล้วมันรินฟองเยอะไม่ค่อยได้ มันก็เลยเสียความเป็นเบียร์ไปเล็กน้อย ส่วนแฟนผมนั้นสั่งเป็นประมาณชานมเย็นไป เพราะว่าเห็นลูกค้าโต๊ะอื่น ๆ สั่งกันเยอะ ที่เมืองจีนนี่เค้าดูจะไม่พิสมัยน้ำแข็งจริง ๆ นะครับเพราะอย่างแก้วนี้คือมันต้องกินเย็นถึงจะอร่อย ก็เลยเอาน้ำแข็งห่อหุ้มตัวแก้วมา รสชาติแก้วนี้อร่อยดีครับ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมลูกค้าถึงสั่งกันเยอะ

Fried rice with seafood and egg white - 48 yuan : ข้าวผัดจานนี้อร่อยประทับใจ เป็นข้าวผัดง่าย ๆ ใส่กุ้ง, ปู แล้วก็ผักโน่นนี่นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็ผัดมาแบบเนียนมาก ข้าวร่วนไม่ติดกัน และปรุงรสมาแบบกลมกล่อมสุด ๆ .. คือปกตินี่ถ้าผมอยากกินข้าวผัดอร่อย ๆ ผมก็จะต้องไปกินที่ร้านอาหารจีนในไทยอยู่แล้ว และก็รู้จากการอ่านการ์ตูน, หนังสือว่าข้าวผัดจริง ๆ นั้นใช้สกิลมาก เป็นอะไรที่ใช้วัดความสามารถพ่อครัวเลย บ้านเราส่วนใหญ่ก็เลยทำข้าวผัดกันห่วย ๆ กะโหลกกะลา โอย เห็นจานนี้แล้วน้ำลายไหลเลยอ่ะครับ







Steam white eel with fermented black beans sauce - 68 yuan : ปลาไหลน้ำจืดเอาไปผัดกับซอสพริกไทยดำมา แล้วก็เหมือนจะใส่พริกเผามาด้วย คือตัวรสชาติเนื้อปลาไหล, รสชาติซอสการผัดนี่เป็นอะไรที่ใช่เลยนะครับ แต่คือไม่เข้าใจทำไมคนจีนต้องหั่นปลากันแบบนี้ด้วยยยยย หั่นแบบนี้มันก้างเยอะเข้าใจมั้ยยยยย เสียดายครับถ้าหั่นหรือแล่มาแบบไม่มีก้างติดมานี่จานนี้นี่คงจะฟินพิลึก (หรือคนจีนชอบกินปลาแบบติดก้าง? ปู่ผมที่บ้านเมื่อก่อนก็ชอบกินปลาแล้วบ้วนก้างไว้บนโต๊ะเยอะ ๆ)

Steamed razor clams with garlic - 72 yuan : จานนี้ทีเด็ดเลยครับเป็นหอยมีดโกนเอาไปอบกับวุ้นเส้นและก็กระเทียมมา อย่างที่รู้กันว่าเจ้า razor clam บ้านเรานั้นแพงมาก ผมเคยกินตามร้านฝรั่งเศสขายกันจานละ 600 บาทได้หอยมา 4 ตัวแต่ของที่นี่คือประมาณ 350 บาทได้มาประมาณเกือบ 15 ตัว หอยสดอร่อย และแบบเค้าอบเค้าเนื้อดีมากครับ เนื้อหอยมีรสชาติ วุ้นเส้นก็รสชาติดี เป็นจานที่กินเพลินมาก คุ้มสุด ๆ ด้วย







Curry fish balls & radish - 25 yuan : จานนี้เป็นอารมณ์จีนผสมอินเดียยังไม่ทราบครับ ตัวลูกชิ้นนั้นเค้าบอกว่าเป็นลูกชิ้นปลาแต่ผมกินแล้วเหมือนจะมีแต่แป้ง แล้วก็ให้หัวไชเท้าต้มมา ตัวรสชาติน้ำแกงจะมีกลิ่นแกงกะหรี่ ๆ หน่อย แต่ก็ไม่ได้เข้มข้นเท่าอินเดีย แฟนผมผู้ซึ่งเกลียดอาหารอินเดียเป็นชีวิตจิตใจนั้นสามารถกินจานนี้ได้ ก็น่าจะโอเคสำหรับทุกคนที่ไม่ชอบกลิ่นเครื่องแกง, เครื่องเทศ ล่ะครับ

สรุป ร้าน Wuu's Hong Kong Cuisine ณ ห้างสรรพสินค้า Taikoo Hui แห่งนี้ผมค่อนข้างประทับใจเลยนะ อาหารอร่อย ราคาไม่แพง มีอาหารแปลก ๆ มากมาย พนักงานบริการดี และก็เปิดกันจนดึกจนดื่นมากินได้ทุกเมื่อทุกเวลาที่อยากกิน ใครมาเดินย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง Guangzhou - กวางโจว มาจัดกันได้เลยจริง ๆ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

4th Restaurant : Tiger Prawn Vietnamese Restaurant
Cuisine Type : Vietnamese - Chinese style
Price Range (per person) : 500 - 1,000 บาท
Location (Lat, Long) : 23.122749, 113.267220



ร้านนี้เป็นร้านดังใน TripAdvisor และเป็นร้านที่น่าสนใจดีเนื่องจากว่าเป็นร้านอาหารเวียดนามสไตล์จีน ๆ น่าจะเป็นอะไรที่ไม่มีแบบนี้ที่ไทยแน่นอน ร้านนี้มีชื่อว่า "กุ้งลายเสือ - Tiger Prawn" ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงนำชื่อกุ้งที่ไม่ได้อร่อยอะไรมากนี้มาเป็นชื่อร้าน (เพราะดูเมนูร้านแล้วก็ไม่เห็นมีเมนูกุ้งลายเสืออยู่เยอะสักเท่าไร) ตัวร้านตั้งอยู่บนถนนคนเดิน (walking street) แถว ๆ ถนนช้อปปิ้งชื่อดัง "เบ่ยจิงลู่ - Beijing Road" บอกตรง ๆ ว่าตอนผมเดินไปที่ร้านผมก็เดินไปเรื่อย ๆ ตามทางไม่ได้รู้ชื่อถนนไม่ได้รู้อะไรเลย แต่โชคดีที่ตำแหน่งพิกัดของร้านใน TripAdvisor นั้นค่อนข้างตรงเลย ก็เลยหาร้านเจอได้ไม่ยากเย็น

ไปถึงร้านเวลาประมาณบ่ายโมง มีลูกค้านั่งรอคิวกันอยู่ประมาณเกือบ ๆ 20 คน แต่ว่าก็รอคิวไม่นานมากนักเนื่องจากว่าร้านใหญ่ โต๊ะเยอะและก็บริการกันรวดเร็วฉับไว ผมนั่งรออยู่ประมาณ 15 นาทีก็ได้เข้าไปล่ะ พอเข้าไปในร้านแอบตกใจนิดนึงคนแน่นร้านจริง ๆ เสียงดัง พนักงานเดินกันวุ่น ช่างเป็นร้านที่ครึกครื้นอะไรเยี่ยงนี้ อาหารของทางร้านมีให้เลือกเยอะแยะมากมายอีกแล้ว สั่งกันไม่หวาดไม่ไหวเป็นสไตล์อาหารเวียดนามแท้ ๆ ระคนกันไปกับอาหารเวียดนามผสมจีน ราคาอาหารก็พอ ๆ กันกับร้านเวียดนามหรู ๆ ติดแอร์ในบ้านเราจานละประมาณ 200 - 500 บาทอะไรประมาณนี้

เบียร์ Pearl River Draft Beer : เบียร์ชื่อดังประจำเมือง Guangzhou - กวางโจว ผมค่อนข้างได้กินบ่อยในทริปนี้ กินแล้วรู้สึกรสมันจะอ่อน ๆ เบา ๆ อ่ะครับอารมณ์ประมาณ Singha Light ไม่ค่อยชอบเท่าไร ไม่ค่อยหอม และก็ฟองไม่ค่อยนุ่มเท่าไรนัก แต่มีให้กินก็กิน ๆ ไปอ่ะครับไม่เรื่องมาก 555





เฝอเนื้อ : มาร้านเวียดนามก็ต้องสั่งเฝอใช่มั้ยครับ (แต่บ้านเรามีร้านเวียดนามที่มีเฝอค่อนข้างน้อยนะว่ามั้ย) เฝอที่ได้เป็นชามใหญ่บิ๊กเบิ้ม ให้เนื้อมาเยอะ เป็นเนื้อบาง ๆ คล้าย ๆ หมูแผ่นของก๋วยเตี๋ยวหมูบ้านเรา เส้นเฝอก็เป็นประมาณกึ่งกลางระหว่างเส้นใหญ่กับเส้นเล็ก ตัวน้ำซุปรสชาติกลมกล่อมดี ไม่ต้องปรุงอะไรมากนัก จานนี้ถ้าจะสั่งมากินเป็นอาหารจานหลักในมื้อก็แค่ชามเดียวนี้ก็น่าจะอิ่มได้เลยล่ะครับ

ปอเปี๊ยะสดกุ้ง : อันนี้ค่อนข้างไม่เหมือนปอเปี๊ยะบ้านเรา เป็นปอเปี๊ยะห่อมาเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ไซส์เดียวกับพวกปอเปี๊ยะทอดของจีนเลย ไม่ได้หั่นมาเป็นชิ้น ๆ เหมือนบ้านเรา ไส้ในยัดผักมาหลายชนิดและก็ใส่กุ้งมาแบบเป็นชิ้นใหญ่ ๆ ยาว ๆ เท่าความยาวปอเปี๊ยะเลย จานนี้กินแล้วรู้สึกว่าก็คล้าย ๆ กับปอเปี๊ยะสดบ้านเราไม่ได้ต่างอะไรกันมาก






รวมมิตรทะเลผัดพริกเผา : จานนี้เอาจริง ๆ แล้วไม่น่าจะเป็นอาหารเวียดนามนะครับเหมือนเป็นอาหารจีนมากกว่า (จานนี้พนักงานแนะนำมา) ก็เป็นอาหารทะเลหลากหลายทั้งกุ้ง หอย ไม่มีปู ปลา ผัดมากับซอสที่หวาน ๆ เผ็ด ๆ หน่อยตามสไตล์พริกเผา จานนี้ผมค่อนข้างเฉย ๆ มากเลย เพราะตัวอาหารทะเลก็ไม่ได้สดอะไรมาก, ขนาดก็ไม่ได้ใหญ่อะไร ไม่ได้มีของแปลก ๆ บ้านเราก็มีให้กินหมด ซอสก็รสชาติงั้น ๆ อืม ไม่รู้ทำไมพนักงานถึงแนะนำ อาจจะแนะนำเพราะว่ามันแพงก็เป็นได้

กุ้งลายเสือชุบแป้งทอด : มาร้าน Tiger Prawns ถ้าไม่สั่ง Tiger Prawns ก็คงจะใช่ที่ครับก็เลยสั่งไปจานนึงเป็นกุ้งลายเสือชบแป้งทอดเสิร์ฟมาบนผักสดแล้วก็ราดน้ำซอสแบบสามรสมาให้ด้วย จานนี้ก็อร่อยใช้ได้นะครับ อารมณ์ประมาณกึ่ง ๆ เทมปุระ กึ่ง ๆ กุ้งทอดบ้านเรา กินกันได้เพลิน ๆ




มื้อนี้ ก็มีแค่ 4 จานนี่แหละครับ กินไม่ค่อยเยอะเท่าไรเพราะว่าอาหารเค้าจานค่อนข้างใหญ่ + ตอนเช้าพวกผมกินอาหารที่โรงแรมมาค่อนข้างเยอะ รวม ๆ แล้วร้านนี้ผมรู้สึกแอบผิดหวังอยู่เหมือนกันเพราะว่าตั้งความหวังไว้สูง เห็นได้คะแนนใน TripAdvisor ดีมาก, เห็นคนรอคิว, นั่งรอกันเต็มร้าน มื้อนี้รู้สึกว่าประสบการณ์ที่ได้นั้นจะเป็นในแง่ความแปลกใหม่ของอาหารเวียดนามมากกว่า รสชาตินั้นเหมือนกับว่าจะหากินที่ไหนก็กินได้ อ้อ มื้อนี้ชื่ออาหาร + ราคาไม่มี เพราะถ่าย ๆ รูปเมนูอยู่พนักงานโดนมาด่า แล้วก็บังคับให้ลบรูปออกครับ 555

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

5th Restaurant : Bingsheng Pinwei Pearl River New Town Shop
Cuisine Type : Cantonese
Price Range (per person) : 500 - 2,000 บาท
Location (Lat, Long) : 23.114808, 113.328236





ร้านนี้อยากจะบอกว่าเป็นร้านที่มากินเพราะความผิดพลาดก็ว่าได้ คือร้านนี้ผมหาข้อมูลมาจาก TripAdvisor ซึ่งร้านนี้ก็เป็นร้านอันดับต้น ๆ ในเมืองเลย แต่พอดีว่าหลาย ๆ ร้านใน TripAdvisor นั้นจะมีการเปลี่ยนชื่อร้านจากภาษาท้องถิ่นเป็นภาษาอังกฤษเพื่อที่ user หลักของทางเว็บที่ใช้ภาษาอังกฤษจะได้อ่านกันออก จึงเป็นที่มาที่ทำให้ผมพลาดมากินร้านนี้เข้า คือใน TripAdvisor ร้านนี้ใช้ชื่อว่า "Peter Clarke Win Taste" แต่จริง ๆ แล้วร้านนี้เป็นร้านสาขาใหม่ของร้าน Bingsheng ร้านอาหารทะเลชื่อดังที่ผมได้รีวิวไปตั้งแต่ตอนแรกแล้ว ก็แอบงงครับว่ามันแปลกันอีท่าไหนถึงกลายเป็นชื่ออังกฤษแบบนั้นไปด้วย คือเอาจริง ๆ ตอนที่เข้าไปกินจนกินเสร็จแล้วผมก็ยังไม่รู้หรอกนะครับว่ามันคือร้านเดียวกัน จนต้องกลับไปโรงแรมก่อนแล้วเปิดดูรูปใน TripAdvisor ถึงรู้ว่า "เฮ้ย นี่มันร้านเดียวกันนี่หว่า แสด"



ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยมีรถวิ่ง ถนนเส้นเดียวกันกับที่โรงแรม Ritz Carlton ตั้งอยู่, Guangduong Museum ตั้งอยู่ ร้านเป็นร้านค่อนข้างใหญ่มาก มีกี่ชั้นไม่รู้และแต่ละชั้นก็มีโต๊ะหลายสิบโต๊ะเลย ตอนผมไปเป็นประมาณ 4 ทุ่มลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไร พนักงานพาผมไปนั่งที่ชั้น 2 บรรยากาศร้านดีมากครับ ชอบ ดีกว่าร้านต้นตำรับที่ผมไปกินมาซะอีก พนักงานของร้านนี้มีคนพูดอังกฤษได้ดีมากด้วยคนนึง (เหมือนจะเป็นกับตัน) และตัวอาหารของร้านก็เหมือนกันเด๊ะ ๆ กับสาขาต้นตำรับ เป็นอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งแบบมากมายหลากหลาย มีให้เลือก 200 - 300 อย่างและแต่ละอย่างก็ทำรูปมาสวยงามสดใสมาก

เบียร์ Pearl River : ขวดนี้ยี่ห้อเดียวกับเมื่อตอนเที่ยงครับแต่เหมือนจะเป็นคนละรุ่น เหมือนจะเข้มข้นกว่าแล้วก็อร่อยกว่า กินแล้วรู้สึกละมุน ๆ กว่าเพลินกว่า





ผัดผักบุ้งน้ำมันหอย : อร่อย max ครับจานนี้ ผัดมาแบบแห้ง ๆ ไม่ได้เป็นสไตล์ไทย ๆ ที่จะมีน้ำซอสน้ำมันหอยมาเยิ้ม ๆ ผักให้มาเยอะ และแบบกรุบกรอบอร่อยดีมาก น่าจะผัดมาไฟแรง ๆ พรึ่บ ๆ ตามสไตล์ผัดผักบุ้งไฟแรงจริง ๆ โอว อยากให้ร้านข้าวต้มบ้านเราทำผัดผักได้ประมาณนี้จริง ๆ เลยให้ดิ้นตาย

ซาลาเปาทอดไส้เยลลี่ : จานนี้ทีเด็ดอีกเช่นกัน ผมกับแฟนเห็นลูกค้าโต๊ะอื่นสั่งกันแทบทุกโต๊ะตั้งแต่ที่สาขาต้นตำรับที่ไปกินมาแล้ว ตอนแรกกะสั่งแค่คนละลูกแต่ทางร้านบอกว่าไม่ได้ขั้นต่ำที่ต้องสั่งต้องสั่ง 6 ลูก คือรู้ทั้งรู้ว่ากินไม่หมดแน่แต่ด้วยความอยากกินเลยต้องจำใจสั่งไป ของจริงตอนที่ได้นั้นใหญ่กว่าที่คิดไว้อีก จานนี้จริง ๆ น่าจะเป็นของหวานแต่เค้าเสิร์ฟมาเหมือนเป็นของคาวก็ไม่เป็นไร เนื้อซาลาเปาด้านบนมันจะเป็นแป้งหวาน ๆ คล้าย ๆ น้ำตาล ส่วนด้านล่างก็เป็นแป้งซาลาเปาทอด แล้วไส้ด้านในก็จะมีคล้าย ๆ เยลลี่หวาน ๆ ด้วย อร่อยมากครับจานนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมถึงสั่งกันแทบทุกโต๊ะ









เนื้อไก่ผัดซอสกระทะร้อน : จานนี้มาค่อนข้างอลังการครับ เอาเตาแก๊สมาจุดให้แล้วก็เอากระทะพร้อมตัวอาหารมาวางโครมบนโต๊ะเลย จานนี้เป็นประมาณเอาเนื้อไก่มาผัดกับซอสมัน ๆ เยิ้ม ๆ คล้าย ๆ น้ำราดหน้าแล้วก็มีแตงล้านใส่มาให้ด้วย ตัวเนื้อไก่นั้นผมสั่งมาแบบครึ่งตัว คือตอนแรกที่เห็นนี่เหมือนจะดูเยอะแต่ว่าเอาจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เยอะเท่าไรเพราะมีกระดูกเยอะด้วยเช่นกัน (คือคนจีนนี่จะสับเนื้อติดกระดูกมาตลอดเลยใช่มั้ยเนี่ย) จานนี้ก็อร่อยดีนะครับ ไม่เคยกินจานไหนที่คล้าย ๆ แบบนี้มาก่อน

ข้าวอบหม้อดิน : เป็นข้าวอบหม้อดินมาแบบเรียบ ๆ เลย เหมือนกับแค่จะเอาไปอบกับซีอิ๊วมาเฉย ๆ ใส่เนื้อกุ้งสับมานิดหน่อย แต่คือเรียบ ๆ ง่าย ๆ แค่นี้ก็อร่อยล้ำได้ครับ ข้าวอบมาดินมาก แห้ง ร่วน อร่อย ไม่ติดหม้อ แล้วก็รสชาตินี่ปรุงมากำลงดีเลย เค็ม ๆ หอม ๆ กินเปล่า ๆ แบบไม่ต้องมีเครื่อง ไม่มีอะไรราดก็อร่อยได้เลย




สรุป ร้าน Bingsheng Pinwei Pearl River New Town Shop นี้ตอนแรกก็แอบเซ็งครับที่หาร้านไม่เจอ แต่ตอนที่กินนี่ก็ค่อนข้างฟินเลย แต่ละจานทำมาได้อร่อยมาก และก็ราคาไม่แพงด้วย และยิ่งมารู้ในตอนสุดท้ายด้วยอีกว่าร้านนี้เป็นร้านเดียวกันกับที่ตั้งใจไว้จะมากินก็เลยยิ่งรู้สึกดีเข้าไปใหญ่ ใครมา Guangzhou - กวางโจว นี่ผมแนะนำให้มาร้าน Bingsheng กันจริง ๆ นะครับและถ้าจะระบุเจาะจงสาขาไปเลย มาสาขานี้น่าจะดีกว่าสาขาต้นตำรับอีกด้วยนะ (ความเห็นส่วนตัว)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

6th Restaurant : 江南厨子 - Famous Chef From Jiangnan China
Cuisine Type : Jiangnan Chinese Cuisine
Price Range (per person) : 500 - 2,000 บาท
Location (Lat, Long) : 23.134038, 113.332679



ร้าน  江南厨子 - Famous Chef From Jiangnan China เป็นร้านที่ผมเลือกมาจากประมาณ 30 กว่าร้านอาหารในห้าง Taikoo Hui (ทางห้างมีทำเป็นไฟล์ PDF รวบรวมร้านในห้างไว้ดีมากเลยครับลอง google ดูเผื่อใครไป) เพราะจากชื่อร้านจากอาหารของร้านแล้วน่าสนใจดี ร้านตั้งอยู่ที่ใต้ดินของห้าง ชั้นที่มีร้านอาหารอื่น ๆ มากมาย และมี supermarket ด้วย ผมไปถึงร้านตอนที่ร้านเพิ่งเปิดเลย เลยไม่ต้องรอคิวใด ๆ ร้านขนาดค่อนข้างใหญ่โต และตกแต่งสวยงามตามสไตล์จีน ๆ พนักงานก็แต่งตัวเป็นแบบชุดเป็นทางการแบบจีน ๆ สวยดี แค่ first impression ก็ประทับใจล่ะครับ (ตอนที่ผมกินเสร็จไปเดินเล่นในห้างแล้วกลับมานี่มีลูกค้ารออยู่ด้านหน้าแบบต้องรอคิวกันเลย ตอนแรกก็แอบงงว่าทำไมถึงต้องมีเก้าอี้นั่งรอหน้าร้านมากมาย สรุปก็คือร้านนี้เป็นร้านที่คน Guangzhou - กวางโจว เค้านิยมกันนั่นเอง)



อาหารของร้านนี้เป็นอาหารสไตล์ Jiangnan (จากชื่อร้านและจากที่อ่านข้อมูลร้าน) ซึ่ง Jiangnan นี้เป็นชื่อเมือง ๆ นึงที่อยู่ด้านตะวันตกของเมือง Guangzhou - กวางโจว อยู่ใกล้ ๆ กับ Hanoi เวียดนาม ตัวผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อเมืองนี้ครั้งแรกก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าจริง ๆ แล้วเมืองนี้เค้าเป็นยังไง อาหารของร้านนี้ถ้าเอาจริง ๆ ก็เป็นอาหารจีนนี่แหละแต่จะเป็นอาหารจีนที่ค่อนข้างแปลกไปจากที่เราคุ้นเคยกัน อาหารมีให้เลือกเยอะแยะมากมายตามสไตล์ร้านอาหารจีน ราคาก็แพงกว่าร้านอื่น ๆ ที่ผมเคยกินมาในทริปนี้เล็กน้อย แต่ก็แลกมากับอาหารที่หน้าตาสวยงามน่ากินกว่าร้านอื่น ๆ ที่เคยกินมาอยู่เหมือนกันนะครับ

เนื้อเป็ดอบหนังกรอบ : จานนี้แปลกประหลาดดีครับ อย่างแรกเลยคือมาเย็น ๆ , อย่างที่สองคือมันเป็นเนื้อเป็ดแบบที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนคือมันอบมาจนแห้งสนิท ความชื้นหายไปหมดแล้ว เนื้อก็เลยแน่นและหนังก็เลยกรอบ ส่วนที่หนังเป็ดก็มีทาซอสอะไรมาสักอย่างไม่แน่ใจเหมือนกัน จานนี้กินแล้วไม่ค่อยชอบเลยครับ มันให้ texture แปลก ๆ และรสชาติก็แปลก ๆ ด้วย






รากบัวต้มราดซอส : จานนี้ก็แปลกอีกเช่นกันครับ เป็นรากบัวเหมือนเอาไปหมักซอส ไปต้มมาจนสุกแล้วก็เหมือนไปแช่เย็นมาให้แข็ง ๆ ขึ้นกว่าปกติ แล้วก็ราดซอสหวาน ๆ เยิ้ม ๆ มา จานนี้ผมว่าไม่ค่อยอร่อยอีกแล้ว อย่างแรกซอสหวานไป อย่างที่สองรากบัวมันไม่ค่อยกรอบ ไม่ได้กัดแล้วกรุบ ๆ กรับ ๆ เหมือนที่เคยกิน


ข้าวอบธัญพืช : จานนี้คล้าย ๆ กับที่ผมเคยกินที่ Crystal Jade ในกรุงเทพ หน้าตาคล้ายกัน อารมณ์เดียวกันเลย เป็นข้าวใส่ ข้าวโพด และก็ธัญพืชอะไรอีกสัก 2-3 อย่างมาแล้วก็เอาไปอบมาจนแห้ง จานนี้อร่อยครับ (คือบอกตรง ๆ มาเมืองจีนนี่มากินพวกข้าวผัด, ข้าวอบนี่ไม่ค่อยจะผิดหวังจริง ๆ นะ) รสชาติของจานจะค่อนข้างจืด ๆ หน่อยแต่เป็นรสจืดแบบอร่อยนะเพราะว่ามันมีอะไรอย่างอื่นที่นอกเหนือจากรสจืด ๆ นี่อ่ะครับ บอกไม่ถูกเหมือนกัน เอาเป็นว่าชอบละกัน







ซุปกระดูก(หมูหรือเป็ดไม่รู้)หน่อไม้จีน : ชามนี้อลังการมากครับเป็นซุปแบบหม้อยักษ์มาเลย (จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไร) ในหม้อก็มีน้ำซุปสีขาว ๆ ที่น่าจะเป็นน้ำซุปกระดูกอร่อยสักอย่าง อร่อย เข้มข้น เหมือนพวกน้ำซุปราเมนเลย และก็ใส่หน่อไม้จีนมาเยอะ เนื้อไก่ก็ให้มาเยอะเช่นกัน ทั้ง 2 อย่างนี้น้ำซุปก็ซึมเข้าเนื้อจนฉ่ำและอร่อยเช่นเดียวกัน จานนี้ผ่านครับ (แต่ก็นะสับไก่มาแบบติดกระดูกอีกแล้ว กินยากโว้ย)

ผักกวางตุ้งราดไข่ปู : จานนี้ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น คือตัวผักผัดมาดีนะครับ texture ยังแบบกรอบ ๆ อยู่แต่ก็มีความนุ่มผสมอยู่ แต่ว่าตัวซอส, ตัวน้ำผัดมาจืดสนิทศิษย์ส่ายหน้าไปหน่อย จานนี้ปิดท้ายไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับแย่นะครับ แต่เอาจริง ๆ ผมคาดหวังกับผัดผักจากแผ่นดินจีนมากกว่านี้ จานนี้มันระดับเดียวกับพวกร้านข้าวต้ม, ตามสั่งบ้านเราแค่นั้น




สรุป ร้าน 江南厨子 - Famous Chef From Jiangnan China รวม ๆ แล้วผมก็ค่อนข้างประทับใจในด้านความแปลกของอาหาร, การนำเสนออาหาร และก็บรรยากาศและการบริการโดยรวมของทางร้านนะครับ แต่ว่าตัวอาหารนั้นมีจานที่ธรรมดา ๆ เยอะกว่าจานที่ผมจะสะกดคำว่าอร่อยให้ ไม่เหมือนกับมื้ออื่น ๆ ก่อนหน้าที่จะมีจานอร่อยเยอะกว่าเยอะ แต่ก็นะผมคงสั่งไม่ถูกเอง หรือไม่ก็อาจจะไม่ถูกปากกับอาหารจีนสไตล์ Jiangnan นี่เอง เพราะไม่งั้นลูกค้าคงไม่เต็มร้านจนต้องรอคิวกันแบบนี้หรอก!

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

7th Restaurant : Awfully Chocolate
Cuisine Type : Dessert Bar
Price Range (per person) : 300 - 500 บาท
Location (Lat, Long) : 23.134090, 113.332408




ร้านนี้เป็นร้านของหวานที่ค่อนข้างดังมีสาขากระจายตัวอยู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย แต่ไม่มีสาขาที่ไทย ชื่อร้านนั้นก็พอจะเดาได้ว่าเป็นร้านที่เอาช็อคโกแลตมาทำโน่นทำนี่ แต่ผมแอบงงเหมือนกันว่าทำไมตั้งชื่อแบบนี้เพราะมันดูเป็นคำที่ไม่ใช่คำในทางดีสักเท่าไร ก็ช่างชื่อร้านเค้าละกันครับ มาเข้าเรื่องอย่างอื่นกันดีกว่า ร้านนี้ก็เป็นอีกร้านที่อยู่ในห้าง Taikoo Hui ร้านอยู่ตรงชั้นใต้ดินหาไม่ยากเลย ตัวร้านนั้นจะแบ่งเป็นโซนไว้สั่งเครื่องดื่ม/ของหวาน พร้อมกับมีเค้กเรียงรายอยู่มากมาย กับอีกส่วนที่จะเป็นที่นั่งหม่ำขนมที่ตั้งอยู่ทางเดินห้าง เค้กและของหวานของร้านนี้ก็ราคาเท่า ๆ ร้านของหวานแพง ๆ ในบ้านเรา ชิ้นละ/แก้วละ 150 - 200 บาทประมาณนั้น มื้อนี้ก็มีของหวาน 3 อย่างและก็เครื่องดื่ม 2 แก้วครับมาไล่เรียงกันไปเลยดีกว่า

Chocolate Crape Cake : อร่อยดีนะครับ ไม่มีน้ำซอสราดมาเหมือนบ้านเรา (หรือว่าเครปเค้กช็อคโกแลต) เค้กผิวแบบหยุ่น ๆ ใช่เลยและก็ตัวช็อคโกแลตเข้มข้นดี





Chocolate Butter Cake : อันนี้ก็อร่อยดีครับ มัน ๆ นัว ๆ ช็อคโกแลตผสมกับเนยอย่างลงตัว

Chocolate Cake + White Chocolate Moose : จานนี้มองเผิน ๆ เหมือนอุนจินะครับ 555 แต่มองดูดี ๆ แล้วก็น่ารักดี ผมไม่เคยเห็นเค้กลักษณะนี้มาก่อน รสชาติดีครับตัว white chocolate นี่ผมชอบเป็นพิเศษเลยบอกไม่ถูกเหมือนกันรู้แค่ว่าชอบ







เครื่องดื่มมี 2 อย่างเป็น Iced Chocolate กับ Lychee Iced Tea รสชาติทั้ง 2 แก้วไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมายนักนะครับ รสชาติประมาณนี้หากินได้ทั่วไปในบ้านเรา

สรุปร้าน Awfully Chocolate มื้อนี้ก็เป็นร้านของหวานที่ใช้ได้เลยนะครับ สมกับที่มีสาขามากมาย และผมเคยเจอคนต่อคิวกินที่ฮ่องกงกันค่อนข้างเยอะ ใครไปเที่ยวในภูมิภาคเอเชียนี่แล้วอยากกินของหวานแนวเน้นช็อคโกแลตขึ้นมาพอดีก็จัดร้านนี้กันได้เลยนะครับ ผมว่าไม่น่าจะผิดหวัง

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

8th Restaurant : ร้านญี่ปุ่นชั้นล่างห้าง GT Plaza
Cuisine Type : Japanese
Price Range (per person) : 500 - 1,000 บาท
Location (Lat, Long) : 23.120038, 113.322501



หลังจากที่กินแต่อาหารจีนติดต่อกันมาหลายมื้อ (คือจริง ๆ มีมากกว่า 7 มื้อที่รีวิวไปก่อนหน้านี้นี่อีกนะครับแต่ไม่ได้เขียนถึงเพราะเป็นแนวอาหารเบา ๆ มื้อเล็ก ๆ มากกว่า) ความเบื่อในตัวอาหารจีนก็เริ่มกำเริบก็เลยอยากจะหาอาหารอย่างอื่นกินบ้าง อาหารฝรั่ง? เมืองนี้ก็ไม่ค่อยมีสักเท่าไร อาหารไทย? กินที่ไทยดีกว่ามั้งก็เลยไปลงเอยที่อาหารญี่ปุ่น มื้อนี้เป็นมื้อที่ไม่ได้วางแผนมาก่อน ไม่ได้เลือกร้านมาก่อน ผมอาศัยการเดินหาร้านที่ห้างไปเรื่อย ๆ จนมาเจอร้านที่คนนั่งกันเยอะดี เห็นเมนูหน้าร้านไม่ค่อยแพงดีก็เลยชวนกันเข้าไปกิน

ร้านนี้ผมอ่านชื่อร้านไม่ออก (ถามเพื่อนที่พอรู้ภาษาญี่ปุ่นก็อ่านไม่ออกเช่นกัน) เป็นร้านที่อยู่ที่ชั้นใต้ดิน GT Plaza ห้างที่จะอยู่ใกล้ ๆ กับสวนสาธารณะใจกลางเมืองที่เพิ่งสร้างเพื่อรองรับ ASEAN Games ห้างนี้จะแบ่งเป็น 4 zone 4 ฤดู ผมจำไม่ได้เหมือนกันว่าร้านนี้อยู่โซนไหน ตัวร้านจะเป็นร้านขนาดกลาง ๆ มีส่วน sushi bar ที่จะเป็น kaiten sushi (ซูชิสายพาน) และก็ส่วนโต๊ะธรรมดา วันที่ผมไปนี่คนนั่งกันเต็มร้านเลยจริง ๆ ไม่รู้ฮอตฮิตอะไร อาหารของร้านนี้ก็เหมือน ๆ กับร้านอาหารญี่ปุ่น mainstream ในบ้านเรานี่แหละครับมีอาหารจากครัวร้อนและครัวเย็นผสมคละเคล้ากัน ราคาพวกอาหารครัวร้อนนั้นพอ ๆ กันกับเมืองไทยจานละ 150 - 300 บาทโดยประมาณแต่พวกครัวเย็น sushi/sashimi นี่ถูกกว่าไทยพอสมควรเลยน่าจะถูกกว่า 30-50% ได้ คือก็อย่างที่ผมชอบบ่นในรีวิวร้านซูชิอยู่เรื่อย ๆ นะครับว่าซูชิบ้านเรามันแพงเกินไป แพงกว่าประเทศไหน ๆ ยิ่งเทียบกับค่าครองชีพแล้วยิ่งแพงหนักเข้าไปอีก คือจะบอกว่าบ้านเรามันไกลจากญี่ปุ่นค่าขนส่งเลยแพง ผมก็ว่าไม่น่าใช่นะ เพราะอย่างถ้าเอาวัตถุดิบจากญี่ปุ่นมากวางโจวนี่ผมว่าก็ไม่น่าจะถูกกว่าไปไทยสักเท่าไรหรอก มันเหมือนกับมีร้านซูชิร้านแรก ๆ ตั้งราคาแพง ๆ กันมาก่อน ร้านหลัง ๆ ก็เลยตามนั้นกันไปมากกว่าและพอแบบ sushi มัน margin เยอะ กำไรเยอะทีนี้ร้านซูชิในบ้านเราก็ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็ดน่ะสิครับ



อาหารในมื้อนี้ก็มีทั้งจากครัวร้อนและครัวเย็นอย่างละครึ่ง ๆ เลยมาไล่เรียงกันไปเลยดีกว่า

มิโซะชาบูหม้อไฟ : เป็นชาบูแบบทำมาให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ใส่เครื่องมาเยอะทั้งผัก เนื้อวัวและไข่ไก่ และก็มากับน้ำซุปมิโซะรสชาติจัดจ้าน ๆ เข้มข้น อร่อยดี หม้อใหญ่ราคาไม่แพงด้วย






ข้าวผัดกระเทียมเนื้อวัว : คือเนื่องจากผมชอบอาหารพวกข้าวผัดที่จีนมาก พอเห็นมีเมนูข้าวผัดในร้านก็เลยลองสั่งมาหน่อย ก็ได้มาเป็นข้าวผัดที่ไม่เหมือนร้านอาหารจีนเพราะใช้ข้าวญี่ปุ่นไปผัด จานนี้ผัดมาแฉะ ๆ หน่อย แต่รสชาติการปรุงดี, เนื้อวัวก็ให้มาเยอะดี แต่กิน ๆ แล้วผมก็รู้สึกว่าผมชอบข้าวผัดแบบจีน ๆ มากกว่าอยู่ดี แต่จานนี้ก็ไม่ใช่ไม่อร่อยนะครับ อร่อยกว่าข้าวผัดหลาย ๆ ร้านในไทยเลยล่ะ

Salmon Sashimi : จานนี้ทางร้านมีโปรโมชั่นลดครึ่งราคาพอดีรู้สึกจะเหลือแค่ 200 บาทหรือไงนี่แหละครับ ใช่ครับผมไม่ได้เขียนผิด salmon sashimi สวย ๆ ลายไขมันแทรกจำนวนประมาณ 20 ชิ้นนี้ทั้งหมดแค่ 200 บาท! (เมืองไทยแพงไปมั้ยล่ะครับ?) จานนี้เห็นสีเนื้อปลาก็พอรู้แล้วว่าอร่อย พอกินไปก็ตอกย้ำความคิดดังกล่าวได้อย่างชัดเจน ปลาเนื้อนุ่ม มัน ละลายในปากนิด ๆ ตามสไตล์ปลาแซลมอนเค้าล่ะครับ







รวมมิตรกับแกล้ม : จานนี้เจ๋งดีครับไม่เคยเจอกับร้านไหนในไทยเลย (หรือแม้แต่ในญี่ปุ่นเองก็ตามมั้ง) เป็นพวกของดอง ๆ รวมมิตรใส่ถาดมามีปลาหมึกดอง 3 แบบ, เนื้อไก่ดอง, สาหร่ายหมัก และก็ ผักดอง ทั้งหมดนี้บอกตรง ๆ ว่าตอนแรกก่อนจะกินนี่ผมไม่คิดว่ามันจะอร่อยหรอก แต่กินไปคำแรกทีละอย่าง ๆ แล้วแบบเฮ้ยอร่อยผิดคาด รสชาติจัดจ้านรุนแรง สมกับเป็นของดองแต่ก็แฝงความกลมกล่อมไว้ในตัว คือแบบอร่อยจนผมต้องสั่งเบียร์มากินแกล้มเลยอ่ะครับ 555 (ตอนแรกว่าจะไม่กินเบียร์)

ซาซิมิรวมชุดกลาง : จานนี้ก็ไม่แพงอีกแล้วแค่ 400 - 500 บาทเองมั้งมี หอยแครงญี่ปุ่น (akagai), หอยปีกนก (hokkigai), hamachi, saba, salmon ให้มาอย่างละ 3 ชิ้นใหญ่ ๆ ของทุกอย่างสดอร่อย ไม่แพ้พวกร้านซูชิเกรด B+ ถึง A บ้านเราเลย แต่ราคานี่ถูกกว่ากันเกินครึ่งเลยนะครับว่ามั้ย








ปลาซาบะย่าง : อันนี้อร่อยได้มาตรฐานดีครับ ชิ้นใหญ่ ย่างมาเกรียมนิด ๆ บีบมะนาวหน่อยอร่อยดี

ซูชิ a la carte : มี otoro, ikura และก็ anago ทั้ง 3 อย่างราคาถูกกว่าไทยครึ่งนึง อร่อยระดับเดียวกับร้านซูชิเกรด B+ บ้านเราครับฟิน ๆ คุ้ม ๆ






มื้อนี้ค่าเสียหายประมาณ 2,400 บาทกับอาหารที่ได้ขนาดนี้มันเป็นอะไรที่ผมว่าถูกมาก ๆ เลยนะครับกินที่ไทยไม่ได้หรอกแบบนี้ ซึ่งถ้าให้ผมเดานะร้านอาหารญี่ปุ่นร้านอื่น ๆ ใน Guangzhou - กวางโจว ก็ไม่น่าจะหนีร้านนี้มากเท่าไรในเรื่องความคุ้มค่า, ความสด และความอร่อย ใครมาเมืองนี้เบื่อ ๆ อาหารจีนก็เปลี่ยนบรรยากาศมากินอาหารญี่ปุ่นกันดูได้ครับ ผมว่าคุ้มกว่าที่บ้านเราเยอะ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

9th Restaurant : Summer Palace
Cuisine Type : Cantonese
Price Range (per person) : 1,000 - 2,000 บาท
Location (Lat, Long) : 23.102905, 113.370563


โรงแรม Shangri-la Guangzhou ที่ผมไปพักในทริปนี้นั้นมีห้องอาหารหลักของทางโรงแรมอยู่ 5 ห้องประกอบด้วยอาหารไทย, อาหารอิตาเลียน, อาหารญี่ปุ่น, อาหารนานาชาติและก็ห้องอาหารจีน ซึ่งแน่นอนครับถ้าให้ผมเลือกที่จะกินห้องอาหารที่นี่ก็ต้องกินห้องอาหารจีนนี่แหละ ซึ่งห้องอาหารจีนของโรงแรมในเครือ Shangri-La นั้นก็จะมีชื่อที่เป็นมาตรฐานอยู่คือ Shang Palace และ Summer Palace ซึ่งที่กวางโจวนี้เค้าใช้ชื่อว่า Summer Palace (พระราชวังฤดูร้อน)

ตัวห้องอาหารนั้นตกแต่งได้สวยงามหรูหรา ระดับเดียวกันกับ Shang Palace ที่เมืองไทย ตัวห้องอาหารนั้นแบ่งออกเป็น 2 zone โดยประมาณคือโซนโต๊ะทั่วไปที่กินพื้นที่ประมาณครึ่งนึงและก็ห้องส่วนตัวอีก 12 ห้องใช่ครับอ่านไม่ผิดแล้วที่นี่เค้ามีห้องอาหารเยอะขนาดนั้นเลยล่ะ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วแขกที่มาที่นี่มักจะมาคุยเรื่องธุรกิจกันเยอะทางห้องอาหารก็เลยต้องมีห้องส่วนตัวไว้รับรองโดยเฉพาะ (ทางโรงแรมบอกว่าเป็นร้านอาหารจีนที่มีห้องส่วนตัวเยอะที่สุดในเมือง Guangzhou - กวางโจว นี่ล่ะครับ ส่วนการบริการนั้นบริการได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติสมกับเป็นห้องอาหารในโรงแรม 5 ดาวอยู่ล่ะ เอาเป็นว่า first impression ต่อการบริการและบรรยากาศร้านนั้นใครมาก็ต้องชื่นชอบกันทั้งนั้นล่ะครับ


อาหารของร้านนี้ก็จะเป็นอาหารจีนสไตล์กวางตุ้งที่จะมีทั้งจานแบบคลาสสิคและก็จานแบบสมัยใหม่ (Contemporary Chinese - Nouvelle Chinova) คือมีทั้งแบบไม่ได้จัดจานอะไรมามากมายนักเป็นอาหารจีนแบบคลาสสิค ๆ และก็อาหารจีนแบบจัดจานมาสวยงามแบบอาหารตะวันตก นอกเหนือจากนี้แล้วก็ยังมีติ่มซำไว้บริการในมื้อเที่ยงด้วยเช่นกัน คือเรียกได้ว่าครบทุกรส ครบทุกสไตล์สำหรับร้านอาหารจีนเลยล่ะสำหรับ Summer Palace แห่งนี้ ส่วนตัวราคาอาหารนั้นราคาไม่ค่อยแพงสักเท่าไรนะครับพอ ๆ กันกับห้องอาหารจีนในโรงแรมบ้านเรานี่แหละ คือกินกันได้อย่างค่อนข้างสบายกระเป๋านั่นเอง

อาหารในมื้อนี้ก็มีค่อนข้างหลายอย่างครับมาไล่เรียงกันไปเลยดีกว่า

Poached Chicken with Chinese Rice Wine (RMB 38) : จานนี้เป็นประมาณไก่แช่เหล้าบ้านเรานี่แหละครับ ผมเห็นหน้าตาจานนี้ทีแรกแอบดีใจมากกก "กูเจอไก่สับไม่ติดกระดูกแล้วโว้ยยย" คือแบบกินเนื้อไก่ที่เมืองนี้มากี่ร้าน ๆ มีแต่สับติดกระดูกมาหมด แต่อันนี้นี่มาแบบเนื้อเน้น ๆ และดูนุ่มน่ากินมาก ตัวรสชาตินั้นจะแตกต่างจากไก่แช่เหล้าบ้านเราหน่อยเพราะว่าใช้สาเก (บ้านเราจะใช้วิสกี้) รสชาติจะเบากว่าหน่อย แต่จะหวานกว่า และตัวไก่นั้นก็คุณภาพดีมากครับ ฉ่ำในปากมาก 






Crystal Cured Pork (RMB 32) : เป็นประมาณหมู่เย็นนั่นเอง บ้านเราที่ผมเคยกินก็จะเป็นพวกหูหมูแช่เย็น อะไรพวกนั้น แต่อันนี้จะเป็นส่วนเนื้อหมูติดหนังมาหน่อย ๆ เอาไปหมักมาแล้วก็แช่เย็น แล่มาเป็นขนาดพอดีคำ เนื้อนุ่ม รสชาติเค็มปะแล่ม ๆ กำลังดี อร่อยดีครับ

Baked Tiger Prawn with Chinese Truffle served in Salted Egg Yolk Sauce (RMB 72/person) : เป็นกุ้งลายเสือตัวใหญ่เอาไปอบกับเนยและก็เห็ดทรัฟเฟิลจีนแบบฝาน ๆ มาพอให้มีกลิ่นหอม และซอสไข่เค็ม และก็เสิร์ฟมาพร้อมแก้วมังกร กับก้อนที่คล้าย ๆ ขนมจีบกุ้งแต่ใช้เหมือนแผ่นผักมาห่อแทน จานนี้สวยงามดีครับและก็รสชาตินี่แบบอร่อยดีเลย แต่รสชาติจะไม่ค่อยจีนเท่าไรนะครับเหมือนฝรั่ง ๆ มากกว่า มีความเป็นจีนแฝงอยู่แค่เล็กน้อยแค่นั้นถ้าถามผม






Double boiled Duck Soup with Sea Whelk and Truffle (RMB 68/person) : เป็นซุปน้ำใสใส่เนื้อเป็ด, หอย (อะไรสักอย่าง) และก็เห็ดทรัฟเฟิลแบบจีน ๆ มารสชาติซุปถ้วยนี้จะออกแนวเป็นซุปยาจีนครับ คนแก่น่าจะชอบ (คือผมก็เริ่มชอบล่ะเพราะเริ่มแก่) ออกแนวเป็นซุปตัดเลี่ยน, ซุปเปิดประเดิมมื้อ ไม่ได้เป็นพวกน้ำข้น ๆ รสชาติแน่น ๆ เหมือนซุปจีนส่วนใหญ่

A Combination of Crispy Chicken served on Goose Liver and Jelly Fish (RMB 98/half) : จานนี้คล้าย ๆ เป็ดปักกิ่งบ้านเรานะครับต่างกันหน่อยตรงที่จะใช้หนังเป็ดทอดกรอบวางโปะลงมาบนตับห่านและก็แมงกะพรุน และก็มีเครื่องที่คล้าย ๆ พวกผัดเนื้อไก่กับแมงกะพรุนให้มาวางโปะลงประกอบแต่ละคำเพิ่มเติมด้วย จานนี้อร่อยมากครับ คือหนังเป็ดกรอบอร่อยอยู่แล้ว มาผสมกับตับห่านนุ่ม ๆ ละลายในปากและแมงกะพรุนเด้งดึ่ง ๆ เป็นอะไรที่ครบทั้งรสชาติและ texture จริง ๆ








Fried River Shrimp, Clam and Chives served with Steamed Oatmeal Bun (RMB 65) : จานนี้ทีเดียวเลยครับเป็นการนำเอาหอยลาย, กุ้ง กับต้นหอมไปผัดมาแบบใส่พริกเผาหน่อย ๆ อารมณ์ประมาณพวกผัดพริกเผานิด ๆ แล้วก็เสิร์ฟมาพร้อมกับก้อนแป้งที่ลักษณะคล้าย ๆ ซาลาเปา เวลากินก็ฉีกซาลาเปาออกแล้วเอาไส้ยัดเข้าไปแล้วกินเหมือนเป็นซาลาเปายัดไส้ อร่อย แปลกดี และก็รสชาติมันเข้ากันดีมากตัวแป้งร้อน ๆ กับตัวเส้นมัน ๆ ฉ่ำ ๆ นี่

Combination of Summer Palace Dim Sum Platter (RMB 88) : เป็นรวมมิตรติ่มซำสไตล์ Summer Palace มีปอเปี๊ยะทอด, ฮะเก๋า และก็เหมือนเป็นปอเปี๊ยะนึ่งมา จานนี้รสชาติค่อนข้างกลาง ๆ นะครับกินแล้วไม่ค่อยรู้สึกถึงความโดดเด่นหรือแปลกใหม่อะไรนัก สู้จานอื่น ๆ ในมื้อไม่ค่อยได้







Sweetened Almond Cream with Egg White Served with Fresh Fruit (RMB 38/person) : ของหวานสุดแนว เป็นการนำเอาครีมอัลมอนด์ใส่ไว้ในตัวก้อนกลม ๆ ที่ทำจากแป้งที่ติดเมล็ดงาเอาไว้ ซึ่งตัวแป้งนั้นสามารถกินได้เลยพร้อมตัวครีม อารมณ์ประมาณกินพวกขนมปังไอศครีมบ้านเราแต่ว่ามันจะเฟิร์ม ๆ กว่าอร่อยอย่างลงตัว และก็มีผลไม้สด ๆ หวาน ๆ มาให้เรา refreshing ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย

สรุป ร้าน Summer Palace ณ Shangri-La Gurangzhou แห่งนี้ก็สมกับที่ผมหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าจะมากินล่ะครับ อาหารอร่อย หน้าตาสวยงาม ราคาไม่แพง ร้านบรรยากาศเลิศ พนักงานบริการเยี่ยม ใครมาพักโรงแรมนี้ หรืออาจจะมางานประชุม, งานนิทรรศการที่ศูนย์ประชุมที่อยู่ติดกันแล้วอยากจะหาอาหารจีนดี ๆ กินในบรรยากาศแบบเป็นส่วนตัว ผมแนะนำให้ลองมาร้านนี้ดูครับ เดินข้ามถนนจากตัวศูนย์ประชุมมานิดเดียวก็เจอล่ะ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

10th Restaurant : ร้านก๋วยเตี๋ยวชั้นล่าง Baiyun International Airport
Cuisine Type : Halal Taiwanese Noodles
Price Range (per person) : 300 - 500 บาท
Location (Lat, Long) :23.389001, 113.299952



มื้อนี้ก็เป็นมื้อสุดท้ายในทริปแล้วล่ะครับ เป็นมื้อที่กินกันที่สนามบินเลยเนื่องจากว่า flight ขากลับผมมันค่อนข้างคาบเกี่ยวกับเวลามื้อเย็นถ้ากินในเมืองก่อนมามันอาจจะตกเครื่องเอาได้ง่าย ๆ เท่าที่เดินสำรวจสนามบิน "Bai Yun" สนามบินประจำเมือง Guangzhou - กวางโจว นี้ผมว่าร้านอาหารเค้าก็จัดว่ามีเยอะพอ ๆ กับสุวรรณภูมิเรานะครับ ไม่ได้เยอะเท่าที่ Haneda หรือที่ฮ่องกง แต่ก็เยอะเพียงพอที่จะทำให้เรามีตัวเลือกในการเลือกกินได้ พวกผมก็เดินหาร้านกันอยู่หลายร้านจนมาลงเอยที่ร้านนึงชื่อร้านอะไรก็ไม่รู้แต่เค้าจะขายก๋วยเตี๋ยวฮาลาลและเห็นพนักงานหน้าร้านตะโกนว่าไต้หวัน ๆ อะไรสักอย่างผมก็เลยขอมั่วไปเลยละกันว่าร้านนี้ชื่อร้าน "Halal Taiwanese Noodles" -*-

(ส่วนนึงที่เลือกกินร้านนี้เพราะมีน้องผู้หญิงคนนึงแกยืนตะโกนอยู่หน้าร้านตลอดเวลา เรียกลูกค้าเข้าร้านด้วยประโยคเดิม ๆ อืม อ่านแล้วคุ้น ๆ มั้ยครับ เหมือนราเมนสู้ชีวิตที่ esplanade บ้านเรามั้ยครับ 555 ไม่อยากดราม่าขอเขียนถึงแค่นี้พอดีกว่า)

อาหารของร้านนี้หลัก ๆ ก็จะเป็นก๋วยเตี๋ยวแบบจีน ๆ มีเส้นให้เลือกถึง 6 แบบ ตั้งแต่เรียวเล็กสุด ๆ ไปจนถึงเส้นใหญ่ แต่เส้นของร้านนี้จะต่างจากบ้านเรานะครับ จะเป็นเส้นที่ทำจากแป้งสาลีเหมือนกันหมด เป็นเส้นสีเหลือง ๆ เหมือนกันหมด แต่แค่อยู่ที่คนนวดแป้ง/ทำเส้น แค่นั้นเองว่าเค้าจะทำมาเส้นใหญ่ขนาดไหน (บ้านเรานี่แต่ละเส้นนี่ texture จะต่างกันค่อนข้างชัดว่ามั้ยครับ) และก็ตัวน้ำซุป/เครื่อง ก๋วยเตี่ยวก็จะมีให้เลือกอีกประมาณ 3-4 อย่างแบ่งตามระดับความเผ็ดและตัวเครื่องที่โปะหน้า นอกเหนือจากก๋วยเตี๋ยวก็จะมีพวกของกินเล่นสั่งเพิ่มเติม อารมณ์คล้าย ๆ พวกร้านราเมนที่ญี่ปุ่น เหมือนแบบสั่งมากินเล่นหรือเป็น topping อะไรแบบนั้นล่ะครับ

มื้อนี้สั่งก๋วยเตี๋ยวไป 2 อย่าง ของผมแบบนึงและก็ของแฟนผมกับของแม่ผมนี่สั่งเหมืนอกัน

ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่น้ำซุปกลมกล่อม : ชามนี้ของผมเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ ๆ เหมือนแบบหั่นมือเพราะเส้นไม่เรียบสม่ำเสมอ, ตัวน้ำซุปเป็นน้ำซุปกระดูกหมูรสชาติกลมกล่อม ๆ ไม่ได้เข้มข้นอะไรมาก แล้วก็ให้หมูชาชูแยกมา 3 แผ่น ชามนี้อร่อยครับ ผมชอบมากเลย อารมณ์มันไม่เหมือนกินทั้งราเมน หรือ ก๋วยเตี๋ยวไทย ๆ เหมือนเป็นลูกครึ่งผสมผสานอาหารจานเส้นของราเมนกับก๋วยเตี๋ยวไทยอีกที เส้นอร่อย น้ำซุปรสชาติเยี่ยม แต่ตัวชาชูผมว่ายังไม่ค่อยผ่านเท่าไร ของที่ญี่ปุ่น หรือหมูแผ่นบ้านเราอร่อยกว่านะ








บะหมี่พริกเผาเผ็ดร้อน : ชามนี้ของแฟนผมกับของแม่ผม เหมือนกับของผมทุกประการแค่เปลี่ยนเป็นเส้นบะหมี่เฉย ๆ ซึ่งผมว่าเส้นใหญ่ของผมอร่อยกว่า (แฟนผมก็เห็นด้วย) ส่วนตัวน้ำซุปก็น้ำซุปเดียวกันนี่แหละครับแค่ใส่พริกเผาลงไปเยอะหน่อยก็เลยกลายเป็นกึ่ง ๆ ก๋วยเตี่ยวต้มยำ ผมลองกินเทียบกันแล้วผมชอบของผมมากกว่า แต่แฟนผมชอบของนางเองมากกว่า อันนี้ก็ไม่รู้สินะ

สรุป มื้อสุดท้ายของทริปก็ฟินดีครับ อร่อย ประหยัด เปิดประสบการณ์ก๋วยเตี๋ยวแบบใหม่ ๆ ด้วย ใครมีโอกาสแวะมาสนามบินไบหยุนนี่ร้านนี้ก็เป็นอะไรที่น่าลองอีกเช่นกันมาจัดกันได้เลยครับหาไม่ยากอยู่ชั้นล่างของฝั่งขาออกและก็อยู่ใกล้ ๆ ทางเข้า gate เดินลงมาชั้นเดียวเจอเลย (ตอนผมไปร้านนี้คนเยอะด้วยนะครับ เห็นโต๊ะอื่นมีจับให้ไปนั่งด้วยกันแบบไม่รู้จักกันด้วย ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วร้านนี้เป็นร้านดังของเมืองนี้รึเปล่า)

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ความรู้สึกต่อเมือง กวางโจว Guangzhou โดยสรุปตลอดระยะเวลาประมาณ 4 วันที่อยู่ขอแบ่งเป็นด้านต่าง ๆ ตามนี้

- ด้านความเจริญก้าวหน้าของเมือง + infrastructure ของเมือง : สั้น ๆ ง่าย ๆ "สุด ๆ" คือเมือง กวางโจว - Guangzhou นี่ผังเมืองดีมากครับ บ้านเมืองสะอาด ถนนไม่มีซอยตัน (คือไอ้เรื่องซอยตัน, ถนนตันนี่ผมรู้สึกว่าเมืองไทยมันมีเยอะไปมั้ย คือมันทั้งเปลืองทรัพยากรถนนไม่พอ ยังทำให้คนที่บ้านอยู่ในซอยเสียเวลาเดินทางไปปากซอยอีกต่างหาก เมืองที่เจริญ ๆ นี่แทบจะไม่มีซอยตันเลยก็ว่าได้มั้งครับ ไม่รู้ว่าบ้านเรากรมผังเมืองวัน ๆ ทำงานอะไรรึเปล่า ผังเมืองมั่วซั่วมาก) ไม่มีสิ่งปลูกสร้างริมแม่น้ำไข่มุก (Pearl River) ของเค้าตลอดระยะทางกี่กม.ไม่รู้ที่แม่น้ำผ่ากลางเมือง ย่าน downtown ล้ำสุด ๆ ตึกสวย มีสวนสาธารณะกลาง downtown แบบดูดี ดูล้ำกว่า downtown บ้านเราเยอะครับ



คือผมคิดว่าแต่ก่อนหน้านี้เมืองนี้คงไม่ได้มีผังเมืองเทพเจ้าแบบตอนนี้หรอกครับ น่าจะค่อย ๆ ทยอยปรับปรุงมาเรื่อย ๆ และเนื่องด้วยประเทศนี้เป็นคอมมิวนิสต์ ประชาชนไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของที่เอง รัฐบาลก็น่าจะเวียนคืนที่ดินง่ายกว่าบ้านเราเยอะ และก็เมืองนี้เพิ่งจะมีจัด ASEAN games เมื่อ 4 ปีก่อนซึ่งก่อนหน้านั้นหลายปีก็คงมีการ renovate เมืองอยู่เยอะอยู่ คือเอาเป็นว่าผังเมืองเมืองนี้เค้าคงดีจริง ๆ ครับเพราะแม้ว่าจะมีคน 13 ล้านคนอยู่แต่ว่ารถก็ไม่ค่อยติดสักเท่าไร, มีพื้นที่สีเขียวกระจายตัวอยู่ในเมืองและขนานไปกับแม่น้ำตลอดเส้น, ตึกสูง ๆ + ห้าง กระจุกตัวอยู่ที่ downtown อย่างเดียว, โรงงานนี่ผมไม่เห็นเลยตลอดระยะเวลา 5 วันที่ผมอยู่ในเมืองนี้ เค้าคงมีการ zoning ให้ไปอยู่ไกล ๆ เมืองจริง ๆ เฮ้อ ผมรู้ว่ากรุงเทพคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะที่จะมีผังเมืองดี ๆ เหมือน กวางโจว - Guangzhou นี้ ก็ได้แต่หวังว่าจังหวัดที่กำลังพัฒนาขึ้นมาไม่ว่าจะ ขอนแก่น, เชียงใหม่, หาดใหญ่ (เรียกเป็นจังหวัดตามอดีตนายกปู) จะมีการวางผังเมืองดี ๆ แบบนี้บ้าง กรมผังเมืองครับทำงานกันหน่อยเถอะครับ เมืองจะน่าอยู่ไม่น่าอยู่นี่อยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานอยู่ที่การวางผังเมืองซะ 50% เลยก็ว่าได้นะ

- ผู้คน : ผู้คนของเมือง กวางโจว - Guangzhou นี่ถ้าไม่บอกว่าผมอยู่ที่เมืองนี้บอกตรง ๆ มันคือกรุงเทพฯ ชัด ๆ เพราะว่าการแต่งตัว, หน้าตา, รูปร่างคนในเมืองนี้มันคือกรุงเทพฯ ชัด ๆ ซึ่งคนเมืองนี้ก็คงคิดแบบเดียวกันกับผมเพราะว่าผมไปที่ไหน ไม่ว่าจะ front desk โรงแรม, พนักงานร้านอาหาร, พนักงานขายตั๋ว ฯลฯ หรืออะไรก็ตามที่จะมีการสนทนากันขึ้น คนพวกนี้จะมีแต่พ่นภาษาจีนใส่ผมอย่างเดียวเลย และคือแบบทำท่าไม่รู้เรื่องแล้วก็ยังไม่ยอมหยุดพูดก็ยังคงพูดต่อไป ถ้ายังคงไม่รู้เรื่องบางคนก็จะพูดช้า ๆ ลง บางคนก็จะเขียนลงกระดาษ อารมณ์น่าจะคิดว่าผมเป็นคนจีนจากถิ่นที่ไม่ได้พูดจีนกลางก็เป็นได้ .. จนสุดท้ายพอผมบอกว่าพูดอังกฤษได้มะ ก็จะพูดกันไม่ได้เลยแบบ "ไม่ได้เลยสักนิดเดียว" แต่ก็สื่อสารกันรอดมาได้ด้วยภาษามือมั่ว ๆ ซั่ว ๆ นี่แหละครับ



แต่มีอยู่อย่างนึงที่ผมค่อนข้างสังเกตได้ชัด (หึหึ) คือผมกับแฟนเห็นตรงกันว่าคน กวางโจว - Guangzhou ไม่ค่อยมีคนหน้าตาดีสักเท่าไร เอาเป็นว่าผมอยู่ที่นั่น 5 วันเจอผู้ชายหน้าตาดีอยู่คน, ผู้หญิงหน้าตาดีอยู่คน (ที่สนามบินตอนรอขึ้นเครื่องด้วยซ้ำ) แค่นั้นเอง เทียบกับ เกาหลี, ญี่ปุ่น แล้วหาคนหน้าตาดีได้ยากกว่าเยอะเลย

- Taxi : ตัวผมเองก็เป็นคนธรรมดา ๆ ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังอะไรมากนัก ทุกครั้งที่ไปเที่ยวต่างประเทศในทุก ๆ ทริปที่ไปเองแบบไม่ง้อทัวร์ก็จะใช้บริการขนส่งมวลชนตลอด (จะมีก็ทริปอเมริกาที่เช่ารถแล้วมันสะดวกกว่ากันเยอะก็เลยไม่ได้ใช้บริการขนส่งมวลชนของพี่กันเค้า ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วระบบขนส่งมวลชนของพี่กันนี่เค้าก็ไม่ได้ดีอะไรเลยถ้าไม่ได้เป็นเมืองใหญ่) ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ (คือยังไม่เคยไปเที่ยวยุโรปเองครับ) เพราะว่าระบบ mass public transport ของประเทศพวกนี้เค้าดีจริงอะไรจริงและการนั่ง taxi ในเมืองเหล่านี้ก็เหมือนกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ แต่สำหรับเมือง กวางโจว - Guangzhou นี้ทริปนี้ของผมใช้การเดินทางโดย Taxi แบบ 95% ก็ว่าได้ (นั่งรถไฟใต้ดินอยู่เที่ยวนึงเดี๋ยวจะเขียนถึงต่อนะครับ) เพราะว่าค่าโดยสาร Taxi ของเมืองนี้เค้าค่อนข้างจะใกล้เคียงกันกับบ้านเราเลย



ค่าโดยสารจะเริ่มต้นที่ 10 หยวน (51.5 บาท) และจะคงค่าโดยสารนี้ไปเป็นระยะทาง 2 กม. ก่อนที่จะไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ แบบรวดเร็ว ในอัตราเท่าไรผมก็ไม่รู้เหมือนกันเอาเป็นว่าในทริปนี้ผมนั่ง taxi ประมาณ 10 ครั้งได้ส่วนใหญ่ค่าโดยสารเฉลี่ยจะอยู่ที่ 20 - 40 หยวนโดยประมาณกับระยะทางประมาณ 5 - 10 กม. กับระยะเวลาประมาณ 10 - 30 นาทีคือถ้าเทียบกับบ้านเรานั่ง taxi 10 กิโลเมอตรค่าโดยสารก็น่าจะอยู่ที่ 120 บาทโดยประมาณแต่ของที่นี่ก็จะอยู่ที่ 200 บาทโดยประมาณแพงกว่ากันเล็กน้อยนั่งกันได้สบาย ๆ ชิล ๆ และยิ่งแบบพวกผมไปกัน 3 คนด้วยก็เลยยิ่งคุ้มเข้าไปใหญ่

สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง Taxi ของที่ กวางโจว - Guangzhou กับที่กรุงเทพฯ ก็คือ

1. Taxi ส่วนใหญ่จะไปในจุดหมายปลายทางที่เราต้องการตลอดมีอยู่บ้านที่ไม่ไปและไล่ผู้โดยสารลงมาแต่ case นี้ผมเห็นอยู่แค่หนึ่งครั้งจากหลายสิบครั้งที่เห็นคนเรียก Taxi
2. ที่นั่งรถหว่างคนขับกับด้านหลังจะมีลูกกรงกั้นอยู่ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากันผู้โดยสารจากคนขับ หรือกันคนขับจากผู้โดยสาร เพราะว่าที่นั่งด้านหน้าก็ไม่ได้มีกรงกันคนขับกับคนนั่งแต่อย่างใดไม่เหมือนกับ Taxi ของบางเมืองที่จะเป็นกรงล้อมรอบคนขับไปเลย (ซึ่งแบบหลังนี่น่าจะป้องกันคนขับจากผู้โดยสารจริง ๆ)

ส่วนข้อสังเกตอื่น ๆ ที่ผมรู้สึกว่าน่าสนใจสำหรับ taxi ของเมือง กวางโจว - Guangzhou นี้ก็คือ

1. "มีเงินใช่ว่าจะขึ้น taxi กันได้ง่าย ๆ" : คือเมืองอื่น ๆ ที่ผมเคยไปเที่ยวส่วนใหญ่ taxi จะค่อนข้างว่างมีให้เรียกได้สบาย ๆ แต่ของเมืองนี้นี่คือต้อง "มีโชค" ด้วยเพราะว่าส่วนใหญ่แท็กซี่จะมีผู้โดยสารตลอด ยิ่งตอนดึก ๆ , ตอนฝนตกนี่ยิ่งหนักมีคืนนึงผมเดินเล่นจนดึกดื่นกว่าจะเรียก taxi ได้คือเดินย้อนกลับมาทางโรงแรมเรื่อย ๆ แบบไกลมาก (น่าจะเกิน 2 กม.) ถึงจะเรียกได้ อีกคืนนึงไม่ดึกมากแต่ฝนตกหนักโอยลำบากลำบนต้องไปยืนตากฝนเรียก taxi เพราะว่าคนจีนี่เค้าไม่ต่อคิวกันใครดีใครได้ บางทีเปิดประตูรถพร้อมกันยังไม่พอต้องแบบตูดใครถึงเบาะก่อนถึงจะได้สิทธิ์ก็ยังมี ซึ่งข้อนี้นี่เป็นอุปสรรคสำหรับผมมากจริง ๆ เพราะว่าหน้าไม่ด้านพอเท่าไร แต่โดยรวมผมก็ถือว่าค่อนข้างโอเคนะอาจจะยืนรอนานหน่อย แต่ก็แลกมากับการเดินทางสบาย ๆ ไม่ต้องขึ้นรถไฟ เปลี่ยนสาย ไปยืนเบียด ๆ เหมือนเมืองอื่น

2. "Taxi ค่อนข้างสุภาพ" : คือก็ไม่ได้ถึงกับนุ่มมาก smooth มากอะไรนะครับแต่เทียบกับ taxi เมือง
ไทยแล้วดีกว่าเยอะ อาจจะเพราะว่าใบขับขี่ taxi เค้าสอบยาก หรือเข้มงวดแบบโดนถอดถอนง่ายก็เป็นได้

3. "Taxi ไม่มีรถจีนเลย" : คือผมเห็นคนจีนเค้าค่อนข้างชาตินิยมแต่ไฉนพอเป็น taxi แล้วกลับไม่มีรถจีนเลยก็ไม่ทราบเหมือนกันส่วนใหญ่จะเป็น VW กับ Toyota เป็นหลัก

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับ taxi ของเมือง กวางโจว - Guangzhou ก็พอเท่านี้ละกันนะครับเอาเป็นว่าถ้าใครไปเมืองนี้และแบบไปกันเยอะ ๆ หน่อย 3-4 คนนั่ง taxi ไปเถอะครับสบายกว่ากันเยอะ



- รถไฟใต้ดิน : ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถไฟใต้ดินของเมืองนี้มากนะครับเท่าที่รู้คร่าว ๆ คือตอนนี้มี 8 สายตั้งชื่อสายตามตัวเลขไม่ได้ตั้งเป็นชื่อเฉพาะเหมือนญี่ปุ่นกับฮ๋องกงหรือไม่ได้ตั้งเป็นชื่อสีเหมือนบ้านเรา รถไฟใต้ดินของเมืองนี้เค้าสะอาดดีครับ ดีกว่าจิตนาการที่ผมคิดเอาไว้มาก (น่าจะเพราะว่าเพิ่งสร้างเสร็จไม่นานด้วย) รถไฟทันสมัยสุด ๆ ทันสมัยกว่าของญี่ปุ่นกว่าของฮ่องกงเยอะ และเนื่องจากว่ารถไฟใต้ดินของเมืองนี้เค้าค่อนข้างจะครอบคลุมพื้นที่ในเมืองค่อนข้างครบแล้ว + ค่าเดินทางถูกมาก ถูกที่สุดในรถไฟใต้ดินที่ผมเคยนั่งมาทั้งหมดล่ะ ผมนั่งทีนึง 15 ป้ายได้ค่าโดยสาร 6 หยวน! โอ้วแม่จ้า ถูกกว่าเมืองไทยอีก ถูกกว่าฮ่องกงกับญี่ปุ่นมากมาย เลยไม่น่าแปลกใจที่คนจะใช้บริการกันเยอะ และจุดนี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปทีนึงแล้วเข็ดเลย เพราะว่าคนขึ้นเยอะมาก ไม่ได้นั่งเลย แตก็ไม่ได้เบียดเท่าที่ญี่ปุ่นนะครับ ใครที่เดินทางคนเดียวหรืออยากประหยัดหน่อยก็นั่งรถไฟใต้ดินก็ดูจะโอเคอยู่นะ



- วันหยุดราชการ : คือไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องการเดินทางแล้วก็ขอกล่าวถึงเรื่องวันหยุดของคนจีนเค้าอีกซักหน่อยละกัน วันที่ผมไปนั้นพอดีเป็นช่วงวันแรงงานที่เป็นวันพฤหัสบดีพอดี ซึ่งคนจีนบอกผมมาว่าที่นี่ถ้าวันหยุดราชการวันไหนตรงกับวันพฤหัสเค้าจะเอาวันอาทิตย์มาหยุดแทนวันศุกร์และก็หยุดรวดเดียว 3 วันไปเลย และโดยปกติแล้ววันอาทิตย์ก็มักจะไม่ค่อยทำงานกันด้วย มีลากันเยอะก็กลายเป็นหยุด 4 วันไปโดยปริยาย ซึ่งประเพณีนี้ผมไม่แน่ใจว่ารวมถึงวันอังคารด้วยรึเปล่าที่จะเอาวันเสาร์มาทำงานแทนวันจันทร์อะไรแบบนี้ คือไม่ใช่อะไรหรอกครับ 4 วันแรกที่ผมอยู่ในเมืองผมรู้สึกว่ารถโล่งเหลือเกิน นั่ง taxi ไปไหนมาไหนไม่เคยเกิน 20 นาทีเลย แต่แบบวันสุดท้ายผมก็แอบกลัวว่ารถจะติด (เพราะคนจีนขู่มา) แต่ก็ไม่ค่อยติดนะครับ กรุงเทพฯ เราชนะขาด

สรุป ทริปนี้ ไม่เบียดเสียดแออัดเหมือนไปญี่ปุ่น, ฮ่องกง | อาหารอร่อยรสชาติดี ราคาไม่แพง แต่ก็แลกมาด้วยการสื่อสารกันอย่างยากลำบาก | ที่พักดีประทับใจ | บ้านเมืองเจริญ สะอาดกว่าที่คิด | คนจีนกักขฬะน้อยลงกว่าเมื่อ 5 ปีก่อนที่ผมไปเซี่ยงไฮ้เยอะ รวม ๆ แล้วทริปนี้ผมค่อนข้างชอบเลย หลังจากที่กลัวการมาจีนแผ่นดินใหญ่นี่อยู่นาน แต่จากทริปเซี่ยงไฮ้เมื่อ 5 ปีก่อนแล้วก็มาทริปนี้ รู้สึกว่าประเทศนี้จริง ๆ เค้าก็น่าเที่ยวดีนะครับ และเค้ามีอะไรให้เที่ยวเยอะด้วย ต่อไปก็คงจะมีโอกาสมาเรื่อย ๆ ล่ะครับ อย่างเมือง กวางโจว - Guangzhou นี่เองก็ตาม ทริปนี้ผมเองก็ยังขาดที่ให้เที่ยวอีกเยอะเลยต้องมีมาซ้ำอีกรอบแน่ ๆ

ปล.  ทำไมเวลาคนจีนทอนเงินต้องโยนให้บน counter, บนโต๊ะก็ไม่รู้






LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...