BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย

BumRes iOS App แอพค้นหาร้านอาหารที่ดีที่สุดในไทย
BumRes App V2

Tuesday, April 30, 2013

UCC Oriental Store

UCC Oriental Store - ร้านาอาหารญี่ปุ่น อาหารตะวันตก Gateway Ekamai BTS เอกมัย ร้านกาแฟ กาแฟสด




Overall Score  7/10
Taste   3.5/5
Ambiance  3.5/5
Service  4/5
Value   4/5

The UCC Oriental Store - Japanese-Western Restaurant on BumRes.com (For more pictures menu and info)



แบรนด์ UCC ในบ้านเรานี่ก็เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างจะเก่าแก่ และคนรุ่น ๆ ผม (เกือบ ๆ 30) ก็น่าจะคุ้นเคยกันพอสมควร ซึ่งแบรนด์นี้ถ้าเอาจริง ๆ ไปที่ญี่ปุ่นก็จะเจอกาแฟของเขาวางขายกันอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ไม่รู้ทำไมบ้านเรา กาแฟชนิดนี้ถึงไม่ทำการตลาด ไม่มีวางขายเป็นกระป๋อง ๆ หรือขายเป็นเมล็ดกาแฟสักเท่าไรเลย แต่จะมีตัวร้านอาหารแบบเป็นล่ำเป็นสันที่เคยตั้งอยู่ที่ Siam Center (แต่ปิดไปแล้วหลังจากห้างปรับโฉมใหม่) และก็มีร้านกาแฟเล็ก ๆ ตรง Kinokuniya อีกที่นึงที่ผมรู้จัก สำหรับร้านในรีวิวฉบับนี้ก็เป็นอีกหนึ่งร้านของเครือ UCC ซึ่งตัว concept ของอาหารและบรรยกาศของทางร้านนั้นก็แตกต่างกับ 2 ร้านที่ว่ามาพอสมควร กับร้าน The UCC Oriental @ ชัน M ห้าง Gateway Ekamai แห่งนี้

ร้านนี้เป็นร้านที่ค่อนข้างจะเด่นคืออยู่ตรงทางเข้าจากรถไฟฟ้า BTS เลย คือเอาจริง ๆ มันอาจจะเด่นเกินไปด้วยซ้ำ เพราะหลาย ๆ ครั้งที่ผมเดินเข้ามาทางนี้ ผมก็จะเดินผ่านร้านนี้ไป แล้วไปเลือก ๆ เอาร้านที่อยู่ด้านในแทน ซึ่งผมเชื่อว่าก็น่าจะมีหลายคนที่เป็นแบบผมแบบเดินผ่านไปเสร็จ เดินวน ๆ ดูร้านอื่น ๆ แล้วก็เลือกร้านอื่นกินแทน ไม่ได้เดินมาข้างนอกใหม่ ร้านตกแต่งแบบโปร่งโล่งสบาย ด้วยสไตล์ประมาณ Europe ยุคเก่าเล็กน้อย (แต่ไม่ถึงกับเป็น หลุยส์ ๆ อะไรแบบนั้น) วันที่ผมไป ลูกค้าค่อนข้างเยอะ โต๊ะแทบจะเต็มหมดทุกโต๊ะ และเป็นลูกค้าญี่ปุ่นซะครึ่งนึงเลยด้วย อืม แปลกดี หรือไม่แปลกดี เพราะคนญี่ปุ่นก็ดูชอบกินอะไรที่เป็นแบรนด์ประเทศตัวเองอยู่ล่ะ






อาหารของร้าน The UCC Oriental @ Gateway Ekamai แห่งนี้ก็จะเป็นอาหารญี่ปุ่นแนวลูกครึ่ง ลูกผสมระหว่างอาหารญี่ปุ่นกับอาหารตะวันตก แบบทุกรายการทุกเมนูเลย (แม้กระทั่งตัวของหวาน) คือเอาจริง ๆ อาหารญี่ปุ่นหลาย ๆ อย่างในยุคปัจจุบันก็ได้รับวัฒนธรรมของตะวันตกมาผสมค่อนข้างเยอะ แต่แค่แบบพวกเรา (หรือคนญี่ปุ่นเอง) ก็คุ้นเคยกับอาหารพวกนี้ไปจนคิดว่ามันเป็นอาหารญี่ปุ่นไปแล้ว เช่น ข้าวห่อไข่, หมูชุบแป้งทอด (tonkatsu), Hamburg หรือ ข้าวแกงกะหรี่ อะไรพวกนี้ (คนญี่ปุ่นเรียกว่า Yoshoku) ซึ่งก็เป็นอาหารสไตล์ที่มีขายตามบ้านเราหรือที่ญี่ปุ่นกันอย่างดาษดื่น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่แค่ร้านนี้พยายามจะรวบรวมอาหารเหล่านี้มาไว้ในเมนูเพื่อเป็น concept ของทางร้านก็แค่นั้น

จุดเด่นอีกอย่างของร้านนี้ก็คือตัวกาแฟ ที่เหมือนทางร้านจะ promote ไว้มากว่าเป็นกาแฟปรุงสด, คั่วสด มีการ siphon โน่นนี่ ซึ่งพอดีผมเองก็ไม่ได้ลองเลยสักแก้ว ก็เลยไม่รู้ว่ามันดีสมกับคำโฆษณารึเปล่า (แต่เคยกินที่ UCC - Kinokuniya @ Siam Paragon ก็อร่อยในระดับนึง ไม่ได้มากมายอะไร ร้านนี้ก็อาจจะดีกว่าเล็กน้อย เพราะเห็นเครื่องไม้เครื่องมือเห็นเมล็ดกาแฟเยอะแยะ (ล่ะมั้ง) )

มื้อนี้เริ่มต้นด้วย Omurice & Salad Set (เซ็ตโอมูไรซ์พร้อมสลัด - เซ็ตโอมูไรซ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองโกเบ เสิร์ฟพร้อมสลัดและซุป เลือกเมนูโอมูไรซ์ที่ท่านชื่นชอบได้ (ไก่ หมู หรือ เห็ด) - 230 บาท) ก็เป็นข้าวห่อไข่ที่ราดซอส demi-glace มา ก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากความใหญ่โตของมัน (ดูรูปประกอบเทียบกับ iPhone นะครับ) รสชาติกลาง ๆ ธรรมดา ๆ ร้าน Omu ที่อยู่ที่ Parklane เอกมัยที่ผมเคยกินมาอร่อยกว่าแบบไม่ต้องสงสัย คือเจ้า Omurice ของร้านนี้ ไข่มันยังไม่ได้เนียน ไม่ได้แบบกึ่งดิบกึ่งสุกพอ , ซอสก็ยังไม่ค่อยโดน และข้าวก็ยังไม่โดนอีกเช่นกัน อาหารใน set นี้ก็มีตัวซุปแถมมาให้ด้วย พวกผมก็เลือกเป็นซุปข้าวโพดไป ก็อร่อยกลาง ๆ ดีกว่าพวกซุปข้าวโพดกระป๋องนิดนึง ตามนั้น






อาหารอย่างที่ 2 คือตัว Macaroni Minestrone Soup (ซุปมักกะโรนีเห็ด - ซุปเพื่อสุขภาพทำจากผักนานาชนิดและเพิ่มความอร่อยด้วยมักกะโรนี - 70 บาท) ก็เป็นซุปผักซอสมะเขือเทศที่ค่อนข้างจะมาตรฐาน ดูไม่ได้มีความเป็นญี่ปุ่นสอดแทรกแต่อย่างใด รสชาติก็ธรรมดา ๆ ครับ กินแล้วไม่มีรสชาติอะไรโดดเด่นออกมาสักเท่าไร

อาหารอย่างที่ 3 เป็น  Beef Lasagna (ลาซันย่าเนื้อ - ลาซันย่าของร้านเราประกอบด้วยซอส 3 ชนิดทั้ง brown sauce, white sauce , tomato sauce ทำให้ท่านได้เพลิดเพลินกับความอร่อยที่ลงตัว -180 บาท) อันนี้ค่อนข้างอร่อยเลยล่ะครับ ตัวลาซานญ่าอบมาได้แบบดีมาก ๆ ผิวด้านนอกแบบแข็ง ๆ เกรียม ๆ กำลังดี และด้านในก็แบบชีสเยิ้ม ๆ เละ ๆ และให้เนื้อมาเยอะดี ทีเด็ดของจานนี้คงเป็นตัวซอสที่แบบเป็นซอสผสม 3 ชนิด ซึ่งมันเป็นรสชาติที่ให้ความเป็นญี่ปุ่นดี ไม่เคยกินในลาซานญ่าที่ไหนมาก่อน และจานนี้ให้เยอะดีด้วยครับ เด็ดดวงเลยทีเด็ด








แต่ทีเด็ดที่สุดในมื้อนี้นั้นกลับกลายเป็นตัวของหวานครับ กับ Claire Berry (แคลร์ เบอรี่ - เบอรี่รสเปรี้ยวและครีมเหนียวนุ่มทำให้แคลร์มีรสชาติด้วยคลึงเค้ก - 130 บาท) เจ้าจานนี้เป็นลูกผสมระหว่าง เครป กับ waffle ออกมาเป็น Claire (!?) จานนี้หน้าตาน่ากิน และรสชาติก็ดีมาก ๆ เจ้าแป้งที่ทำมานี่มันแบบได้ความเป็นเครฟและวัฟเฟิลอย่างละครึ่งจริง ๆ นุ่ม ๆ แต่ก็แอบมีความกรอบเล็กน้อย อร่อยดีมาก ส่วนตัวไอศครีมและผลไม้ที่วาง ๆ มาก็รสชาติดี ช่วยเพิ่มรสชาติตัวแป้งเป็นอย่างดี ราคาไม่แพง หน้าตางดงาม และรสชาติดีแบบนี้ น่าสนมากินเรื่อย ๆ เลยล่ะ





สรุป ร้าน The UCC Oriental Store @ Gateway Ekamai นี่ก็เป็นร้านอาหารสไตล์ที่หากินไม่ค่อยได้ในประเทศไทยสักเท่าไร เมื่อคิดว่ามันเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น แต่ถ้าคิดว่าเป็นร้านอาหารตะวันตก อาหารยุโรปแล้ว ร้านนี้ก็อาจจะธรรมดา ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย ร้านนี้จุดเด่นสำหรับผมนั้นคงเป็นเรื่องราคาที่เป็นมิตรต่อกระเป๋าตังค์มาก (ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าเป็นร้านในห้าง) และตัวพนักงานที่บริการดีเกินกว่าจะเป็นร้านในห้าง ส่วนตัวรสชาติอาหาร ผมกับแฟนยังไม่ค่อยโดนสักเท่าไร โอเค อร่อย ในระดับเอามาเปิดร้านขายได้ แต่ก็นะ ร้านเฉพาะทาง ๆ ที่ขายมีเจ้าเมนูลูกผสมพวกนี้ขาย (หรือร้านอิตาเลียนแท้ ๆ, omurice แท้ ๆ) ล้วนทำได้ดีกว่าร้านนี้แทบทั้งสิ้น ก็ถ้าใครแบบเดินทางรสไฟฟ้าบ่อย และเบื่อ ๆ กับอาหารญี่ปุ่นและอาหารตะวันตกแบบธรรมดา ๆ แล้วอยากมาลองกินอาหารลูกครึ่งของร้านนี้ ก็เป็นอะไรที่น่ามาลองเหมือนกันนะครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

Monday, April 29, 2013

Lord Jim's Bangkok Review

Lord Jim's - Western Seafood Specialize Restaurant at Mandarin Oriental, Bangkok

ลอร์ด จิม - ร้านอาหารตะวันตก อาหารทะเล โรแมนติค แมนดาริน โอเร็นเทล กรุงเทพ





Overall Score  9/10
Taste   4.5/5
Ambiance  5/5
Service  5/5
Value   3/5

Lord Jim's - Modern Seafood Restaurant on BumRes.com (For more pictures menu and info)



ร้าน Lord Jim ณ โรงแรม Mandarin Oriental Bangkok ในรีวิวฉบับนี้ ผมจำได้ว่ามีช่วงนึงร้านนี้อยู่ในกระแสมาก ๆ คือเหมือนจะมีรีวิวในเว็บพันทิบ แล้วก็เกิดกระแสการไปกินตามกัน แต่เหมือนช่วงหลัง ๆ กระแสของร้านนี้ก็จะซา ๆ ลงไป เพราะเริ่มมีคนไปบ่นเรื่องคุณภาพของอาหารและการบริการ และช่วงหลัง ๆ นี้ บุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติดี ๆ ตามโรงแรม 5 ดาวก็มีกันเยอะมากจนเหมือนกับไม่ต้องมากินแต่ Lord Jim นี่เหมือนแต่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม รีวิวในฉบับนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมื้อเที่ยงที่เป็น บุฟเฟ่ต์นานาชาติแต่อย่างใด เพราะร้าน Lord Jim แห่งนี้ มื้อเที่ยงกับมื้อเย็นจะเสิร์ฟอาหารแตกต่างกันอย่างชัดเจนเลย โดยตอนเย็น ทางร้านจะผันตัวเองเป็น European (emphasis on) Seafood Restaurant และเสิร์ฟแบบ a la carte แทน ซึ่งเจ้ารีวิวมื้อเย็นของร้าน Lord Jim นี่ผมก็ไม่ค่อยเห็นสักเท่าไร ไม่รู้ว่าเพราะอะไร (กลับเห็นของร้าน Le Normandie ที่แพงกว่า หรูกว่า เยอะกว่าแทน -*-)

ร้าน Lord Jim - Mandarin Oriental Bangkok แห่งนี้ ก็เป็น 1 ในกี่ห้องอาหารก็ไม่รู้ของทางโรงแรม ​(รู้สึกจะ 6 ห้องอาหารนะ) ที่อยู่คู่ฟ้าเมืองไทยมานานแล้ว ร้านนั้นจะตกแต่งแนว .. แนวอะไรดีหว่า แนว Contemporary ละกัน สวยงาม ๆ และร้านมีขนาดไม่ค่อยใหญ่สักเท่าไร แต่ถึงกระนั้นถ้าไปมื้อเย็นก็เหมือนจะไม่ต้องจองโต๊ะก็น่าจะโอเค เพราะอย่างตอนที่ผมไปก็มีแขก occupy กันอยู่แค่สัก 50% เท่านั้นเอง ร้านนี้สิ่งแรกที่สะดุดเลยก็คือทางเดินเข้าร้านครับ อลังการงานสร้างมาก ทำเป็นตู้ปลาขนาดใหญ่ ยาว ๆ แล้วก็จะเดินผ่านส่วนครัวที่เป็นครัวเปิดเล็กน้อย ให้เราเห็นการทำงานบางส่วนของครัว แล้วถึงจะไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนที่โต๊ะก็จะมีโต๊ะที่ติดกระจก มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบ Panorama กับโต๊ะไม่ติดกระจกที่ได้บรรยากาสโก้ ๆ หรู ๆ ของทางร้านไปแทน






การบริการของพนักงานโรงแรม Mandarin Oriental นี่ก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือชากันอยู่แล้วว่า สุดยอดในสามโลกขนาดไหน ซึ่งตัวผมเองก็เคยได้รับการบริการดี ๆ มาจากห้อง Le Normandie อยู่ครั้งนึง มางวดนี้ก็แอบคาดหวังในการบริการไว้พอสมควร ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดมากครับ ดีเลิศประเสิรฐศรีสุด ๆ คือแบบพนักงานเค้าจะไม่ได้เคร่ง ๆ เครียด ๆ ขรึม ๆ เหมือนโรงแรมอื่น ๆ แต่จะมีพูดจาแบบเป็นกันเอง ประหนึ่งว่าเราเป็นเพื่อนด้วยเล็กน้อย (แต่ไม่ถึงกับมาเล่นหัวกัน) คือแบบเป็น การบริการที่ไม่ค่อยพบเจอจากโรงแรมหรู ๆ อื่น ๆ น่ะครับ ส่วนการบริการอื่น ๆ ของพนักงานนั้นก็ไม่มีที่ติอยู่แล้ว รู้เรื่องอาหารเป็นอย่างดี บรรยายอาหารแต่ละจานเป็นฉาก ๆ , เปลี่ยนจานให้เราแบบผมกลัวน้ำจะหมดโลกมาก (เปลืองจากและช้อนส้อมมาก) และคอยดูอาหารว่าเรากินถึงไหนและนำอาหาร course ต่อไปมาเสิร์ฟให้อย่างลงตัวทางด้านเวลา อืม ไร้ที่ติครับ

อาหารของร้าน Lord Jim ในมื้อเย็นนี้ก็จะเน้นเป็น Modern (contemporary) Seafood European Dish ตามที่ว่าไปครับจะเป็นพวกอาหารจากทะเลเอามาทำโน่นทำนี่ตามสไตล์ยุโรป มีทั้งแบบที่ล้ำ ๆ ตกแต่งจานสวยงาม และแบบธรรมดา ๆ ดิบ ๆ แค่เอาไปย่าง ไปลวก หรือเอาไปเผาเกลือ แล้วก็เอามาขายก็มี (ไอ้แบบดิบ ๆ นี่แหละครับที่แพงมาก คือแบบพวกฝรั่ง คนต่างชาติคงไม่ค่อยได้กินกัน แต่พี่ไทยเรา ถ้าจะให้เสียตังค์ 3,900++ กินอาหารทะเลเผา ไปกินตามชายทะเล อาจจะเหมาได้ทั้งกระชังครับ ฮ่า ๆ) ราคาอาหารก็แพงตามประสาห้องอาหารหรู ๆ ทั่วไป ถ้ามากินกันจริงจังก็คงคนละประมาณ 2,000 - 3,000 โดยประมาณครับ (ถ้าสั่งไวน์และเครื่องดื่มไม่แพงด้วยนะ) สิ่งที่แปลกใจสำหรับผมคือ ทางห้องอาหาร Lord Jim แห่งนี้มีบริการ อาหารญี่ปุ่นพวก Sushi, Sashimi ด้วย ซึ่งแฟนผมที่ไปด้วยกันบอกว่าเจ้า ปลาดิบของร้านนี้ ในไลน์บุฟเฟ่ต์ตอนเที่ยงนั้นค่อนข้างดีเลย ก็เลยกลายเป็นว่าผมก็เลยสั่ง Sushi มาลอง set นึงด้วย อืม

มื้อนี้จริง ๆ อยากจะเขียนถึง cocktail ก่อนละกันครับ เพราะมื้อนี้ จริง ๆ แล้วมี cocktail แถมฟรีหลายแก้ว และก็มีอาหารแถมฟรี 2-3 จาน เนื่องจากว่าแฟนผมเค้ารู้จักกับแม่ครัวฝ่าย Pantry ของที่นี่อยู่ก็เลยได้จัดของฟรีมาพอสมควร cocktail ในมื้อนี้พวกผมได้กันไปประมาณ 7 อย่าง ส่วนอาหารก็จะมีประมาณ 8 อย่างครับ ค่อนข้างจัดหนักกันเลยทีเดียวมื้อนี้

เครื่องดื่ม

  • Ginger Cosmopolitan (Take a classic cosmopolitan and add home-made ginger vodka with a lovely touch of finely shredded fresh ginger - 300 บาท) : อร่อยมากครับ เป็น cosmopolitan ที่มีการเติมขิงลงไปเพิ่มเติมทำให้ได้ความเผ็ด ความร้อนเพิ่มเติมขึ้นมา อร่อยดี
  • Summer Time (Take an aged rum and apricot brandy, shake it with orange and lemon juice for refreshing drinking pleasure - 300 บาท) : อันนี้ก็กินแล้วสดชื่น ๆ เช่นกัน ผู้หญิงทุกนางน่าจะชอบ
  • B52 (Kahlua + Bailey's + Orange Cognac) : อันนี้แฟนผมชอบมากครับ หน้าตาดูดี อร่อยดี






  • Vodka + Tequila : อันนี้ Bartender เอามาให้ตอนท้าย ๆ ประมาณกินปิดท้ายอาหารก่อนเข้าของหวาน อืม ก็แรงดี อร่อยดี ผมก็ไม่ชัวร์นะว่าใช่ vodka + tequila รึเปล่า เอาเป็นว่าแรงมาก กินแล้วตื่นเลย ฮ่า ๆ
  • อะไรไม่รู้อีก 3 อย่าง : รบกวนดูรูปประกอบละกันนะครับ ตัว bartender ที่ชงมาให้เองยังจำไม่ได้เลย ผมซึ่งค่อนข้างกรึ่มก็อย่าไปหวังเลยว่าจะจำอะไรได้ครับ เอาเป็นว่า 3 แก้วที่ว่านี่ก็สวยงาม อร่อย และอลังการเช่นเดียวกับแก้วอื่น ๆ ครับ
  • Cappuccino สุดอร่อย 1 แก้ว ปิดท้ายมื้ออาหารอันแสนจะยอดเยี่ยมมื้อนี้






ตัวอาหารนั้นขอไล่ไปตามลำดับที่ได้รับละกันนะครับ
  • Chef complimentary (Amuse Buse) : ไม่แน่ใจว่าคืออะไรครับ เป็นเบคอน/แฮม พันอะไรมาสักอย่าง (น่าจะเป็น celery)ก็อร่อยดีครับ 
  • Rare grilled black eye tuna loin (marinated and sauteed vegetables, sesame sauce - 950 บาท) : จานนี้เป็นปลาทูน่าหั่นมาเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ เอาไป sear/ย่าง มาพอให้ผิวด้านนอกสุกแล้วก็เสิร์ฟมาพร้อมกับผักที่ผัด ๆ มาเล็กน้อยและราดซอสงา หน้าตาดูดี รสชาติเลิศครับ เนื้อปลานุ่มอร่อยมาก ส่วนผักและซอสก็แบบส่งเสริมรสชาติเนื้อปลาได้เป็นอย่างดี








  • Lord Jim's Fish Tartar (Red snapper, yellow fin tuna and Atlantic salmon, boiled quail egg, herring caviar, crispy potatoes, Melba toast -710 บาท) : จานนี้เชฟเป็นคนแนะนำมา ก็เป็น tartar ที่เอาปลา 3 อย่างมาผสมกัน ผมเองก็ไม่เคยกิน fish tartar มาก่อนนะครับเคยกินแต่ beef tartar มา อร่อยมากครับจานนี้ เนื้อปลามาแบบ แอบมีส่วนติดมัน ๆ มาด้วย และก็แต่ละชิ้นนี่เย็น ๆ นุ่ม ๆ อร่อยมาก รสชาติการยำก็ยำมาแบบกะให้ถูกปากคนไทยพอสมควร ค่อนข้างจะจัดจ้านเลย แหล่มครับ
  • Seared Hand-Dived Scallops and Sun-dried Tomato Raviolo (Flat parsley and white wine beurre blanc, orange scented carrots - 850 บาท) : ก็เป็น Scallop ที่ตัวไม่ค่อยใหญ่มาก แต่ก็เนื้อนุ่ม เด้ง อร่อย ทั้งจากตัวหอยเองและตัวซอสที่ราดมา ส่วนตัว Ravioli ที่ให้มาด้วยกันก็แบบอร่อยครับ มะเขือเทศที่เป็นไส้ในก็เนื้อฉ่ำ ๆ น้ำชุ่ม ๆ โอย ฟิน
  • Bouillabaisse consomme (Prawns and scallops in saffron aspic, served with rouille sauce and crispy garlic baguette - 420 บาท) : ผมกิน consomme มาก็หลายที ส่วนใหญ่จะเป็นซุปผักกับเนื้อน้ำใสมากกว่า แต่แน่นอนครับ ร้าน Lord Jim ทุกอย่างต้องเป็นอาหารทะเล (ตัว fish tartar ก็เช่นกัน) อันนี้ก็เลยมาเป็นซุปผสม seafood บ้าง หน้าตาจานนี้ก็เป็นซุปธรรมดา ๆ ครับแต่รสชาตินี่โอ้โห ไม่ธรรมดาเลย เข้มข้น จัดจ้านมากกก ประหนึ่งเหมือนไม่ใช่ consomme แต่เป็นซุปน้ำข้นมากกว่า ผมก็งงเหมือนกันว่าทำไมถึงทำซุปน้ำใสมาให้ได้รสชาติเข้มข้นขนาดนี้
  • ก่อนจะเข้าตัวอาหารคาวก็มีการคั่นด้วย sorbet เล็กน้อยครับ ทางร้านก็ไม่ได้เสิร์ฟ sorbet มาแบบธรรมดา ๆ เหมือนร้านอื่น แต่มีการใส่บนจานแก้วที่ใส่โคมไฟมาด้านล่างด้วย สวยงาม จนแอบงงเหมือนกันว่าตอนแรกมันคืออะไร กินแล้วแบบเปรี้ยวจี๊ดดด ครับ ล้างรสในปากออกไปได้เกลี้ยงเลย









  • Roasted Center Cut of Atlantic Salmon (Green pea puree, crispy filo cylinder filled with confit salmon threads, orange and beetroot relish, light horseradish sauce - 810 บาท) : เนื้อปลาแซลมอนมาแบบชิ้นอวบอิ่ม เต่งตึง น่ากินมาก ๆ คือแบบ เป็น cut ที่ไม่ค่อยเจอตามร้านอาหารส่วนใหญ่เท่าไร ไม่รู้ว่าทางโรงแรม Mandarin Oriental สั่งมาพิเศษรึเปล่า ตัวเนื้อปลานั้นปิ้งมาได้ดีมาก ๆ ผิวด้านนอกเกรียม ๆ กรอบ ๆ เนื้อด้านในสุกแบบเลย medium rare มานิด ๆ และก็มีการเสิร์ฟเอาพวกผัก, ผลไม้ หน้าตาสวย ๆ เคียงคู่มาด้วยกัน และราดซอสมา จานนี้ ประทับใจมากครับ รูปสวย รสชาติเยี่ยม โอวววววว
  • Sushi Moriawase - Matsu (Toro, Akami, Shake, Uni, Ikura, Amaebi, Akagai, Unagi, Hamachi and spicy Tuna maki - 1,500 บาท) : จานนี้บอกตรง ๆ ว่าผมสั่งเพราะแฟนบอกว่า Sushi ของที่นี่เค้าดี เท่านั้นจริง ๆ ซึ่งตอนแรกไม่คิดจะสั่งอยู่แล้ว คือไม่คิดว่า Sushi ของร้านที่เน้นอาหารตะวันตกแบบนี้มันจะดีเด่อะไร แต่เห็นแบบ ราคาไม่ค่อยแพง (เมื่อเทียบกับอาหารจานอื่น) มีของแพง ๆ อย่างหอยเม่น, หอยแครงญี่ปุ่น , โทโร่ มาให้ด้วย ก็เลยสั่ง ๆ ไป หน้าตา Sushi ที่ได้มามันก็ดีอยู่หรอกครับ ปั้นมาได้สวยงามดี แต่รสชาตินั้นบอกตรง ๆ ว่า Fail มาก เนื้อปลาไม่ค่อยสดเท่าไร ปั้นข้าวมาก็ไม่ค่อยดี ไม่ค่อยผสานเป็นเนื้อเดียวกัน พวกของแพง ๆ อย่างโทโร่, หอยเม่น, หอยแครงญี่ปุ่น ก็ไม่อร่อยเลย และหน้าตาไม่เหมือนของเกรด A ที่เคยกินมาด้วย ก็เลยแอบงงเหมือนกันว่าร้าน Lord Jim นี่เค้าใช้ของเกรด B มาทำ Sushi เหรอ?
ของหวาน

  • Mille Feuille of Chocolate Cake and Mousse (Refreshing pomegranate sorbet and caramel crisp - 450 บาท) : จานนี้จริง ๆ ไม่ใช่ Mille Feuille จริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงตั้งชื่อแบบนี้มา ตัวมูสสามรสที่ให้มาอร่อยดี ส่วนตัวแป้งด้านบนที่เสียบมาก็เป็นรสช็อคโกแลต อร่อยดีอีกเช่นกัน ส่วนเค้กช็อคโกแลตด้านหลังรู้สึกยังทำมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไร
  • Valrhona Chocolate Fondant (Vanilla ice cream with berry compote - 450 บาท) : จานนี้สิ่งที่โดดเด่นเลยก็คือเจ้าลายพาดกลาง หรือ strip นี่แหละครับ ทำมาได้สวยมาก งดงามและอลังการ ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ส่วนตัว fondant นี่ก็อร่อยดีครับ ช็อคโกแลตรสชาติเข้มข้นสมกับเป็น Valrhona Chocolate ส่วน berry compote ที่ให้มาก็เปรี้ยว ๆ ให้มาตัดเลี่ยนได้ดี กินสลับไปสลับมากับช็อคโกแลตก็ลงตัวดี วานิลลาไอศครีมที่ให้มาก็ไม่หวานมาก เหมือนเป็นรสกลาง ๆ ระหว่าง 2 อันนี้ ให้กินสลับไปสลับมาเวลาอยากจะเปลี่ยนรสอะไร
  • Macaron Tower (อันนี้ผมตั้งชื่อเอง เป็น chef complimentary) อันนี้หลาย ๆ ท่านที่เคยกิน Macaron ของ Mandarin Oriental มาก็คงรุ้อยู่แล้วว่าของเค้าอร่อยได้มาตรฐาน จานนี้ก็ตามนั้นเลยครับ มีมาการอง รสแปลก ๆ มาด้วย คือรสตะไคร้ กับ กล้วยตาก ซึ่งแบบ ไม่รู้คิดได้ยังไง ซึ่งก็อร่อยดีอีกเช่นกัน โอวววว







สรุป มื้ออันสุดแสนจะจัดหนักของผมกับแฟน ณ Lord Jim - Mandarin Oriental มื้อนี้นี่ก็เรียกได้ว่าประทับใจสุด ๆ ครับ แน่นอน สิ่งที่ประทับใจอย่างแรกที่สุดก็คือ อาหารและเครื่องดื่มที่ได้ฟรีเยอะมาก เอ๊ย ไม่ใช่ ก็คือ .. ไม่สิ ทุก ๆ อย่างเลย บรรยากาศ, การบริการ, รสชาติอาหาร, ความสวยงามของอาหาร(และเครื่องดื่ม) ก็สมกับเป็นห้องอาหารอันมีชื่อเสียงของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้ล่ะครับ แน่นอนครับสิ่งเดียวที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไรก็คือเรื่องราคานี่แหละ แอบแพงไปนิด แต่ก็นะ มันก็แลกมาด้วยความสุดยอดในทุก ๆ ด้านนี่แหละ ใครกำลังมองหาร้านไว้เป็นมื้อพิเศษกับคนรัก, กับครอบครัว ร้าน Lord Jim แห่งนี้ผมว่าใช่เลยล่ะครับ ประทับใจกันทุกผู้ทุกนางแน่ หลังจบมื้อ ตามนั้น


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Feel free to leave a comment and you can also contact me via channels below.
http://www.bumres.com
http://www.facebook.com/BumRes
admin@bumres.com
ร้านอาหาร

LinkWithin

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...